รอกลับไทย
วันก่อนเพิ่งอ่านบทความพี่เม่นเรื่องย้ายไปอยู่ชนบทกันเถอะ
แล้ววันนี้ก็มาฟัง สนทนาหาทำ เรืองย้ายประเทศ
นึกอะไรได้ขึ้นมาก็เลยพิมพ์เก็บไว้หน่อย

----

ครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่พ่อกับแม่เรียนจบต่างประเทศ
และต้องกลับไทยเพราะแม่มียายที่ต้องดูแล
และตอนนั้นแม่ก็ติดทุนรัฐบาล
ยังไงก็ต้องกลับ

พ่อบอกแม่ว่าจะพากันกลับมาที่ต่างประเทศอีก
แต่กลับไทยได้สองปี พ่อเราก็เสีย
ตอนนั้นเราอายุสองขวบ

แม่เราก็เคยบอกว่า ชอบที่ต่างประเทศมาก
แม่อยู่เลี้ยงยายทั้งสองคนเสีย
จนเราที่เป็นลูกคนสุดท้องเรียนจบ
แม่เราก็แต่งงานใหม่ มาอยู่ที่อเมริกา
พี่ชายคนกลางเราก็มาอยู่ที่อเมริกา หลังเรียนปริญญาตรีที่ไทยจบ
พี่กับแม่ก็ชอบชีวิตแบบอเมริกานี้

สำหรับพี่ บอกว่า ชอบคุณภาพชีวิต
ส่วนแม่ เพราะแม่มี sprout คือคู่ชีวิต
แม่มีคนคุยด้วย หลังจากยายเสีย (จริงๆ ยายป่วยนานมาก)
แต่ชีวิตแม่อยู่ไทย กับอยู่อเมริกา ก็เหมือนกันคือ ชอบอยู่ในสวน
เราว่าแม่อยู่ไหนก็ได้

แต่ที่นี่มีคนแก่ด้วยกันคุยกันไง
เราเองก็ใช้ชีวิตคนละอย่างกับแม่

-----------

เมื่อเราจบเฉพาะทางผ่าตัดขากรรไกรและใบหน้าในไทย
แม่ก็อยากให้เรามาทำงานที่อเมริกา
แต่เพราะลักษณะงานทันตแพทย์ไม่ได้เอื้อเหมือนอย่างแพทย์
ที่สอบ USMLE ตรงๆ ปังๆ
ของเราจะต้องมาทวน ปริญญาตรีที่เขา
ซึ่งเราจบเฉพาะทางมาแล้ว (สมัยก่อนให้มา train booard ต่อได้)
(สมัยเราไม่เป็นแบบนั้นแล้ว)
เราก็ขี้เกียจ

หลังจากดูงานที่อเมริกาเสร็จ เราก็ตัดสินใจว่า
เราไม่มาอยู่อเมริกาหรอก
อเมริกาคือที่ที่มีพี่คนกลางกับแม่อยู่ กับญาติโยมอีกนิดหน่อย เท่านั้น
ตอนที่เราเริ่มเขียนบันทึกใน สุขใจพริ้วนี้ คือ
ตอนที่อยู่ระหว่างดูงานที่อเมริกา

ในเวลาที่กลับไทย เราได้ลิสต์รายการที่อยากทำที่ไทย
เช่น ดำน้ำ ยิงปืน ฯลฯ และสิ่งที่ได้ทำเพิ่มคือการมีกิจการส่วนตัวร่วมกับเพื่อน
เปิดร้าน แล้วเราก็รู้สึกเต็มตัวว่าเรา อยู่ไทยนั่นแหละ คือที่ของเรา

------

ย้อนกลับปีราวปี 2551-2552 พี่เม่นเริ่มลงหลักปักฐานที่ปาย
ที่เราจำได้เพราะ งานแต่งพี่เม่น ครั้งนั้นเราไม่ได้ไป
เราจบเฉพาะทางแล้ว

พี่เม่นเป็นวิศวกร ที่ไปอยู่อเมริกามาพักนึง
สุดท้ายก็มาทำงานที่เมืองไทย
และเนื่องจากทำงานออนไลน์ได้
จึงเลือกจังหวัดที่น่าจะสบายสำหรับตัวเอง
ทั้งในแง่การทำงานและใช้ชีวิต

เราว่าเราก็เหมือนพี่แม่นในเรื่องนี้นะ

เรายังรู้จักคนอีกหลายคนที่ชีวิตในไทยสบายดี
แล้วเราก็รู้จักคนที่อยู่ในนอกไทยที่ชีวิตสบายดี (ทั้งในอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น)
เราว่าแต่ละคนมีเวลาของตัวเอง มีที่ของตัวเอง ตามจังหวะโอกาส
ถ้าเค้าสบายดีก็อยู่ไป

------

มาถึงเรื่องการจะอยู่ประเทศไหน หรือความรู้สึกต่อกลุ่มไหน
เราเป็นคนไม่จัดกลุ่มคน (เราเคยเขียนเรื่องไว้ ใน ใสไม่มีสี นานแล้ว)
(คนไทยไม่ควรมีสี เพราะเป็นหน้าที่ของโรงพิมพ์ --อันนี้ก็อันนึง)

คือ เราเห็น เรารู้

แต่เราชอบอันที่เราชอบไง แต่ละกลุ่มก็มีบางเรื่องที่เราชอบ
เราก็ไม่จำกัดตัวเอง ว่าเป็นอันไหน
ชอบแนวคิดใคร ช่วงไหน เราก็ไปตามอ่านตามดู
ชอบเป็นช่วงๆ แล้วแต่อารมณ์ความอิน
และความว่างได้อ่านข่าว เราไม่ได้ตามข่าวทุกเรื่องตลอดไง

แล้วพอเราไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ
เรื่องบางเรื่องมันเจือจางมากสำหรับเรา
การวางแผนผ่าตัดคนไข้ กับ เตรียมตัวทำงาน และทำงาน
สำหรับเราแต่ละวันก็เหนื่อยแล้ว
บางเรื่องเราข้ามไป เพราะเราทำงานตัวเล็ก เฟืองน้อย

เวลามีคนมาใส่ไฟอะไรที ค่อยหาข้อมูล

ความที่เราไม่เคยใส่ใจว่าตัวเองต้องอยู่กลุ่มไหน
เราก็เลยไม่ใส่ใจจะจัดใครอยู่กลุ่มไหนด้วย
ไม่เคยไปตั้งให้ใครอยู่ไหน ส่วนใครจะให้เราเป็นพวกไหน-ก็เรื่องของเขา

เพราะเราสรุปได้เสร็จนานแล้ว ว่าชีวิตเราจะทำอะไรที่ไหน
ประมาณไหน

-----

บันทึกสั้นๆ ที่เรานอนดู
เราว่า คนที่โดมากแล้ว ชีวิตมั่นคงแล้ว ผูกกับครอบครัวแน่แล้ว
ขี้เกียจย้ายธุรกิจ ซึ่งเค้าอาจจะไม่สนใจเรื่องย้ายประเทศหรอก
ถ้าเค้าเรียนต่อกลับมาแล้วตัวเค้าต้องทำธุรกิจที่บ้านต่อ
แบบนี้ เค้าก็ไม่ย้าย

คนที่อยากย้ายเหรอ
จะเป็นตัวมีไฟ แบบยังงง เราว่าส่วนใหญ่ยังสรุปไม่เสร็จด้วยว่า
ไปอยู่นั่นจะทำอะไร (ยังหาข้อมูล) ที่ชัดเจน
หรืออาจจะประมาณยังไม่ไปเรียนต่อ ยังไม่ได้ไปแลกเปลี่ยน
ชีวิตอยากกระโจน

(เรามานึกออกสมัยนึง มีคนบอกเราว่า
อยากให้เราไปเปิดโลกทัศน์บ้าง
ตอนนั้นเราก็ไม่ได้บอกเค้าว่า จริงๆ แล้วบ้านเราก็มีความอินเตอร์ฯ
แม้กระทั่งเรื่องการศึกษา ผู้ปกครองเราก็จบด้านการศึกษา
และเขียนหลักสูตรในกระทรวงศึกษาฯ
เราก็เข้าใจไอเดีย ของคนที่จบมา กับบริบทเมืองไทยประมาณนึง
แต่ก็ไม่ได้มากมายนัก เราว่าเราไม่ได้ตกผลึกทุกเรื่อง
ตกผลึกแค่เรื่องตัวเองจะทำอะไร กับเป้าหมายที่มีในใจมากกว่า)

ไปอ่านของพี่เม่นอีกที เราว่า เราชัดเหมือนพี่แม่น
แม่เรา พี่เรา ก็มีความชัดในแบบของตัวเอง

ฟัง สนทนาหาทำ
ตอนจบบอกว่าให้กลับมาพัฒนาประเทศ เพราะใจความคือ
สนับสนุนการสู่โลกกว้าง
นั้น
ยิ่งชัดว่า กลุ่มคนจะไปคงเป็นกลุ่มมีไฟ อายุน้อย
(ฟังให้ครบว่า อยากให้กลับมาพัฒนาประเทศ
เพราะเมื่อก่อนเคยมีเรื่องไทยสมองไหล จนต้องเรียกกลับ
และเป็นช่วงอายุที่เป็นกำลังสำคัญต่อไป)


เราว่า ก็ไปเหอะ

วันนึงตอนโด เราจะรู้ว่า เราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้
เราเปลี่ยนได้แค่ตัวเอง
ก็ทำตัวเองให้ดีที่สุดในแบบของตัวเองก็พอ

ก่อนจบวันนี้ที่ยาวเฟื้อย
เราคิดถึง รัชกาลที่เก้า
เราว่า ถ้าจะหาใครซักคนที่จบนอกแล้วทำให้เกิดการพัฒนาคน
ในหลวงชัดมาก
ทั้งเรื่องโรงเรียนทางไกล ทั้งเรื่องการไปให้ปริญญา
สมัยนั้น การที่ท่านไปให้ปริญญาคือการดลใจเรือง การศึกษา
แม้ว่า วันนี้ ปริญญา ไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจตรงๆ
แต่ไอเดียนี้ใช้ให้กำลังใจคนในสมัยก่อนได้

ใจความหลักคือ การศึกษา ไม่ใช่ ปริญญา
ใจความหลัก คือ พัฒนาตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
เรารู้สึกแบบนั้นนะ

---------
Credits & References

พี่เม่น
https://menn.blog/go-countryside/

สนทนาหาทำ
https://www.youtube.com/watch?v=xDFFIYsfbGA&list=PL82kn57c7yOetsMh1cnNkh10dpd8OKCmb&index=25



Create Date : 08 พฤษภาคม 2564
Last Update : 8 พฤษภาคม 2564 22:52:36 น.
Counter : 441 Pageviews.

0 comments
The Last Thing on My Mind - Tom Paxton ... ความหมาย tuk-tuk@korat
(1 ม.ค. 2567 14:50:49 น.)
ทนายอ้วนจัดดอกไม้ - จัดดอกไม้ง่ายๆ – แจกันสวัสดีปีใหม่ 2567 - กุหลาบพวงสีชมพู - ขาว ทนายอ้วน
(2 ม.ค. 2567 15:16:32 น.)
ไม่ลอดช่องโหว่ ปัญญา Dh
(2 ม.ค. 2567 13:44:30 น.)
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)

Buija.BlogGang.com

สุขใจพริ้ว
Location :
บุรีรัมย์  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]

บทความทั้งหมด