คู่มือดูหนัง : Inception (ฉบับตะกอนฝัน) + Memento (วิธีใช้รีโมทเพื่อถอดรหัส)
หากไม่ดูเป็นการรบกวน ก็จะชวนเธอมาโหวตกัน โหวตซ้ำได้ทุกวัน จนกว่าจะเมื่อยนิ้ว ถึง 10 สิงหาคม

ชวนมาโหวตให้ blog "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ในการประกวด blog แห่งปี (Thailand Blg awards 2010) สาขา entertainment ได้ที่นี่จ้า

//www.thailandblogawards.com/viewblog.php?u=http%3A%2F%2Faorta.bloggang.com

วิธีโหวต:: เข้าไปที่ลิงค์ แล้ว กดปุ่ม vote+ สีส้ม (หรือใครจะใจดี ลงทุน sign up ก่อนโหวต เพื่อคะแนนโหวตเพิ่มเป็น 3 คะแนน เราก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติมนอกจากบอกว่า ชื่นใจ^^ )



... แรกเริ่มเดิมที บทความ Inception จะแบ่งเป็น สามส่วน นั่นคือ ส่วน Facebook ที่บอกเล่า ความรู้สึกที่มีต่อหนังโนแลน และ จุดสังเกตที่น่าสนใจใน Inception พร้อมข้อที่ชอบหรือไม่ชอบของหนัง

ส่วน Blog จะเน้นลึกต่อไปที่ กลไกของความฝันที่หนังเลือกใช้ ซึ่งสามารถแบ่งเส้นทางแยกย่อยได้หลายทาง เพื่อที่จะได้สนุกกับการคิดและเข้าใจตัวหนังได้เคลียร์ขึ้น

และใน Filmax จะเน้นลงไปที่ กลไกของจิตใจ เพื่อเข้าใจตัวละครและการทำงานของจิตใจคน

แต่เขียนไปเขียนมา ไม่รู้ยังไง ขนาดไม่ได้ชอบ Inception มากสุดในบรรดาหนังของโนแลน แต่เนื้อหาที่เขียนก็ยังไม่พอ 3 ต้นฉบับที่ว่า บวกกับ ไปดู Memento อีกรอบที่จะเขียนลง Filmax ก็ยิ่งมีประเด็นอยากเขียนเพิ่ม ก็เลยจับขยายมาลงใน Blog ต่ออีกเวอร์ชั่นมันซะเลย เป็นเหมือนกับ คู่มือที่น่าจะช่วยให้ดูหนังสองเรื่องนี้สนุกมากขึ้น

และนี่คือ คู่มือ Inception เวอร์ชั่นตะกอนฝัน กับ Memento ฉบับวิธีการใช้รีโมท


Inception



บทความ Inception - โลกลวงที่งดงาม หรือ ความจริงที่เจ็บปวด แบ่งเป็น 3 ตอน

โดย แบ่งลงใน

facebook (ฝันชั้นแรก)

Inception - โลกลวงที่งดงาม หรือ ความจริงที่เจ็บปวด (ฉบับ ฝันชั้นหนึ่ง )

//www.facebook.com/notes/phm-xyu-khang-hlang-khun/inception-lok-lwng-thi-ngdngam-hrux-khwam-cring-thi-ceb-pwd-chbab-fan-chan-hnung/428120036464

,

Blog (ฝันชั้นสอง)

Inception , โลกลวงที่งดงาม หรือ ความจริงที่เจ็บปวด (ฉบับ ฝันชั้นสอง )

//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=07-2010&date=20&group=14&gblog=227


และ นิตยสาร Filmax ฉบับเดือนสิงหาคม (ชั้น Limbo)


ทั้งสาม มีเนื้อหาไม่ซ้ำกัน แต่เป็นความต่อเนื่องที่เลือก สื่อตีพิมพ์ ตามความเหมาะสมของเนื้อหา และ เพื่อเติมเต็มบทความให้สมบูรณ์ครบถ้วน

ส่วนเนื้อหา ถัดจากนี้ เป็น คู่มือเพิ่มเติม สำหรับ การดูหนัง และ อ่านบทความทั้งสามชิ้นให้สนุกยิ่งขึ้น





แนวคิดที่จะช่วยให้ เข้าใจ หนังได้มากขึ้น


สามแนวคิดที่เป็น ‘เรื่องจริง’ควรรู้เพื่อเข้าใจหนัง

1.ความฝัน - จิตใต้สำนึก :



ความฝัน เกิดจากการทำงานของสมองในภาวะการนอน เป็นส่วนผสมของทั้ง วิทยาศาสตร์และจิตวิทยา ซึ่ง ภาพในความฝันอาจเป็นภาพสะท้อนของจิตใจ , เป็นเหตุการณ์หรือความทรงจำที่เคยผ่านเข้ามา และ อาจเป็นส่วนผสมบิดเบี้ยวหรือแปลกประหลาดที่หาคำอธิบายไม่ได้

แต่เพราะเป็น พื้นที่ของจิตใต้สำนึก เราจึงสามารถทำอะไรได้ตามใจปรารถนาในฝันโดยที่ไม่มีตัวขัดขวางหรือควบคุม

ความฝันยิ่งสมจริงเท่าไหร่ เรายิ่งไม่รู้ตัวว่ากำลังฝัน กว่าที่จะรู้ตัวก็เป็นตอนตื่นมาแล้วเท่านั้น และ ความฝันที่คนเรา รู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่มีชื่อเฉพาะเรียกว่า Lucid dream ซึ่งนำไปสู่แนวคิดในการฝึกควบคุมความฝันของคน

และน่าจะเป็นจุดที่ คริสโตเฟอร์ โนแลน นำมาขยายความต่อในหนังด้วย


2. ทฤษฎีเม็ดเลือดขาว WBC กับสิ่งแปลกปลอม foreign body :



เมื่อร่างกายมนุษย์ ถูก สิ่งแปลกปลอมเข้ามาบุกรุก เช่น หนามตำ , หกล้มเป็นแผลมีเชื้อโรคเข้า ฯลฯ เม็ดเลือดขาว ก็จะกรูกันเข้ามาล้อมเพื่อกำจัด สิ่งแปลกปลอม(เชื้อโรค) นั้น

ซึ่ง โนแลน หยิบทฤษฎีข้างต้น มาโยงเข้ากับความฝันว่า ถ้าขณะที่เราฝัน เราถูกคุกคามจาก ‘คนอื่น’ ที่บุกรุกเข้ามา หรือ ถ้าตัวเราในฝัน เริ่มรู้ตัว ว่ากำลังฝันอยู่ แล้วรับรู้ว่ามีคนมาบุกรุกยุ่มย่ามกับความฝัน จิตใต้สำนึกก็จะเห็น คนอื่น ที่เข้ามาในฝันเป็น สิ่งแปลกปลอม(foreign body)

ทั้งสภาพแวดล้อมและตัวคนในความฝัน ก็จะทำหน้าที่เหมือน เม็ดเลือดขาว คือ หาทางกำจัด ‘คนอื่น’ นั้นออกไป


3. การสร้างแรงจูงใจ :



การสร้างแรงจูงใจที่ดีที่สุดคือ การทำให้ เป้าหมาย คิดอยากจะทำเอง หลีกเลี่ยงการยัดเยียดหรือฝืนใจ ซึ่งการทำให้ เป้าหมาย รู้สึกสบายๆ ไม่ถูกบังคับ และ คิดได้ด้วยตัวเองจะเป็น การสร้างแรงจูงใจที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

โดย การเสริมแรงจูงใจทางบวก ย่อมได้ผลดีกว่า ทางลบ

ตัวอย่าง: เวลา ผู้นำซักคนต้องการหาคนมาเป็นพวก แทนที่จะ โจมตีฝั่งตรงข้ามว่า ไม่ดีอย่างไร เราต้องทำลายพวกมันอย่างไร ฯลฯ

เขาจะใช้วิธีการที่ทำให้ เรารู้สึกว่าเราถูกกระทำ เราเป็นคนถูกเอาเปรียบ ค่อยๆปลุกให้เราอยากลุกขึ้นสู้กับฝั่งตรงข้ามด้วยตัวของเราเอง

คำพูดเช่น สู้เพื่อชาติ , สู้เพื่อผู้หญิงที่โดนทำร้าย , สู้เพื่อความยุติธรรม ฯลฯ จะเป็นตัวกระตุ้นในทางบวกที่ดีกว่า เพราะเป็น การหาแรงจูงใจทางบวกให้อีกฝ่าย รู้สึกว่าทำเพื่ออะไรบางอย่างที่ดีขึ้น

และเมื่อ ความคิดนั้นถูกปลูกฝังแล้วเติบโต มันก็จะค่อยๆกลายเป็น ตัวตน ของคนนั้นๆ โดยไม่ต้องมีคนมายัดเยียดหรือใส่ความคิดอีก



แนวคิดใหม่ที่สร้างขึ้น เพื่อนำมาผสมกับทฤษฎีจริง ในโลกของ Inception



1.dream Share – กระบวนการที่คนกลุ่มหนึ่งแชร์เข้าไปอยู่ในความฝันร่วมกัน เมื่อเราเข้าไปในความฝันคนอื่นได้ เมื่อนั้นเราก็จะสามารถล้วงความลับออกมา หรือ จับความคิดยัดใส่เข้าไป ตราบเท่าที่ เขาไม่รู้ตัว (ยังไม่สามารถทำได้จริง)

2. การตายในความฝัน จะทำให้ ตื่น ยกเว้นกรณี เสียชีวิตในความฝันระดับหลับลึก ที่เรียกว่า Limbo – สภาวะติดอยู่ในห้วงฝันที่ไม่รู้ว่าเป็นจุดใดเวลาใด ไม่สามารถตื่นกลับไปเป็นปกติ และอาจจะติดอยู่ในนั้นจนแก่เฒ่า โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังฝันเพราะจะนึกว่าเป็นความจริง เหมือนกับ คนที่ฝันลึกขึ้นเรื่อยๆ

(หนังพูดถึงภาวะที่ไม่กลับจาก Limbo เจ้าตัวอาจไม่ตื่นสมองเละ , เป็นผัก ฯลฯ น่าจะหมายถึง สภาวะ coma หรือ อาจเป็นภาวะ brain death ที่สมองของเจ้าตัวไม่รับรู้อะไรแล้ว แต่ร่างกายยังทำงานได้ตามปกติ ซึ่ง ภาวะนี้ในหนัง อธิบายว่า เจ้าตัวอาจจะยังฝันอยู่ เพียงแค่ติดอยู่ใน Limbo ถาวร)

3. การสร้างฝัน - ให้นึกเหมือนเรากำลังวาดรูปอะไรซักอย่าง ถึงจะยังวาดไม่เสร็จ แต่ในจิตเราก็มองเห็นภาพคร่าวๆไว้แล้ว

การสร้างฝันก็เช่นกัน สร้างเพียงสภาพแวดล้อม แล้วจิตใต้สำนึกเจ้าของความฝัน จะค่อยๆสร้างรายละเอียดมาเติมเต็ม ซึ่ง กระบวนการที่พระเอกคุยกับสถาปนิกสาว ก็เป็นภาวะจริงที่หลายครั้ง จิตของเราเติมภาพที่เห็นตรงหน้าไปล่วงหน้า ก่อนที่เราจะเขียนหรือวาด

(ในหนัง ห้ามสร้างความฝัน จาก ความทรงจำเหมือนจริงแบบมีทุกรายละเอียด เพราะจะทำให้ แยกไม่ออกระหว่าง ความฝัน กับ ความจริง คือ จะไม่รู้ว่าตื่นหรือฝันอยู่)

4.จุดที่ใช้แยกว่า กำลังหลับอยู่ในความฝัน หรือ ตื่นอยู่ในความจริง คือ totem ซึ่งเป็น อุปกรณ์เฉพาะตัวของแต่ละคน เช่น ลูกข่างของค๊อบบ์ ถ้ามันหมุนไม่หยุด แปลว่า ยังอยู่ใน ความฝัน

หรืออีกกรณีที่ใช้แยกคือ ถ้าจู่ๆก็อยู่ตรงกลางสถานการณ์หนึ่งที่นึกย้อนกลับไปไม่ได้ว่า มาอยู่จุดนี้ได้อย่างไร พึงสงสัยว่า กำลังฝัน

5.กระบวนการ Inception = กระบวนการใส่ ความคิด ให้เติบโตในตัวคนอีกคน ผ่านทางความฝัน จนคนๆนั้นเชื่อว่าเป็น ความคิดของตัวเอง


จุดพึงสังเกตให้ดีๆ ที่ โนแลน หยอดตามรายทาง สร้างความปวดหัวให้คนดู เพราะนำไปสู่ แนวคิดได้มากมาย



1. บทสนทนา "...leap of faith" มีการพูดซ้ำสองสามครั้ง ต่างคนแต่ ประโยคเหมือนกัน ?

2. บทสนทนาในห้องคฤหาสถ์ของ ค็อบบ์ กับ ไซโตะ ตอนต้นกับท้าย ที่ประโยคเดียวกัน แต่ คนพูดคนละคนกัน ?

3. ห้องโถงช่วงต้นกับปลาย เป็น ห้องเดียวกับฉากแอคชั่นตอนเปิดเรื่อง ?

4. เสื้อผ้าของลูกสองคน ตลอดทั้งเรื่อง กับ ฉากจบ เหมือนกัน หรือ ต่างกัน (เน้นดูเสื้อลูกสาวให้ดี) ?

5. พระเอกใส่แหวนตอนไหนบ้าง ?

6. มือเต่งตึงเดินจูงมือ + มือเต่งตึงวางรอรถไฟทับ มีฉากฉายซ้ำแต่เป็น มือเหี่ยวๆเดินจูงมือ + มือเหี่ยวๆวางรอถูกรถไฟทับ เป็น มือคู่เดียวกัน ?

7. ฟังสกอร์ เทียบกับ เพลงตอนปลุกให้ดีๆ (มีเฉลยที่นี่ https://www.youtube.com/watch?v=UVkQ0C4qDvM&feature=player_embedded )


คู่มือการใช้ เครื่องแชร์ฝัน

(สนใจสั่งซื้อและอ่านวิธีการใช้ทั้งหมดได้ที่ //www.pasivdevice.org/)





แนวคิดและไดอะแกรมเด็ดๆที่ผู้ชมมีต่อ inception
(โปรดใช้ totem ส่วนตัวในการตัดสินใจเชื่อตามไดอะแกรมที่เลือกมา)

(ขออภัยหาลิงค์ที่มาไม่ได้ เพราะส่งต่อๆกันมา)





(ที่มาของรูป : //dehahs.deviantart.com/)



5 หนังเกี่ยวกับ การนอนหลับ และ ความฝัน ที่ ผมฯ เชียร์ว่า ควรจะลองฝันไปกับหนังเหล่านี้




1.Mulholland Dr. - หนังนัวร์ๆของ เดวิด ลินช์ เป็น สุดยอดของหนังที่ใช้ความฝันมาเล่าเรื่องสร้างความงงงวยให้คนดูร้อยทั้งร้อยที่ได้ดู แต่เมื่อเราเข้าใจทฤษฎีความฝัน และ จับจุดแบ่งครึ่งของหนังได้ เราก็จะพบว่า ความฝัน ของตัวละคร ก็ล้วนแล้วแต่ ชดเชยและใช้หนี้ ความจริง ที่เธอไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้

(เรื่องนี้ เป็น 1 ใน 10 หนังในดวงใจตลอดกาลของ จขบ. )

ชำแหละ Mulholland Dr. หนังสุดเจ๋ง (Part 1) : เชื่อมโยงและเรียงร้อยเรื่องราว
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=04-2005&date=13&group=4&gblog=3

ชำแหละ Mulholland Dr. หนังสุดเจ๋ง (Part 2) : วิเคราะห์เจาะลึกจิตใจตัวละคร
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=04-2005&date=13&group=4&blog=2




2.The Science of Sleep - หนังรักแนวๆ ผลงานของ มิเชล กอนดรี้ จาก Eternal sunshine of spotlessmind อาจจะมี อัตราความง่วงสูง แต่ถ้าดูจนจบแล้วกลับมาดูอีกครั้ง จะเริ่มจับประเด็นและความจี๊ดของหนังได้ไม่แพ้งานอื่นๆของ กอนดรี้

The Science of Sleep + Mulholland Dr. , สุขใจแต่ในฝัน (เกาะกระแส Inception)
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=07-2010&date=26&group=14&gblog=228




3. Paprika - หนังแอนิเมชั่นจินตนาการเลิศล้ำของ ซาโตชิ คง เจ้าพ่อแอนิเมชั่นจิตวิทยา ที่นำเสนอเรื่องราวของ การประดิษฐ์เครื่องมือที่สามารถเข้าไปใน ความฝัน เพื่อหวังทำจิตบำบัดให้กับคนไข้ที่มีปัญหาทางใจ แต่ดันมีคนคิดไม่ดีหวังเอาเครื่องมือนี้ไปใช้ในทางอาชญากรรม



4. ฝันโคตรโคตร - หนังไทยก็มีเล่นกับความฝัน แถมยังทำได้ดี เพราะ ถึงจะมีการเน้นซิกส์แพ็คของพิงให้ชวนกระอักกระอ่วนใจ แต่ตัวหนังก็มีดีมากมายเกินกว่าจะมองข้าม ทั้งในแง่การล้อเลียนตัวเอง , การเล่นประเด็นจริงกับฝัน ที่ทำให้ตัวละครค้นพบคำตอบของชีวิต

ฝันโคตรโคตร , จากซิกส์แพ็คและหน้าตา มาสู่ ก้าวที่กล้า กับ ความกล้าที่สร้างสรรค์ของ'หนังพิง'
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=22-09-2009&group=14&gblog=179




5. พลอย - หนังฝันๆ ของเป็นเอก ที่พูดถึง ความสัมพันธ์ผ่านเรื่องราวสองโลกที่ดูเหมือนซับซ้อน ซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วยความฝัน และเป็น หนังเป็นเอก ที่ผมชอบมาก รองจาก มนต์รักทรานซิสเตอร์

พลอย , คุยเรื่องรัก+ ชวนคิดลึก กับ "พลอย"
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=16-06-2007&group=14&gblog=45



+++++++++++++++++++++
+++++++++++++++++++++



Memento




... ในบรรดาหนังของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ทั้งหมด ผมยกให้ Memento คือ หนังที่มี วิธีการเล่าเรื่อง ที่เหนือชั้นที่สุด และ ในบรรดาหนังทั้งหมดที่ดูๆมา วิธีการเล่าเรื่อง ของเรื่องนี้ก็น่าจะอยู่ในทำเนียบอันดับต้นๆของวงการภาพยนตร์เลยทีเดียว

ประการแรก การเล่าเรื่อง ของ Memento ยิ่งกว่าซีรี่ย์ Lost ที่ย้อนไปข้างหลังสลับกระโดดไปข้างหน้า เพราะ ไม่ใช่แค่เล่าซับซ้อนหรือย้อนหลังแบบ flashback ธรรมดา แต่เมื่อจับมานั่งดูหลายๆรอบ ก็พบว่า

เนื้อหาของหนังจาก จุดเริ่มต้น ไปถึง ตอนจบ ถูกตัดแบ่งครึ่ง แล้ว เอา จุดเริ่มต้นของครึ่งแรก กับ จุดเริ่มต้นของครึ่งหลัง มาเล่าไปพร้อมๆกัน

ครึ่งแรกของ เนื้อหา เล่าแบบขาวดำ เล่าเรื่องแบบเดินหน้าธรรมดา

ตัดสลับกับ

ครึ่งหลัง ของ เนื้อหา เล่าแบบสี ถูก แบ่งมาเล่าเป็นระบบย้อนหลัง ที่ ไม่ใช่ย้อนถอยหลังธรรมดา 4 --> 3 --> 2 --> 1 แต่ย้อนแบบ 3 --> 4 แล้ว 2 --> 3 แล้ว 1 --> 2


แล้วก็ยังทะลึ่ง มีเหตุการณ์ในอดีตหลายปีก่อน แทรกมาเป็นพักๆชวนให้คนดูปวดหัวอีก ก่อนที่ทุกระบบ จะมาบรรจบกันในตอนท้าย




แต่นั่นไม่ใช่จุดเด่นเพียงประการเดียวที่ว่าน่ายกย่อง หากแต่ ความเหนือชั้นคือ ถึงจะเล่ายอกย้อนเพียงใด แต่ สุดท้ายปะติดปะต่อมาก็รู้เรื่อง ไม่มั่ว ตัดต่อได้ดี

และ การย้อนของหนังก็สนับสนุนความคิดอ่านตัวละคร เข้ากับธีมหนังได้ดียิ่งขึ้น เมื่อดูจบก็เป็นเหมือน ปริศนาหรือ puzzle ที่ชวนคนดูมานั่งเล่นเรียบเรียงใจความกันอย่งสนุกสนาน



... Memento เปิดฉากด้วยการที่ พระเอกเป่าสมองของชายคนหนึ่ง หลังจากนั้น หนังก็เล่าย้อนหลังสลับเดินหน้า เพื่อคลี่คลายว่า เพราะอะไร พระเอกถึงตัดสินใจยิงชายคนนี้ที่เหมือนจะเป็นเพื่อนของเขา

และ เราก็จะค่อยๆเข้าใจว่า เพราะอะไร พระเอกจึงต้องสักเรื่องราวหรือเหตุการณ์ใหม่ๆไว้ตามตัว , ต้องถ่ายรูปคนที่เพิ่งเจอ แล้วรีบเขียนคำบรรยายไว้ใต้ภาพ ฯลฯ

วิธีการเล่าเรื่องของ Memento :


สมมติว่า

A เป็น เหตุการณ์ ที่เล่าจาก จุด 1 เช่น เดินริมถนน แล้วไปจบที่ 2 ตกท่อ
B เป็น เหตุการณ์ ที่เล่าจาก จุด 3 เช่น คลำดูว่ามีแผลตกท่อหรือเปล่า แล้วไปจบที่ 4 ถูกหามส่งรพ.

หนังปกติก็ควรเรียงลำดับเป็น A --> B หรือ 1 --> 2 --> 3 --> 4

แต่ Memento ไม่เป็นเช่นนั้น

หนังแบ่งระบบการเล่าเรื่องชัดเจน คือ

จาก จุดเริ่มต้นตั้งแต่ A --> K หรือ จุดที่ 1 ไปจบที่จุด 12

หนังจะแบ่งการเล่าเป็น ระบบสี กับ ระบบขาวดำ


เปิดเรื่องด้วยการเล่าเรื่องในรูปแบบขาวดำ ที่พระเอกคุยโทรศัพท์ในห้องพัก ที่จะเดินเรื่องไปข้างหน้า สลับกับ การเล่าเรื่องในรูปแบบสี ที่เริ่มต้นจากพระเอกยิงเพื่อนตัวเอง โดยระบบสีจะเล่าเรื่องย้อนถอยหลัง

ทั้งสองระบบเล่าตัดสลับกันไปมา ตอนแรกเรายังไม่รู้ว่า เหตุการณ์ไหนเป็นตอนต้นหรือตอนปลาย เสมือน 2 เส้นเรื่องเล่าคู่กัน(ทั้งที่จริงคือเส้นเรื่องเดียวกัน) โดยมี เส้นเรื่องที่ 3 คือ เหตุการณ์หลายปีก่อน ตัดแทรกเข้ามาคั่น เป็นระยะ

แล้วสุดท้ายเส้นเรื่องก็จะมาบรรจบกัน จากขาวดำกลายเป็นสีทั้งหมด



ระบบ ขาวดำ ช่วงเวลาของหนังเล่า เป็น A (1 --> 2) ต่อด้วย B (2 --> 3) ต่อด้วย C (3--> 4) ต่อด้วย D (4-->5) ต่อด้วย E (5 --> 6) ต่อด้วย F (6 -->7) (ช่วง F ขาวดำ --> สี)





ระบบสีช่วงเวลาของหนังเล่า เป็น 12 ต่อด้วย K (11--> 12) ต่อด้วย J (10--> 11) ต่อด้วย I (9 -->10) ต่อด้วย H (8 --> 9) ต่อด้วย G (7 --> 8)



... จากระบบการเล่าเรื่องข้างต้น ผมจึงขอเสนอวิธีการดู Memento ให้รู้เรื่องที่สุด หลังจากนั่งดูย้อนไปย้อนมาเพื่อเขียนงานส่งต้นฉบับ นั่นคือ

ดูไปเรื่อยๆ 1 รอบ เน้นจำ เนื้อหาส่วนขาวดำ ให้ดีๆ ส่วนเนื้อหาสีพอผ่านๆ

พอหนังจบ ยังไม่ต้องปิดหรือย้อนไปต้นเรื่อง แต่ รอบถัดมาให้ดูเริ่มจากฉากจบ แล้ว ใช้รีโมทให้เป็นประโยชน์

นั่นคือ

กดดูย้อนหลังไปเรื่อยๆ ดูเฉพาะช่วงฉากสี โดยทุกครั้งที่เป็นฉากสี ให้กดรีโมทย้อนไป จุดแรกของฉากนั้น ดู จนจบฉาก พอจะตัดไปขาวดำ ก็ กดย้อนไปดูฉากสีก่อนหน้านั้น ต่อ

เช่น ฉาก G กดดูจาก 7 ไป 8 พอจบแล้ว จากนั้นกดถอยหลังไป ฉาก H แล้วดูจาก 8 ไป 9 ย้อนไปจนถึง 12


เพียงเท่านี้ Memento ก็จะอยู่ในกำมือท่านโดยอัตโนมัติ



บทความใน blog ที่อ้างอิงถึง

The Prestige , คุณตั้งใจดูอย่างใกล้ชิดแล้วจริงๆหรือ ?
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=13-11-2006&group=1&gblog=153


Avatar , นาวีที่รอคอย + แพนโดร่า มาหานะเธอ
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=12-2009&date=24&group=14&gblog=185

The Dark Knight , ภูมิคุ้มกันความดีบกพร่อง
(อ่านได้ใน พ็อกเก็ตบุ้ค LifeScan - มากกว่าที่ตาเห็น ตามรูปปกด้านล่างเน้อ)


ขอฝาก หนังสือเล่ม 5 ของ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" จ้า
(วางอยู่ตามร้านหนังสือทั่วไทยแล้ว)










อ่านจบแล้ว ชวนมาคุยกันที่นี่ครับ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=18

และ

ความเห็นของ เพื่อนผู้อ่านที่อ่านจบแล้ว และสละเวลาเขียนถึง

//blogs.lumamagic.com/?p=1957



หนังสือ 4 เล่มก่อนหน้าที่ว่าด้วย 'ภาพยนตร์ - จิตวิทยา - พัฒนาตัวเอง(self - development)' ของ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"








สำหรับเพื่อนๆที่เล่น FaceBook หรือ Twitter ณ.บัดนาว "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ขยายสาขาเรียบร้อยแล้วจ้า








Create Date : 28 กรกฎาคม 2553
Last Update : 29 กรกฎาคม 2553 23:29:28 น.
Counter : 16029 Pageviews.

16 comments
  
ชอบ Memento ค่ะ ตอนดูจบครั้งแรก แล้วถึงกับอึ้งไป 555 คำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ "สุดยอดอ่ะ"

ปล. ดูแบบปกติก็รู้เรื่องดีแล้วนะคะ แต่ถ้าดูย้อนไปย้อนมาแบบใน blog นี้จะยิ่งงงรึเปล่าเนี่ย (เดี๋ยวต้องไปลองดู)
โดย: perfect blue IP: 124.122.250.193 วันที่: 28 กรกฎาคม 2553 เวลา:17:20:34 น.
  
ไม่รู้จะพูดหรือบรรยายความรู้สึกอย่างไร
เอาเป็นว่า ใช้โทเท็ม มือตบ ล่ะกัน

แปะ แปะ แปะ แปะ แปะ ...

โดย: mrvee (TonTawan ) วันที่: 28 กรกฎาคม 2553 เวลา:19:05:30 น.
  
แก้นิดนึ่งนะครับไม่รู้ถูกรึเปล่าหาข้อมูลดูอีกทีละกันนะ

1. ลูกของค๊อปตอนต้นเรืองกะท้ายเรือง อายุต่างกันนะครับ
2. Totem โดยปกติไม่ได้เอาไว้ตรวจสอบว่ากำลังฝันอยู่หรือไม่ แต่เอาไว้ใช้ตรวจสอบว่าอยู่ในฝันที่ตัวเองเป็นเจ้าของหรือไม่ เพราะไม่ว่าเวลาหลับหรือตืน น้ำหนักของ Totem จะเท่ากันจึงไม่สามารถเอามาใช้อ้างอิงเรืองที่ว่าฝันอยู่หรือไม่ได้ฝัน แต่เอาไว้ตรวจสอบว่าเป็นฝันของตัวเองรึเปล่าจากน้ำหนักของ Totem ที่มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่รู้

แต่ Totem ของพระเอกพิเศษกว่าคนอื่นๆ ที่ว่าพระเอกได้ใส่ความคิดลงไปว่า ลูกข่างจะไม่มีวันหยุดหมุนตอนตัวเองลงไปในชั้น Limbo เพื่อใช้อ้างอิงว่าตัวเองอยู่ในความฝันนะเพราะชั่น Limbo นี้ง่ายต่อการสับสนมากว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง จะเห็นได้ว่านางเอกนำเอา Totem ที่กำลังหมุนเก็บเข้าตู้เซฟ เพื่อให้พระเอกลืมเรืองที่ว่าพระเอกกำลังอยู่ในความฝันทิ้งไปซะ
โดย: ผ่านมาจ้า IP: 61.90.42.241 วันที่: 28 กรกฎาคม 2553 เวลา:21:20:24 น.
  
Inception ใช้ลูกข่างแทนการมองรอยสัก remember sammy jankis (ต้องตัวเล็กหมดน๊าา)
ปล.เพิ่งดูจบภาพในหนังจะติดอยู่เวลาหลับตาไปอีกวันแน่เลย
โดย: John G. IP: 183.89.87.101 วันที่: 29 กรกฎาคม 2553 เวลา:3:42:22 น.
  
ยกให้ memento เป็นสุดยอดการเล่าเรื่องใน ทศวรรษเลย...ยังไม่เคยเห็นใครทำได้โดยไม่มั่ว

ระบบการคิดของโนแลน ชั้นยอดจริงๆ ไม่หลงทางสักนิดเดียว

ชอบ memento ในแง่ความคลาสิก ขอคารวะ
ชอบ The Prestige เป็นหนังโชว์กึ๋นที่ดูง่ายที่สุดแล้ว ทุกปมเคลียร์
ชอบ inception ในแง่ความมันส์ของการเล่นกับความคิด โนแลนสร้างหนังเรื่องนี้แบบใจดีจริงๆ
หรือเพราะจริงๆ มันเข้ากับธีมหนัง...คือการเล่นกับความคิดก็ไม่รู้
โดย: ออย IP: 27.55.84.14 วันที่: 29 กรกฎาคม 2553 เวลา:21:47:50 น.
  
ภาพไดอะแกรม inception ภาพที่2 น่าจะมาจากนี่นะครับ
>> //dehahs.deviantart.com/

โดย: แมวลาย (MaewLaay ) วันที่: 29 กรกฎาคม 2553 เวลา:22:31:47 น.
  
แมวลาย (MaewLaay) ... ขอบคุณมากค้าบ เข้าไปใส่เครดิตแล้วครับ ส่วนอีกรูปถ้ารู้ที่มา แจ้งมาได้เลยนะครับ

... ขอบคุณ ความเห็นของท่านอื่นๆ ที่มาแชร์กันด้วยครับผม
โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 29 กรกฎาคม 2553 เวลา:23:16:45 น.
  
แล้วผมจะไปหาแผ่น Memento ที่ไหนได้ล่ะนิ
หาไม่เจอซักที
โดย: Memento ผมอยากดูคุณ IP: 192.168.1.136, 222.123.24.14 วันที่: 31 กรกฎาคม 2553 เวลา:12:47:09 น.
  
เพิ่งดูจบตะกี๊สดๆร้อนๆเลยค่ะ หลังจากดองแผ่นนี้มาหลายปีมากๆ พอดีเมื่อวานได้อ่านบล้อคนี้ค่ะ เลยทำให้ไปรื้อกล่องเก็บแผ่นหนัง แล้วหยิบเอาเรื่องนี้มาดู (จริงๆ ตั้งใจจะดู ตั้งแต่ตอนดู Inception จบแล้ว แต่ก็ยังหาเวลาไม่ลงตัวซักที) ขนาดอ่านบล้อคนี้ก่อนดูแล้ว แต่พอดูจนจบก็ยังมีหลายเรื่องให้ต้องถกเถียงพูดคุยกะน้องสาวที่นั่งดูด้วยกันต่อ และท้ายสุดก็ต้องกลับเข้ามาอ่านบล็อคนี้ซ้ำอีกรอบค่ะ (55 อายจัง)

แต่ชอบการตัดต่อที่หลอกล่อเราอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเนื้อหาพวกนี้ถ้าเล่าเรียงลำดับ มันจะไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างในหนังคือ ลงตัวและมาถูกจังหวะมากๆ ... ยังแอบคิดอยู่เลยว่า ถ้าดูโดยไม่อ่านอะไรมาก่อนเลย ป่านนี้เราคงมึนตึ้บกว่านี้ 10 เท่าแน่ๆ

ป.ล. คูณค.ห.ที่ 8 คะ เรามีแผ่นให้ยืมได้ค่ะ (แต่เป็นวีซีดีนะคะ เพระซื้อเก็บไว้หลายๆปีมากๆแล้ว)
โดย: ลิปดา - พิลิปดา IP: 58.9.2.94 วันที่: 1 สิงหาคม 2553 เวลา:0:46:49 น.
  
Momento เป็นหนังที่ดูแล้วยังไม่เข้าใจจนบัดนี้
โดย: โสดแต่สุข IP: 58.11.81.26 วันที่: 6 สิงหาคม 2553 เวลา:2:27:54 น.
  

4.จุดที่ใช้แยกว่า กำลังหลับอยู่ในความฝัน หรือ ตื่นอยู่ในความจริง คือ totem ซึ่งเป็น อุปกรณ์เฉพาะตัวของแต่ละคน เช่น ลูกข่างของค๊อบบ์ ถ้ามันหมุนไม่หยุด แปลว่า ยังอยู่ใน ความฝัน

หรืออีกกรณีที่ใช้แยกคือ ถ้าจู่ๆก็อยู่ตรงกลางสถานการณ์หนึ่งที่นึกย้อนกลับไปไม่ได้ว่า มาอยู่จุดนี้ได้อย่างไร พึงสงสัยว่า กำลังฝัน

^
^
ทางวิทยาศาสตร์มีประเด็นคล้ายๆกันนี้ค่ะ คือการ Reality check ในกรณีของ Lucid Dream

//www.world-of-lucid-dreaming.com/reality-checks.html

ใช้ตอนเราสงสัยว่าเอ๊ะ เราฝันอยู่รึเปล่า =D


ปล. Lucid dream เล่นบ่อยๆเลยค่ะ เลยชอบหนังเรื่องนี้มากๆ
โดย: Azzy IP: 61.90.69.28 วันที่: 5 กันยายน 2553 เวลา:1:41:50 น.
  
เพิ่งได้ดู Memento หนังดีทีเดียว
โดย: คนขับช้า วันที่: 12 ตุลาคม 2553 เวลา:23:48:27 น.
  

แล้ว Butterfly Effects
มันพอจะมีกลิ่นของหนัง ตามที่ จขกท. วิจารณ์อยู่บ้างไหม
โดย: Houdini IP: 58.10.137.101 วันที่: 30 มีนาคม 2554 เวลา:13:38:41 น.
  
มีคำถามคาใจครับคุณหมอ ดู Inception หลายรอบแล้วครับ เพราะต้องการคำตอบ ตอนที่อยู่ในชั้นLimbo ที่พระเอกต้องการไปช่วยไซโตะ คืออยากรู้ว่า อยู่ดีๆทำไมพระเอกไปเกยตื้นบนชายหาดได้ล่ะครับ คือจากที่คุยกับสถาปนิกหญิง ที่บอกว่าต้องการไปช่วยไซโตะก่อน แล้วทำยังไงถึงสามารถไปนอนเกยตื้นได้ล่ะครับ ไม่เข้าใจวิธีการไปตามหาไซโตะ มากๆเลยครับ จินตนาการยังไง ก็ยังงงอยู่ รบกวนคุณหมอ ขอคำอธิบายด้วยครับ
โดย: maiiam IP: 113.53.118.56 วันที่: 18 พฤษภาคม 2554 เวลา:20:51:56 น.
  
ไม่ได้ตามไปอ่านวิจารณ์ตอนจบค่ะ
เลยไม่ทราบว่าคุณหมอคิดว่าจริงหรือไม่จริง
แต่สำหรับตัวเองเอียงไปทางไม่จริงค่ะ
เพราะมีประเด็นที่สงสัย ตอนคอบบ์ตอนอยู่ที่สนามบิน พ่อมารับ คือ พ่อคอบบ์น่าจะอยู่ฝรั่งเศส
และลูกๆเหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงตัวเท่าเดิม(หรือป่าว)
โดย: แก้ม IP: 110.49.240.16 วันที่: 19 สิงหาคม 2554 เวลา:11:13:03 น.
  
ขอบคุุณครับ
hptouchpadblackfriday
โดย: aomzon (aomzon ) วันที่: 10 ตุลาคม 2554 เวลา:19:33:49 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aorta.BlogGang.com

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]

บทความทั้งหมด