Let me in - จาก อีลี่ สู่ แอ๊บบี่ [รีเมคเปลี่ยนอารมณ์แต่เราชม(แล้ว)ชอบ]


... ยอมรับเลยว่า เป็นคนหนึ่งที่รู้ข่าวว่า Let the right one in จะรีเมคโดยฮอลลีวู้ด ก็ดูถูกในใจหนึ่งตลบว่าไม่มีทางจะทำออกมาดีหรือสร้างความเยือกเย็นได้เช่นต้นฉบับ คงออกมาโฉ่งฉ่างบ๊ะเทิ่งตามประสาหนังฮอลลีวูด

พอรู้ข่าวถัดมาว่า คนรีเมคคือ แม็ต รีฟ ที่เพิ่งมีผลงานอย่าง Cloverfield ก็ใช่ว่าจะการันตีฝีมืออะไรได้นักหนา เพราะต้องยอมรับว่า ความสำเร็จของ Cloverfield ส่วนหนึ่งมาจาก ความแปลกใหม่ของการบุกจากมะนาวต่างดุ๊ต ผสม การตลาดแบบ viral ที่อยู่นอกตัวหนัง

แถมเมื่อเทรลเลอร์แรกของ Let me in ออกมา ก็คิดในใจว่า “สิ้นหวังแล้ว อีลี่”

(เอาแค่ชื่อ ผมก็หยามหยันตั้งแต่ต้นแล้วว่า ลดความลุ่มลึกของต้นฉบับเข้าไปอีก เพราะ Let the right one in คำว่า the right one มันสื่อความหมายได้ลึกซึ้งและกว้างกว่า)



... จากที่สังเกตหนังรีเมคส่วนใหญ่ ถ้าคนรีเมคตัดสินใจรีเมคต้นฉบับเดิมแบบช็อตต่อช็อต ไม่ปรับไม่แต่งอะไร โอกาสล้มเหลวมีอยู่สูง ตัวอย่างเห็นชัดอย่าง Psycho หรือ Funny game ที่ขนาดได้มือระดับ กัส แวน ซอง หรือ ตัวลุงไฮเนเก้นเองรีเมคหนังตัวเอง ก็ไม่ได้ช่วยให้หนังประสบความสำเร็จมากขึ้น

ซึ่งก็ไม่ใช่ว่า ตัวเวอร์ชั่นรีเมคจะออกมาห่วย แต่ คนดูส่วนใหญ่ก็คงไม่รู้ว่าจะไปดูหนังเรื่องนี้ทำไม ในเมื่อทั้ง เนื้อหา ทั้งอารมณ์ แทบไม่ต่างจากของเดิมซึ่งดีมากๆอยู่แล้ว

การรีเมคที่คนดูคาดหวังอยากจะเห็น หรือ โอกาสที่หนังจะประสบความสำเร็จ นอกจากจะทำให้ตัวหนังออกมาดี ก็คือ ถ้าไม่ปรับแต่งเนื้อหาหรือนำเสนอเรื่องราวให้มีมุมมองใหม่ๆ ก็น่าจะมีการสร้างอารมณ์หรือกลิ่นอายใหม่ๆ


เช่น Ringu ฉบับสุดหลอนจากญี่ปุ่น มาเป็น The Ring ฉบับฮอลลีวูด เป็น การรีเมคที่ผมคิดว่าทำออกมาได้ดี คือ ไม่พยายามจะใส่กลิ่นชาเขียวโดยที่ตัวเองไม่ถนัด แต่จัดกลิ่นสยองแบบนมเนยจนออกมากลมกล่อม

หรือ Infernal affairs ที่ผมชอบต้นฉบับมากๆๆ และก็ขัดใจที่เวอร์ชั่นรีเมค The Departed ทิ้งอารมณ์ ความรู้สึกผิด และประเด็นนรกในใจที่ตามหลอกหลอนตัวละครในบรรยากาศบาปบุญของตะวันออก แต่ก็ยอมรับว่า เวอร์ชั่นมาเฟียบอสตั้น ทำออกมาได้ขึงขัง หนักแน่น และ เข้มข้น คู่ควรกับการได้รางวัลติดตัว



... มาถึง Let me in สิ่งต่อไปนี้คือ ความรู้สึกและความแตกต่างที่อยากเขียนถึง


1. ความต่างสำคัญๆในส่วนของเนื้อหาจาก หนังต้นฉบับ แทบจะไม่มีอะไรเลยนอกจาก เพศของอีลี่ ที่เวอร์ชั่นนี้ชัดเจนว่าค่อนมาทางเพศหญิง และไม่มีฉากโชว์ พื้นที่สงวนชวนขบคิด เหมือนต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉากที่ผมคิดว่า สำคัญมากกก เพราะชวนตีความและจินตนาการได้หลายตลบ

แต่เมื่อได้ดู Let me in จนจบ ก็พอยอมรับได้กับการตัดฉากนี้ออกไป ด้วยการตัดสินใจที่จะคงประเด็นที่น้อยกว่า ไม่ต้องสุ้มเสี่ยงกับการโดนด่า แต่เน้นตรงไปตรงมาในเรื่อง ความสยองขวัญที่ตั้งอยู่บน มิตรภาพ ความรัก และ ความโดดเดี่ยว

(ความแตกต่างของเนื้อหาอื่นๆยังมีเล็กน้อย เช่น อุบัติเหตุที่ต้องเผยตัวตนของ’พ่อ’ ที่ต่างออกไป)



2. ชอบการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ เพราะถึง เส้นเรื่องจะเดินตรงแหน่วเหมือนต้นฉบับสวีดิช แต่ หนังต่างออกไปตรง เลือกตัด ตอนกลางเรื่องช่วงสำคัญ มาไว้ตอนต้นเป็นฉากเปิดตัว จากนั้นจึงเล่าย้อนหลังไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราว

ซึ่ง วิธีการนี้ค่อนข้างฮิตในระยะหลัง แต่บางเรื่องก็ทำออกมาแล้วไม่เวิร์ค เช่นล่าสุด Skyline ที่ย้อนไปคนดูก็ไม่ได้อะไรมากขึ้น เพราะหนังปูชีวิตตัวละครได้ไม่แน่นพอ

แต่อย่าง Let me in เป็นการเปิดเรื่องที่ทำออกมาแล้ว ดึงดูด ชวนติดตาม และ การย้อนอดีตไปเล่าเรื่องก็ช่วยบิวต์ตัวหนังได้ดียิ่งขึ้น




3. ในแง่คุณภาพตัวหนัง แน่นอน ต้นฉบับ ให้อารมณ์เยือกเย็นกว่า ลุ่มลึกกว่า มีประเด็นชวนคิดมากกว่า โดยเฉพาะในแง่ เพศและเพศสภาพ(gender&sexuality) กับ ความสัมพันธ์ ซึ่งจุดนี้เคยเขียนยาวๆเป็นบทความ 'ด้วยรัก เซ็กส์ และ ซอกคอ' ลงใน Filmax ไปแล้วขอไม่ฉายซ้ำ

แต่เวอร์ชั่นรีเมค นี้ก็น่าสนใจ และ ดีในแบบของมันเอง

เพราะถึง ไม่ลึก ไม่ยะเยือกเท่า แต่ อารมณ์ของหนังที่ออกมาในโทน หนังสยองขวัญ หนังทำออกมาได้ดีมากเมื่อเทียบกับหนังสยองขวัญส่วนใหญ่จากฝั่งฮอลลีวู๊ด ที่จะมีความโฉ่งฉ่างบ้าง แต่ก็ทำออกมามีรสนิยมไม่เห่ยๆ

หลายฉากมีเจตนาน่าสนใจในการนำเสนอ เช่น การถ่ายทอดความรู้สึกโดดเดี่ยวของออสการ์ ที่หนังบิวต์ให้เราอินไม่รู้ตัว จากความจงใจเลี่ยงการถ่ายใบหน้าแม่ ไม่ให้เห็นเลยแม้แต่ฉากเดียว ส่วนพ่อก็มาแค่เสียง (จำไม่ได้ว่า ต้นฉบับ นำเสนอแบบนี้ด้วยหรือเปล่า)


แต่ฉากที่เวอร์ชั่นยะเยือกทำได้ดี แล้วมาด้อยตอนต้นฉบับก็มีอาทิ ฉากสไปเดอร์แมน ที่ต้นฉบับผมคิดว่า หลอนได้ใจ

ส่วนการตัดฉากสำคัญและฟันธงในเรื่องเพศของ อีลี่ อาจลดทอนประเด็นที่ลึกซึ้ง แต่ก็ชดเชยด้วย อารมณ์สยองขวัญที่ผสมกลิ่นอายโรแมนติกที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า เช่น ต้นฉบับ ผมรู้สึกว่า ท่าทีนิ่งเฉยของอีลี่ ดูเหมือนว่า ออสการ์ จะกลายเป็น เหยื่อ รายต่อไปมากกว่า “เรารักกัน”




4. อีกจุดเด่นของ Let me in คือ ทีมนักแสดงเล่นกันได้กดดันขวัญระทึกดีมาก ซึ่ง แม่หนู Hit girl จาก Kick-ass อาจจะเป็นดาวเด่น แต่ก็ไม่ได้ดีกว่าคนรอบข้างเลย เพราะ Kodi Smit-McPhee จาก The road ก็ไม่ยอมให้โดนข่ม กับ Richard Jenkins ในบท ‘พ่อ’ ที่เศร้า เจ็บปวด และ ชวนขนลุกยามอยู่ใกล้ ที่ผมคิดว่า สื่อความรู้สึกออกมาได้ดีกว่า ต้นฉบับ


5. Let me in จึงเป็นการรีเมค Let the right one in ในส่วนต่างๆที่ คลุมเครือ , เนิบนิ่ง , ชวนเหงาแกมชวนหาว ฯลฯ ให้ออกมา ชัดเจน เห็นภาพมากขึ้น เข้าถึงง่ายกว่าเดิม เข้าใจง่ายกว่าเดิม และ ตื่นเต้นกว่าเดิม
(นอกจากประเด็น ความสัมพันธ์ที่ว่าชัดขึ้น อื่นๆก็เช่น ความรู้สึกที่สื่อออกมาของตัวละคร , ประเด็น bully ในโรงเรียน ฯลฯ)


สรุปได้สั้นๆว่า

Let the right one in ดีกว่า เยือกเย็นกว่า มีประเด็นให้คิดต่อมากกว่า

ส่วน Let Me in ด้อยกว่า(แต่ก็ถือว่า เป็นหนังสยองขวัญที่ดี และ ดีกว่า หนังสยองตามท้องตลาดมากมาย) และ ดูสนุกกว่า ตื่นเต้นกว่า

จึงขอกวักมือชวนแควนๆหนังสยองขวัญไปอุดหนุนกันได้ ยิ่งคนยังไม่เคยดูต้นฉบับ รับรองไม่ผิดหวัง ส่วนแฟนต้นฉบับที่รักแบบเหนียวแน่นในกลิ่นอายเดิมๆ คงต้องทำใจอยู่บ้างกับอารมณ์โฉ่งฉ่างกว่าเดิม แต่ก็ขอออกตัวให้หนังอีกครั้งว่า เป็น การโฉ่งฉ่างแบบมีกึ๋นและรสนิยมพอสมควร



6. ต้นฉบับหนังสือ มีแปลไทยออกมาแล้ว น่าอ่านมาก เสียงวส่วนใหญ่ที่อ่านแล้วยกนิ้วให้ มีจุดต่างและรายละเอียดน่าสนใจเพิ่มขึ้นจากหนังอีก ส่วนตัวแล้วกำลังอ่านอยู่ณ.บัดนาว ผู้สนใจไปตามร้านหนังสือกันได้พลัน
(ตั้งใจว่า อ่านจบ จะเขียนรวมกับ ต้นฉบับหนังเดิมอีกครั้ง ไปลงใน พ็อกเก็ตบุ้ค ปลายปีหน้า)


****


บทความใน Blog ที่อ้างอิงถึง


36 ข้อของ Cloverfield กับผมฯ ( โอ้ มายก๊อด โอ้ มายก๊อด โอ้ มายก๊อด โอ้ มายยยยย แอวะ)
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=20-01-2008&group=14&gblog=63


Kick Ass , 5 ข้อ ที่ขอเชียร์หนังเรื่องนี้
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&group=14&month=18-04-2010&gblog=202


***
***

ขอฝาก หนังสือเล่ม 5 ของ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" จ้า
(วางอยู่ตามร้านหนังสือทั่วไทยแล้ว)










อ่านจบแล้ว ชวนมาคุยกันที่นี่ครับ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=18

และ

ความเห็นของ เพื่อนผู้อ่านที่อ่านจบแล้ว และสละเวลาเขียนถึง

//blogs.lumamagic.com/?p=1957



หนังสือ 4 เล่มก่อนหน้าที่ว่าด้วย 'ภาพยนตร์ - จิตวิทยา - พัฒนาตัวเอง(self - development)' ของ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"








สำหรับเพื่อนๆที่เล่น FaceBook หรือ Twitter ณ.บัดนาว "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ขยายสาขาเรียบร้อยแล้วจ้า






Create Date : 29 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2553 15:54:17 น.
Counter : 5347 Pageviews.

3 comments
  
ยังไม่ได้ดูเลยอ่าครับ ที่พิษณุโลกไม่เข้า ทั้งๆที่มีเมเจอร์ เดียวได้ดูแล้วจะมาเม้นท์ใหม่นะคราฟพี่ ^^
โดย: lawdoonang วันที่: 30 พฤศจิกายน 2553 เวลา:12:36:39 น.
  
ผมชอบหนังต้นฉบับมาก ชอบการวาง mood and tone ที่ทำให้หนังหลอกหลอน เย็นยะเยือก อ้าวว้าง เข้ากับแก่นของเรื่องได้ดีมาก และการกำกับการเปี่ยมด้วยศิลปะภาพยนตร์ ชอบฉากการฆ่าที่สระว่ายน้ำ ที่แทบไม่เห็นและได้ยินอะไรเลย แต่ขนลุก น่ากลัวมากๆๆๆ
ผมซื้อนิยายมาอ่านแล้วครับ 275 บาท อิอิ สนุกครับ และมีประเด็นต่างๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องเซ็กส์ และความรุนแรงที่มากขึ้น มีเรื่องความวิปริตทางเพศที่สยดสยองมากๆ พออ่ายนิยายแล้ว ต้องบอกเลยว่า หนังต้นฉบับดัดแปลง และสร้างนิยายเป็นภาพได้ยอดเยี่ยมมากๆๆๆ
โดย: eli eli IP: 115.87.239.146 วันที่: 3 ธันวาคม 2553 เวลา:21:18:29 น.
  
ขอบคุุณครับ
hptouchpadblackfriday
โดย: aomzon (aomzon ) วันที่: 10 ตุลาคม 2554 เวลา:19:27:39 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aorta.BlogGang.com

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]

บทความทั้งหมด