Green Zone , หนังแอคชั่นที่ยืนยันว่า "พอล กรีนกราสส์ คุณเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ !!!!!"


... ผมคิดว่า หลังจากคนดูและนักวิจารณ์ให้การต้อนรับสไตล์แอคชั่นขาเหวี่ยงของ พอล กรีนกราสส์ เป็นอย่างดี ทำให้หนังสามสี่เรื่องหลังของเขา มีคุณลักษณะเด่นร่วมกันสามประการคือ

1 . เป็นหนังที่อัดอดรีนาลีนไว้เต็มสูบ ทำให้คนดูลุ้นระทึกไปกับความฉับๆๆของหนัง เป็นการฉับๆๆ ที่คนทำแม่นยำในจังหวะของหนังอย่างยอดเยี่ยม เพราะเราเห็นหนังส่วนใหญ่พยายามสร้างความตื่นเต้นด้วยการ ฉับๆๆ แต่เรากลับรู้สึกกร่อยๆและรำคาญ แต่หนังแอคชั่นตระกูลกรีนกราสส์ ทุกเรื่อง ฉับๆๆ แบบรู้จังหวะ ดูแล้วรู้สึกว่า มันช่างทรงพลังงงงงงง

2. ไม่มีเรื่องไหนที่พอล กรีนกราสส์ ไม่หวังพึ่งพารอยหยักในสมองของคนดู เพราะหนังของเขาไม่ใช่ หนังแอคชั่นประเภทดูเพลินๆ แต่ต้องอาศัยสมาธิและการคิดตามอยู่ตลอดเพื่อจับประเด็นให้ครบ

3. คนดูที่มีอาการวิงเวียน เมารถเมาเรือ โปรดเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อม สำหรับการเหวี่ยงกล้องจนเป็นเอกลักษณ์ (แต่ก็ต้องยอมรับว่า การเหวี่ยงในหนังของเขา ตอบสนอง ตัวหนังได้แบบเหมาะสม)




.... Green Zone หนังชื่อเรียบๆหวานๆเรื่องล่าสุด คือ ชื่อพื้นที่ปลอดภัยในอิรัก เป็นส่วนนานาชาติและชนชั้นมีสตางค์ของอิรัก ต่างจากเขตรอบนอกที่วุ่นวาย สถานการณ์กำลังคุกรุ่นเมื่อ ซัดดัม จากไป และ อเมริกา พยายามเข้าไปแทรกแซงด้วยแนวคิดที่จะสร้างอิรักใหม่และสร้างประชาธิปไตย โดยมี อเมริกา เป็นแบ็คอัพ

แม็ตต์ เดมอน เป็น นายทหาร มิลเลอร์ ปฏิบัติการณ์ในอิรัก ด้วยความรักชาติ พยายามหาคลังระเบิดเคมี(WMD)ที่ซุกซ่อน แต่งานสามงานหลังล่าสุด ปรากฎว่าเขาต้องคว้าน้ำเหลว ราวกับ ข่าวกรองที่ได้มาเป็นข่าวลวง ทำให้เขาสงสัยว่า ข่าวที่ว่ามาจากใคร

เมื่อเขาได้เห็นความขัดแย้งของรัฐบาลเบื้องบนที่แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายในการเข้าไปแทรกแซงการปกครองของอิรัก พระเอกของเราเริ่มระแคะระคายว่า ที่แท้ ‘เราก็เป็นแค่เครื่องมือของฝ่ายการเมืองเพื่อชัยชนะ’ แถมเดินหน้าไป ชักจะซวยๆเพราะไม่รู้ว่า ฝั่งไหนที่จะไว้ใจได้มากกว่ากัน และ ปฏิบัติการณ์ถัดจากนั้น ดันถูกตัดหาง ลุยเดี่ยว และ ต้องหาทางพาแกนนำอิรักกลับมาเป็นพวก ฟังแล้วช่างเป็นงานช้างสำหรับอดีตเจสัน บอร์นเหลือเกิน




... แนวคิด , ชีวิต และ การต่อสู้ของพระเอก สะท้อนภาพปัญหาของ ประชาชน ที่กลายเป็นตัวหมากเพื่อบรรลุเป้าหมายของคนเบื้องบน ผ่านปฏิบัติการณ์ต่อสู้เพื่อ WMD แต่ WMD ใม่เคยมีอยู่จริงในสายตาของผู้นำ

พวกเขาแค่อาศัย WMD เป็นเครื่องมือให้เราสู้ ครอบงำเราด้วยมายาคติเพื่อชาติ แต่ยิ่งสู้มากเท่าไหร่ ไม่เพียงแต่ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มิหนำซ้ำในแต่ละการรบ พลรบก็เจอแต่การสูญเสีย ส่วนผู้นำทางการเมือง ก็แค่วางแผนแล้วเปลี่ยนตัวหมากใหม่ให้บรรลุสิ่งที่ตัวเองต้องการ

กลายเป็นว่าจะชาติไหนๆก็เหมือนกัน ที่เวลาต้องการในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ก็จะ ยัดเยียดแนวคิด รักชาติ สร้างชาติ แล้วส่งคนไปเสี่ยงตายฟรีๆ เพื่อเติมเต็มนโยบายตัวเองให้สมบูรณ์ แต่ถามว่าพวกหัวหน้าที่พร่ำพูดเรื่อง รักชาติ สร้างชาติ คิดเช่นนั้นจริงๆรึเปล่า ... ก็ไม่

ซึ่งสิ่งที่ หมากอย่าง มิลเลอร์ แสดงตัวอย่างที่ดีมากๆคือ อย่าเป็นเพียงหมากที่เชื่อหัวหน้าตัวเองไปทุกอย่าง

ก่อนจะลงมือปฏิบัติการรักชาติหรือเสี่ยงตายอะไรก็ตาม สิ่งที่ต้องตรวจสอบมากที่สุดคือ หัวหน้าของเราเองที่บอกให้เราหันซ้าย หันขวา

ต้องตรวจสอบ ข่าวสารหรือข่าวกรองที่เราได้รับมา ว่า มันมีความน่าเชื่อถือมากเพียงใด อย่าพึงรีบเชื่อจากคนฝ่ายเดียวกับเราไปโดยไม่มองข้อมูลที่ขัดแย้งของอีกฝ่ายเลย


ถึงจะมี สารซ้ำๆ เหมือน Black hawk down ในเชิงของ การจิกกัดประเทศตัวเองที่ชอบแส่และทำตัวเป็นตำรวจโลก แต่ก็มีจุดแตกต่างที่น่าชมคือ การใส่ตัวละครเฟร็ดดี้เป๋ห่าวชาวอิรัก ที่เข้ามาเป็นตัวแทนของคนอิรักที่พยายามจะตีแสกหน้าคนอเมริกา หลายหน(“ผมมาบอกข้อมูลด้วยความหวังดี นี่หรือสิ่งที่คุณทำกับผม แทนที่จะรับฟัง แต่จับผมเอาหน้ากดพื้น แล้วต่อไป คนอิรักที่ไหนจะมาร่วมมือกับคุณ”)

โดยเฉพาะ คำพูดสุดท้ายที่เขาเอ่ยขึ้นมากลางห่ากระสุน ทำให้ มิลเลอร์และอเมริกาหลายคนน่าจะหน้าชา และ มีสติขึ้นมาได้บ้าง

หลายบทสนทนา หนังหยิกๆคันๆตัวเองผ่านปากคนชาติเดียวกันได้เจ็บแสบอาทิเช่นตอน ประโยค "โถ คุณมันช่างใสซื่อ" ถูกนำมาย้อนใช้สองครั้งได้แสบๆขำๆดี



... ในส่วนตัวหนัง ผมผิดหวังเล็กน้อยเมื่อรู้ว่า พอล กรีนกราสส์ เลือก แม็ตต์ เดม่อน เพราะรู้สึกว่า ทั้งคู่จะจับคู่เป็นคู่ผู้กำกับนักแสดงคู่บุญกันถี่และใกล้เกินไปหน่อย ผมอยากเห็น นักแสดงคนอื่นในมือของ กรีนกราสส์ บ้าง อีกทั้ง คาแรคเตอร์ระห่ำแบบนี้ของ แม็ตต์ เดม่อน มันก็ใกล้เคียงกัน แต่ แม็ตต์ เดม่อน ก็แสดงให้เห็น ศักยภาพการแสดงของตัวเอง

เพราะดูผิวเผินคาแรคเตอร์อาจคล้าย เจสัน บอร์น แต่แววตาความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำทีม แตกต่างจากตอนเป็นบอร์น แถมคาแรคเตอร์ทึ่มๆใน Ocean 11-13 หรือเนิร์ดๆใน The Informant (ดูจากตัวอย่างและกำลังจะดูแผ่นเร็วๆนี้) ทำให้ผมคิดว่า ถึงเขาจะมาไกลแล้ว แต่เขายังมีอะไรที่สามารถปั้นให้ฉายแสงได้ไกลกว่านี้

ข้อด้อยที่ผมรู้สึกชัดเจนที่สุดคือ มีหลายจุดที่หนังทำให้รู้สึก ‘เว่อร์ไป ’ จริงอยู่เป็นหนังอย่างไรก็เว่อร์ แต่ในโลกความสมจริงของหนังแต่ละเรื่อง เช่น เจสัน บอร์น ก็มีความเว่อร์แต่โลกของหนังสายลับที่เรารับได้เพราะรู้ว่ามันเป็นหนังเว่อร์ๆอยู่แล้ว

แต่ Green Zone ทำทุกอย่างได้สมจริงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศของอิรัก ฉากการสู้รบทั้งหลาย พอให้ พระเอกลุยเดี่ยวเหมือน เจสัน บอร์น ชนิดไม่น่าจะรอดเกินสิบก้าว การแหกกฎของกองทัพไปเจรจา ฯลฯ หรือที่ผมรู้สึกเว่อร์ตะหงิดๆ ไม่น่าเชื่อถือมากที่สุด คือ การปรากฎตัวของพี่เฟร็ดดี้เป๋ห่าวในฉากท้าย


... ข้อด้อยประปราย ทำให้ เทียบหมัดต่อหมัดแล้ว ผมคิดว่า Green Zone ยังสู้ บอร์นภาค 3 กับ United 93 ไม่ได้ แต่ ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ควรค่าแก่การดู ผมยังชอบ และ รู้สึกสนุกในสไตล์กรีนกราสส์มากเช่นเดิม

เวลาเห็นผู้กำกับคนเดิมทำหนังแนวเดียวซ้ำๆ ผมมักจะอยากเห็นเขาสร้างความแตกต่างบ้าง แต่กับบางคนที่ผมคิดว่า ทำหนังแนวเดียวแล้วทำได้ดีชนิดที่หาคนเทียบยาก ก็อย่าไม่เปลี่ยนอะไรให้มากเลย เช่น ผมไม่ได้อยากเห็น ไมเคิล เบย์ ไปทำหนังหวังออสการ์ เพราะไม่รู้จะหาคนระเบิดภูเขาเผารถปอร์เช่ได้ดีอย่างเขาที่ไหนอีก เช่นเดียวกับที่ดูหนังเรื่องนี้จบ ผมก็คิดว่า

พอล กรีนกราสส์ คุณเองก็เช่นกัน อย่าคิดแหวกแนวทำหนังแนวอื่นเลย หนังแอคชั่นที่มีแรงขับเคลื่อนได้ทรงพลังแถมยังมีความฉลาดในเนื้อหาได้ทุกเรื่อง แบบนี้ ยังไม่เห็นใครทำได้ดีเท่าคุณ

พอล กรีนกราสส์ คุณเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ !!!!!

สรุป ... บังเอิญที่ช่วงนี้ดูหนัง สงคราม –อเมริกา – อิรัก มาติดๆกันสองเรื่อง ยอมรับว่า Hurt Locker สะท้อนฝีมือคนทำหนังที่ดีแบบครบเครื่องทุกองค์ประกอบมากกว่า มีสารที่ลึกกว่า แต่สำหรับผม ผมสนุกกับเรื่องนี้มากกว่า และรู้สึกว่า สารในหนังเรื่องนี้น่าจะโดนคนดูทั่วไปมากกว่า Hurt Locker ที่คนอเมริกันน่าจะถูกใจเป็นพิเศษ


Link บทความใน Blog ที่อ้างอิงถึง


United 93 , ทรงพลัง และ สะเทือนใจ
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=08-2006&date=19&blog=1

สุดยอด ห้ามพลาด ฉลาด สมจริง << The Bourne Ultimatum >> หนึ่งในหนังที่ดีที่สุดของปี
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=13-08-2007&group=14&gblog=15


แจ้งข่าว รับงานสัปดาห์หนังสือฯ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ปลายเดือนนี้จ้า








สำหรับเพื่อนๆที่เล่น FaceBook หรือ Twitter ณ.บัดนาว "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ขยายสาขาเรียบร้อยแล้วจ้า







Create Date : 13 มีนาคม 2553
Last Update : 14 มีนาคม 2553 14:20:00 น.
Counter : 4129 Pageviews.

8 comments
  
อืมห์
อ่านวิจารณ์แล้วน่าไปหามาดูมั่กๆ ค่ะ
โดย: fondakelly (fondakelly ) วันที่: 13 มีนาคม 2553 เวลา:15:48:44 น.
  
คาดว่าผมจะต้องรอดูทางโทรทัศน์ครับ
โดย: เจรามี วันที่: 13 มีนาคม 2553 เวลา:19:01:09 น.
  
อ่านแล้วรู้สึกว่าต้องไปดูให้ได้ ^O^
โดย: gonz IP: 118.173.57.192 วันที่: 13 มีนาคม 2553 เวลา:20:12:50 น.
  
พึ่งดูมาวันนี้ครับ ชอบเหมือนกันครับ คนนี้เขาตัดต่อรวดเร็วดูสับสนวุ่นวาย เหมาะกับเนื้อหาที่สับสนวุ่นวายในเรื่องดีเหลือเกินครับ
โดย: Swallowtail วันที่: 13 มีนาคม 2553 เวลา:21:38:50 น.
  
ฉลาดเขียนนะคะ เสียดายไม่ได้ไปดู เพราะนั่งนานมิได้ จะแวะมาบอกว่า คุณก็เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เช่นกันค่ะ
โดย: ไกลกังวล IP: 125.26.81.30 วันที่: 14 มีนาคม 2553 เวลา:12:27:51 น.
  
มันส์มากกกกกกกกกกกกกกกกก
เกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้จริงๆ
โดย: ตอง IP: 125.27.217.78 วันที่: 14 มีนาคม 2553 เวลา:19:42:38 น.
  
อ่านวิจารณ์แล้วนึกถึงสถานการณ์แถวๆนี้
โดย: J☆nE IP: 58.64.70.203 วันที่: 15 มีนาคม 2553 เวลา:21:08:02 น.
  
ผมอยากให้นักแสดงผิวสี มารับบท Miller มากกว่า

แต่ก็นะ ผกก คนนี้จะไม่มี Matt ได้อย่างไรกัน
โดย: Area-BKK IP: 124.121.7.212 วันที่: 17 มีนาคม 2553 เวลา:0:05:51 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aorta.BlogGang.com

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]

บทความทั้งหมด