อิคิงามิ:สาส์น-สั่ง-ตาย, จะทำอะไร ใน 24 ชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต


อิคิงามิ เป็น หนังที่ทำให้ผมเซอร์ไพรส์

... ปกติก็เป็นแฟนประจำตั้งแต่หนังสือการ์ตูนแล้ว ในส่วนต้นฉบับก็สนุกดี แต่ไม่ได้ดีในระดับยอดเยี่ยมกระเทียมดองเหมือน Twentieth Century Boys เนื้อหาในการ์ตูนจะจบเป็นตอนๆไม่ได้ต่อเนื่องกัน โดยแต่ละตอนนั้นก็เน้นให้เห็นถึง ความเป็นมนุษย์ ภายใต้กติกาที่ว่า

ญี่ปุ่นในโลกอนาคต จับเด็กเล็กๆทุกคนมาฉีด นาโนแคปซูล ฝังไว้ ซึ่งมันจะเริ่มทำงานตอนเข้าวัยรุ่น โดยนาโนแคปซูลส่วนหนึ่งจะทำให้เจ้าตัวเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่ง ประชากรทุกคนจะไม่มีใครรู้เลยว่า ตอนเด็กๆที่ได้รับนั้น เป็น นาโนแคปซูล ที่เป็น ยาจริง(ตายตอนโต) หรือ ยาหลอก(ฉีดไปงั้นๆไม่มีผล)

มีองค์กรหนึ่งที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง และ จะมีข้อมูลลับสุดยอดที่รู้ล่วงหน้าว่า วันถัดไป ใครจะตายจากนาโนแคปซูลที่ฉีดไป จากนั้นก็จะให้ เจ้าหน้าที่ไปส่ง อิคิงามิ หรือ สาส์นสั่งตาย เป็นคล้ายๆใบสั่งที่มาบอกล่วงหน้าว่า คุณกำลังจะตายภายใน 24 ชั่วโมง เวลาถัดจากนี้ รัฐให้คุณกินฟรี เที่ยวฟรี เมื่อตายไป ญาติก็จะได้เงินบำรุง แต่ถ้าคุณไปฆ่าใคร เงินบำรุงจะโอนไปให้ญาติคนเสียชีวิต

นโยบายนี้ รัฐ ตั้งขึ้นตามแนวทางของ กฎหมายผดุงความรุ่งเรือง เพื่อต้องการให้ มนุษย์ทุกคนเห็นคุณค่าของชีวิตและจะได้รีดศักยภาพของตัวเองออกมาเต็มที่ ร่วมกับจะได้ช่วยลดจำนวนประชากร

พระเอกของเรื่องทำหน้าที่เป็น คนส่งสาส์น ที่ต้องไปแจ้งข่าวร้ายทุกๆวัน ทำให้มีโอกาสพบเจอผู้คนก่อนที่จะเสียชีวิต และ การ์ตูนแต่ละตอนก็จะสะท้อนความเป็นมนุษย์ของแต่ละตัวบุคคล ว่าเมื่อถึงคราวอับจนหนทาง เมื่อรู้วันตายของตัวเองขึ้นมา พวกเขาจะทำอะไรเป็นสิ่งสุดท้าย




... ตอนอ่านการ์ตูนเล่มแรกๆ ยังไม่ได้รู้สึกชอบมาก เพราะรู้สึกว่า แค่ไอเดียดี แต่ เนื้อหาแต่ละตอนยังไม่น่าสนใจเท่าไหร่ แถมพระเอกก็ดูหน้าตาตายด้านเย็นชาไม่มีพัฒนาการอะไร แต่เล่มหลังๆชักเริ่มติดใจ เพราะคนเขียนเริ่มใส่แง่มุมชวนคิดมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเล่มล่าสุดที่วางแผงบ้านเรา ตอนจบที่เป็นพี่ชายน้องสาว อ่านแล้วถึงกับน้ำตาซึม

มาสู่เวอร์ชั่น หนังใหญ่ ตอนแรกก็นึกว่า จะทำเป็นตอนสั้นๆตอนเดียวจบมายำรวมกันเหมือนในหนังสือ แต่ปรากฏว่า คนเขียนบทฉลาดดัดแปลงได้ดีกว่านั้น เมื่อเขาเลือกตอนเด็ดๆ มา สามตอน แล้วมาผูกเชื่อมโยงกัน ภายใต้พล็อตรองที่เขียนให้ มีกลุ่มคนวางแผนที่จะต่อต้านระบบอิคิงามิ ซึ่งในการ์ตูนยังไม่ไปไกลขนาดนั้น




ที่ว่าเป็นเซอไพรส์ เพราะ ปกติ ผมมักจะผิดหวังเสมอเวลาดูหนังญี่ปุ่นที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูน เช่น Rough ที่ชอบมากๆพอมาเป็นหนังก็ปวกเปียกเหลือทน ล่าสุดอย่าง Twentieth Century Boys รวมไปถึงการ์ตูนชื่อดังอย่าง Death note ก็ดัดแปลงได้ดีแต่ไม่ถึงขั้นประทับใจ ความปลื้มยังไม่ใกล้เคียงต้นฉบับการ์ตูน มีเพียง Nana เรื่องเดียวที่ชื่นชมว่าเข้าท่า

อิคิงามิ ได้คนเขียนบทที่ดี ที่ดัดแปลงเป็นหนังได้เข้าท่า ระดับเดียวกับ Nana




... สามตอนเด็ดๆที่เลือกมา สะท้อนภาพความจริงของคนเรา ทำให้ได้เห็นว่า

เมื่อถึงวาระสุดท้ายของมนุษย์ คนส่วนใหญ่เลือกใช้เวลาเพื่อสะสาง ภารกิจติดค้างใจ (Unfinished business) ที่อยากจะทำแต่ไม่ได้ทำตอนยังมีชีวิต เช่น ไปบอกรักแม่ , ไปสารภาพบาป , กลับไปดูแลคนที่ตัวเองรัก

ซึ่งในขณะตอนมีชีวิต เราอาจไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นได้แต่คิดๆไว้ ซึ่งอาจเป็นเพราะ ความกลัว(ไม่กล้าขอโทษเพื่อน กลัวเพื่อนด่า) ความห่วงเรื่องอื่นมากกว่า(ยังรักตัวเองมากกว่าคนอื่น , เห็นเรื่องงานสำคัญกว่าครอบครัว) ฯลฯ

เรียกได้ว่า ประเด็นนี้น่าจะทำให้คนดูหลายคนดูหนังจบ แล้วต้องกลับมาทบทวนว่า

ถ้าวันดีคืนดีเราได้รับ อิคิงามิ เราจะทำอะไรใน 24 ชั่วโมงสุดท้ายที่เหลืออยู่ ?


และ เมื่อรู้ว่าอยากจะทำอะไร

ทำไมตอนที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้ เราถึงไม่ทำ แต่กลับต้องรอให้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต





... ซึ่งประเด็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตใน อิคิงามิ น่าสนใจตรงที่ว่า มันต่างจากคำกล่าวของหนัง Love actually ที่บอกว่าเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต มนุษย์เลือกที่จะส่งความรักให้แก่กันมากกว่าความเกลียดชัง

แต่ใน อิคิงามิ มองความเป็นมนุษย์ตามความเป็นจริงมากกว่านั้น ว่า เบื้องลึกของมนุษย์ไม่ได้สวยงามเหมือนกันทุกคน เพราะ บางคนที่เก็บกดความรู้สึกโกรธแค้นตลอดมา อาจเลือกใช้วาระสุดท้ายในการชำระความแค้นนั้นก็เป็นได้

เพียงแค่แง่มุมของหนังหากมองให้ลึกขึ้นอีกนิดนึงเราจะพบว่า ถ้าเพียงตอนมีชีวิตเราทำดีต่อกันให้มากขึ้น เราไม่ถ่ายเทความเกลียดชังให้แก่กัน อย่างในหนัง ถ้าตอนเด็กๆเราไม่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า เขาคนนั้นที่โหยหา การยอมรับ จากคนรอบตัว ก็อาจไม่จบชีวิตที่ความแค้นที่มีต่อผู้คน




... ช่วงเวลาสุดท้ายของตัวละครใน อิคิงามิ จึงมีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็น

คนบางคนเลือกใช้ 24 ชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต ขอกลับไปสะสางปัญหาความสัมพันธ์และส่งความฝันของตัวเองและเพื่อนสนิทให้ขึ้นสูงที่สุด เพื่อเป็นที่จดจำก่อนจากไป

คนบางคนเลือกใช้ 24 ชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต ระบายความโกรธ ความน้อยใจ ความอึดอัดคับข้องใจ ที่ไม่เคยได้รับ ความรักที่โหยหามาเกือบทั้งชีวิต

คนบางคนเลือกใช้ 24 ชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต ส่งต่อ ความมีชีวิต ให้กับคนที่ตัวเองรัก เพียงหวังให้เธอนั้นพบโลกที่งดงามหลังจากไม่มีตัวเขาอยู่ข้างๆ




... จากสามตอนที่เลือกมา ตอน ป้ายบอกทาง เป็นตอนที่ทำออกมาแล้วรู้สึกอินมากกว่าอ่านการ์ตูน ส่วนหนึ่งเพราะ ตอนอ่านการ์ตูนไม่ได้มีเสียงเพลงประกอบเหมือนในหนัง ซึ่งเพลงที่หนังเลือกใช้ก็ช่วยขับอารมณ์ของหนังตอนนี้ได้ดีมากๆ ทั้งในแง่ของท่วงทำนองและเนื้อหา

ตอน แม่-ลูก ด้วยเหตุผลที่มีการดัดแปลงรายละเอียดในหนังเล็กน้อย เพื่อปรับให้เข้ากับโครงเรื่องหลักที่สร้างขึ้นมาใหม่ ทำให้ดูแล้วยังไม่รู้สึก แรง เท่าตอนอ่านการ์ตูน ที่บุคลิกของแม่เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับงานและภาพลักษณ์ชนิดเข้าข่ายเจ็บป่วยทางบุคลิกภาพแบบ Narcissitic personality disorder ที่หลงแต่เรื่องของตัวเองอย่างรุนแรง ซึ่งช่วยให้ความกดดันตอนอ่านการ์ตูนมีมากกว่า

ตอน พี่-น้อง ในหนังทำได้ดีทีเดียว แต่ การ์ตูนที่อ่านแล้วซึ้งน้ำตาพรั่งพรูมากกว่า ชอบนักแสดงคู่พี่น้องที่เลือกมาต่างก็เล่นได้ดี ชอบกระบวนการที่วางแผนร่วมกันในโรงพยาบาลมากๆ เป็น การวางแผนที่ทั้งน่ารักและน่าประทับใจในความรักของมนุษย์พึงจะมีให้ต่อกัน




... การวางโครงเรื่องหลักที่ว่าดัวย การต่อต้านระบบอิคิงามิ ของพระเอกกับหัวหน้า ทำให้หนังดูมีเนื้อมีหนังมากขึ้น เป็นการเพิ่มความสำคัญให้กับประเด็น ระบอบเบ็ดเสร็จของผู้มีอำนาจ ที่สร้าง propaganda ชักจูงประชาชนให้คล้อยตามแนวคิดเลิศหรู โดย ประชาชนคิดตรงข้ามได้แต่ห้ามพูด ให้เห็นชัดมากกว่าตอนอ่านการ์ตูน

ซึ่งการที่หนังจบแบบปลายเปิดแบบนี้ มั่นใจได้ว่า เราคงจะได้ดูภาคต่ออันว่าด้วย การต่อต้านระบบ เป็นแน่ ซึ่งน่าสนใจว่าหนังจะนำมาผูกกับ ประเด็น อิคิงามิ ได้อย่างไรอีก


สรุป ... ถือว่าเป็น หนังญี่ปุ่นคุ้มค่าน่าดู ที่รู้สึกเซอร์ไพรส์ไม่ใช่แค่ดัดแปลงได้ดี แต่หนังยังทำซึ้ง แล้วตัวผมเองอินตามมากกว่า Happy birthday ที่ดูวันติดๆกัน แล้วคาดว่าจะซึ้งจะอิน แต่ดันไม่เชื่อตาม เลยไปน้ำตาซึมให้กับ อิคิงามิ แทน

และ ถ้าไปถึงหน้าโรงเกิดเปลี่ยนใจ ก็ยังมี The Orphanage หนังผีชั้นดีจากสเปนฉายโรงข้างๆซึ่งรับประกันได้ว่า คอหนังผี ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนกับหนังผีชั้นดีบทดีเรื่องนี้ เรียกได้ว่า ช่วงนี้ไปสยาม-สกาล่า ถือว่าคุ้มเกินคุ้ม มีหนังดีๆดูสนุกให้ดูกันสองเรื่องติดเลยทีเดียว




Link ของ บทความที่อ้างอิงถึง และ เกี่ยวข้อง

Twentieth Century Boys , ลึกลับ ย้อกย้อน ซ่อนเงื่อน 'เพื่อน' ทรยศ + คนใจคดแอบตัดหนังเอง

Rough , จาก H2 มาสู่ Touch และได้เวลา Rough

Nana , โลกของนานะ โลกของความรัก ความฝัน และ มิตรภาพ

Death Note , สมุดเล่มนี้ ดี จริงหรือ?

Death Note 2: The Last Name , ได้เวลาเก็บสมุดคืนเจ้าของ

Happy Birthday , มุมมองของคนคิดมากและไม่อิน






สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนัง ได้ที่ //vreview.yarisme.com




พื้นที่แนะนำผลงาน{ตัวเอง}

(คลิกที่รูปหนังสือ เพื่อ อ่าน หรือ แสดงความเห็น ต่อหนังสือแต่ละเล่มได้เลยครับ)

ปีนี้ “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” ขอฝากผลงานเล่มล่าสุดที่เพิ่งคลอดจ้า อันว่าด้วย 'ความรักและกำลังใจ' ผ่านแรงบันดาลใจจากชีวิตและภาพยนตร์ ในหนังสือที่ชื่อว่า

เมื่อฉันลืมตา แล้วโลกเปลี่ยนไป



และ ผลงานสองเล่มก่อน จากสองปีที่ผ่านมา



"หนังสือรัก" หนังสือที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม กับ องศาที่ 361 หนังสือที่อาสาช่วยคุณค้นหามุมเล็กๆในตัวเองที่จะมีความสุขในชีวิตได้มากขึ้น โดยอาศัย'หนัง'เป็นสะพานพาไปเข้าใจตัวเอง


มีขายตามร้านหนังสือทั่วไป แต่ เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ "หนังสือรัก"เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php ส่วน องศาที่ 361 สั่งได้จากเว็บของซีเอ็ดครับผม






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก

พูดคุยกับเจ้าของ Blog คลิก

เปิดหารายชื่อหนังเก่าๆนอกเหนือจากในหน้าสารบัญ คลิก





ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป


Create Date : 23 ธันวาคม 2551
Last Update : 23 ธันวาคม 2551 11:31:06 น.
Counter : 4996 Pageviews.

14 comments
  
ขอบคุณนะคะที่มาแนะนำหนังน่าชม
อยากอ่านการ์ตูนด้วย เนื้อหาน่าสนใจมากๆ

ว่าแล้วขอออกไปหามาดูก่อนนะคะ
โดย: กล้วยหอมรสนม วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:11:49:51 น.
  
คนเขียนบทก็คือคนเขียนการ์ตูนเรื่องนี้ด้วยน่ะครับ
โดย: runtboy IP: 58.8.111.185 วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:12:41:17 น.
  
ดูแล้วน้ำตาซึมไปเหมือนกัน
แต่แบบตอน ป้ายบอกทาง ที่อินที่สุด
อาจจะเพราะว่า เหมือนการ์ตูนที่ทำเป็นตอนๆไป
แต่ช่วงสองเรื่องหนึ่งเหมือนเอามารวมกัน
แล้วไคลแมกซ์ทีเดียว
แต่พี่น้องก็ทำน้ำตาซึมเหมือนกัน :(
โดย: doxdoxchan IP: 58.9.100.39 วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:16:50:09 น.
  
ขอบคุณที่ comment ให้อ่านครับ น่าสนใจมาก แต่คงไม่มีให้ดูที่ ตจว. T_T
โดย: gonz IP: 118.173.51.153 วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:18:37:45 น.
  
แวะมาอ่านแล้วนะ จอชอบเรื่องนี้จังเลยงะ
โดย: จอ IP: 202.28.179.4 วันที่: 23 ธันวาคม 2551 เวลา:21:24:54 น.
  
เป็นการ์ตูนที่ชอบ และเป็นหนังที่อยากดู ขอบคุณที่ช่วยให้ตัดสินใจไปดูได้อย่างมั่นใจขึ้นค่า
โดย: นะโอ IP: 58.9.142.130 วันที่: 24 ธันวาคม 2551 เวลา:16:40:13 น.
  
แวะเวียนเข้ามาอ่านก่อนหาโอกาสไปดูค่ะ ติดใจตั้งแต่เป็นการ์ตูน พอมาอ่านแบบนี้แล้วยิ่งอยากไปดู ขอบคุณนะคะ ^^
โดย: mae-lilly IP: 124.121.120.192 วันที่: 24 ธันวาคม 2551 เวลา:23:42:54 น.
  
+ ผมเพิ่งได้ดูมาเมื่อวันก่อนครับ ... ถึงจะเมโลดราม่าไปนิด แต่เค้าก็ทำออกมาซึ้งดีทีเดียวเนาะครับ (เพิ่งเอาลงยาริสไปหมาดๆ เลยอ่ะเนี่ย)
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 25 ธันวาคม 2551 เวลา:23:14:54 น.
  
ขอบคุณสำหรับบทวิจารณ์ดีๆ ครับ
ฝาก "อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย" ฉบับหนังสือการ์ตูนไว้ในอ้อมอกต่อด้วยนะครับ
เล่ม 4 น่าจะออกเดือนหน้า
TKO Comics
--
Oakyman's Blog
โดย: Oakyman วันที่: 26 ธันวาคม 2551 เวลา:14:12:01 น.
  
ชอบการ์ตูนเรื่องนี้มากค่ะ
ในการ์ตูนตอนที่ทำน้ำตาซึมนี่
ก็ตอน"สละชีพเพื่อชาติ" กับตอนของนักร้องที่เป็นเพื่อนกันนี่แหละคะ

อยากไปดูภาพยนตร์มากเลยคะ
แต่ไม่รู้ว่าออกจากโรงไปหรือยัง
เพราะติดสอบ
ฮือๆ
โดย: sally IP: 124.120.26.11 วันที่: 26 ธันวาคม 2551 เวลา:22:47:46 น.
  
วันนี้ไปดูมาเรียบร้อยแล้วครับ

บ่อน้ำตาแตกเต็มๆตอนที่ฟังเพลงป้ายบอกทาง หนังทำใ ห้เรารู้สึกร่วมกว่าตอนอ่านหนังสือการ์ตูนเยอะเลย เป็นตอนที่ชอบมากที่สุดใน 3 ตอน

ตอนแม่-ลูกสำหรับผมก็รู้สึกเหมือนกันนะครับ ว่ามันไม่ค่อยกดดันเท่าตอนอ่านหนังสือสักเท่าไหร่ (แอบสงสัยว่าทำไมตำรวจถึงยิงลูก ทั้งๆที่เค้าลดปืนลงแล้ว = =")

สำหรับเรื่องพี่-น้องนั้น ทำเอาน้ำตาซึมได้เหมือนกันครับ แต่ในหนังน่าจะใส่รายละเอียดของตอนที่คนในโรงพยาบาลโกหกเรื่องเวลาให้มากกว่านี้สักหน่อย ซึ่งถ้าเพิ่มส่วนนี้เข้าไปมันน่าจะดึงอารมณ์ร่วมของผู้ชมให้ได้มากกว่านี้

โดยรวมรู้สึกพอใจกับหนังเรื่องนี้มากครับ ทั้งที่อ่านหนังสือมาแล้วก็ไม่ได้ทำให้ได้อรรถรสน้อยลงแต่อย่างใด คิดว่าอนาคตต้องมีภาคต่อออกมาแน่ๆ (ว่าแล้วก็ไปเอาหนังสือมานั่งอ่านอีกรอบดีกว่าเรา ^o^)
โดย: ืnovel IP: 58.136.29.156 วันที่: 29 ธันวาคม 2551 เวลา:0:19:43 น.
  
I very like and love this movie ka'.
I have never read the cartoon and i don't know this movie before i will see the movie but i think that it is very good.
โดย: Rkihgami IP: 203.144.130.176 วันที่: 29 ธันวาคม 2551 เวลา:16:49:30 น.
  
อ่านแล้วอยากไปซื้อทั้งการ์ตูนและไปดูในโรงขึ้นมาทันทีเลยค่ะ

แต่ขอค้านนิดนึงเรื่อง Nana ค่ะ
เพราะเราเป็นแฟนการ์ตูนนานะอยู่ค่ะ
เราว่าในหนังไม่สนุกเท่าการ์ตูนค่ะ
ยิ่งเจ้าฮาจิ(โกะ) หูกางไปหน่อย
ไม่สวยเหมือนในการ์ตูนเลย ผิดหวังมากๆๆค่ะ

โดย: jigglypuff IP: 205.172.16.70 วันที่: 1 มกราคม 2552 เวลา:13:14:02 น.
  
เขียนได้ดีจริงๆค่ะ

ส่วนตัวไปดูเรื่องนี้แล้ว สารภาพว่าร้องไห้เกือบทั้งเรื่องเลย

เป็นหนังในรอบปีที่คิดว่าคุ้มกับเงินที่เสียไปจริงๆ

ปล. เพลงป้ายบอกทางเพราะมากกกกก
โดย: jolika IP: 58.64.86.223 วันที่: 13 มกราคม 2552 เวลา:14:17:46 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aorta.BlogGang.com

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]

บทความทั้งหมด