Ratatouille < < บนทางเดินของความฝัน - ในสังคมแห่งอคติ >> Hairspray //www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=29-07-2007&group=15&gblog=1
(นอกจากตามร้านทั่วไป สนพ.ฝากแจ้งว่า มีลด15% ถึงสิ้นเดือนกค.ที่ ดอกหญ้าสาขา อนุสาวรีย์, เมเจอร์สุขุมวิท, พันธ์ทิพย์ กทม., เมเจอร์เชียงใหม่, แฟชันไอแลนด์, เมเจอร์รังสิต, เมเจอร์ปิ่นเกล้า, เมเจอร์รัชโยธิน) เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง ความเห็นของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป ชอบ Ratatouille มากๆ เพราะเป็นอนิเมชั่นของพิกซาร์ที่โตขึ้นได้อย่างน่าพอใจ (หลังจากที่ Cars ทำให้ผมรู้สึกแค่ "ภาพสวยดี") ในฐานะอนิเมชั่นที่พูดถึงเรื่องการแหวกกรอบของชนชั้นและฐานะทางสังคมได้คมคายมาก
ด้าน Hairspray นี่ใน youtube มีคลิปของเวอร์ชั่น 1988 ให้ดูทั้งเรื่องเลยครับ เท่าที่ลองดูผ่านๆ เวอร์ชั่นนั้นจะเล่นประเด็นสีผิวแรงกว่าเวอร์ชั่นหลั่นล้าร่าเริงอันใหม่นี้ เพราะภาคนั้นเทรซี่ของเราติดคุกซะด้วย โดย: nanoguy วันที่: 17 สิงหาคม 2550 เวลา:1:44:26 น.
ดู Ratatouille แล้วชอบมากครับ
ที่ฝรั่งเศสเค้าเอามาออกสกู๊ป การทำRatatouille แบบต่างๆโดยเชฟหลายท่านเลยครับ ไม่ยากและน่าทานดี ผมว่าอีโก้เค้าชนะใจคนดูนะที่ยอมรับฝีมือเจ้าหนูน้อย อย่างไม่ติดใจ... โดย: pompier วันที่: 17 สิงหาคม 2550 เวลา:3:13:46 น.
ชอบหนูเรมี่มากครับ โดยเฉพาะตอนถูกฟ้าผ่าขนฟู เอามือ(หนู)โรยเครื่องปรุง กับพยักหน้า
นึกถึงหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นประเภทประลองอาหารเลยตอนที่อีโก้ทานอาหารแล้วย้อนถึงวัยเด็ก ความสมบูรณ์แบบจะเกิดได้อย่างไรถ้ามนุษย์เรายังแตกต่างกัน ส่วน Hairspray ออกแบบชุดสีสวยมากครับ สะอาดตา โดย: Derek วันที่: 17 สิงหาคม 2550 เวลา:9:53:59 น.
+ Ratatouille - เป็นอนิเมชั่นที่มีเนื้อหาค่อนข้างโตเนอะครับ เพราะใส่ความเป็นดราม่า กับประเด็นทางสังคมเข้าไปเยอะเหมือนกัน ... แต่พอปรุงออกมาก็อร่อยลิ้นลงตัวพอดี ... แล้วพอใส่เกร็ดเกี่ยวกับการเป็นเชฟ และการปรุงอาหารลงไปด้วย แถมยังกำหนดให้ฉากเป็นกรุงปารีสที่แสนโรแมนติคซะอีก ก็เลยทำให้ดูมีคลาส ไฮโซขึ้นมาเลยอ่า
+ ภาพสวยบาดตาเจงๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นวิวทิวทัศน์กรุงปารีส, อาหารต่างๆ, ความวุ่นวายของหลังฉากในครัว, ตอนเรมี่ตกน้ำในท่อ, ฯลฯ + บทหนังเข้าใจหามุกมาเล่น ... ไม่ว่าจะเป็นภาพวิญญาณของเชฟกุสโต (ซึ่งจริงๆ เป็นเพียงมโนภาพของหนูเรมี่), เรื่องความฝัน, เรื่องชนชั้น, บทที่มีสีสันของตัวร้ายที่เป็นอดีตซูเชฟ, รวมทั้งบทที่มีความลึกของนักวิจารณ์มาดดี แต่ปากร้าย อังตวน อีโก้ (ช่างสรรหาคนพากย์เสียงอันน่าเกรงขามได้เหมาะเหม็งเหลือเกิน อย่างปู่ปีเตอร์ โอ'ทูล ที่ดูเหมือนจะยิ่งแก่ยิ่งฮ็อต - เร็วๆ นี้ปู่ก็จะต้องไปเป็น king ใน Stardust อีกแว้ว) ... ที่จริงๆ แล้วลึกๆ เค้าก็คงรู้สึกผิดที่ไปวิจารณ์เชฟกุสโต้ จนต้องตรอมใจตาย (เพราะพื้นเพตัวเค้าเอง ก็มาจากคนบ้านๆ เหมือนกัน --> ช่วงย้อนนึกถึงรสชาติของ Ratatouille) ... ก็เลยทำการไถ่บาป ด้วยการเขียนวิจารณ์ 'ครั้งสุดท้าย' ให้แบบนั้น + Hairspray จัดว่าเป็นหนังเพลงที่ดูได้เพลิดเพลินเหลือเกินสำหรับผม (รู้สึกจะเขียนไว้ซะเยอะที่หน้าแรกแว้ว แหะๆ ) โดย: บลูยอชท์ วันที่: 17 สิงหาคม 2550 เวลา:14:28:45 น.
กลายเป็นแฟนประจำบล็อคคุณหมอไปแร้วค่า ขออนุญาติ Add Blog คุณหมอไว้ใน Friend link นะคะ ว่างๆก็ช่วยแวะไปเจิมบล็อคของ หนมปังด้วยนะคะ จะได้ปรับปรุงให้ดียิ่งๆขึ้น
โดย: รถขนมปังกรอบ วันที่: 17 สิงหาคม 2550 เวลา:16:03:40 น.
ผมไปดูRatatouilleแล้วครับ ผมว่ามันก็เป็น Animation ที่ดีเรื่องหนึ่งนะ แต่ก็ไม่ได้ชอบมากเท่ากับThe Iron Giant หนังเรื่องเก่าของแบดเบิร์ดครับ
แต่หากถามถึงAnimation ที่ผมชอบที่สุดก็ยังเป็นToy Story 2ครับ ผมมีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้มา 4-5รอบแล้ว ไม่ว่าจะกี่รอบหนังมันก็ทำให้ผมรู้สึกทุกครั้ง มันทั้งสนุก เศร้าและประทับใจ (ผมมักจะมีน้ำตารื้นๆทุกรอบที่ดูกับบางช่วงบางตอนของหนังครับ) เรื่องนี้จุดเด่นของมัน คือ บทหนังครับ บทหนังมันดีมากๆ มันยากนะในการที่หนังตั้งโจทย์ให้กับWoody ในการเลือกที่จะกำหนดชีวิตไปทางใดดี การ์ตูนทั่วไปมักให้ทางออกที่มี blck กับ white ชัดเจน แต่หนังเรืองนี้กลับให้ทางเลือกทั้งสองทางที่มีเหตุผล มีน้ำหนักมากๆ สุดท้ายหนังก็หาทางออกที่สุดลงตัวและประทับใจ พร้อมกับคำพูดดีๆของ Buzz Lightyear แถม soundtrackของหนังก็เพราะมากๆ esp When she loved meมันมาได้พอเหมาะพอเจาะกับอารมณ์ของหนังพอดี ในวันที่เหงาๆ อากาศเย็นๆ ผมมักจะหยิบ DVD เรื่องนี้ กด scene selection ไปยังตอนนี้ของหนังครับ และผมก็รู้สึกทุกครั้งกับคำพูดของ Jessie ที่ว่า "You never forget kids like Emily and Andy but....they forget you"เศร้าชมัด โดย: ท้องฟ้า IP: 58.8.90.160 วันที่: 19 สิงหาคม 2550 เวลา:12:50:39 น.
ชอบทั้ง 2 เรื่องเลยค่ะ เพิ่งไปซื้อ OST.Hairspray มาเก็บเอง
...พอพูดถึงเรื่องความอ้วนแล้วนึกถึง 200 pounds beauty เลยค่ะ ต้องเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่ๆ เลย ไว้จะรออ่านนะคะ ตอนนี้รู้สึกชอบเรื่อง 200 pounds beauty มากกว่า my sassy girl ซะอีก โดย: Vicky IP: 58.9.86.164 วันที่: 20 สิงหาคม 2550 เวลา:16:30:44 น.
Ratatouille : มันต่างกันน่ะ...ระหว่างขุดคุ้ยกับไขว่คว้า
ภาพของย่านคนจนซึ่งต้องหากินเยี่ยงหนูสกปรก ถูกกั้นกลางด้วยแม่น้ำให้ห่างออกจากย่านคนรวยผู้ระเริงชีวิตด้วยความศิวิไลซ์ ใบปิดข้างต้นกำลังบอกนัยยะสำคัญบางอย่างของหนังเรื่องนี้อยู่กลายๆ แน่นอนว่า Ratatouille เป็นหนังการ์ตูนที่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้ชมเด็กๆ เป็นสำคัญ แต่ทว่าผู้ใหญ่อย่างเราจะดูถูกหนังเรื่องนี้ไม่ได้เลยโดยเฉพาะในส่วนของบทภาพยนตร์ มันไม่ได้ถูกเขียนด้วยสติปัญญาที่ไร้เดียงสาหากแต่เป็นระดับอัจฉริยะ ทั้งงดงามและลุ่มลึกเสมือนผลงาน ดราม่าหวังรางวัลเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่แอนนิเมชั่นเรื่องนี้ของ ค่ายพิกซ่าร์ มีดีอยู่เกินตัว แต่จากภาพหนังตัวอย่างที่ปล่อยออกมาก่อนฉาย กลับเป็นไปอย่างเรียบง่ายและถ่อมตน ถือเป็นอีกหนึ่งข้อดีที่ความบันเทิงของ Ratatouille ถูกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิดภายใต้ฝาชีของการตัดต่อ ก่อนที่จะยกมาเสิร์ฟผู้ชมและอวดรสชาติชั้นเลิศเมื่อตอนได้สัมผัสเรื่องราวของหนังทั้งหมด ช่างแสนอิ่มตาอิ่มใจและมากถึงขั้นสะเทือนอารมณ์ได้ในหลายๆ ฉาก ความรู้สึกแบบเดียวกันกับที่เคยชมการ์ตูนญี่ปุ่นจากค่ายจิบลิกลับมาเยือนผู้เขียนอีกครั้งจากการได้รู้จักกับ Ratatouille เรื่องนี้ ผู้กำกับปรุงแต่งเรื่องราวของหนังได้อย่างกลมกล่อม ถึงรสชาติและมีรสนิยม งานด้านภาพและเสียงน่าจะเรียกได้อย่างเต็มปากว่างดงามไร้ตำหนิ ( ในมาตรฐานปัจจุบันของงานประเภทนี้) บทบาทของตัวละครที่ค่อยๆ เร่งระดับความสำคัญขึ้นจนกระทั่งผูกพันกับผู้ชมได้ในที่สุดอันนำไปสู่ฉากตอนท้ายเรื่องที่ทรงพลัง เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของทีมผู้สร้างซึ่งอยู่เบื้องหลังที่ร่วมกันผลักดันแต่ละนาทีของเรื่องราวเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่นี้ให้สำเร็จลงได้อย่างน่าชื่นชม เรื่องราวว่าด้วยชีวิตของเจ้าหนูเรมี่ที่มีนิสัยแหกคอกไม่ชอบกินเศษอาหารและขยะ มันมีรสนิยมเลิศหรูและปรารถนาว่าวันหนึ่งจะเป็นพ่อครัวชื่อดังแห่งกรุงปารีสให้ได้ เหมือนกับ เชฟออกัส กุสโต้ พ่อครัวผู้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เรมี่ เรมี่สนใจการทำอาหารเหมือนเขากำลังตกหลุมรักศิลปะแขนงนี้เข้าอย่างจังจนถึงขั้นถอนตัวไม่ขึ้น เขาเฝ้าลองผิดลองถูกจับโน่นผสมนี่เพื่อฝึกฝนวิธีการปรุงอาหารให้อร่อย จนวันหนึ่งเรมี่ก็ได้เป็นเจ้าของตำราอาหารของกุสโต้ เขาคว้าตำราเล่มนี้มาจากหญิงชราที่น่าจะไม่เคยเปิดอ่านมันเลยด้วยซ้ำ เรมี่พยายามศึกษาการทำอาหารจากตำราจนจำได้ขึ้นใจในทุกสูตร เหมือนเขาเตรียมพร้อมตลอดเวลาเพื่อที่โอกาสการพิสูจน์ฝีมือจะมาถึง ( ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าการหาความรู้จากการอ่านหนังสือสามารถเปลี่ยนชีวิตเราได้...) เชฟออกัส กุสโต้ ผู้วายชมน์ กลายเป็นภาพในจินตนาการของเรมี่ที่ยังคงโลดแล่นอยู่ในชีวิตเขาเสมือนกุสโต้ยังมีตัวตนอยู่จริงๆ เป็นจินตนาการผู้คอยชี้แนะให้ลงมือ ยับยั้งเมื่อทำผิดและปลอบโยนให้กำลังใจ ศิลปะในการพูดของจินตนาการกุสโต้ เปี่ยมพรสวรรค์ไม่แพ้การปรุงอาหารของเขา หลายครั้งที่ผู้ชมจะรู้สึกว่าเหมือนกำลังได้รับการสั่งสอนจากครูผู้รู้ซึ้งชีวิตเป็นอย่างดี ( ทั้งที่กุสโต้เป็นเพียงแค่ตัวการ์ตูน ) กุสโต้ไม่เพียงเคยสร้างสรรค์อาหารให้มีรสชาติเลอเลิศเท่านั้น ความสามารถด้านการพูดให้กำลังใจของเขาก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะสร้างชีวิตคนให้ดีขึ้นมาได้เช่นกัน ดูได้จากผลงานการเปลี่ยนคนที่เคยผ่านชีวิตแย่ๆ มาก่อนอย่างเด็กไร้บ้าน นักโทษขี้คุก ผู้หญิงที่ถูกเหยียดเพศ กุสโต้สร้างโอกาสใหม่ให้พวกเขาโดยปรับเปลี่ยนทัศนคติให้ผู้ที่น่าจะเรียกได้ว่ามีความผิดเพี้ยนอยู่ในรสแห่งชีวิตนี้ได้กลับมามีชีวิตที่กลมกล่อมเยี่ยงคนปกติอีกครั้ง บุคคลชายขอบเหล่านี้ มีบทบาทสำคัญอยู่ในครัวของภัตตาคารกุสโต้ จิตใจที่เปิดกว้างของกุสโต้เป็นที่มาจากคติพจน์ที่เจ้าหนูเรมี่ยึดมั่นเป็นสรณะว่า Anyone can cook (ไม่ว่าใครก็ทำอาหารได้ทั้งนั้น) หลังจากเรื่องราวได้จับพลัดจับผลูให้เจ้าหนูเรมี่ได้มาเป็นมิตรแท้ต่างสายพันธุ์กับหนุ่มน้อยชื่อว่า ลิงกวินี่ เด็กชายไร้ฝัน ไร้พรสวรรค์และดูเหมือนจะไร้ชีวิตชีวาในหลายๆ พฤติกรรม ลิงกวินี่มาทำงานเป็นเด็กเทขยะให้ภัตตาคารกุสโต้ภายใต้การนำของหัวเรือใหญ่คนใหม่ผู้มีบุคลิกต่ำเตี้ยไม่แตกต่างจากรสนิยมของเขา พ่อครัวตัวเล็กคนนี้แอบซ่อนแผนการใหญ่ที่จะฮุบกิจการภัตตาคาร กุสโต้เป็นของตน แล้วเปลี่ยนรูปแบบร้านไปผลิตอาหารแช่แข็ง ( จำหน่ายอาหารสำเร็จรูปประเภทเดียวกับอีซี่โกที่เครือเจริญโภคภัณฑ์กำลังทำอยู่ ) จากความเซ่อซ่าของลิงกวินี่บวกกับความช่วยเหลือที่สามารถของหนูน้อยเรมี่ ทำให้นักวิจารณ์อาหารชื่อดังเข้าใจผิดว่าลิงกวินี่คือพ่อครัวผู้มีรสมือเป็นเลิศ ชื่อเสียงของลิงกวินี่ภายใต้ความสามารถของเรมี่ดังกระฉ่อนไปไกลจนกระทั่งนักวิจารณ์อาหารชื่อดังที่สุดของเมืองชื่อว่า อีโก้ ต้องมาขอท้าชิม อีโก้เป็นนักวิจารณ์อาหารที่เงียบขรึม เย็นชา และดูเหมือนไร้อารมณ์เป็นที่สุด แต่กระนั้นเขาก็เป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ด้านการทดสอบอาหาร ก่อนการทดสอบของอีโก้จะมาถึง ปัญหาความวุ่นวายต่างๆ ก็ระดมประดังกันเข้ามาพาให้เรื่องราวของหนังต้องเดินเข้าสู่ภาวะความ ตึงเครียดและกลายเป็นจุดวิกฤติ ก่อนที่จะคลี่คลายออกด้วยความฉลาดและน่ารักเป็นที่สุด ทั้งยังฝากฉากจบที่ทรงพลังให้ผู้ชมได้กลับไปคิดต่อเป็นการบ้านหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจบันเทิงใน โรงภาพยนตร์แล้ว... มันต่างกันน่ะ...ระหว่างขุดคุ้ยกับไขว่คว้า เจ้าหนูเรมี่คงคิดเช่นนั้นจึงได้ทำเช่นนั้นและเป็นเช่นนั้น โดยฐานะของตัวมันเองที่เป็นเพียงแค่หนู สัตว์สกปรกผู้ต่ำต้อย เรมี่อาจหาญคิดฝันเกินตัวและเดินตามความฝันนั้นไปด้วยความมุ่งมั่นและอดทน ฝ่าด่านความยากลำบากต่างๆ นานาแต่ที่ถือเป็นอุปสรรคใหญ่สุดคงได้แก่คำสบประมาทของผู้เป็นพ่อ ว่าให้เจียมตัวในความนึกฝันและสำเหนียกอยู่ตลอดว่าตัวเองนั้นเป็นใคร โชคดีที่เสียงปรามาสของพ่อยังไม่ดังไปกว่าเสียงให้กำลังใจจากจินตนาการของกุสโต้ เรมี่เดินตามความฝันของตัวเคียงข้างไปกับภาพจินตนาการที่สมมุติขึ้นมาเองจนกระทั่งประสบความสำเร็จในที่สุด เรมี่เกลียดการขุดคุ้ยเศษซากขยะเหลือทิ้งเหมือนที่พวกหนูชอบทำกัน อาหารที่หนูประทังชีวิตล้วนมาจากเศษเดนเหลือกินจากผู้อื่น เรมี่เลือกที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ต้องการขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรง เขาจึงเลือกกินเฉพาะอาหารที่ตัวเองเป็นผู้ปรุง แทนที่จะต้องไปขุดคุ้ย เจ้าหนูเรมี่ของเรามันเลือกที่จะไขว่คว้า... มีภาษาภาพยนตร์ปรากฏอยู่มากมายในหนังเรื่องนี้และแตกออกได้เป็นหลากหลายประเด็น แต่ที่เด่นจริงๆ คงเป็นเรื่องความสำเร็จที่ต้องสร้างเอง (ไขว่คว้า) แทนการฉกฉวยความสำเร็จของ ผู้อื่นมาอย่างมักง่าย (ขุดคุ้ย) ประเด็นนี้ นอกจากจะสื่อผ่านพฤติกรรมหลักของพวกหนูขี้ขโมยแล้ว ยังสื่อผ่านพ่อครัวตัวเล็กที่คิดจะฮุบกิจการภัตตาคารที่กุสโต้สร้างมาด้วยหัวจิตหัวใจ , ชื่อเสียงที่ลิงกวินี่ได้รับก็เช่นกัน มันเป็นความสำเร็จของผู้ที่อยู่เบื้องหลังซึ่งก็คือเจ้าหนูเรมี่นั่นเอง , มรดกที่ ลิงกวินี่ได้รับจากพินัยกรรมของผู้เป็นพ่อก็เป็นเพียงความสำเร็จของบรรพบุรุษ หาใช่ความสำเร็จที่ลิงกวินี่สร้างขึ้นมาด้วยตัวเองไม่ รวมไปถึงการหาชื่อเสียงของเหล่านักวิจารณ์อาหารที่โด่งขึ้นมาจากงานสร้างสรรค์ของคนอื่น อีกนัยยะหนึ่งที่เหน็บแนมและกะเทาะเปลือกความเป็นฝรั่งเศสได้ถึงแก่นนั่นคือ มหานครอันหรูหราของเหล่าศักดินาชนชั้นผู้ดีแห่งนี้ มันถูกสร้างขึ้นจากน้ำแรงของชนชั้นไพร่ทาสผู้ยากจน ( สื่อผ่านชื่อ Ratatouille ที่เป็นผักต้มคล้ายๆ จับฉ่ายซึ่งเป็นอาหารของคนจนในฝรั่งเศส) ก่อนที่หนังจะเลี่ยนไปกับความสำเร็จของเจ้าหนูเรมี่ที่เป็นซะยิ่งกว่าแฟนตาซี (ทั้งๆที่เป็นหนังการ์ตูนอยู่แล้ว) ความฉลาดของผู้เขียนบทและผู้กำกับได้แก้รสให้หนังกลับมามีความหนักแน่นขึงขังอีกครั้งในตอนท้ายของเรื่อง โดยใช้ตัวละครของอีโก้ นักวิจารณ์อาหารผู้เคร่งเครียดเป็นเครื่องมือหลัก อันทำให้ Ratatouille ได้ทำหน้าที่สะท้อนชีวิตในอีกมิติหนึ่งให้ผู้ชมได้เห็นถึงอีกมุมมองที่แตกต่างออกไปของความสำเร็จ อีโก้ผู้สูงส่งและยิ่งใหญ่ บริโภคอัตตาของตัวเป็นอาหารหลัก ความสำเร็จในชีวิตของอีโก้นั้นได้มาอย่างไร หนังไม่ได้กล่าวถึง หากแต่นำเสนออีกแง่มุมของคนที่ประสบความสำเร็จแล้วแต่กลับลืมกำพืดของตัวเอง ลืมความเรียบง่ายของชีวิต ลืมความทรงจำอันงดงามในอดีตเพียงเพราะมัวหลงชื่นชมความสำเร็จของตนในปัจจุบัน ปลายปากกาวิจารณ์ที่หล่นกระทบพื้นเมื่ออีโก้ได้ลิ้มรสชาติของ Ratatouille อันเป็นอาหารคนจน คือภาพที่แสนงดงามในหนังเรื่องนี้ อัตตาถูกปล่อยวาง ลิ้นที่เคยจ้องจับผิดได้รับการผ่อนคลาย รสชาติที่อีโก้สัมผัสนั้น ผู้เขียนเชื่อว่ามันไม่ใช่อาหารที่อร่อยที่สุดในชีวิตของเขาหรอก ( ก็เป็นนักชิมมือพระกาฬซะระดับนั้น) แต่อย่างหนึ่งที่มั่นใจได้อย่างแน่นอน อาหารคำนั้นทำให้อีโก้มีความสุขอย่างที่สุด เพราะมันได้ทำหน้าที่เปิดเผยพลังอันมีอิทธิพลมหาศาลต่อความเป็นเขาในปัจจุบัน เป็นพลังที่ซุกซ่อนอยู่ภายในซอกมุมของจิตใจเขา เสมือนหนูตัวเล็กๆ ที่นานแล้วยังไม่เคยโผล่ออกมาปรากฏตัว... หนังเรื่อง Ratatouille นี้ถูกสร้างด้วยกรรมวิธีไม่ต่างไปจากการปรุงอาหาร มีการผสมรสที่แตกต่างกันอยู่เป็นระยะๆ ทั้งตลกขบขัน ตื่นเต้น และบรรยากาศของความรัก คลุกเคล้ากันจนลงตัวและกลมกล่อม ภาพที่ลงหมอกพอสวยงามแลดูชวนฝัน ดนตรีประกอบนุ่มนวลละมุนหูที่คลอเบาๆ อยู่ตลอดเรื่องสร้างความรู้สึกร่วมเหมือนผู้ชมกำลังนั่งทานข้าวอยู่ในภัตตาคารหรูของฝรั่งเศส หนังเรื่องนี้ยังพาลให้ผู้เขียนนึกถึงหนังเรื่อง Sideway ของ อเล็กซานเดอร์ เพย์ ขึ้นมา ตะหงิดๆ ที่เคยเน้นภาพและงานดนตรีในลักษณะนี้ซึ่งให้อารมณ์เหมือนผู้ชมได้ร่วมดื่มไวน์ไปกับตัวละครในเรื่องด้วย ( เบลอภาพนิดๆ แบบชวนฝันหน่อยๆ) Ratatouille จบลงด้วยความสุขตามสูตรอย่างที่ควรจะเป็น ผู้ชมอาจไม่รู้สึกจริงจังอะไรนักกับภาพเชฟกุสโต้ที่โลดแล่นเป็นจินตนาการอยู่ในหัวของเจ้าหนูเรมี่เพราะมันก็แค่ความเพ้อเจ้อของหนูหลงทางที่ต้องอยู่ตัวเดียว เหมือนกับที่อาจไม่ค่อยรู้สึกอะไรนักกับการที่เจ้าหนูเรมี่ต้องมาคอยเจ้ากี้เจ้าการอยู่บนหัวของลิงกวินี่เวลาทำอาหารนอกเสียจากความตลกขบขันที่ได้จากภาพเหล่านั้น แต่เชื่อเถอะว่า ในหัวของเรามีเจ้าตัวแบบนี้อาศัยอยู่จริงๆ บางวันมันก็นอนเซา บางวันมันก็ลุกขึ้นมาเต้นคึกคักสนุกสนาน ลองยกมือขึ้นไปแหวกผมที่กลางศรีษะของคุณดูซิ! แล้วจะเจอว่ามี ความฝันอาศัยอยู่ในสมองของมนุษย์เราทุกคน เพียงแค่จะเก็บซุกซ่อนมันไว้ตลอดไปหรือจะเริ่มทำให้มันกลายเป็นความจริงซะที............... โดย: เบียร์ IP: 203.154.187.177 วันที่: 22 สิงหาคม 2550 เวลา:16:40:19 น.
ได้ดูเฉพาะ Ratatouille ครับ ชอบมากๆ ภาพสวย เนื้อหาดี ดูแล้วอิ่มเอม มีกำลังใจขึ้นอีกเยอะครับ แทบไม่มีที่ติเลย ถ้าจะมีก็คงเป็นเรื่องที่พระเอกกับนางเอกรักกันเร็วและง่ายไปหน่อย เลยไม่ค่อยอินกับจุดนี้เท่าไหร่ พอดูเรื่องนี้เสร็จผมเลยไปกว้านซื้อ DVD หนัง animation ของ Pixar มาเลยครับ เพราะมีบางเรื่องเหมือนกันที่ยังไม่ได้ดู
"Anyone can cook" โดย: AronSun IP: 124.120.236.21 วันที่: 9 กันยายน 2550 เวลา:0:10:21 น.
8.5/10 คะแนน
ไม่แปลกเลยครับที่ หนังจะติด TOP100 ของ IMDB ไปเพียงเข้าฉายแค่อาทิตย์แรก ปกติผมไม่ชอบดูการ์ตูนซักเท่าไหร่ พอมาดูเรื่องนี้แล้ว พูดได้คำเดียวว่า หนังทำไดมากๆ ภาพสวย อิริยาบถของหนูทำได้เนียน สมจริงมากๆ เรื่องเกี่ยวกับ หนูซึ่งมีความสมารถในการดมกลิ่น แยกแยะกลิ่น และนำความสามารถนี้มาใช้ในการปรุงอาหารได้อย่างลงตัว คล้ายๆเรื่อง "Perfume" (ซึ่งผมชอบมากๆ) โดยที่ตัวเอกมีความสามารถในการดมกลิ่น และนำความสามารถนั้นมาทำน้ำหอมเนื้อมนุษย์ แต่ feel ของหนังมันจะต่างกันโดยสิ้นเชิง เนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างสนุกสนาน เพลิดเพลิน ถึงแม้จะพอเดาเนื้อเรื่องได้ก็ตาม....เป็นอะไรที่น่ารักมากๆครับ สำหรับหนังเรื่องนี้ ปล. ดูจบแล้วชักอยากเลี้ยงหนูขึ้นมาซะแล้ว อุอุอุ โดย: นักวิจารณ์สมัครเล่น IP: 125.24.180.3 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:26:46 น.
Not everyone can become a great artist, but a great artist can come from anywhere.
อ่านแล้วนึกถึงประโยคที่ว่า"เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่าง แต่ทุกอย่างหาได้ด้วยเงิน" กรรม- -" โดย: โดนัท IP: 220.42.58.207 วันที่: 18 ธันวาคม 2550 เวลา:13:47:16 น.
สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนัง ได้ที่ //vreview.yarisme.com พร้อมลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท จำนวน 8 ใบ ทุกเดือน โดย: ป๋องแป๋ง IP: 124.120.0.136 วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:16:35:48 น.
บทความทั้งหมด
|
|
แต่ชอบหนังเพลง Hair Spray ก่อนละกัน เสร็จแล้วค่อยหาดีวีดีทั้งสองเรื่องมาเก็บเนอะ