จาก หน้ากระดาษ สู่ หน้าจอ , 'ความสุขของกะทิ' ให้อะไรเรา ?
... หลังจากเขียนบทความประจำปีแบบบ้าพลังไปห้าบล็อก ตามนี้ (คลิกที่หัวข้อเพื่ออ่านได้เลย)

9 หนังดี(วีดี)น่าดู ประจำปี 2008

10 ตัวละครประทับใจ ประจำปี 2008

10 ฉากประทับใจ ประจำปี 2008

50 หนังประทับใจ ประจำปี 2008(ตอน 1)

5 หนังไม่ชอบ + 50 อันดับหนังประทับใจ ประจำปี 2008 (ตอนจบ)



... ก็ว่าจะพักผ่อนงานเขียนซักสองอาทิตย์ แต่เมื่อดูหนังจบ รู้สึกว่าเป็นหนังที่มีอะไรหลายอย่างชวนให้เขียนถึง และ พอกลับมาอ่านความเห็นคนดูในเน็ตแล้วพบ ความแซ่บของกะทิ ยิ่งทำให้รู้สึกว่า ไม่ว่าหนังเรื่องนี้จะดีหรือไม่ดีในสายตาใคร แต่ หนังมี อะไร ให้คุยต่อหลังดูจบ เช่นเดียวกับ นิยาย




... ในฐานะที่ตัวเองไม่ได้เป็นแฟนกะทิ ตั้งแต่ตอนได้ซีไรท์ใหม่ๆ คืออ่านแล้วรู้ว่าดี เพียงแค่ ไม่ได้อินหรือประทับใจ ว่าจะมาเขียนถึง แต่ตอนนั้นจำได้ว่า เคยอ่านเจอ คนมาแสดงความเห็น ตอนหนังสือได้ซีไรท์ไว้ว่า ไม่ชอบนิยายเรื่องนี้ แล้วโดนด่าเปิง ข้อหา ไร้ความสุนทรีย์

หลังจากนั้นผมก็เก็บตัวเงียบ ทั้งๆที่ตัวเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่อินกับเนื้อหา แต่เปราะบางเกินกว่าจะโดนด่าได้


... จนบัดนี้ หลังจากดูหนังจบ จึงคิดว่าพร้อมแล้วที่จะรับข้อหานั้น เพื่อเขียนถึง ความสุขของกะทิ เพราะหนังและวรรณกรรมเรื่องนี้ให้อะไรหลายๆอย่างที่น่าเขียนถึง

ซึ่งผมกลับไปนั่งขบคิด แล้วจึงแยกโครงสร้างของวรรณกรรม และ หนัง ที่ทำให้มีมีทั้งคนรักและคนชัง ก่อให้เกิดความขัดแย้ง มีที่มากได้สามส่วน ตามทฤษฎีของ ซิกมันด์ สปอยล์

สามส่วนต่อไปนี้ ขอตัดในแง่ของ สถานภาพของผู้เขียนและการเมือง ซึ่งไม่ควรจะเกี่ยวข้องแต่อย่างใด


1.ความเป็นนิยาย ในแง่ของการใช้คำ การเรียงร้อย ฯลฯ + ความเป็นหนัง ในแง่ การกำกับ , การแสดง ฯลฯ

2.โลกของตัวละคร โลกของกะทิ

3.แก่นของเรื่องราว อันว่าด้วย ความตาย , ความรักและ ความสุข



1. ความเป็นหนัง และ ความเป็นนิยาย




... หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังที่เล่าเรื่องตามสูตรสำเร็จหนังไทยส่วนใหญ่ และ ค่อนข้างเนิบช้า จึงทำให้ หลายคนมองว่า หนังห่วย และ อีกหลายคนมองว่า หนังสุดยอด

ส่วนตัวผมมองว่า


ถ้าเราสรุปว่าการเล่าเรื่องแบบเนิบนาบ คือ หนังห่วย หนังยุโรปคงห่วยเกือบทั้งทวีปและหนังเกาหลีคงห่วยกว่าครึ่งประเทศ

ในขณะเดียวกัน

ถ้าจะสรุปว่า การทำหนังเนิบนาบภาพสวยนั้นจะทำให้หนังกลายเป็น หนังดี แล้ว ไปสรุปว่าคนดูที่หลับเพราะคนดูหัวไม่ถึงเสมอไป ก็เท่ากับว่า ไม่ต้องใช้ผู้กำกับฝีมือดี แต่ ให้คนถ่ายรูปเก่งๆมาทำหนัง แช่ภาพนานๆถ่ายภาพสวยๆ ก็เพียงพอ



... สำหรับผม

ความสุขของกะทิ มีคุณภาพสูงในแง่ของความประนีต การกำกับ การแสดงของรุ่นใหญ่ และ การถ่ายภาพ คู่ควรกับความเป็น หนังดี

- ไม่บ่อยเลยที่เราจะเห็นงานด้านภาพที่เนี้ยบและงามเหมือนบทกวีจากในหนังไทย

- ไม่บ่อยเลยที่เราจะเห็นการดำเนินเรื่องที่ละมุนละไมไม่โฉ่งฉ่างไม่พยายามโน้มน้าวอารมณ์จนมากเกิน

- ไม่บ่อยเลยที่เราจะเห็นทักษะของผู้กำกับที่โชว์ลีลาการเล่าเรื่องแบบมีชั้นเชิงไม่เล่าตรงๆ ใช้การเล่าน้อยแต่ให้มาก และ ทิ้งช่องว่างให้คนดูได้จินตนาการ เช่น ฉากเปิดเรื่อง , ฉากตากับยายคุยกันแล้วให้เห็นกะทิอีกมุมหนึ่ง , ฉากตารับโทรศัพท์แล้ววิ่งไปที่โต๊ะอาหารถ่ายไกลๆ , ฉากเตะลูกโทษ ฯลฯ

ซึ่ง ฝีมือ ที่เห็นทำให้ผมอยากดูผลงานของผกก.คนนี้ต่อไปในอนาคต

... บวกกับชอบที่หนังถึงจะเนิบนาบละมุนละไม ทิ้งช่องว่างให้ได้คิดแบบเรื่องนี้ยังไม่ถึงกับทอดทิ้งคนดูมากจนเกินไป ตรงข้ามกับหนังที่เล่าเรื่องสไตล์เนิบส่วนใหญ่มักไม่ใยดีคนดูเท่าที่ควร

ซึ่งหนังไทยแนวนี้ที่ยังคิดถึงคนดูอยู่บ้าง ไม่ได้ดูยากมากเกิน ในรอบสองสามปีที่ผ่านมา และ อยู่ในข่ายที่ตัวเองชอบมากๆ คือ รักแห่งสยาม กับ Wonderful town

ส่วนหนังในสไตล์ของเป็นเอก ก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้ แต่ สำหรับคนดูส่วนใหญ่จัดได้ว่า หนังของเป็นเอกค่อนข้างดูยากเพราะมีความเหนือจริงเซอร์เรียลปะปนซึ่งคนดูส่วนใหญ่ยังไม่คุ้น ( ผมชอบ พลอย แต่ ไม่ถูกจริตกับ คำพิพากษาของมหาสมุทร)





... ที่ชื่นชมอีกอย่างคือ ในส่วนของ การดัดแปลงจากนิยายมาสู่หนัง ผมชอบที่หนังยังคง ความงามของการบรรยายเรื่องราวในหนังสือมาสู่จอ นี่เป็นหนึ่งตัวอย่างของการดัดแปลงจากนิยายที่ดี

เพราะอย่าลืมว่า นิยายเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายที่เหมาะกับการจะทำเป็นหนังซักเท่าไหร่ เพราะจุดเด่นของนิยายไม่ใช่พล็อตแต่คือความงดงามสละสลวยของภาษา

เหมือนกับตอนที่อ่าน ชุดประดาน้ำกับผีเสื้อ ที่สงสัยว่าจะดัดแปลงมาเป็นหนังได้อย่างไร แต่คนดัดแปลงเก่งมากๆที่ซึมซับความงามจากนิยายและเพิ่มการเล่าเรื่องในรูปแบบหนังได้อย่างน่าสนใจ

ตัวอย่างที่ตรงกันข้ามสำหรับในเรื่องของการดัดแปลงที่เห็นชัดๆในระยะอันใกล้คือ ปืนใหญ่จอมสลัด ที่ผมรู้สึกว่าเป็นการดัดแปลงที่ไม่สามารถถ่ายทอด ใจความและอารมณ์ของนิยายมาสู่หนังได้ดีพอ

จุดดีๆของการดัดแปลงที่ต่างไปจากหนังสือ เช่น การลดความเรื่อยๆมาเรียงๆจากนิยายลง ด้วย ช่วงเวลาที่หนังตัดสลับไปมา(ฉากเปิดเรื่องที่คอนโด , ฉากลูกโป่งหลุดมือ) สร้างความดึงดูดน่าสนใจ ให้เราอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวละคร มากกว่าตัวนิยายที่เล่าไปเรื่อยๆจากชนบทเรียงลำดับไปจนจบเรื่อง

หรือ ช่วงในโรงเรียนที่ทำให้หนังสนุกขึ้นมากและช่วยฉายให้เห็น ความสุขของกะทิ ในแง่มุมอื่นๆมากขึ้น มากไปกว่า ภาวะอมทุกข์ของคนรอบข้าง ที่มีอยู่เกือบตลอดทั้งเรื่อง

แต่

... หนังดี เรื่องนี้ไม่ได้ดีถึงขนาด ดีม๊ากมาก และ ในความงามนั้น สิ่งที่รู้สึกสะดุดเป็นพักๆจาก

1.นักแสดงรุ่นเล็ก เช่น น้องพลอยเจ้าของบทกะทิ น่ารักมากๆ มีเสน่ห์ แต่ บางฉากก็ยังดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่ บวกกับ ช่วงต้นเรื่อง ตัวบทหนังไม่ช่วยขยายความผูกพันแม่ลูกให้สัมผัสได้

ทั้งๆที่ โดยใจความจากนิยายคือ ช่วงบ้านชายคลอง นั้น กะทิคิดถึงแม่ แต่ เก็บความคิดความรู้สึกไว้ข้างใน เรารับรู้ได้ผ่านตัวอักษรที่บรรยายก่อนเริ่มบท

แต่

ในหนัง เวลาเห็นกะทิดูเฉย คือ เฉยๆแบบเฉยๆเลย ไม่ใช่ เฉยแบบเก็บความรู้สึก ถึงหนังจะใช้ตัวหนังสือจะบรรยายความคิดความรู้สึกเหมือนในนิยาย แต่ ภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ทำให้รู้สึกได้ว่า กะทิคิดถึงแม่แต่อย่างใด ยิ่งบวกกับบทหนังไม่พยายามเพิ่มเติมตรงนี้

ยิ่งทำให้

หนังไม่สามารถ สื่อสารสิ่งที่มองไม่เห็น(ความรักและคิดถึงแม่ แต่เก็บความรู้สึกอยู่) ให้คนดูสัมผัสได้ ครั้นผสมกับความเฉยๆของตัวนักแสดง ก็ยิ่งทำให้อินตามได้ยาก ครั้นมาสู่ ฉากเจอแม่ในบ้านก็ยิ่งดูเฉยเกิน

บวกกับ การแสดงที่เหมือนถูกเซ็ทอารมณ์มาเล่นเป็นฉากๆ แต่ ตัวนักแสดงไม่ได้เข้าถึงอารมณ์โดยรวม เช่นมาเล่นแบบ ฉากนี้นิ่งนะ ฉากนี้ร้องนะ ฯลฯ จึงทำให้ บางฉากพอถึงบทจะร้อง ก็เลยรู้สึกว่า เอ๊ะ ฉากร้องเล่นดีนะ แต่ เมื่อกี้ยังเฉยๆอยู่นิ ไม่ได้อารมณ์ประมาณว่า ที่นิ่งก่อนเพราะเก็บอารมณ์ไว้นะ แล้ว ร้องเพราะระเบิดอารมณ์ที่กักเก็บมานาน

เอาเข้าจริง ผมยังชอบการแสดงรุ่นเยาว์ใน แฟนฉัน เสียมากกว่า ส่วนตัวไม่มองว่าเกี่ยวกับการ เล่นมาก หรือ เล่นน้อย เพราะ เล่นน้อย แต่ถ้าผู้กำกับทำให้นักแสดงสื่อออกมาได้ ก็สามารถส่งต่อความรู้สึกที่ลึกซึ้งได้


2. ปกติ ผมไม่มีปัญหากับความเนิบ ถ้าความเนิบตอบโจทย์ของหนังที่ต้องการเสนอ และ ผมคิดว่า การเล่าเรื่องเนิบช้าในหนังเรื่องนี้เป็นการตอบโจทย์จากนิยายที่เหมาะสม มากกว่าจะทำหนังเล่าเรื่องจังหวะเดียวกับแฟนฉัน

แต่ ความเนิบในหนังเรื่องนี้มีความน่าเบื่ออยู่มากในช่วงต้นที่บ้านชายคลอง ซึ่งคิดว่ามาจาก ความพยายามถอดภาพจากนิยายมาสู่หนังมากเกินไป โดย ความเนิบนาบนั้นไม่ได้ช่วยส่งอารมณ์หรือเพิ่มความหมายเท่าที่ควร


3. ชั้นเชิงการเล่าเรื่องแบบมีลีลาอย่าง เช่น การเคลื่อนกล้องจากขวาไปซ้าย ซ้ายไปขวา ถ่ายไม่เต็มตัว แล้วค่อยๆเคลื่อนกล้องจากไป เป็นมุมมองที่ดูดีมีสไตล์ แต่หนังใช้เทคนิคเหล่านี้บ่อยเกิน ดูเป็นความพยายามมากเกิน เหมือนการโชว์ของคนมีฝีมือ ซึ่งมีฝีมือจริง แต่พอโชว์มากมันก็ไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่

หรือ บางฉากที่ต้องอาศัยความพยายามในการเข้าใจมากไปนิด เช่น ฉากริมทะเลไปเจอม้า ก็สวยดี แต่ ผมไม่เข้าใจว่าในแง่สื่อสัญลักษณ์หนังจะบอกอะไร หรือ แค่ซึมซับความงดงาม




4. การเล่าเรื่องแบบพยายาม ‘เล่าน้อยหรือminimalist’ บางอย่างก็น้อยเกินไป ชนิดไม่สนคนไม่เคยอ่านนิยาย เช่น ตัวละครอาๆน้าๆล่องลอยจนจับต้องไม่ได้มากไป หรือ โรคของแม่ คนไม่อ่านนิยายไม่มีวันรู้ว่าคือ ALS ที่กล้ามเนื้อค่อยๆอ่อนแรงจนขยับไม่ได้ทีละน้อย ทำให้ยากที่จะอินในช่วงท้าย

หรือ ฉากเจอแม่ ซึ่งเป็นฉากสำคัญ ที่สามารถส่งพลังมากกว่านี้ได้ แต่ สีหน้ากะทิเฉยๆเสียจนเหมือนไม่มีอะไร และ ก็รีบเปลี่ยนฉากไปจนไม่ทันจะรู้สึกอะไรมากมาย

และ ความเฉยๆนี้เองก็ทำให้อึดอัดเล็กๆประมาณหนึ่ง เพราะ ตลอดทั้งเรื่องเหมือนเรากำลังนั่งดู ชีวิตครอบครัวที่สมาชิกในบ้านพยายามเก็บกดอารมณ์กันทั้งบ้าน


5. 'ความดูดีเกิน' ทั้งในรูปแบบชีวิตของกะทิและการถ่ายทำ ซึ่งตรงนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากนิยาย แต่การเปลี่ยนตัวอักษรมาเป็นภาพในหนังยิ่งชัดขึ้น

ผมไม่ได้รังเกียจหรือหมั่นไส้คนรวย แต่ ภาพชีวิตของกะทิดูแปลกแยกดีเกินกว่าจะกลืนไปกับภาพชนบท ตั้งแต่ บ้านต่างจังหวัดใหญ่โต , รถ BMW สีขาวคันโก้ , อาหารมื้อเที่ยงริมทะเลเป็นสปาเก็ตตี้ , บ้านริมทะเลที่จัดไว้สวยยิ่งกว่าบางรีสอร์ทสี่ดาว , ห้องของแม่กับลิ้นชักอย่างดีในคอนโดที่ดูสวยพอๆกับห้องตัวอย่างในโฆษณา ฯลฯ

ความดูดี เหล่านี้ บวกกับ หลายๆฉากที่เซ็ตมาแบบเนี้ยบสุดๆ แทบจะทำให้ ชีวิตของกะทิ หลุดจากชีวิตคนธรรมดาๆ ดูงดงามเกินกว่าจะอินและสัมผัสได้ มันทำให้รู้สึกว่าไม่ได้ดูชีวิตของ คนธรรมดาๆ แต่เป็นชีวิตของ ครอบครัวเศรษฐีที่มีปัญหาแล้วย้ายไปอยู่ชนบท



2.โลกของตัวละคร โลกของกะทิ



หนังสือ เหมือนกับ หนัง ตรง ข้อดีที่ชัดเจนและไม่มีใครแย้งคือ ในแง่ของการร้อยเรียงเรื่องราว การบรรยายรายละเอียด ภาษาภาพในหนังกับภาษาตัวอักษรในหนังสือ ล้วนงดงาม และ ประเด็นที่ต้องการสื่อลึกซึ้งมีความหมาย แต่ ที่ทำให้ผมไม่อิน มาจาก องค์ประกอบรายรอบและชีวิตของตัวละคร


2.1 ผู้ใหญ่ในร่างเด็ก

... โลกของกะทิ คือ โลกของเด็กประถมตัวเล็กๆคนหนึ่ง แต่ ปัญหาคือ ผมไม่รู้สึกว่านี่เป็นโลกของเด็กประถมคนนั้น

ผมอ่าน แฮรี่ พ็อตเตอร์ ผมสนุกและเชื่อว่า ทุกการกระทำของแฮรี่และผองเพื่อน เป็น ความคิดเป็นคำพูดของเด็กในวัยนั้น บางคน ก็อาจโตกว่าเพื่อนหรือฉลาดเกินวัย แต่ก็ยังรู้สึกว่าเป็น ความคิดของเด็กๆ

ในขณะที่ โลกของกะทิ ผมยังไม่รู้สึกเหมือนเป็น ความรู้สึกนึกคิดของเด็กที่ฉลาดช่างคิด เพราะ ผมรู้สึกว่าเป็นการบรรยาย ความรู้สึกนึกคิดและคำพูดแบบของผู้ใหญ่ ที่นำมาใส่ในตัวเด็กมากกว่า


2.2 ทุกอย่างล้วน ดูดี และ งดงาม มากเกินไป

... ผมเคยอ่านเจอคนที่ไม่เห็นด้วยมองว่า ตัวนิยายมี ความดัดจริตและปรุงแต่ง มากเกิน ซึ่งส่วนตัวแล้วยังไม่รู้สึกถึงแบบนั้น เพราะ ดัดจริต คือ ความพยายามเสแสร้งไม่เป็นตัวตนจริงๆ เพียงแต่ เนื้อหาที่อ่านให้อารมณ์ประมาณ

"มุมมองของคนมีฐานะ ที่มีความทุกข์ในชีวิตและปลีกตัวไปใช้ชีวิตแบบชนบท ซึ่งรายล้อมด้วยความเพียบพร้อม และ สุดท้ายเมื่อพบปัญหาจริงๆ ก็มีตัวช่วยมากเพียงพอ"

คือ ไม่จำเป็นที่จะต้องอัดโศกนาฏกรรมช้ำระกำทรวงถาโถมใส่ กะทิ แต่ ภาพทั้งหนังและนิยายก็ดีเกินไป เมื่อ ฉายภาพแต่ ความดีและสวยงาม มีเพื่อนดีๆ มีบ้านดีๆ มีญาติดีๆ มีเงินมีทองเหลือเฟือ ฯลฯ

ทุกอย่างในครอบครัวของกะทิล้วนเซ็ทมาดีสมบูรณ์แบบ ยกเว้น เพียงการพลัดพรากกับอาการเจ็บป่วยของแม่



... เมื่อลองเปรียบเทียบกับหนังที่ รอบตัวละครช่างดีพร้อม เช่น หนังญี่ปุ่นอย่าง Always หรือหนังฝรั่งอย่าง Mamma mia หรือ Lars and the real girl ที่ ตัวละครหลักๆในหนังก็มีปมปัญหา หนังไม่มีตัวร้าย มีแต่คนดีๆรอบกาย หนังกลับทำให้รู้สึกสนุกคล้อยตามไปได้มากกว่า ซึ่งนั่นก็เพราะ

ตัวละครในหนังเหล่านั้นมีความหลากหลาย มีด้านมืดเล็กๆในตัว ไม่ได้มีลักษณะแบบมีมิติระนาบเดียวคล้ายๆกันหมด อย่างเช่น กลุ่มตัวละครในกะทิ

บวกกับ หนังเหล่านั้นที่ตัวละครอาศัยอยู่ท่ามกลางสังคมอุดมคติ มีความ fantasy เล็กๆสอดแทรกให้เรารับรู้โดยอัตโนมัติ แต่ ความสุขของกะทิ คือ เรื่องราวที่นำเสนออย่างสมจริง มีความ realistic มากกว่า เมื่อ เนื้อหามีแต่ความดูดี และ ตัวหนังก็ยิ่งดูดีเหลือเกินแบบนี้ ยิ่งทำให้ยากจะรู้สึกคล้อยตามไปได้แบบสุดตัว



3. แก่นของเรื่องราว อันว่าด้วย ความตาย , ความรัก และ ความสุข



ถึงผมจะไม่อิน รู้สึกแปร่งๆอยู่บ้าง แต่ ความสวยงามของภาษาหนังและภาษานิยาย เมื่อบวกกับ ความงดงามในแก่นเรื่อง จึงทำให้ ผมต้องแนะนำให้ใครๆได้อ่านหรือรับชม ความสุขของกะทิ โดยเฉพาะ สามจุดต่อไปนี้ ที่ผมชอบมากเป็นพิเศษ


3.1 Death and dying คือ บทหนึ่งในตำราจิตวิทยา และ เป็น บทหนึ่งของชีวิตที่ทุกคนต้องเผชิญ

สำหรับผู้ใหญ่ เมื่อต้องสูญเสียพ่อแม่ สูญเสียคู่รัก สูญเสียเพื่อน ฯลฯ ถือว่าเป็นเรื่องยากแล้ว แต่ สำหรับเด็กการเผชิญกับความตายตรงหน้าหรือการช่วยเหลือเด็กๆยิ่งยากกว่า เพราะเราไม่รู้ว่า เราควรจะบอกเด็กอย่างไรถ้าคนใกล้ชิดของเขาเสียชีวิต(Death) หรือ ควรจะเตรียมตัวอย่างไรถ้าคนใกล้ชิดของเขากำลังจะตาย (dying)

ผมเคยพบคุณลุงของครอบครัวหนึ่ง ที่กลุ้มใจว่าจะ บอกหลานอายุประมาณสี่ห้าขวบอย่างไร ในเวลานั้นที่หลานอยู่ในโรงพยาบาล หลังจากเพิ่งได้รับอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซด์คว่ำ ซึ่งพ่อกับแม่นั่งมาด้วยกัน พ่อตายในที่เกิดเหตุ ส่วนแม่มาเสียชีวิตในโรงพยาบาล เหลือเพียงเขาคนเดียวที่รอดชีวิต

-ควรหลอกหรือไม่ว่า พ่อแม่ไปต่างจังหวัด อีกนานกว่าจะกลับ
-ถ้าจะบอกเด็กว่า พ่อแม่ ไปสวรรค์แล้ว เด็กจะเข้าใจหรือไม่
-ถ้าใช้คำว่าพ่อแม่’ตาย’แล้ว เด็กจะรู้จัก คำว่า ตาย มากแค่ไหน
ฯลฯ

...เพราะการรับรู้ของเด็กแต่ละวัยไม่เท่ากัน เราจึงเห็นเด็กบางคนถามญาติๆว่า เอาคุณตาไปฝังใต้ดินแล้วคุณตาจะหายใจได้หรือ , เผาคุณลุงแบบนั้นคุณลุงจะไม่ร้อนหรือ แม้กระทั่ง การสูญเสียสัตว์เลี้ยงก็ยังทำให้เด็กบางคนถึงกับไปนอนฝันร้าย ร้องไห้เป็นสัปดาห์

ความสุขของกะทิ ทำให้เราได้เห็นถึง การเตรียมพร้อมที่ดีสำหรับ การสูญเสียคนใกล้ชิดของเด็กๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การบอกความจริง และ การให้เด็กรับรู้ว่า ความตายของชีวิตไม่ได้เป็นการสิ้นสุดของความรัก

และ การที่เด็กจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไม่ทำร้ายจิตใจในระยะยาว ก็ต่อเมื่อ คนที่เหลืออยู่ให้ความมั่นใจว่าชีวิตของเด็กจะยังมั่นคงปลอดภัย และ ทุกๆคนจะยังคงรักและดูแลเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดี


3.2 ความรักของคนเป็นแม่

ผมคิดว่า ถ้าหนังไม่พยายามที่จะ ‘เล่าน้อย’ เกินไปหน่อย แล้วขยายให้เหตุผลของแม่หนักแน่นชัดเจนขึ้นอีกซักนิด เพิ่มอารมณ์ความรู้สึกและทอดเวลาในฉากสำคัญๆเช่น ฉากพบแม่ ให้มากขึ้น หนังน่าจะดีกว่านี้

ลองนึกภาพตาม 'แม่' ในหนัง

แค่ความเจ็บป่วยที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลงเรื่อยๆ ก็ ทารุณต่อจิตใจมากพอแล้ว มันทำให้ คนเป็นแม่ ไม่สามารถที่จะทำอะไรให้กับลูกได้เหมือนแต่ก่อน และ ค่อยๆกัดกร่อน ‘ความเป็นแม่’ ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นแม่ที่ไม่ดีพอเมื่อเทียบกับแม่คนอื่นๆที่ดูแลลูกได้เต็มที่

ครั้นมาเจอเหตุการณ์สำคัญ ความรู้สึกผิด ที่ตัวเองทำให้ลูกเกือบตาย ทำให้ไม่กล้าเข้าใกล้ลูกอีกเลย

และนั่นทำให้ แม่ จึงพยายาม ปลีกตัวออกห่างจากลูก

ซึ่งถ้าหนังช่วยขยายตรงนี้จะยิ่งทำให้ดูมีน้ำหนักมากขึ้น แต่ หนังเหมือนนิยายตรงที่ บรรยายแค่ว่า แม่รู้สึกผิดและอธิษฐานแล้วไม่อยากสัมผัสลูกอีกเลย

ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า มันแค่นี้เองหรือ ที่ทำให้ถึงกับต้องแยกลูกไปไกลๆ เหตุการณ์นั้นกับระยะเวลาหลายปีดูยังไม่หนักแน่นพอ แค่ ฝากให้คนอื่นดูแลแต่ตัวเองไม่ต้องเลี้ยงลูกเองไม่ได้หรือ ? เพราะอะไรถึงไม่ยอมเห็นหน้ากันเลย เพราะคำอธิษฐาน หรือ เพราะความรู้สึกผิดที่กัดกร่อนใจไม่หาย ? หนังน่าจะขยายตรงนี้สักหน่อย




3.3 ความสุขของชีวิต

...ผู้ใหญ่หลายคนอาจนึกว่า ความสุขของเด็กคนหนึ่งคือการได้อยู่ร่วมกันพ่อแม่ลูก ซึ่งนั่นเป็นความจริง แต่ไม่ได้แปลว่า ขาดใครคนใดคนหนึ่งไป จะทำให้หาความสุขในชีวิตไม่ได้ หรือ จะต้องมีปมด้อยไปตลอดชีวิต

ความสุขของกะทิ มาพร้อมกับ ความเศร้าโศก แต่กะทิก็ยังสามารถค้นพบความสุข จาก ความรักที่คนรอบตัวมีให้กับเธอ ไม่ว่าจะเป็นยายที่ไม่ค่อยยิ้ม ตาจอมปล่อยมุก หรือ น้าๆอาๆ เพื่อนดีๆ และ ความรักของแม่ที่มอบให้

ถ้าเพียงคนเราสามารถมองหาความสุขในชีวิตจากความเศร้าโศก ความผิดหวัง เฉกเช่น กะทิ หรือ เฉกเช่นตัวละครนำในหนังอย่าง Happy-go-lucky

มันไม่ได้แปลว่า เราจะโกหกหรือหลอกตัวเอง ไม่ใช่การมองเรื่องร้ายแล้วเปลี่ยนเป็นเรื่องดี

แต่คือวิธีการใช้ชีวิตโดยมองโลกเห็นความโหดร้ายความผิดหวัง แต่ในอีกมุมนั้น ก็สามารถหา ความสุขที่จะนำมาหล่อเลี้ยงชีวิตให้เติบโต

เพียงเท่านี้ กะทิ หรือ เราก็สามารถค้นพบความสุขได้ แม้จะเจอเรื่องเลวร้ายเพียงใดก็ตาม


สรุป ... ในมุมมองของคนทีเชียร์แต่ไม่ค่อยอินเท่าไหร่อย่างผม ชื่นชมและเชียร์ให้ลองหามาอ่านหรือรับชมหนัง เหตุและผลขอสรุป ตามที่แบ่งไว้สามข้อใหญ่ๆข้างต้น

1.ในแง่คุณภาพทั้งหนังสือและหนัง อยู่ในข่าย ดี ละเมียดละไม ซึ่งหนังในลักษณะนี้หาได้น้อยมากจาก แนวหนังไทยส่วนใหญ่ (อย่างที่บอกข้างต้น ถ้าไม่นับหนังเป็นเอกหรือหนังนอกกระแส หนังในกระแสเรื่องที่เนิบละเมียดละไมที่นึกออกในยุคหลังๆมีแค่ รักแห่งสยาม แล้วก็มาเรื่องนี้) คุ้มค่าน่าไปดูน่าอ่าน แต่ อาจง่วงไปบ้าง และ ไม่ใช่หนังในแนวที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย

2.ในแง่โลกของตัวละคร ถ้าคนเคยอ่านรู้สึกว่าปรุงแต่งมาก จงใจประดิษฐ์ให้งามมากเกิน หรือ เคยไม่เชื่ออย่างไร ยิ่งดูหนังก็จะยิ่งรู้สึกเหมือนเช่นนั้น

3.สิ่งที่ดีมากๆ ที่น่าชักชวนให้เสพทั้งหนังและหนังสือ คือ แก่นใจความที่ผู้แต่งนิยายและผู้กำกับหนังให้ความสนใจ และ การที่ ความสุขของกะทิ สามารถแตกหน่อความคิดสร้างจุดถกเถียงกันได้หลังดูหนังหรืออ่านหนังสือจบ

ป.ล. ชอบเพลง ฉันดีใจที่มีเธอ มาอยู่ก่อน และ ชอบมากๆที่เลือกมาใช้ในเรื่องนี้ เหมาะดีเหลือเกิน



Link ของ บทความที่อ้างอิงถึง และ เกี่ยวข้อง

รักแห่งสยาม , ทุกชีวิตเติบโตได้ด้วยความรัก

พลอย , คุยเรื่องรัก+ ชวนคิดลึก กับ "พลอย"

จาก ปืนใหญ่จอมสลัด สู่ บุหงาปารี , ความน่าเสียดาย ความน่าผิดหวัง กับ หนัง(สือ)ดี

Always: Sunset on Third Street , บางสิ่งที่ไม่อาจเห็นได้ด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยใจ





สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนัง ได้ที่ //vreview.yarisme.com




พื้นที่แนะนำผลงาน{ตัวเอง}

(คลิกที่รูปหนังสือ เพื่อ อ่าน หรือ แสดงความเห็น ต่อหนังสือแต่ละเล่มได้เลยครับ)

ปีนี้ “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” ขอฝากผลงานเล่มล่าสุดที่เพิ่งคลอดจ้า อันว่าด้วย 'ความรักและกำลังใจ' ผ่านแรงบันดาลใจจากชีวิตและภาพยนตร์ ในหนังสือที่ชื่อว่า

เมื่อฉันลืมตา แล้วโลกเปลี่ยนไป



และ ผลงานสองเล่มก่อน จากสองปีที่ผ่านมา



"หนังสือรัก" หนังสือที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม กับ องศาที่ 361 หนังสือที่อาสาช่วยคุณค้นหามุมเล็กๆในตัวเองที่จะมีความสุขในชีวิตได้มากขึ้น โดยอาศัย'หนัง'เป็นสะพานพาไปเข้าใจตัวเอง


มีขายตามร้านหนังสือทั่วไป แต่ เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ "หนังสือรัก"เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php ส่วน องศาที่ 361 สั่งได้จากเว็บของซีเอ็ดครับผม






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก

พูดคุยกับเจ้าของ Blog คลิก

เปิดหารายชื่อหนังเก่าๆนอกเหนือจากในหน้าสารบัญ คลิก





ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป


Create Date : 10 มกราคม 2552
Last Update : 12 มกราคม 2552 1:17:55 น.
Counter : 17036 Pageviews.

39 comments
  
ขอบคุณมากคับ

ผมว่า ความเนิบๆของหนัง คือเสหน่ส์ของเรื่องนี้อ่ะ
โดย: tta IP: 117.47.89.50 วันที่: 10 มกราคม 2552 เวลา:16:10:09 น.
  
ครั้งนี้เห็นด้วยไม่ 100%
เพราะผมชอบหนังเรื่องนี้ มาก ครับ
หนังเดินไปเรื่อยๆ นุ่มๆ ละมุน ไม่หลับ
ไม่กระชากหัวใจ ไม่รันทดเกินเหตุ
ไม่หักมุมรุนแรง(เช่น HBD)
สรุปคือผมชอบคร้าบ
(อ่านเล่มล่าสุดเกือบจบแล้ว ดีมาก ให้กำลังใจครับ)
โดย: phuketdog IP: 118.173.87.209 วันที่: 10 มกราคม 2552 เวลา:16:51:55 น.
  
คุณผมอยู่ข้างหลังคุณ ช่วยลบรูปในคห ที่ 2 ด้วยครับ
รูปเขาใหญ่จนอ่านบล็อกยากมากๆครับ

เรื่องนี้ผมชอบครับ
โดย: bigwores วันที่: 10 มกราคม 2552 เวลา:17:24:09 น.
  
ผมชอบนิยายเรื่องนี้ครับและเพิ่งไปดูหนังมาเมื่อวาน

ผมชอบที่กล้องแช่ภาพบางอย่างที่ดูไม่สำคัญแต่อยู่แวดล้อมตัวละคร
ชอบที่กล้องค่อยๆแพนช้าในแต่ละเหตุการณ์โดยที่ไม่โฟกัสไปที่ใดที่หนึ่ง
ชอบภาษาที่สื่อสารโดยไม่ใช้คำพูดของตัวละครหลายๆตัว อย่างเช่นการสบตา การกอด หรือหันมอง

แต่...
ผมว่าบทสนทนาและการแสดงของตัวละครบางตัวมันดูโดดๆออกมาจากหนัง ( เห็นได้ชัดจากคุณอาทั้งหลายและน้องทอง ) รู้สึกไม่เป็นธรมชาติ ทำให้ดูแล้วตะหงิดๆอย่างไรชอบกล รวมถึงบางฉากบางตอนที่ถ้าตัวละครไม่พูดออกมา มันจะให้อารมณ์ซึ้งดีกว่านี้

แต่โดยรวมชอบครับ และก็ไม่ได้เป็นหนังที่ชวนง่วงสำหรับผมแต่อย่างใด ออกจะดีใจด้วยซ้ำที่มีหนังไทยสไตล์นี้ออกมา
โดย: jonykeano วันที่: 10 มกราคม 2552 เวลา:19:10:54 น.
  
ยังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แต่ได้ดูหนังมาแล้ว ขอมองในแง่มุมของหนัง ผมว่ามันเป็นหนังที่ทำให้ผู้ใหญ่ดู ไม่ใช่ให้เด็กดู ภาพสวย บทของหนังดูจะเจาะให้ลึกแต่เจาะไม่ลงหรืออย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกคำพูดของแม่ที่บอกเล่ามันดูง่ายเกินไปที่จะเอาไปทำความเข้าใจ แต่ในมุมมองเรื่องการตัดสินใจของกะทิทำออกมาได้ดี โดยรวมแล้วชอบกับบรรยากาศไทยๆครับ
โดย: spoungpan IP: 124.120.167.98 วันที่: 10 มกราคม 2552 เวลา:20:03:07 น.
  
เราไม่เห็นด้วยอะ
หนังรักแห่งสยามดูมีชั้นเชิงกว่าเยอะ
อย่างน้อยคนที่ออกจากโรงมาก็ยังรู้ตัวว่า ได้อะไรมาบ้าง
ถ้าคำว่าภาพสวยตอบคำถามได้ทุกอย่าง เราว่าต่อไปไม่ต้องพยายามให้คนดูเข้าใจหรอก
เอาภาพสวยๆ ไว้ก่อน หนังไม่ดียังไง เดี๋ยวคนก็ชมว่าภาพสวย
โดย: ขี้เกียจล็อกอิน ไม่ได้อยู่บ้าน IP: 61.7.149.6 วันที่: 10 มกราคม 2552 เวลา:20:38:36 น.
  
ผมยังไม่ได้ไปดูหนัง แต่เคยอ่านนิยายเรื่องนี้แล้ว

เห็นด้วยกับคุณหมอโรคจิตครับ ที่ว่าความรู้สึกนึกคิดของกะทิดูจะแก่แดดแก่ลมเกินเด็กทั่วๆไปจริงๆอย่างที่คุณหมอว่ามา

ส่วนเรื่องภาษาในนิยาย ที่บอกว่า มีการบรรยายรายละเอียด อย่างงดงาม นี่ผมเห็นด้วยครึ่งนึงตรงที่ผู้เขียนบรรยายได้ละเอียดและเห็นภาพชัดเจนดี แต่ที่มีหลายคนบอกว่า ใช้ภาษาได้อย่างสละสลวยงดงามนี่ผมก็รู้สึกเห็นต่าง เพราะผมรู้สึกว่าผู้เขียนใช้ภาษาแบบเด็กกะโปโลมาก จนผมอ่านนานๆแล้วรู้สึกเลี่ยนในความกะโปโลที่มีมากจนเกินงาม

ส่วนพล็อตเรื่องในนิยายก็เรียบง่ายเป็นเส้นตรง และขาดจุดที่สร้างอารมณ์ตรึงใจชนิดที่อ่านแล้วเหมือนมีลูกอะไรมาจุกอยู่ในลำคอ(ต่างจากหนังญี่ปุ่นอย่าง Always ที่เรียบง่ายแต่ซาบซึ้งอย่างยิ่งในตอนท้าย)

แต่เดี๋ยวว่างๆก็ว่าจะไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรงอยู่เหมือนกัน

โดย: อาตั๊มโรคจิต IP: 118.173.70.141 วันที่: 10 มกราคม 2552 เวลา:21:15:55 น.
  
โดยส่วนตัวชอบหนังเรื่องนี้ครับ

ชอบบรรยากาศของหนัง มันทำให้รู้สึกว่าความสุขมันอยู่รอบๆตัวเรา
ชอบการบรรยายด้วยภาพ ทำให้ซึ้งได้หลายๆฉาก
ไม่ง่วง ไม่ฟูมฟาย น้องที่เล่นเป็นกะทิก็น่ารักดีครับ น่ารักแบบสมวัยไม่เกินเหมือนเด็กหญิงใน ตอน ฝัน ของ ฝัน หวาน อาย จูบ
โดย: amnesia IP: 202.28.183.10 วันที่: 10 มกราคม 2552 เวลา:21:16:37 น.
  
เพิ่งไปดูมาวันนี้ ประทับใจมากๆค่ะ
แต่เห็นด้วยกับคุณหมอว่า ฉากที่กะทิเจอแม่ มันน่าจะทำให้คนดูรู้สึกได้มากกว่านี้นะ อันนี้ดูแล้วไม่รู้สึกว่าเป็นอาการของแม่ลูกที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปีเลยหล่ะ
แต่เข้าใจว่าผกก.อาจจะไม่อยากให้รู้สึก ฟูมฟาย แต่เราก้อว่ามันน้อยไปอยู่ดีนะ
ที่ประทับใจมากคงเป็นภาพในหนังที่ถ่ายออกมาได้สวยมากๆ และประเด็นที่ทำให้คนดูได้เก็บมาขบคิดต่อได้
โดย: vanilla IP: 58.9.52.252 วันที่: 10 มกราคม 2552 เวลา:21:42:41 น.
  
เราเพิ่งไปดูมาวันนี้เองค่ะ เราอ่านหนังสือก่อนทำให้รู้รายละเอียดและรับรู้ถึงความรู้สึกได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้ดูไป การเล่าเรื่องน้อยก็ทำให้เพื่อนเราไม่เข้าใจในบางส่วนเหมือนที่คุณคิดเลยค่ะ อย่างทำไมแม่ต้องหายไป แม่เป็นโรคอะไร (แม่ดูไม่ป่วยเท่าในหนังสือด้วยค่ะ) โดยรวมๆ ก็เรียกน้ำตาเราได้พอสมควร เสียดายวันนี้เป็นวันเด็ก มีผู้ปกครองหลายคนคิดว่าคงเป็นหนังสไตล์แฟนฉัน จึงพาเด็กๆ เข้าไปดูหลายกลุ่ม เด็กๆ ดูน่าเบื่อ จึงส่งเสียงกันบ้าง บางคนก็ต้องพาเด็กออกไป คิดว่าเป็นหนังของผู้ใหญ่มากกว่า กลับมาเพิ่งเจอกระทู้ร้อนในเฉลิมไทย เลยต้องรีบหา blog ของคุณอ่านว่าคิดเหมือนเรารึเปล่า
โดย: Rurujung IP: 58.8.19.124 วันที่: 10 มกราคม 2552 เวลา:21:49:03 น.
  
อ่านหนังสือไปสองรอบแล้วค่ะ ชอบมาก อ่านความเห็นของคุณแล้วชอบค่ะแต่ขออธิบายแทนคนเขียนหน่อยนะคะ ที่คุณบอกว่าเหมือนคนเขียนใส่ความคิดของเด็กแบบผู้ใหญ่ในร่างเด็ก ดิฉันคิดว่าเด็กบางคนที่มีระดับสติปัญญาที่สูงกว่าเด็กในวัยเดียวกันก็อาจจะมีความคิดที่เกินวัยได้นะคะ ส่วนความเห็นของคุณที่บอกว่าอะไรๆที่อยู่รอบข้างกะทิดูดีเกินไป ทำให้ไม่อินนั้น ดิฉันเข้าใจ แต่ขอออกความเห็นว่า ชีวิตของกะทิแม้จะดูดีไปหมด แต่ไม่ใช่ว่าชีวิตเช่นนี้จะไม่พบเจอในชีวิตคนจริงๆ แม้ว่าคงพบได้น้อยมากในสังคมไทยปัจจุบัน อันนี้คิดว่าด้วยความที่ชีวิตวัยเด็กของผู้เขียนน่าจะมีส่วนคล้ายกะทิ คือ แวดล้อมด้วยผู้คนที่รักและเป็นห่วงเธอ ทำให้เธอสามารถสื่อสารความรู้สึกออกมาผ่านกะทิได้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ ส่วนตัวดิฉันเองก็อาจจะคล้ายๆกัน คือ ชีวิตที่ผ่านมาก็เจอพ่อแม่ ปู่ย่าที่รักและให้กำลังใจเสมอมา ทำให้รู้สึกว่าชีวิตแบบกะทิก็เป็นไปได้นะ (แม้ว่าจะพบได้น้อย) และเรื่องราวแบบนี้ไม่ใช่เหรอที่ทำให้ชีวิตเรายังมีความหวังอยู่บ้าง ว่าสังคมเราก็ไม่ได้มีแต่คนที่จ้องจะเอาเปรียบหรือใส่หน้ากากใส่กันเสมอไป
โดย: ิำปอมปอมจัง IP: 125.24.42.153 วันที่: 11 มกราคม 2552 เวลา:0:32:33 น.
  
เขียนวิจารณ์ได้ดีมาก ๆ ครับ
โดย: p_pyai วันที่: 11 มกราคม 2552 เวลา:0:36:02 น.
  
พึ่งไปดูมาเมื่อคืนค่ะ
รู้สึกว่าตัวกะทิ ดูเก็บกดเกินไปรึป่าวคะ
ทั้งเรื่องมีบทพูดอยู่แค่นิดหน่อย รู้สึกไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่เลย เด็กในวัยนี้น่าจะสดใสช่างพูดกว่านี้ หรือน่าจะแสดงออกในฉากที่เจอแม่มากกว่านี้น่ะค่ะ
คือเห็นด้วยมากเลยในแง่ที่ว่า ดูเหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็กมากกว่า
แล้วก้อส่วนของญาติๆ ก้อดูเพอร์เฟ็กจนเกินไปจริงๆ จนไม่ค่อยเหมือนชีวิตจริงเลยนะคะ
โดย: tidtee IP: 117.47.192.113 วันที่: 11 มกราคม 2552 เวลา:10:55:14 น.
  
ดูแล้วครับ

ชอบภาพเขาจริง ๆ ให้ความรุ้สึกอยากไปอยู่ตจว

แต่ไม่ชอบการแสดงของน้อง ๆ เท่าไร ที่ดูเหมือนจะไม่เป็นธรรมชาติเพียงพอ ( แต่น้อง ๆ ทุกคนทีเสน่ห์ มาก น่ารักจริง ๆ๗

แล้วผมก้อไม่ อินกับ ครอบครัวเท่าไรครับ พวก ลุง กับ อา นี่งง ไปเลย โผล่ ๆ มาไม่มี background เท่าไร

โดยสรุปก้อชอบ แต่ไม่อินอะคับ
โดย: MTO IP: 124.120.214.183 วันที่: 11 มกราคม 2552 เวลา:11:24:05 น.
  
ยังไม่ดูหนังและไม่แน่ใจว่าจะดูรึเปล่า เพราะไม่ประทับใจในนิยายสักเท่าไหร่...


ปล. ผมเองก็เคยใช้คำว่า "ดัดจริต" กับนิยายเรื่องนี้
โดย: yatiko IP: 118.173.145.119 วันที่: 11 มกราคม 2552 เวลา:15:22:27 น.
  
เราเคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อนนานมากแล้วค่ะ จนจำเนื้อหาไม่ค่อยจะได้ ตอนที่อ่านก็จำได้ว่ามันเนิบมากๆ ไม่ประทับใจซักเท่าไหร่

แต่พอมาดูหนังเรื่องนี้ เรากลับรู้สึกชอบ ทั้งที่หนังก็เนิบๆเหมือนกัน แต่ดูแล้วรู้สึกอิ่ม เต็มไปด้วยความรู้สึกหลายๆอย่าง ชอบที่หนังไม่บอก ไม่อธิบายทุกอย่าง (ที่คุณบอกว่าน้อยเกินไป 55) แต่สำหรับเรา มันทำให้หนังน่าเบื่อน้อยลง เพราะต้องพยายามคิดตาม เดา ว่า ตัวละครพวกนี้มันโผล่จากไหนนะ

ที่เห็นด้วยเลยสำหรับทั้งหนัง และ หนังสือ คือ ทุกอย่างดูเป็นโลกอุดมคติเกินไป ดีเว่อมั่กๆ

ปล.พอดูหนังเรื่องนี้จบ วันรุ่งขึ้นเราหาหนังสือความสุขของกะทิเล่ม 2 มาอ่าน แล้วเพลิดเพลินกว่าตอนอ่านเล่ม 1 มากๆค่ะ
โดย: pHH IP: 124.121.103.152 วันที่: 11 มกราคม 2552 เวลา:17:16:31 น.
  
แวะมาอ่านครับ : )
ส่วนตัวอ่านแล้วชอบ
แต่ยังไม่ได้ไปดูครับ :~



... บุญรักษาครับ : )
โดย: ผ่านมา : ) IP: 125.25.95.140 วันที่: 11 มกราคม 2552 เวลา:18:30:16 น.
  
ชอบคำวิจารณ์ของคุณมากครับ ตรงใจที่อยากจะบอกเลย

ความสุขของกะทิมันเลิศเลอ อุดมคติ จับต้องยาก สมเป็นความสุขของกะทิคนเดียวจริงๆ
โดย: หนึ่งกระบี่ แปรสามแจ้ง IP: 125.24.57.214 วันที่: 11 มกราคม 2552 เวลา:20:21:20 น.
  
ไม่มีปัญหากับการแสดงของกะทิที่แสดงออกว่ารักแม่ แบบว่า เข้าใจเด็ก ฉากที่แอบซุกตัวเข้าหาแม่ที่เตียง ตอนแม่หลับ นั่นก็แสดงชัดแล้วนะว่ารัก
อีกอย่างน้องกะทิเขาแสดงกำลังดีแล้ว ไม่แข็งหรอก

แต่มีปัญหากับความรักที่แม่มีต่อลูก ตอนฉากแม่ร้องห่มร้องไห้... เจ๊อยากตาย ร่ำร้องในใจ "ขอร้องค่ะคุณแม่ อย่าโกหกเด็ก มีปัญหาอะไรคุณก็บอกลูกไปตรงๆเหอะ ไหนๆก็จะตายอยู่แล้ว" (ทีแรกยังนึกว่าแม่เป็นโรคติดต่อนะนั่นนะ)

ก็นะ แค่อธิษฐานบ้าบอยามขาดสติ เป็นเหตุผลให้ทิ้งลูกได้ไงกัน... ทำซะยังกับต้องตายจาก... เป็นเหตุผลที่เขียนขึ้นมาแบบ Fake มากๆน่ะ...

แต่ก็มีคนบอกนะว่าในหนังสือเขียนบุคลิกแม่ได้ชัดเจน อ่านแล้วจะเข้าใจ... ก็เรายังไม่เชื่อเท่าไหร่ เพราะไม่ว่าอุปนิสัยเป็นคนอย่างไร เหตุผลแค่นี้พรากรักแม่-ลูก ในโลกชีวิตจริงไม่ได้แน่ๆ


หนังเรื่องนี้ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น "ความทุกข์ของญาติกะทิ" จริงๆนะ ไม่รู้จะบ้าพารานอยด์อะไรกัน

โดยส่วนตัวเลยนะ เราว่ามันผิดพลาดที่ให้คนเขียนหนังสือมาช่วยเขียนบทนั่นแหละ ปืนใหญ่จอมสลัดก็เช่นกัน.....

หนึ่งคือ: เขาขาดประสบการณ์ในการทำบทหนัง
และ สอง: เขามีภาพหนังสืออยู่ในหัวแล้ว มันยากที่จะเล่าเรื่องเป็นอีกแบบ เมื่อเป็นหนัง


ปล.1 ม้าที่ชาดหาด........ ติสท์แตก เหมือน maid เฉาก๊วยร้องเพลงใน "พลอย" มั้ง ทิวชอบหนังเรื่องพลอย แต่เกลียดฉากนี้สุดๆเลย

ปล.2 เปราะบางเกินกว่าจะโดนด่าได้.... .... น่านะ...แล้วจะไว้ให้ยื้มเสื้อกันไฟ

ปล.3 เป็นหนัง(ตั้งใจ)ดี ที่ทำออกมาได้ดี(ปานกลาง) แต่ผลคือไม่สนุก... ถึงกระนั้นก็ควรค่าต่อการไปดู.... (ดีกว่ากั๊กกับกาวน์ตั้งเยอะ หุหุหุ)
โดย: TulipOnLine IP: 58.8.105.19 วันที่: 11 มกราคม 2552 เวลา:21:10:07 น.
  
อืม...ม
อ่านแล้วบริหารสมองดีครับ
ขอบคุณครับ
โดย: thanachott IP: 124.121.244.22 วันที่: 11 มกราคม 2552 เวลา:22:34:26 น.
  
ลงชื่อเข้ามาอ่านครับ


ตรงใจผมมากครับ อ่านแล้วรู้สึกเลย ว่าเจอการวิจารณ์ในฝันแล้ว 5555


ขอบคุณมากกกครับ
โดย: BIZZARE วันที่: 11 มกราคม 2552 เวลา:22:38:55 น.
  
ตรงใจมากครับ...

ปล.ดูไปหลับไป
โดย: poopoo IP: 118.173.229.103 วันที่: 11 มกราคม 2552 เวลา:22:52:15 น.
  
ไม่ค่อยได้แวะเข้ามาในบล๊อก แต่ครั้งนี้คงต้องแวะนิดนึง

ชอบทั้งหนัง ชอบทั้งบทความ น้า "ผมอยู่ฯ" ในบล๊อกนี้ครับ

โดย: 311025 IP: 58.9.138.161 วันที่: 11 มกราคม 2552 เวลา:23:21:55 น.
  
ขอบคุณครับ
แค่จะลงชื่อบอกว่า มาอ่านงานเขียนของคุณอยู่เป็นประจำ ได้มุมมองที่ดีๆใหม่ๆตลอดเลย
แล้วจะมาอีกนะครับ
โดย: Finrod IP: 88.130.204.33 วันที่: 12 มกราคม 2552 เวลา:0:53:06 น.
  
ชอบ จขบ.
ชอบความเห็นที่ 18
ตรงใจมากๆ
โดย: Noogaab IP: 202.28.21.4 วันที่: 12 มกราคม 2552 เวลา:10:47:52 น.
  
ยังไม่ได้อ่านหนังสือเลยค่ะ แต่ชอบหนังมากกว่าที่คิดไว้เยอะทีเดียว

ชอบความ"น้อย"ของหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะอารมณ์ค่ะ อย่างที่พี่เขียนว่า ตลอดทั้งเรื่องเหมือนเรากำลังนั่งดู ชีวิตครอบครัวที่สมาชิกในบ้านพยายามเก็บกดอารมณ์กันทั้งบ้าน กลับเป็นจุดที่เราชอบมากที่สุดเลยค่ะ ถึงมันจะน้อย แต่มันก็สัมผัสได้ แบบรู้สึกจุกๆแต่ก็ไม่แน่นเกินไป และก็ไม่เหนื่อยค่ะ (เทียบกับ Always ซึ่งเราไม่ค่อยโดน เพราะเหมือนมันเค้นจนเหนื่อยน่ะค่ะ)

เห็นด้วยกับความเห็น 11 ที่ว่าเด็กที่ความคิดเติบโตในระดับนี้ได้น่าจะมีนะคะ(โดยเฉพาะเมื่อผ่านการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างเหมาะสม) ตอนอ่านแฮร์รี่ซะอีกที่เรารู้สึกว่า อะไรจะฮอร์โมนพลุ่งพล่านขนาดนั้น

ติดใจอยู่แค่ประเด็นเดียวคือเหตุผลที่แม่ไม่ยอมเจอหน้าลูกอีกเลยน่ะค่ะ รู้สึกว่ามันดูมีทางอื่นอีกเยอะ หวังว่าถ้าไปอ่านหนังสือแล้วจะเห็นเหตุผลมากขึ้นค่ะ

สรุปว่าเป็นหนังที่ดูแล้วรู้สึกร่มรื่นใจและได้ฉุกคิดดีค่ะ
โดย: azzurrini วันที่: 13 มกราคม 2552 เวลา:0:44:05 น.
  
อ่านหนังสือจบทั้งสองเล่มแล้วครับ
จึงรู้สึกว่าอยากให้ทำ 2 เล่มรวมกันมากกว่าค๊าบ
โดย: Empirical man IP: 118.173.148.242 วันที่: 13 มกราคม 2552 เวลา:21:56:02 น.
  
เขียนได้ตรงใจผมมากครับ เล่นเอาผมอ่านของคุณแล้วต้องพยักหน้า "ใช่ๆ" อยู่ตลอดเวลา
โดย: Unregistered user วันที่: 14 มกราคม 2552 เวลา:10:14:43 น.
  
ร้องไห้มากกว่าดู HBD อีกอ่ะครับ
ผมว่าหนังมันนิ่ง แต่มีพลังนะครับ
..เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะครับ คงไม่ทุกคนที่จาเห็นด้วย
โดย: หมูหวานใจ IP: 117.47.123.184 วันที่: 14 มกราคม 2552 เวลา:13:43:11 น.
  
เคยอ่านฉบับหนังสือครับ เป็นหนังสือที่ภาษาดีแต่ก็คิดอยู่เหมือนกันว่ากะทิจะทำใจได้เก่งเกินไปหรือเปล่า

จะว่าไปแล้วซีไรท์ที่ทัคนเถียงกันเยอะๆ ก็มีลักษณะเป็นแบบนี้นะครับ ครั้งนั้นก็ อัญมณีแห่งชีวิต ของคุณ อัญชัน เรื่องหนึ่ง
โดย: เทราโอะ IP: 58.8.181.173 วันที่: 15 มกราคม 2552 เวลา:11:07:31 น.
  
ไม่ชอบตรงที่ปล่อยว่างนานไปหน่อย
ตอนเปิดเรื่องนึกว่ากะทิเป็นใบ้เพราะกว่าจะพูดก็นาน
แม่เจอลุกก็ไม่พูดอะไร ผมนึกว่าแม่เป็นใบ้เหมือนกัน -.-''
ปล่อยว่างนานๆ มันดูอึดอัด

แล้วก็เหมือนหลายคนคือ งงๆ เรื่องใครเป็นน้า
เป็นลุงตัวจริงกันแน่เหมือนกัน เพิ่งมาเคลียร์ก็ตอนเชอรี่
บอกว่าเพิ่งรู้จักกับแม่กะทิ แต่ก็ยังงงๆ นิดๆ แฮ่ๆๆ

เห็นด้วยกับ จขกท อีกอย่างคือเรื่องแม่อธิษฐาน
ดูแล้วรู้สึก "แค่นี้เองเหรอ" เหมือนกัน

ชอบฉากตรงกะทิเปิดหน้าต่างรถดูไฟในเมือง
เทียบกับตอนเปิดหน้าต่างรถสูดกลิ่นทุ่งนา
ดูแล้วมันรู้สึก เห็น ความสุขของกะทิ จริงๆ

แต่โดยรวมถือว่าเป็นหนังไทยที่ผมชอบมากที่สุดในช่วงนี้ครับ
(ยังไม่ดู รักต่างพันธุ์ เรื่องเดียว)
โดย: lkunl IP: 58.8.6.251 วันที่: 15 มกราคม 2552 เวลา:22:07:02 น.
  
หนังดูตั้งใจทำ ประณีตกับทุกๆเฟรม หนังเนิบนาบจริง ถือว่ากล้าพอสมควร แต่ไร้ซึ่งพลังและความรู้สึกใดๆเลย(ขอชมในความกล้าหาญของคนทำละกันนะ) หนังพยายามเล่าน้อยแต่ให้มาก แต่กลับรู้สึกว่าพยายามมากเกินไป บวกกับการแสดงที่แข็งๆฝืนๆของทุกๆตัวละคร ทำให้รู้สึกว่าหนังไม่ได้บอกอะไรอย่างที่มันควรจะบอกเล๊ยยย....ดูหนังเรื่องนี้แล้ว เหมือนกับการไปดูภาพสวยๆ ดอลลี่กล้องไปมาตลอดสองชั่วโมง และไม่รู้สึกอะไรเลย .....ส่วนตัวคิดว่าหนังไม่เข้มแข็งในสิ่งที่ต้องการจะบอกกับคนดูเลย ต่างจากหนังเรื่อง Happy Birthday ทั้งที่หนังมันดูดันบทจนเว่อร์ และการแต่งหน้าที่ดูเฟคได้อีก แต่เราคิดว่ามันได้บอกในสิ่งที่ต้องการจะบอกกับคนดูแล้วอย่างชัดเจนด้วยความเชื่ออย่างที่ต้องการจะบอกจริงๆ....

ผิดหวังค่ะกับความสุขของกะทิ
โดย: filminist IP: 125.25.100.207 วันที่: 16 มกราคม 2552 เวลา:1:19:10 น.
  
คคห.ส่วนตัว

บางอย่าง ไม่ใช่ หลายอย่างน้อยไปครับ

-เดินเรื่องจังหวะเดียว ไม่เร่ง ไม่ผ่อน
-ละหลายๆอย่างไว้ในฐานที่(ไม่)เข้าใจเยอะไปหน่อย
-สะดุดที่สุดตอนกะทิเจอแม่ จะ built อารมณ์ให้มากกว่านี้ก็ได้ แต่นี่ --"


ถ้าอารมณ์ดีๆ มีสมาธิมากกว่านี้(รอบที่ดูโดนยุงตอมขาครับ เลยเขวๆไปหน่อย) อาจให้คะแนนเยอะกว่านี้ครับ
โดย: ลูกจ้างดีเด่น IP: 203.113.114.244 วันที่: 27 มกราคม 2552 เวลา:11:01:42 น.
  
แวะเข้ามาค่ะ แต่จะแวะมาอ่านบ่อยๆ นะค่ะ

บรรยายละเอียดดีค่ะ...ขอบคุณนะค่ะ
โดย: หมูอ๊วนอ้วน วันที่: 3 มีนาคม 2552 เวลา:14:54:43 น.
  
เพิ่งดูจบ

อยากบอกว่าอะไรก็รับได้
แต่เหตุผลที่แม่ไม่ยอมเจอลูกนี่ รับไม่ได้จริงๆ
โดย: SFFC IP: 125.27.66.104 วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:19:18:40 น.
  
โดย: คนเดินดิน (หน้าใหม่อยากกรอบ ) วันที่: 8 สิงหาคม 2554 เวลา:8:30:41 น.
  
โดย: คนเดินดิน (หน้าใหม่อยากกรอบ ) วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:3:16:08 น.
  
ขอบคุณนะคะ
โดย: นัท IP: 58.9.226.164 วันที่: 5 กันยายน 2554 เวลา:20:07:10 น.
  
โดย: SassymOn วันที่: 29 พฤศจิกายน 2554 เวลา:2:48:46 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aorta.BlogGang.com

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]

บทความทั้งหมด