อารัมภบท ภาคนี้ว่าด้วยเรื่องและภาพของคฤหาสน์ใน Ashville ค่ะ เสี่ยงมาลา ตอนฉันเห็นเทพธิดาปูนปั้นนี้ รู้สึกว่าสวยจังแต่นึกไม่ออกว่าจะถ่ายรูปนี้แบบไหนดี พอเห็นเมฆข้างหลังแล้วนึกถึงเลนส์ 10-22 ที่ทิ้งไว้บ้านจับใจ ปกติฉันไม่ชอบถ่ายรูปโดยใช้เลนส์ไวด์ เพราะไม่ชอบรูปบิด ฉันอยากได้ฟ้าเยอะๆเห็น รจนา ฝรั่งเสี่ยงพวงมาลัยอยู่กลางหาว เดาเอาว่าที่ ระยะ 10mm น่าจะได้ภาพอย่างใจคิด ฉันถ่ายภาพนี้ที่ระยะ 18mm สุดความสามารถแล้วได้เท่านี้ค่ะ รจนา ในรูปนี้อยู่ในสวนของ Biltmore Estate ค่ะ หน้าต่างบานหนึ่ง ใครดูบล็อกของฉันบ่อยๆ คงเดาทางถูกว่ารูปแบบนี้เป็นแบบหนึ่งที่ฉันชอบถ่ายมาก ไม่มีอะไรนอกจากหน้าต่างบานหนึ่ง ซึ่งชวนจินตนาการว่าชิวิตหลังหน้าต่างเป็นอย่างไร หลังจากเดินชมภายในบ้านหลังใหญ่ที่สุดในอเมริกา (Biltmore Estate) แล้ว ก็ให้นึกสงสัยว่าหน้าต่างบานนี้เป็นของห้องไหน สันนิษฐานเอาเองว่าเป็นห้องนอนของพนักงานคนใดคนหนึ่งในชั้นใต้ดิน เฝ้า ค่ำเช้าฉันก็เฝ้า ของข้าวคอยระวัง ภูตพรายผีกระหัง ฉันยังนั่งคอยดู เพื่อคนที่ฉันรัก ใจภักดิ์มีใจสู้ ปัดเป่าเขาไม่รู้ เพียงเขาอยู่เป็นสุขพอ Gargoyle นี้อยู่ด้านหน้าของ Biltmore Estate ค่ะ หน้าที่ของ Gargoyle จริงๆก็เหมือนกับรางน้ำฝนบ้านเรา คือรับน้ำแล้วระบายให้ไกลจากตัวบ้าน ความเชื่ออีกอย่างคือ Gargoyle ทำหน้าที่เฝ้าบ้าน ปัดเป่าภัยอันตรายต่างๆที่จะมาเยือน ทำให้อยู่เป็นสุข แถม Gargoyle ให้ดูสักเล็กน้อย ชุดนี้อยู่ที่ระเบียงห้องดนตรีค่ะ สนชุมนุม เย็นๆฉันเดินเล่นอยู่ในสวนของ Biltmore Estate สนกลุ่มนี้สวยดีไม่น้อย ถ่ายอยู่หลายรูปกว่าจะได้ยอดสนชุมนุมในจังหวะที่พอเหมาะพอดีอย่างในรูปนี้ Biltmore Estate เป็นบ้านของ George Vanderbilt ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสนใจทางด้านพฤกษศาสตร์และป่าไม้เป็นอย่างยิ่งค่ะ หลังจากที่ George Vanderbilt เสียชีวิตแล้ว ภรรยาของเขาได้ขายพื้นที่บ้านบริเวณ Mt. Pigah (ปัจจุบันรวมอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ Blue Ridge Mountain) ให้กับรัฐบาลเพื่อตั้งเป็นโรงเรียนป่าไม้แห่งแรกของอเมริกา สนนราคาที่ขายคิดว่าไม่ได้แพงมากแต่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ George Vanderbilt มากกว่า สมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่ ทางรัฐบาลมักส่งเจ้าหน้าที่มาเรียนวิชาป่าไม้กับเขาเป็นประจำ ยามเย็นในสวน ฉันเดินอยู่บนเนินมองลงมาเห็นสวนสวยในแสงเย็น บรรยากาศของจริงสวยจับใจ ทั้งแสงที่ส่องลงมาและบรรยากาศชวนนั่งรับแดดอ่อนที่เก้าอี้ตัวนั้น เห็นรูปแล้วนึกเสียดาย เก็บความสวยมาได้ไม่ถึงครึ่งของที่เห็น สวนข้างบ้าน บ้านที่เห็นอยู่เป็นฉากหลังของภาพนี้ชื่อว่า Biltmore Estate ค่ะ อยู่ในเมืองชื่อ Asheville รัฐ North Carolina เป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา ปัจจุบันไม่ได้เป็นบ้านแล้วแต่ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ต้องเสียเงินเข้าไปชม รอบๆเป็นสวนดอกไม้ สวนป่า เรือนกระจกและหมู่บ้านไวน์ บ้านนี้บริเวณกว้างมาก ถ้าคิดจะเดินเล่นให้ทั่วคงต้องใช้เวลาหลายวัน บริเวณบ้านมองไปสุดลูกหูลูกตาเป็นป่าไม้ เพราะเจ้าของบ้านไม่ต้องการให้ทัศนียภาพรอบบ้านเปลี่ยนแปลง เลยซื้อที่ดินไว้ชนิดที่ว่ามองเห็นถึงไหนก็ซื้อถึงตรงนั้นนั่นล่ะค่ะ บ้านใหญ่ สวนใหญ่ อีกนัยหนึ่งก็งานมากตามไปด้วย จะรักษาบ้านและสวนให้สวยคงสภาพดีอยู่เสมอไม่ใช่งานง่ายๆเลย งานรักษามักจะยากกว่างานสร้างนะคะ Biltmore Estate มาถึงรูปนี้ต้องเล่าประวัติบ้านและเจ้าของบ้านกันสักหน่อยค่ะ บ้านหลังนี้นับเป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา หมายถึงบ้านที่สร้างเป็นบ้าน ไม่ใช่เป็นสถานที่ราชการ มีชื่อว่า Biltmore Estate อยู่ในเมือง Asheville, North Carolinaเจ้าของชื่อว่า George W. Vanderbilt สร้างเสร็จเปิดใช้อย่างเป็นทางการในเทศกาลคริสตมาสปีคศ. 1895 ตอนนั้นเจ้าของบ้านยังโสดและมีอายุไม่มากนัก แค่ยี่สิบกลางๆเท่านั้น สามปีต่อมา George แต่งงานกับ Edith Stuyvesant ซึ่งพบรักกันบนเรือเดินสมุทร ทั้งสองแต่งงานกันที่่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีลูกสาวเพียงคนเดียวชื่อว่า Cornelia ซึ่งภายหลังแต่งงานกับตระกูล Cecil ปัจจุบันบ้านหลังนี้จึงเป็นสมบัติของตระกูล Cecil Biltmore Estate มีถึง 400 ห้อง มีคนรับใช้ทั้งหมดร่วม 40 คน นับว่าเป็นบ้านที่ทันสมัยมากๆในตอนนั้น นอกจากห้องสวยๆ ห้องสมุดน่าสบาย(มาก) ห้องดนตรี และห้องอะไรต่ออะไรอีกมากมายแล้ว ชั้นใต้ดินเป็นชั้นที่น่าทึ่งมากที่สุด มีครัวที่ทันสมัยมาก ทั้งครัวเย็น ครัวสำหรับเนื้อ ครัวเบเกอรี่ มีห้องเย็น ห้องซักผ้าที่มีเครื่องซักผ้า เครื่องตากผ้า ห้องรีดผ้า ลานโบว์ลิ่ง และสระว่ายน้ำ ส่วนที่อยู่ของคนรับใช้ก็น่าสนใจและสวยใช้ได้เลยทีเดียว จากระเบียงห้องดนตรีมองไปเห็นวิวป่าไม้สุดลูกหูลูกตา ว่ากันว่าตอนซื้อที่ เจ้าของบ้านไม่อยากให้วิวที่มองจากทางระเบียงเปลี่ยนแปลง เลยมองไปไกลถึงที่ไหนก็ซื้อไกลถึงที่นั่น (กลับไปรอบสองหาไม่เห็นว่าเขียนไว้หนังสือหรือเอกสารไหนนะคะ คิดว่าตอนไปรอบแรกพนักงานที่พาชมบ้านเล่าให้ฟัง) Biltmore in the evening เรื่องประทับใจที่สุดของฉันต่อบ้านหลังนี้คือ คราวหนึ่ง George เขียนอวยพรให้กับใครสักคนที่กำลังจะแต่งงาน (คือจริงๆเขาบอกไว้ในคำบรรยายแต่ฉันลืม) ว่าขอให้มีความสุขกับชีวิตแต่งงานเหมือนกับเขาและ Edith ที่ได้แต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในบ้านหลังนี้ ฉันเคยไปดูบ้านของเศรษฐีอีกคนในแคนาดาชื่อว่า Casa Roma ซึ่่งชีวิตจบเศร้ารันทด (ใครอยากรู้ว่าเป็นอย่างไรคงต้องไปดูที่บ้านนั้นค่ะ เพราะเรื่องราวของท่านเซอร์เจ้าของบ้านไม่ได้มีเขียนที่ไหน แต่อยู่ในวีดีโอที่ฉายให้นักท่องเที่ยวดูที่นั่น) บ้านยิ่งใหญ่ดูเหมือนความสุขจะยิ่งลดน้อยถอยลงผกผันกับขนาดบ้าน ผนวกกับบ้านอีกหลายๆหลังที่เคยไปดูมา ก็นับว่าสบายกายไม่ค่อยสบายใจเสียเป็นส่วนใหญ่ การที่ Biltmore เป็นบ้านแห่งความสุข (ฉันสรุปเอาเองจากที่ได้อ่านประวัติ) นับเป็นเรื่องที่หาได้ไม่ง่าย ฉันว่ามีเงินช่วยให้มีความสุขง่ายขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่ามีเงินถึงจะมีความสุข ถ้าใจพอนั่นต่างหากถึงจะมีความสุขที่แท้ ช่วงที่ George Vanderbilt มีชีวิตอยู่นั้น เป็นช่วงที่ตระกูล Vanderbilt กำลังเฟื่องฟูมากค่ะ คือสมัยปู่ตั้งตัวได้ สมัยพ่อหาได้เพิ่มขึ้นไปอีก สมัยของ George พี่ชายก็ทำธุรกิจเก่งเหมือนกัน หลังจากนั้นอีกสองสามรุ่นจึงค่อยเสื่อมไปตามธรรมดาโลก เรื่องราวตระกูลนี้ราวกับวิมานลอยในชีวิตจริงเทียวนะคะ บ้านหลังนี้เป็นฉากในภาพยนตร์หลายเรื่อง เรื่องหนึ่งที่ฉันรู้คือ Richie Rich ค่ะ เล่าถึงรูปนี้บ้าง เพราะเป็นรูป Biltmore ที่ฉ้นชอบมากรูปหนึ่งค่ะ จริงๆฉันอยากถ่ายมุมนี้ตอนเช้าแต่ไม่มีโอกาสเลย ต้องเดินห่างจากตัวบ้านมาไกลพอสมควรนะคะ กว่าจะไปถึงจุดที่ถ่ายได้ก็เย็นมากแล้ว ฉันยืนมองๆแล้วคิดว่าไม่ถ่ายแล้วล่ะ แสงแบบนี้ไม่สวย ฟ้าข้างหลังก็จืดมาก หันหลังจะกลับแล้วเลยเปลี่ยนใจ ถ่ายสักรูปแล้วกันเพราะไหนๆก็มาแล้ว แล้วคงไม่มีรอบสามแล้วล่ะนะ พอกลับบ้านมาดูพบว่าฉันชอบรูปนี้มากเป็นพิเศษเพราะสนามหญ้าสีเขียวจุดที่โดนแดด ผู้คนที่เดินสบายๆในรูป ทำให้รู้สึกว่าบ้านนี้เป็นบ้านจริงๆ เป็นบ้านที่คนที่(เคย)อยู่มีความสุขด้วย ไม่ใช่ปราสาทจืดๆหลังใหญ่ๆธรรมดา เดียวดายในสวน ก้มหน้าก็เห็นหญ้า ไม่เห็นฟ้าไม่เห็นต้นไม้ ไม่เห็นอะไรไม่เห็นใครๆ ไม่เห็นแม้แต่เงาตัว เดียวดายอยู่ในสวน ส่วนที่เห็นคือความกลัว นั่งเหงาในโลกส่วนตัว ให้ทดท้อระทมใจ นั่งมองรูปปั้นในสวนอิตาลี ไม่รู้ว่ารูปปั้นนึกอะไรอยู่ บัวโรย สิ่งใดๆล้วนมีความงาม ตามแบบและเวลาของมัน บัวโรยก็สวยแบบบัวโรย ด้วยริ้วรอยของกาลเวลา เหลือเวลานิดหน่อย มองบัวโรยในสวนอิตาลีอยู่นาน ว่าตกลงสวยหรือเปล่า เห็นว่าสวย ว่าจะถ่ายสักรูป แต่คนที่คอยเดินมาถึงพอดี เลยต้องถ่ายมาแบบรีบรีบ โชคดีว่าถูกใจคนถ่าย ไม่อย่างนั้นคงเสียดาย Tiffany lamp Louis Tiffany เป็นเจ้าของบริษัท interior ทำบริษัททำกระจก stained glass แห่งแรก ต่อมาทำบริษัท lighting สำหรับโรงภาพยนตร์ ชอบทำสวนและชอบดอกไม้ วันหนึ่ง Louis ประดิษฐ์โคมไฟ ใช้เศษแก้ว stained glassตัดเป็นชิ้นๆ จับมาเรียงปะติดปะต่อร้อยเป็นโคมไฟไฟ ลายแมลงปอและดอกไม้ ในที่สุดโคมไฟแบบที่เห็นในรูป เลยเป็นที่รู้จักในนามของ Tiffany Lamp ตอนไปเที่ยวมีนิทรรศการ Tiffany Lamp Show เลยโชคดีได้เห็นโคมไฟเก่าแก่อายุร่วมร้อยปี สวยวิจิตรจริงๆค่ะ เห็นโคมไฟแบบนี้ครั้งแรกที่จำได้ ที่ร้านไอศครีมสเวนเซ่น ในรูปเป็นแบบที่วางขายในร้าน เพราะในนิทรรศการเขาห้ามถ่ายภาพ สนนราคาไม่แพงมากนัก ถ้าใจรักคงซื้อหามาไว้ได้ เพราะเป็นหลักร้อยเหรียญค่ะ ปล. Tiifany คนนี้เป็นลูกชายของ Tiffany อีกคนที่เป็นเจ้าของร้านเครื่องประดับค่ะ |
บล็อกหน้า In Blue Ridge แล้วพบกันนะคะ |
ทั้งเรื่องและภาพ
คำบรรยายเรื่องเล่าและกลอน
น่าอ่านน่าฟังและเพลินใจจังค่ะ
ชอบ Gaygoyle เรียงกันดูน่ารัก
ไม่แพ้สนชุมนุมนะคะ
ส่วนนางแบบ..น่ารักเป็นการถาวร
..
ขอบคุณค่ะ