ออสการ์ กับ หนังที่ 'หนัก แมน แรง ชั่ว' (1) , No Country for Old Men




... Llewelyn Moss ช่างเชื่อมอดีตทหารผ่านศึก ไปพบเงินสองล้านเหรียญในกระเป๋าที่อยู่ท่ามกลางศพจำนวนมากกลางทะเลทราย มีหนึ่งคนกำลังจะตายแต่ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ Moss จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาหยิบกระเป๋าใบนั้นกลับเข้ามาบ้าน ทิ้งชายที่กำลังจะตายนอนพะงาบๆบนรถ

แต่เมื่อความรู้สึกผิดเกิดขึ้นกลางดึก เขาตัดสินใจย้อนกลับเอาน้ำไปให้ชายคนนั้น หวังช่วยชีวิต และ เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตของเขาที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่มีวันหวนคืน จากฝีมือชายชื่อ Anton Chigurh

Chigurh เปิดตัวเองให้คนดูรู้จักด้วยการสังหารนายตำรวจอย่างเลือดเย็นและเล่นที่อัดลมยิงทะลุหน้าผากคนข้างทาง แล้วแวะเล่นทอยเหรียญแสดงความกวนประสาทพร้อมประกาศหลักการบ้าๆบอๆที่เขายึดถือ หน้าที่ของเขาคือการตามล่า Moss และ เอาเงินคืน

ถึงจะเป็นเรื่องราวหลักๆของ Moss กับ Chigurh แต่คนที่มีบทบาทสำคัญที่สุดที่ทำหน้าที่เปิดเรื่อง ปิดเรื่อง และ เป็นชื่อหนัง คือ นายอำเภอวัยดึก Ed Tom Bell ผู้ใกล้โรยรากับไฟที่มอดดับจนไม่คิดเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหามากมาย คอยครุ่นคิดว่าตัวเองกำลังจะหมดอายุในยุคสมัยที่วิ่งไวจนเขาตามไม่ทัน



...พล็อตไล่ล่าระหว่าง Moss กับ Chigurh อาจจะดูเหมือนเป็น เนื้อหาหลัก ของหนัง แต่ หากดูหนังจนจบ เราจะพบว่า ใจความหลักของคู่นี้ เป็นเพียงแค่ ซับเซ็ตหนึ่งหรือองค์ประกอบหนึ่งในโลกของ Bell และ เป็นปัจจัยขับเคลื่อนการตัดสินใจในชีวิตของชายชราคนนี้

หากจับแยกชิ้นส่วนโครงสร้างของตัวหนัง มีพล็อตสำคัญๆหลักอยู่สองส่วน

1.การไล่ล่าของความชั่วร้ายกับชายผู้ข้ามเส้นสีเทา

2.ความพ่ายแพ้แก่ยุคสมัยของชายชรา


Spoilers Alert เนื้อความถัดจากนี้ เฉลยตอนจบและจุดสำคัญในหนัง





...หนังแสดงให้เห็นว่า โลกของ Moss กับ Chigurh เป็นโลกที่หมุนไปพร้อมๆกับ โลกของ Bell จะต่างกันก็ตรงที่โลกทั้งสองไม่เคยมาบรรจบกันตอนที่พวกเขามีชีวิต (ตัวละครไม่เคยมาเจอกันเลย) และ โลกของ Bell ก็ดูจะหมุนช้ากว่าเสมอ

Bell พยายามวิ่งไล่ตาม Moss กับ Chigurh แต่ยิ่งวิ่งก็ยิ่งพบว่า เขาแก่เกินจะไล่ตามความเลวร้ายได้ทัน ครั้งเดียวที่ Bell พบ Moss ก็ตอนที่ Moss เป็นศพ ส่วน โอกาสเดียวที่ Bell กับ Chigurh เฉียดใกล้กันที่สุด หนังก็ยังทำเก๋ที่ไม่บอกว่าแท้จริงเป็นยังไง

คนสามคนนี้มีโอกาสใช้ชีวิตซ้อนทับกันแค่ครั้งเดียว คือ ได้นั่งโซฟาตัวเดียวกันหน้าโทรทัศน์ที่บ้านของ Moss แต่กระนั้น มันก็เป็นคนละช่วงเวลา และ คนที่ช้าที่สุดมาเป็นคนสุดท้ายที่นั่งมองเห็นเงาตัวเองตรงหน้าก็คือ Bell


... นอกจากโครงเรื่องที่มีสองส่วน เมื่อหันมาพิจารณาการออกแบบตัวละครสำคัญสี่ตัว เราก็จะพบการออกแบบคาแรคเตอร์ให้มีความสุดขั้วในตัวเอง


Carla Jean ตัวละครสีขาว บริสุทธิ์ใสซื่อคิดดีทำดี ราวกับ นางฟ้า เหมือนเป็น ตัวแทนของความดีงาม(Goodness)



กับ




Anton Chigurh ตัวละครสีดำ ไร้เมตตาไร้ความเห็นใจมากับความตาย ราวกับ ปีศาจ เหมือนเป็น ตัวแทนของความชั่วร้าย(Evil)


...ฉากที่ทั้งสองคนประจันหน้ากัน มีความแตกต่างกันชัดเจนระหว่างสีขาวกับสีดำ สีขาวพยายามโน้มน้าวให้สีดำกลับตัวกลับใจ ส่วน สีดำก็พยายามที่จะให้สีขาวหันหน้ามาเล่นเกมส์เดียวกันกับตัวเอง(การทอยเหรียญ)

หนังฉลาดอย่างยิ่งที่ไม่บอกว่าสุดท้ายแล้ว ใครเป็นผู้ชนะ ไม่มีเสียงปืน ไม่มีบทสรุป

ไม่เหมือนกับสองตัวละครถัดมา (Moss + Bell) ที่หนังให้เห็นบทสรุปชัดเจน พวกเขาเป็นส่วนผสมของขาวกับดำใกล้เคียงคนธรรมดาอย่างเราๆมากที่สุด คือ มีทั้งความดีและความชั่ว มีทั้งความเข้มแข็งและอ่อนแอในตัวเอง

... Moss บุรุษที่ยืนอยู่ระหว่าง สีดำ(ความโลภที่จะครอบครองเงิน) และ สีขาว(ความเมตตาสงสารเห็นใจ) แต่เมื่อเขาตัดสินใจที่จะก้าวข้ามเส้นแบ่งตรงกลาง เลือกที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับสีดำ แน่นอนว่า Chigurh ตัวแทนของความชั่วร้าย ย่อมไม่ปล่อยให้มนุษย์ที่เลอะเปรอะเปื้อนได้แก้ตัว

...ส่วน Bell ก็เป็นอีกตัวละครที่ดูจะไม่ใส่ใจจริงจังในตอนแรกกับปัญหา ต้องมายืนอยู่ตรงกลาง ระหว่างการกัดฟันสู้เพื่อรักษาซึ่งเกียรติของนายอำเภอที่ครอบครัวยึดถือมาสามชั่วคน หรือ ยอมรับว่ายุคสมัยของตัวเองสิ้นสุดลงแล้ว

...คนดูหนังอาจคิดว่า มาดพระเอกแบบนี้ มาดนายอำเภอแบบนี้ ตอนจบเราจะได้เห็น Moss ไล่ล่าเอาคืน หรือไม่ก็ นายอำเภอเอาชนะภาวะอ่อนแอในตัวเองและจับตัวร้ายได้ในท้ายที่สุด

แต่อนิจจา ชีวิตจริงมิใช่ นิยาย และ สองตัวละครนี้ก็เป็นตัวละครที่ถูกกำหนดให้เป็นคนธรรมดาที่สุดในหนัง และ โคเอน ก็เก๋าเกินกว่าที่จะทำให้หนังตัวเองเป็นสูตรสำเร็จ

ตัวละครที่เหมือนคนจริงที่สุด จึงต้องประสบชะตากรรมเหมือนชีวิตจริงมากที่สุด

...Moss จะเก่งแค่ไหน วางมาดเหมือนจะเอาคืนเสียให้ได้ แต่สุดท้ายก็ตายเงียบๆแบบไม่รู้ตัว เมื่อมนุษย์ยื่นมือไปยุ่งเกี่ยวกับ ความชั่วร้าย(ความโลภ / Chigurh) แน่นอนว่า ความชั่วร้าย ย่อมกัดกินมนุษย์ที่ไปข้องแวะไม่ต่างจากเชื้อโรค

เหมือนที่ตัวละครตัวหนึ่งเอ่ยถึง ว่า มัน(ความชั่วร้าย / Chigurh )เลวร้ายยิ่งกว่ากาฬโรค นั่นคงจะหมายถึง ถ้าไปสัมผัสก็หยุดยั้งไม่ได้และไม่มียารักษา เห็นได้จาก Chigurh ไม่ได้หยุดแค่การตายของ Moss แต่มันยังมีกฎบ้าๆบอๆที่ตามไปหาภรรยาของเขาด้วย

และ ก็เป็นเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่ไปเวียนแวะข้องเกี่ยวกับ Chigurh ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ ความชั่วร้าย(evil) ดังนั้น คนที่มาตามล่าทวงเงิน , คนที่ว่าจ้าง หรือ แม้แต่เด็กหนุ่มสองคนในตอนท้าย สุดท้ายหากไม่ตาย ก็ย่อมไม่ลงเอยด้วยดี


...ในส่วนของ Bell ที่แม้จะมุ่งมั่นกลับมาเอาจริงไล่ล่าอย่างไร สุดท้ายก็ต้องเดินตามหลังเหตุร้ายเสมอ และไม่ทันช่วยเหลือใครได้จริงๆ เขาต้องยอมรับความจริงว่ายุคสมัยมันล่วงเลยไปเกินวัยของเขาในปัจจุบัน แ

ความฝัน ที่เขาเอ่ยถึงขึ้นมาในตอนท้ายเรื่องเกี่ยวกับ พ่อซึ่งเป็นนายอำเภอรอเขาอยู่ในความมืดพร้อมแสงไฟ อาจมีความหมายถึง ความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดีพอ ไม่สามารถช่วยเหลือทั้ง moss และภรรยา ไม่สามารถรักษาเกียรติภูมิครอบครัว และ กำลังรอความช่วยเหลือและให้อภัย

แต่น่าเศร้า ที่เขาอาศัยอยู่ในความจริง นั่นทำให้ เขาจึงต้องตื่นขึ้นมาพร้อมๆกับที่หนังปิดฉากลง





... ทันทีที่หนังจบ ความคิดของผมเหมือนถูกรบกวนอย่างรุนแรง และ อยากเสนอว่าใครที่ดูจบแล้วหงุดหงิดกับหนังเรื่องนี้ พาลคิดไปว่า "ดีขนาดเข้าชิงตรงไหนฟระ แคหนังคนไล่ล่ากันแล้วตัดจบแบบดื้อๆ" (เหมือนกับผม)

โปรดทิ้งช่วงสักพัก เมื่อคลายความหงุดหงิดลง แล้ว กลับไปคิดถึงหนังเรื่องนี้อีกครั้ง เราจะพบว่า ความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจาก หนังห่วย แต่ มันเกิดจากความเผลอเข้าใจผิดของเราเองที่คิดว่า พล็อตหลักจะเป็นเรื่องของการไล่ล่า แต่กลับปิดท้ายที่ตัวชายชรากับบทสนทนาที่เราไม่ทันตั้งตัว เพราะเรามัวแต่ไปจดจ่อกับเรื่องของ Moss กับ Chigurh โดยไม่ทันเอะใจว่า ชื่อหนังก็บอกไว้แล้วว่าเป็นเรื่องของใคร

...ผู้กำกับตั้งใจที่จะไม่ทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามสูตร และ ทิ้งให้ตัวละครมีชีวิตต่อไปในจินตนาการของคนดู เพียงแค่ ชะตากรรมมันหดหู่จนเกินกว่าเราจะรับได้

การฆ่าตัวละครสำคัญตั้งแต่ 2/3 ของเรื่อง แถมยังฆ่าแบบไม่ใยดี เป็นจุดเริ่มต้นของการเล่าเรื่องที่รบกวนความรู้สึกคนดูเป็นอย่างยิ่ง แต่มันจะช่วยตอกย้ำให้คนดูชัดๆว่านี่ไม่ใช่หนังแอคชั่นไล่ล่าแบบ Bourne trilogy และ สิ่งที่หนังต้องการนำเสนอตามชื่อเรื่องใช่ประเด็นของการไล่ล่ากัน

มิหนำซ้ำยังเป็นการเตือนว่า เราทุกคนกำลังนั่งดู หนังของโคเอน หนังที่ไม่ได้มีสูตรสำเร็จและหนังที่มีลายเซ็นเฉพาะตัว


...เรายังเห็นอารมณ์ขันร้ายๆ ความรุนแรงไม่ยั้ง กับ บทสนทนาที่ดูเหมือนว่าจะพูดไปเรื่อยๆเปื่อยๆ ตามสไตล์หนังของโคเอน

ซึ่งที่ผ่านมา ผมไม่ใช่แฟนหนังของพี่น้องโคเอน และ หนังโคเอนที่ว่าดีหนักหนาอย่าง Fargo ก็ไม่เข้าทางชอบของผม โดยเฉพาะเรื่องหลังสุดที่ผมได้ดูอย่าง Lady Killer ก็รู้สึกว่าน่าผิดหวังเสียเหลือเกิน แต่เรื่องนี้ดูเหมือนว่า โคเอนจะยังคงรักษาสไตล์ของตัวเองแต่ปรับเข้าหาคนดูส่วนใหญ่ได้มากขึ้น แถมยังเก๋าขึ้นหนักแน่นมากขึ้น ต่างจากเรื่องเก่าๆที่มีความเฉพาะตัวในสไตล์ของตัวเองสูง ถ้าคนรักก็จะรัก แต่คนที่ไม่รักก็จะไม่เก็ทสิ่งที่เขาต้องการเสนอ

...ที่ต้องยกย่องพี่น้องโคเอนมากๆของหนังเรื่องนี้อีกส่วนหนึ่ง คือ การดัดแปลงบทภาพยนตร์จากนิยายต้นฉบับ

เพราะหลังจากที่ผมไปยืนอ่านต้นฉบับนิยายอยู่ในร้าน asia book แล้วซื้อกลับมาอ่านต่อเพราะความอยากรู้ว่าหนังจบเหมือนนิยายหรือไม่ ก็พบว่า หนังเรื่องนี้คือตัวอย่างของการดัดแปลงชั้นดี ที่ยังคงความเป็นต้นฉบับและปรับให้เข้ากับสไตล์ของตัวผู้กำกับเอง แล้วนำเสนอออกมาให้อะไรคนดูมากกว่าอ่านนิยาย

เมื่อเปิดอ่านงานต้นฉบับของ Cormac McCarthy จะพบว่า การเปิดเรื่องและปิดเรื่องของหนังถอดแบบจากหนังสือมาได้ครบ ตามบทบรรยายของนายอำเภอชนิดคำต่อคำ จะต่างกันก็ตรงหนังย่นย่อให้สั้นลง โดยตัวบทบรรยายของนายอำเภอ bell นั้นมีสอดแทรกในหน้ากระดาษเป็นระยะๆและยาว

หลายๆบทสนทนาในหนังก็ถอดคำพูดมาจากตัวหนังสือ แต่ก็ใช่ว่า หนังจะลอกหน้ากระดาษออกมาแบบซีร็อกส์ตัวต่อตัวอักษร การดัดแปลงที่หนังทำต่างจากนิยายในหลายๆจุดถือว่า ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ามีอะไรให้คิดให้ตีความได้มากกว่า (เช่นตอนที่ Chigurh ไปพบกับ Carla ในตัวนิยายนั้น ระบุชัดเจนเลยว่าเธอเลือกหัวหรือก้อย และ เหตุการณ์นั้นสิ้นสุดลงเอยอย่างไร)


...ในส่วนที่หนังดำเนินเรื่องเหมือนกับตัวนิยาย หนังก็ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ชัดเจนและแม่นยำ ด้วยวิธีการที่หนังโชว์ฉากรุนแรงชัดๆแค่ไม่กี่ฉาก แต่ สามารถคุมบรรยากาศหนังได้อยู่หมัด ผ่านวิธีเล่าเรื่องแบบ “ไม่เล่า” รายละเอียด ทำให้ จินตนาการคนดูทำหน้าที่เล่าในสิ่งที่หนังไม่ฉายออกมาให้เห็นได้อย่างทรงพลัง

เช่น เราจะไม่เห็นฉากฆ่ากันตายของแก๊งค์ค้ายาตอนต้น เราเห็นแค่ศพนอนกลาดเกลื่อน , เราไม่เห็น ฉากฆ่ากันที่โรงแรมตอนท้าย เราเห็นแค่รถที่วิ่งออกมาอย่างวุ่นวายและศพนอนตายแล้ว , เราไม่เห็น ผลลัพธ์ของ Chigurh กับ Carla

แต่สมองของเราจะประมวลภาพออกมาได้เองและอาจจะกระทบความรู้สึกได้มากกว่าเห็นการฆ่ากันแบบจะๆแจ้งๆเสียด้วยซ้ำ


...งานถ่ายภาพทะเลทรายและทุ่งกว้าง ดูงดงามเปล่าเปลี่ยวชวนให้คิดถึงภาพใน Brokeback mountain แต่เป็น Brokeback คาวเลือดที่เข้ากับตัวหนัง ความรุนแรงยังคงกระหน่ำได้หนักหน่วง เป็นการถ่ายภาพความรุนแรงออกมาได้ดิบและงดงาม

บรรยากาศช่วงไล่ล่ากันนั้น หนังทำได้อย่างสุดยอด ตั้งแต่ปูพรมทำให้คนดูต้องกลั้นหายใจลุ้นไปกับตัวละคร โดยไม่รีบร้อนให้สองตัวละครมาเผชิญหน้ากัน เป็นการสร้างบรรยากาศที่ให้อารมณ์เดียวกับเหมือนตอนที่มีคนบรรยายเวลาดูหนังของฮิตช์ค็อคว่า เหมือนเราเห็นระเบิดอยู่ตรงหน้าและรู้ว่าระเบิดแน่ๆ แต่ความตึงเครียดของคนดูอยู่ตรงการลุ้นว่าระเบิดจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เท่านั้นเอง



...Javier Bardem มอบการแสดงที่เรียกได้ว่าขึ้นหิ้ง ไม่ใช่แค่ว่า ต้องได้ ออสการ์ เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นบทบาทสำคัญที่จะทำให้เขาได้รับการกล่าวขานไปอีกนานในบทมือสังหารโรคจิต จะเป็นที่ติดตาติดในหัวคนดูไม่แพ้ภาพ ฮานนิบาล เล็คเตอร์ ที่แค่จ้องหน้าก็พาให้ขนลุกเกรียวได้แล้ว (โปรดจำไว้เลยว่า หน้าตาแบบนี้อย่าพาเข้าบ้านเด็ดขาด ) ฉากที่ดีที่สุดของเขาคือ ฉากทอยเหรียญกับพ่อค้าของชำ และ ฉากประจันหน้ากับเหยื่อทั้งหลาย

... น่าจับตามองเหลือเกินสำหรับเวทีออสการ์ปีนี้ เพราะ คู่แข่งแต่ละคนบนเวทีภาพยนตร์ยอดเยี่ยมล้วนมีความคล้ายคลึงกันตรงที่ว่าทั้ง Atonement , Michael Clayton , There will be blood และ No Country for Old Men ต่างก็เล่นกันตรงประเด็น ความชั่วร้ายในก้นบึ้งหัวใจมนุษย์ที่ถูกขุดออกมาประจาน จะต่างก็ตรงลูกเล่นและสไตล์ของหนัง ซึ่งสองเรื่องหลังจูงมือมาแบบ หนักแน่น + แมนๆ และรุนแรงกันแบบไม่หยุดหย่อนเลยทีเดียว



สรุป ... ดูตัวอย่างหนังเห็น ‘เกมส์ไล่ล่าของคนสองคน’ ยังนึกไม่ถึงว่ามันจะเกี่ยวกับชื่อหนัง No Country for Old Men ได้อย่างไร แต่เมื่อหนังจบลง ก็เข้าใจได้ในทันทีว่า ‘เกมส์ไล่ล่าของคนสองคน’ เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งในโลกของนายอำเภอวัยชรา ที่ถูกพี่น้องโคเอน นำเสนอออกมาอย่างมีชั้นเชิง ทั้งเก๋าและหนักแน่น จนทำให้หนังเรื่องนี้เป็นได้มากกว่า หนังแอคชั่นทริลเลอร์เกรดเอที่ให้แค่ความบันเทิงแบบจบแล้วจบกัน

ทุกองค์ประกอบของหนังเรื่องนี้ล้วนสมบูรณ์แบบ และ ติดตรึงในความทรงจำ ไม่ว่าจะเป็น ฉากไล่ล่าซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้กำกับคุมอารมณ์คนดูได้อยู่หมัดจนแทบจะหยุดหายใจ , การกำกับภาพที่ถ่ายทอดความรุนแรงได้ดิบแต่งดงาม , วิธีการเล่าเรื่องแบบ ‘ไม่เล่า’ ทิ้งให้จินตนาการคนดูทำงานทดแทนก็ได้ผล และ การแสดงของ Javier Bardem ก็ส่งให้บทบาท วายร้ายที่น่าสะพรึง คนนี้ขึ้นหิ้งไปอีกนานแสนนาน

หากเทียบ Atonement ว่ามันกัดกินหัวใจและถ่ายทอดด้วยการโชว์เทคนิคมากมายอย่างน่าตื่นตาตื่นใจด้วยฝีมือคนรุ่นใหม่ไฟแรง No country for old men ก็ปั่นป่วนความคิดและค่อยๆทำให้ความรู้สึกหดหู่ดำดิ่งลงผ่านการนำเสนอของคนรุ่นเก่าที่เน้นการโชว์เหมือนกัน เพียงแค่ไม่ได้ใช้ความแพรวพราว แต่เน้นความเก๋าและเข้าเป้าหนักแน่นแม่นยำ

ดังนั้น ถึงผมจะรัก Atonement มากมายแค่ไหน ก็ไม่กังขาแม้แต่น้อยหากรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จะไปอยู่ในมือของ คนชราที่ไม่มีแผ่นดินอยู่ คนนี้




Link บทความที่อ้างอิงถึงจากใน blog

ออสการ์ กับ หนังที่ 'หนัก แมน แรง ชั่ว' (2) , There will be blood

ขอสวมหน้าม้ามาอาสาเชียร์ >> Atonement << หนังดีๆที่แพรวพราวและงดงาม

Michael Clayton , ชีวิตของทนายภารโรง

Brokeback Mountain , รักซ่อนเร้น



แจ้งข่าวจ้า : องศาที่ 361 คลอดอย่างเป็นทางการแล้ววววว




อ่านเบื้องหลัง ที่มาที่ไป ไขเบื้องหลังของหนังสือ คลิกได้ที่นี่เลยครับ

เบื้องหลัง 'องศาที่ 361' - พ็อกเก็ตบุ้คเล่มที่ 2 ของ “ผมอยู่ข้างหลังคุณ”

อ่านจบเมื่อใด ขอเชิญชวนมาพูดคุยแสดงความเห็นเกี่ยวกับหนังสือ คลิกที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยครับ

อ่านแล้วมาคุยกัน ... "องศาที่ 361


ขอฝาก"หนังสือรัก" พ็อกเก็ตบุ้คที่ไม่ใช่ หนังสือวิจารณ์หนัง แต่เป็นการหยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม



เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ "หนังสือรัก"เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php ส่วน องศาที่ 361 สั่งได้จากเว็บของซีเอ็ดครับผม






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง





ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป


Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2551 0:58:56 น.
Counter : 13706 Pageviews.

43 comments
  
เคยเห็นตัวอย่างหนังตอนไปดูหนังเรื่องหนึ่งค่ะ
ตอนนั้นคิดว่า ดูเป็นหนังดิบ ๆ โหด ๆ อยู่สักหน่อย
คิดว่าเป็นหนังไล่ล่าธรรมดา
แต่พอได้มาอ่านรีวิวแล้ว...
คิดว่า...มีอะไรซ่อนอยู่ในหนังเยอะเหมือนกันเนอะ
ปล.คิดว่าคงไม่ดู ก็เลยอ่าน spoil ไปแล้วค่ะ...
โดย: Almondblist วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:10:45 น.
  
เจ้าของ Blog ช่วยบอกทีครับว่า หนังเรื่องนี้ดูแล้ว ยากต่อการทำความเข้าใจหรือเปล่าครับ????

เพราะถ้าดูยาก คงจะชวนแฟนไปดูเรื่องอื่นแทน....
โดย: YoiChi_KinG IP: 125.24.154.251 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:39:20 น.
  
ขอบคุณมากครับสำหรับบทวิจารณ์ มีหลายประเด็นที่ผมดูหนังแล้วไม่เข้าใจ จนมาอ่านบทวิจารณ์นี้แหละครับ
โดย: shachou IP: 161.200.255.162 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:12:16:36 น.
  
ผมกลับคิดว่า...นายอำเภอเป็นคนฆ่าMossกับแม่ยายครับ สังเกตุจากChigurhมานั่งเฝ้าที่หน้าประตูเพื่อรออะไรสักอย่างทั้งๆที่น่าจะไปนานแล้ว
โดย: p IP: 58.8.47.92 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:20:14 น.
  
ขออนุญาตแก้ไขนิดนึงเรื่อง Carla
ในหนังแสดงให้เห็นถึงจุดจบของเธอนะครับ สังเกตได้ว่าตอนที่ Anton เดินออกมาที่หน้าบ้านแล้ว เค้ายกรองเท้าขึ้นมาดูว่าเปื้อนอะไรหรือเปล่า (เลือด) ซึ่งเป็นพฤติกรรมเดียวกับตอนที่เขายกเท้าหนีเลือดที่กำลังไหลมาทางเขาตอนที่คุยโทรศัพท์หลังจากที่ฆ่ามือปืนอีกคนที่มาตามหา Moss ครับ
โดย: เพชรปู IP: 67.159.50.90 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:39:37 น.
  
อึ้งกับหนังเรื่องนี้ครับ ดูรอบแรก งง กับประเด็นที่นำเสนอ ไม่อินกับดราม่า เเละประเด็นที่นำเสนอ รวมทั้งบทสรุป เหมือนที่เคยเกิดกับbrokeback แต่พอมาอ่านจากกการวิจารณ์หลายๆๆเล่ม ถึงบางอ้อครับ ที่คิดว่าตัวเองเจ๋ง อ่ะ อาจจะยังไม่พอกับการตีความหนัง ดูอีกรอบถึงเข้าถึงประเด็นจริงๆที่หนังนำเสนอ รอบแรกมัวแต่อึ้ง กับการกระทำตัวละคร หนังดีทุกอย่างยกเว้นบทสรุปที่ คิดไม่ทัน แต่กลับมาบ้านติดตา ติดใจอึ้งตามมาตลอด ผมชอบดราม่าในหนัง fargo มากกกว่าน่ะ เพราะดูแล้วอิ่มเอมกับเมียท้องแก่ที่ให้เกีรติสามีที่ดูเหมือนไม่ประสบความสำเร็จและอึ้ง สลดใจพร้อมกับสามีที่วางแผนเรียกค่าไถ่เมียตัวเอง แต่ดันผิดพลาด แล้วผลกระทบตามมามันมากเหลือเกิน จะเห็นจากฉากที่สามีเดินเข้ามาดูสภาพบ้านหลังโจรมาลักพาตัว มันทำไมทำกะเมียตูแรงยังงี้ รู้สึกผิดแต่ก้อต้อง ทำต่อ เรื่องนี้ก้อคล้ายๆๆกัน ตัวร้ายเล่นได้ร้ายแบบไม่อยากเข้าใกล้ คงจะถูกบันทึกในหนังเลยอ่ะ ลุ้นทุกฉากเวลาเขาไปคุยกะใครว่าเหยื่อจะรอดไหม ฉากแลกเสื้อของพระเอกกับวัยรุ่น ซ้อนทับกับฉากผู้ร้ายตอนจบอ่ะ ดู สองกลุ่มวัยรุ่นที่กะทำกับตัวละครหลัก คนเลวยังได้รับความเมตตตา คนดีแต่โลภ ก้อ เจอความโลภย้อนกลับมาบ้าง สรุปดูจบนึกถึงชื่อเรื่องเลยเข้าใจบทสรุปที่หนังนำเสนอครับ พวกคนตกรุ่นที่ไม่คิดทำอะไรให้ถึงที่สุดก้อมาอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย แบบอยู่ไปงั้นๆๆไม่ได้แก้ไขอะไรได้ อืดอาดยืดยาดไม่มีทางตามพวกโจรร้ายได้ทัน(นึกถึงขิงแก่บางกลุ่มแฮ่ะที่กะจะเข้ามาแก้ไขกวาดล้างคนโลภบางกลุ่ม แต่ ได้แต่วิ่งตามเขาไม่ทัน เห่อๆ)
ดู Quiz show อีกรอบ แล้วน้ำตาคลออ่ะดราม่าดีดีโดยนักแสดงอังกฤษ แสดงน้อยแต่มาก นี่เจ๋งจริงๆๆ ที่พ่อพูดกับลูกชาย ."your name is mine"
สงสัยเราต้องเป็นคนดีของพ่อเพื่อรักษาไว้ซึ่งนามสกุลของพ่อต้องไม่มัวหมอง
แล้วจะมาคุยอีกอ่ะครับ บทความครั้งนี้กลับมาถูกใจอีกครั้ง ยกเว้น atonement ผิดหวังอย่างแรง เห่อๆๆๆไม่ว่ากันนน่ะครับ
โดย: tan812@hotmail คนไม่ปลื้ม atonement IP: 125.25.94.50 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:12:15 น.
  
ผมว่าตอนจบแบบนี้แหละที่กระแทกใจและคลาสสิคมากๆ แม้ว่าหลายคนจะมองว่าเหมือนตัดจบแบบดื้อๆ

เพราะมันทั้งรุนแรง เจ็บปวด ไม่ทันให้ตั้งตัว

เหมือนกับคุณหลุดจากจอภาพยนตร์ แล้วก้าวเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงอันแสนโหดร้ายอีกครั้ง
โดย: nanoguy IP: 125.24.68.3 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:8:28:51 น.
  
ผมมีความเห็นต่างจาก ความเห็นที่ 4 แต่ก็มีบางมุมที่น่าสนใจ

ในตอนที่ Moss ถูกพวกมาเฟีย mexican ฆ่า(สังเกต กระสุนจากปืนอาก้าหน้าห้อง Moss และศพ Moss นอนตายหน้าห้อง) และหลังจากนั้น ก็เป็นฉากที่ Bell ไปคุยกับ นายอำเภอท้องถิ่น แล้วประโยคสุดท้านที่คุยกัน คล้ายๆกับว่า "สถานที่ที่อันตรายเป็นสถานที่ปลอดภัย"(คล้ายๆอย่างนี้)

แล้ว Bell ก็กลับไปโรงแรม ซึ่ง Moss ก็ซ่อนตัวอยู่ที่นั่นเหมือนกัน ตรงนี้เองผมมองว่า Bell ต้องการกลับมาเพื่อเอาเงิน 2ล้าน แต่พบว่า ช่องแอร์ถูกเปิดไปแล้วโดยใช้เหรียญ Penny ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่ Moss ใช้เปิดช่องแอร์ที่โรงแรมก่อนหน้านี้

ผมมองว่า Bell เองก็อยู่ในวังวนของความเป็นมนุษย์ที่ก็มีความโลภอยู่บ้าง แต่เขาก็ต้องผิดหวังที่ไม่ได้เงิน

แต่ผมไม่แน่ในว่า Moss อยู่ในห้องตอนที่ Bell เข้าไปหรือไม่ เพราะถ้า Moss อยู่, Bell ก็ไม่น่าจะรอดมาได้ หรือ Moss หนีไปแล้ว(สังเกต จากที่ Bell เข้าห้องมาแล้วเดินไปดูรอบๆ ที่ห้องน้ำเขาสังเกต เห็น "ตัวล็อกหน้าต่าง") แต่ตัวละครอย่าง Moss ไม่น่าจะเป็น บุคคลิกที่หนี หรือหลบซ่อนอะไรเลย เหมือนเดินหน้าชนอย่างเดียว ถ้าท่านใดมีความเห็นใด กรุณาด้วย

สุดท้ายเรื่อง 2 เรื่องที่ Bell เล่าความฝันตอนท้าย ผมไม่รู้เรื่องเลย มีท่านใดเข้าใจบ้างครับ
โดย: Mr.Bull IP: 58.8.21.248 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:8:53:54 น.
  
++++++==== แก้ไขจากความเห็นที่ 8 ครับ====++++++
ผมมีความเห็นต่างจาก ความเห็นที่ 4 แต่ก็มีบางมุมที่น่าสนใจ

ในตอนที่ Moss ถูกพวกมาเฟีย mexican ฆ่า(สังเกต กระสุนจากปืนอาก้าหน้าห้อง Moss และศพ Moss นอนตายหน้าห้อง) และหลังจากนั้น ก็เป็นฉากที่ Bell ไปคุยกับ นายอำเภอท้องถิ่น แล้วประโยคสุดท้านที่คุยกัน คล้ายๆกับว่า "สถานที่ที่อันตรายเป็นสถานที่ปลอดภัย"(คล้ายๆอย่างนี้)

แล้ว Bell ก็กลับไปโรงแรม ซึ่ง Chigurh ก็ซ่อนตัวอยู่ที่นั่นเหมือนกัน ตรงนี้เองผมมองว่า Bell ต้องการกลับมาเพื่อเอาเงิน 2ล้าน แต่พบว่า ช่องแอร์ถูกเปิดไปแล้วโดยใช้เหรียญ Penny ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่ Chigurh ใช้เปิดช่องแอร์ที่โรงแรมก่อนหน้านี้

ผมมองว่า Bell เองก็อยู่ในวังวนของความเป็นมนุษย์ที่ก็มีความโลภอยู่บ้าง แต่เขาก็ต้องผิดหวังที่ไม่ได้เงิน

แต่ผมไม่แน่ในว่า Chigurh อยู่ในห้องตอนที่ Bell เข้าไปหรือไม่ เพราะถ้า Chigurh อยู่, Bell ก็ไม่น่าจะรอดมาได้ หรือ Moss หนีไปแล้ว(สังเกต จากที่ Bell เข้าห้องมาแล้วเดินไปดูรอบๆ ที่ห้องน้ำเขาสังเกต เห็น "ตัวล็อกหน้าต่าง") แต่ตัวละครอย่าง Chigurh ไม่น่าจะเป็น บุคคลิกที่หนี หรือหลบซ่อนอะไรเลย เหมือนเดินหน้าชนอย่างเดียว ถ้าท่านใดมีความเห็นใด กรุณาด้วย

สุดท้ายเรื่อง 2 เรื่องที่ Bell เล่าความฝันตอนท้าย ผมไม่รู้เรื่องเลย มีท่านใดเข้าใจบ้างครับ



Chigurh Chigurh
โดย: Mr.Bull IP: 58.8.21.248 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:42:49 น.
  
+ ยินดีด้วยกับ 4 ออสการ์ของหนังเรื่องนี้ และต้องขอขอบคุณ คุณ จขบ. ด้วยครับที่ช่วยตีความทำให้ผมเข้าใจการกระทำของแต่ละตัวละคร และเหตุการณ์ต่างๆ ในหนังเรื่องนี้มากขึ้นอีก

+ อย่างที่ผมเคยเกริ่นไว้ที่หน้าแรก ว่าผมชอบ Fargo มากกว่าเรื่องนี้ คงเป็นเพราะเรื่องนั้น มันโดนอารมณ์ผมมากกว่าละมั้งครับ ทั้งในส่วนของตลกร้าย, พล็อตพิสดาร แต่ถึงยังไงธรรมะ (ตำรวจหญิงท้องแก่) ก็ยังชนะเหล่าอธรรม (คลี่คลายคดีได้) ในตอนจบ ... ส่วน No country นี่มันเหมือนชีวิตจริงมากๆๆ แถมธีมหลักของเรื่อง (คุณจขบ. ว่าไว้) ที่เป็นส่วนของนายอำเภอผู้ก้าวไม่ทันโลก มันก็ดูหดหู่, อ่อนล้า, สิ้นหวัง และ 'จริง' ซะจนทำเอาผมจิตตกไปเลยหลังจากหนังจบ (ผมมีเวลาพัก 50 นาที แล้วก็ตามติดด้วย Blood ต่อเลยนะนั่น)

+ ส่วนดีอื่นๆ คุณ จขบ. ก็ได้พูดไปแล้ว ... ส่วนตัวร้าย (ที่เด่นที่สุด) ของเรื่อง เห็นน้อง Onceฯ และนักวิจารณ์บางท่านได้เอาไปเปรียบเปรยกับ ดร.ฮันนิบาล เล็คเตอร์ ซึ่งสำหรับความรู้สึกผม 2 คาแรคเตอร์นี้ ให้ความรู้สึก (ถ้าได้เผชิญหน้าด้วยจริงๆ ) ไม่เหมือนกันซะทีเดียวอ่ะครับ ...
... ฮันนิบาล ดูน่าสะพรึง น่าขนลุก แค่เห็นก็เย็นวาบที่ท้ายทอย และถ้าเผชิญหน้า ก็มีสิทธิ์ตายได้ทุกวินาทีที่กระพริบตา
... ส่วน ชิเกอร์ เป็นฆาตกรโรคจิตแบบแนวๆ ที่แสนจะกวนทีนส์ (ให้เหยื่อเลือกชะตากรรมตัวเองด้วยการโยนเหรียญเนี่ยนะ! ) และมีอารมณ์ขันแบบตลกหน้าตาย (ดูทรงผมที่แสนจะตลก แล้วก็ช่างค้านกับพฤติกรรมอันโหดเหี้ยมจริงๆ)
... แต่ที่แน่ๆ ทั้ง 2 คาแรคเตอร์ เก่งโคตรๆ ในการไล่ล่าและสังหาร 'เป้าหมาย' รวมทั้งทำตัวเหมือน terminator ที่แสนจะอึด และตายยากซะเหลือเกินอ่ะครับ
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:18:32 น.
  
พึ่งไปดูมา ยังอึ้งไม่หายเลย

ขอบคุณบทความเจ๋งๆที่ทำให้หายงงหลายๆประเด็น

ตามอ่านเรื่อยๆและตั้งบล๊อกนี้เป็น favorite ไว้ด้วยเมื่อวานดู The devil wears Prada แล้วก็เข้ามาอ่านในห้องเก็บหนังด้วย
โดย: vertical limit IP: 58.8.11.214 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:04:38 น.
  
ตอนเริ่มนี่มันเริ่มยังไงนะครับ

นายอำเภอบอกเมียว่าไปทำงาน

แค่นี้ใช่ไหมครับ ?
โดย: - แมวน้อยหน้าขาว - IP: 124.121.35.183 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:37:58 น.
  
เกี่ยวกับความฝันทั้งสอง

//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A6363331/A6363331.html
โดย: จูริง IP: 41.233.109.181 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:58:44 น.
  
T_T ต่างจังหวัดไม่เข้าครับ สงสัยต้องรอแผ่นอย่างเดียว
โดย: Kato_nd IP: 202.91.18.204 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:26:01 น.
  
ฉากทอยเหรียญกับพ่อค้าของชำ << ใช่เลย เป็นฉากที่ดูแล้วใจหายใจคว่ำสุดๆ

เดี๋ยวนี้เป็นนิสัยไปแล้ว ที่เวลาไม่เก็ทกับหนังที่เพิ่งดูมาก็ต้องแอบเข้ามาไขข้อข้องใจให้ตัวเองในบล็อกนี้ (แต่เคยคอมเมนท์อยู่ไม่เกิน4-5หนเองมั้งนี่ ^^'') ยังไงก็ขอบคุณคุณ 'ผมอยู่ข้างหลังคุณ' มากๆ

ว่าแต่ต้องไปหาดูต้นฉบับซะแล้วสิ Carla ลงเอยอย่างที่เราคิดรึเปล่าหนอ ..
โดย: lonea IP: 125.25.150.252 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:34:26 น.
  
ดีนะว่าได้อ่านรีวิวอันนี้ก่อนแล้วไปดู เพราะมิฉะนั้นจะต้องพูดกับตัวเองหลังหนังจบเหมือนจขบ.ว่า ดีขนาดไหนเนี่ยถึงได้รางวัลออสการ์ ก้อแค่หนังคนไล่ล่ากันบวกกับฆาตกรโรคจิต แล้วหนังก้อตัดจบแบบดื้อๆ ซึ่งคาดว่าคนส่วนใหญ่ที่เดินออกมาจากโรงด้วยกัน ก้อคงคิดเช่นนั้นเพราะฟังจากเสียงที่คุยกัน หากถามว่าความชอบส่วนตัว ชอบ There will be blood มากกว่าค่ะ แต่ว่าคุณฆาตกรในเรื่องนี้ หน้าตาโรคจิตได้ใจมากมั่ก หากเห็นใครหน้าตาแบบนี้เข้ามาคุยด้วยรับรองว่าวิ่งหนีแน่นอนค่ะ หุหุ
โดย: aorengja IP: 203.144.213.3 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:0:07:50 น.
  
ถ้าน้ำหนัก 80 %ของหนัง อุทิศให้กับการไล่ล่า
แล้วมาบอกว่า แก่นของหนังจริงๆอยู่ที่ 20 %
คนดูไม่เก็ทเอง
ผมว่า ควรโทษบท มากกว่าคนดู

เท่าที่คุณ จข.บล็อก พูดถึงต้นฉบับ มีการสอดแทรกนายอำเภอเป็นระยะๆ จะเป็นการรำพึง หรือบรรยายก็แล้วแต่
นั่นแหละครับ ที่ผมคิดว่าควรจะเป็น
ไม่ใช่แค่เกริ่นเปิดหัว
แล้วก็โฟกัสแกอย่างยาวนาน (จนชักรำคาญ) ในช่วงท้าย แล้วก็ตัดจบ
มันเป็นการพยายามอาร์ทไปหน่อย
โดย: ham IP: 58.9.122.28 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:38:32 น.
  
เห็นด้วยทั้งหมดครับ
โดย: 8 mm IP: 124.121.173.247 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:02:59 น.
  
ชอบมากเรยค่า
มาอ่านข้อความของพี่หมอพีแล้วก็รู้สึกอิ่มเอมมากยิ่งขึ้น

ดีใจที่ได้ออสการ์หนังยอดเยี่ยม..
มันสุดยอดจริงๆ เลยจอร์ช... ^^
โดย: rinasan IP: 58.64.99.242 วันที่: 1 มีนาคม 2551 เวลา:22:21:33 น.
  
ขอบคุณทุกท่านที่ทำให้ผมพอจะเข้าใจหนังเรื่องนี้ขึ้นมาบ้างครับ
หลังดูจบอารมณ์เดียวกับ The mist เลย หนังทำร้ายจิตใจคนดู
แต่เรื่องนี้ตอนไล่ล่าก็มันส์ดีครับ ผมงงตรงชื่อเรื่องตอนแรกก็เข้าใจว่าหมายถึงนายอำเภอ
แต่งงๆ นึกว่ามันเป็นสำนวนฝรั่งซะนี่

ส่วน Carla เนี่ยคงจะตายแน่นอนครับ ผมคิดเหมือนกันกับ คุณเพชรปู ความเห็นที่ 5

ส่วนที่ว่านายอำเภอกลับไปจุดที่เกิดเหตุอีกครั้งเนี่ย
ผมว่าเพราะเจ้าหน้าที่อีกคนบอกมากกว่าว่า
Chigurh ฆ่าแล้วจะกลับไปดูที่เกิดเหตุ Bell เลยกลับไปดู

โดย: lkunl IP: 58.8.14.66 วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:1:02:16 น.
  
อ้าว กรรม
ผมดูไม่ทันฉากแรกเข้าโรงสาย
เริ่มต้นก็เจอล่าสัตว์กันแล้ว -.-''
นายอำเภอ เปิดเรือ่งกับปิดเรื่องนี่เอง
ถึงว่าดูแล้ว งงๆ แฮ่ๆ
โดย: lkunl IP: 58.8.14.66 วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:1:26:27 น.
  
วิเคราะห์ได้เยี่ยมมากๆ ครับ
ผมอ่ะดูรอบดึกเลยหลับไปตั้งแต่ต้นเรื่อง555

โดยส่วนตัวค่อนข้างชอบ อาจจะมึนนิดนึง(เพราะหลับตอนสำคัญหรือเปล่าไม่รู้)
ผมว่ามันระทึกแบบ นิ่งๆ อ่ะครับ

ส่วนที่พี่ผมฯตีความมา ค่อนข้างชัดเจนเลยครับ
โดย: คำห้วน เฉือนคำรัก IP: 124.120.163.77 วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:11:09:54 น.
  
เขียนสุดยอดเลยครับ การลำดับ แบ่งวรรคตอน ตีความ สอดประสานกับข้อมูลเพิ่มเติมจากการอ่านนิยาย ปรบมือให้ดัง ๆ เลย
โดย: นักเขียนคนหนึ่ง IP: 124.120.21.20 วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:19:35:14 น.
  
ตอนดูจบปุ๊บ...รู้สึกเหมือนที่จขบ. เขียนจริง ๆ ด้วยค่ะ... มันดียังไงวะถึงขนาดได้ออสการ์

แต่มาอ่านบล็อคเพิ่มแล้ว กระจ่างขึ้นเยอะเลย
ปล. คห.6.. พออ่านเข้าใจแล้วนึกถึงขิงแก่จริงด้วยค่ะ
โดย: แก้มน้อยคอยรัก IP: 58.137.36.195 วันที่: 3 มีนาคม 2551 เวลา:7:53:10 น.
  
I definite won't buy the DVD of this movie into my collections.

Nothing new or exciting!!!

SAD BUT TRUE!!!!
โดย: borderline IP: 124.122.201.93 วันที่: 4 มีนาคม 2551 เวลา:23:03:09 น.
  
อีกครั้งที่บทวิจารณ์นี้ได้ใจผมมากๆเลยครับ


หนังดีจริงๆครับ
โดย: *omega* วันที่: 6 มีนาคม 2551 เวลา:22:57:29 น.
  
ไปดูมาแล้วค่ะ
อึ้งกะตอนจบ 555

ถ้าตัดฉากโหด ๆ ช่วงต้นเรื่องไป
จะเป็นหนังที่ชอบมากกกกกกก
ตอนนี้เลยเหลือแค่ชอบเฉย ๆ
โดย: เจ้าหญิงส้ม IP: 58.137.129.220 วันที่: 10 มีนาคม 2551 เวลา:14:45:15 น.
  
ขอบคุณมากครับที่ทำให้ผมเข้าใจ หนังเรื่องนี้มากขึ้น
โดย: มด IP: 58.64.123.188 วันที่: 21 มีนาคม 2551 เวลา:9:42:54 น.
  
เพิ่งหาเวลาว่าง..ได้ไปดูก่อนลาจากโรงไปเมื่ออาทิตย์ที่เอง.. สำเนียงเท็กซัสไม่ค่อยคุ้นหูผมเท่าไหร่.. ประกอบกับหนังไม่ใช่ หนังที่ดูได้ง่าย.. เลยออกจากโรงแบบมืนๆ ไม่ค่อยเก็ตแก่นหนังที่ต้องการสื่อเท่าไหร่.. แต่ก็คิดถูกที่มายืนเวบนี้.. ถึงหลังๆจะไม่ค่อยได้มาเยือนมากนัก.. แต่ก็ได้ข้อมูลกลับไปดีๆทุกที

ส่วนตัวชอบ There will be blood มากกว่า.. เพราะรู้สึก enjoy เพลิดเพลินกับ performance ของ Lewis ตลอดทั้งเรื่อง..
โดย: ShanKy IP: 137.195.26.197 วันที่: 23 มีนาคม 2551 เวลา:2:37:32 น.
  
เรารู้สึกว่า
ชื่อหนัง No Country For Old Men กับประโยคเปิดตัวหนังที่ว่านายอำเภอรุ่นพ่อผมไม่ต้องพกปืนเนี่ย มันบอกทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดแล้ว

เราเลยได้นั่งสัปหงกรอว่าฝั่งไหนมันจะตาย เท่านั้นเอง ... อันนี้ผิดที่เราคิดเร็วไปเองรึเปล่า

แต่ชอบนะคะ
นานๆ จะมีหนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่ "จริง" ออกมาแบบนี้ได้
โดย: The SoVo วันที่: 23 มีนาคม 2551 เวลา:14:53:43 น.
  


สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม
หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนัง
ได้ที่ //vreview.yarisme.com พร้อมลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท จำนวน 8 ใบ ทุกเดือน
โดย: ป๋องแป๋ง IP: 124.120.0.136 วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:17:26:53 น.
  
หนังเรื่องนี้ดูยากครับ สุภาษิตก็เยอะ คำเปรียบเทียบเปรียบเปยก็เยอะ

ถ้าเรามัวแต่ไม่อินกับเหตุการณ์ไล่ล่าอย่างเดียว อรรถรสไม่ได้แน่นอน
โดย: YoiChi_KunG วันที่: 9 เมษายน 2551 เวลา:11:57:54 น.
  
ดูแล้วค่ะ สุดยอดจริงๆ
แต่ยังงง ฉากที่มอส กับ ชิกู ล่ากันที่โรงแรมอยู่เลยค่ะ คือ ชิกูเข้าไป ห้อง 136(แอบกดหยุดดูเลขห้องอ่ะค่ะ) ที่เป็นห้องของมอสได้ไงอ่ะคะ(เพราะมอสเค้าเช่าไว้สองห้อง ชิกูไม่น่าจะมีกุญแจ) และในเมื่อ สัญญาณมันดังที่สุดที่หน้าห้อง 136 แล้วทำไม ชิกูถึงไปยิงคนห้อง 138 อยู่อ่ะค่ะ งงฉากนี้อย่างรุนแรงเลยค่ะ

ปล. พี่เขียนบทความได้สุดยอดมาก นู๋ตามอ่านแทบทุกเรื่องเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ^^
โดย: picniclovehaidoeverydayka IP: 125.25.191.114 วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:31:05 น.
  
ดูแล้ว เข้าใจเนื้อหาหนังดี เข้าใจการนำเสนอ

แต่........ ไม่ชอบเอาซะเลย
หนังไม่มีข้อคิดอะไรดีๆให้ผมเอาไปใช้ได้เลย

ผมยังชอบหนังที่ให้ข้อคิดดีๆ นำไปใช้ในชีวิตได้มากกว่า หนังอย่าง Forrest Gump ให้ทั้งความสุขและข้อคิดในแง่ดี

แต่ No Country for Old Men คุณจะเจอกับความหดหู่ กับโลกที่แสนโหดร้าย แล้วคุณจะยืนบนโลกใบนี้ต่อไปอย่างไร
โดย: แค่ผ่านมา IP: 124.120.60.165 วันที่: 12 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:41:14 น.
  
... ทันทีที่หนังจบ ความคิดของผมเหมือนถูกรบกวนอย่างรุนแรง และ อยากเสนอว่าใครที่ดูจบแล้วหงุดหงิดกับหนังเรื่องนี้ พาลคิดไปว่า "ดีขนาดเข้าชิงตรงไหนฟระ แคหนังคนไล่ล่ากันแล้วตัดจบแบบดื้อๆ" (เหมือนกับผม)


---- ดูจบแล้วรู้สึกอย่างงี้เหมือนกันครับ เลยต้องรีบกลับมาอ่าน review ของคุณหมอ แล้วรู้สึกว่าพอเวลาผ่านไปแล้วกลับมาคิดดูหนังเรื่องนี้มันเจ๋งจริงๆ
โดย: XBOX360 IP: 203.144.131.123 วันที่: 18 กรกฎาคม 2551 เวลา:11:03:47 น.
  
ตอนท้าย ที่ Bell ไปหาเพื่อน แล้วบอกว่าคนสมัยนี้โหดและบ้าจนเค้าตามไม่ทัน แล้วเพื่อน(ชรา) ของ Bell ก็เล่าเรื่องอดีตให้ฟัง .. การตายของใครคนนึง.. น่าจะเป็นการบอกว่า ความโหดและบ้าคลั่งมันมีตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว (รึเปล่า? หรือว่าจะสื่ออย่างอื่น?)
โดย: bailey IP: 125.24.189.123 วันที่: 27 กรกฎาคม 2551 เวลา:11:52:39 น.
  
ดูจบ ไม่รู้จะถามใครดี เพราะคนรอบๆ ตัวไม่มีใครดูเลย..ได้แต่เก็บความมึนงงไว้ในหัว
จนต้องมาหาคำตอบที่นี่ถึงจะรู้เรื่องค่ะ..ขอบคุณมาก..เดี๋ยวจะกลับไปดูอีกซักรอบ ^^
โดย: LoveHeath IP: 124.120.173.188 วันที่: 29 กันยายน 2551 เวลา:9:53:03 น.
  
้ดี
โดย: 1 IP: 125.24.82.187 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:15:46 น.
  
เพิ่งได้มีโอกาสได้ดู ดูจบแล้วมึน พอได้มาอ่านบทความนี้เข้าใจตัวหนังได้เยอะมาก

โดย: ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์ วันที่: 13 เมษายน 2552 เวลา:0:48:40 น.
  
ดูจบแล้วอารมณ์ค้างมาก 5555
ก็นึกว่าเป็นหนังไล่ล่าของคน 3 คนน่ะ

ไว้หาหนังของ 2 พี่น้องโคเอนมาดูอีกดีกว่า

โดย: SFFC IP: 125.27.39.96 วันที่: 7 พฤษภาคม 2552 เวลา:10:56:38 น.
  
dddddd มาก
โดย: dsddd IP: 222.123.157.49 วันที่: 1 มกราคม 2553 เวลา:22:09:23 น.
  
ขอบคุนครับ : )
โดย: Charles IP: 124.120.24.199 วันที่: 7 มิถุนายน 2553 เวลา:22:55:20 น.
  
คห.34 ก็หนังเค้ามีประเด็น ขาวกับดำ ชัดเจนอยู่แล้วนี่ครับ ความโลภของคนก็นำมาซึ่งหายนะ นี่แค่บางส่วนนะ ไหนจะเรื่องสัจธรรมของชีวิตอีก มันไม่มีประเด็นที่จะเอาไปใช้ไนชีวิตหรือคุณมองไม่เห็นกันแน่
โดย: Chakrapong IP: 222.123.8.115 วันที่: 6 กรกฎาคม 2553 เวลา:19:29:51 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aorta.BlogGang.com

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]

บทความทั้งหมด