treehouse: The house of love (ha ha)
Group Blog
 
All blogs
 

ผลิบาน ในลานธรรม - การบริหารจิต วิธีการดับไฟนรก หลวงพ่อพุทธ ฐานิโย





พระอาจารย์อีกท่าน
ที่อยากให้ได้มีโอกาสฟังธรรมของท่านค่ะ


หลวงพ่อพุทธ ฐานิโย









001_การบริหารจิต.mp3

002_การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นวิธีการดับไฟนรก.mp3


ฟังธรรมที่
//audio.palungjit.com/f65/พระธรรมเทศนา-577.html



การปฎิบัติธรรมในชีวตประจำวัน

//www.fungdham.com/sound/put.html





















เมื่อใจถึง ดวงธรรม ก็ย้ำจิต
เมื่อใจสนิท ใน-นอก สอดประสาน
เมื่อความคิด เข้าถึง ตรงใจความ
คำถาม ได้ตอบ ก็รู้ใจ





อย่างไร ชีวิต ในกี่หน
จักดล กลเสี่ยง สู่ความไสย์
เมื่อในเข้า ถึงดวงธรรม ล่วงความนัย
ในดวงใจ ก็สว่าง กระจ่างตา




































เมื่อส่วนใด ดำมืด กำหนดรู้
หมั่นเฝ้าดู จิตใจ ..ไม่ไร้ผล...
มาก-น้อยย่อม หลั่งใหล สู่ธารดล
ยังผลส่ง ชั่วกัลป์ พลัน-สู่-ธรรม






ทาสใด ไม่หม่นดำ เท่าทาสเฝ้า

อารมณ์เคล้า ยื้อติด คิดสับสน

ทาสใด ที่ใหญ่หลวง เกินจิตดล

คือทาสคน หยั่่งแล้ว ราก-ลวง-นัย























ฟังธรรมมะหลวงพ่อพุทธ
ที่ //www.geocities.com/thaniyo/ ค่ะ

//www.geocities.com/thaniyo/blessing34.html






ฟังธรรมดอทธรรม

//www.fungdham.com/




















ไม่ได้อัพนานแล้ว

อัพหน่อยค่ะ




ช่วงนี้
กิเลสเข้า(มะช่ายงานเข้า)



กิเลสเข้าปวดหัว

เขียนเตือนตนค่ะ


ขอบคุณผู้สนับสนุนรายการทุกท่านค๊าบบ









(แถม) Cute photo



(เฮ)ฮา วันละนิด จิตแจ่มใส




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2552    
Last Update : 9 สิงหาคม 2552 8:29:49 น.
Counter : 7560 Pageviews.  

Debug my heart ฮิตเลอร์ ดาไลลามะ ไอสไตน์ .......






Let me make it clear in this moment
Debug my heart graduately
Unlock it at last
All ultramenifestation
I started
Transparency, at last






Serenade the flowers with their sweetness




































๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐














แถม
(ย้อน)อ่านประวัติศาสตร์(ของผู้คน)ที่แตกต่างชัดเจน
ทำให้เห็นความเป็นไปของโลก
และสัจธรรมในชีวิต ได้ดีค่ะ










สงครามโลกครั้งที่สอง
(อังกฤษ: World War II หรือ Second World War)






เป็นความขัดแย้งในวงกว้างครอบคลุมทุกทวีปและประเทศส่วนใหญ่ในโลก[1] โดยสามารถแบ่งความขัดแย้งได้เป็นสองภูมิภาค
ทวีปเอเชียบ้างว่าเริ่มขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1931



บ้างก็ว่า ค.ศ. 1937







ในสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น



ส่วนในทวีปยุโรปเริ่มต้นเมื่อ ค.ศ. 1939 จากการรุกรานโปแลนด์และดำเนินไปจนกระทั่งสิ้นสุดในปี ค.ศ. 1945












คาดว่ามีผู้เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้มากกว่า 60 ล้านคน

นับเป็นสงครามที่ก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิตมนุษย์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

ผู้เข้าร่วมสงครามแบ่งเป็นสองฝ่าย




ฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายสัมพันธมิตรเดิมประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศสและสหภาพโซเวียต ส่วนฝ่ายตรงข้ามเรียกว่าฝ่ายอักษะ นำโดย




เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น




ซึ่งมีการระดมกำลังทหารทั้งหมดมากกว่า 100 ล้านนาย นับเป็นสงครามขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา และเป็น "สงครามเบ็ดเสร็จ"




ซึ่งได้นำทรัพยากรต่าง ๆ ไปใช้ในการสงครามโดยไม่เลือกว่าเป็นของพลเรือนหรือทหาร สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ยังได้ส่งผลกระตุ้นให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และวิทยาศาสตร์ของชาติ เพื่อนำไปใช้ในการทำสงคราม ประมาณกันว่าสงครามโลกครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายเป็นมูลค่าราวหนึ่งล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามค่าเงินในปี ค.ศ. 1944






ยังผลให้เป็นสงครามที่ใช้เงินทุนและชีวิตมากที่สุดด้วยเช่นกัน

สงครามครั้งนี้ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะ แต่ว่าชาติตะวันตกในทวีปยุโรปก็อ่อนกำลังลงอย่างมาก ส่งผลให้สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต กลายเป็นประเทศมหาอำนาจและนำไปสู่สงครามเย็นที่ดำเนินต่อมาอีก 45 ปี สหประชาชาติได้รับการสถาปนาขึ้น







ด้วยความหวังว่าจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งเช่นที่เกิดขึ้นนี้ได้อีก ภายหลังสงครามมีการเคลื่อนไหวในทวีปเอเชียและแอฟริกาเพื่อเรียกร้องเอกราชจากการตกเป็นอาณานิคมของประเทศในยุโรป ขณะเดียวกัน ยุโรปตะวันตกได้พยายามรวมตัวกัน ดังจะเห็นได้จากการก่อตั้งสหภาพยุโรป เป็นต้น














(World at war โหลดได้จาก utube)
















ดาไลลามะ

Symbol of love and compassion

6 กรกฎาคม พ.ศ. 2478


วันประสูติ สมเด็จพระเทนซิน กยัตโส (หรือ "เกียโซ")



ดาไลลามะ องค์ที่ 14 (His Holiness Tenzin Gyatso the 14th Dalai Lama)


ผู้นำทางศาสนา ผู้นำทางการเมือง และผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวธิเบต พระนามเดิมคือ ลาโม ทอนดรุป (Lhamo Thondup)



พระองค์ทรงรับผิดชอบบ้านเมืองโดยตรงเมื่อมีพระชนมายุได้ 16 พรรษา
วันที่ 7 ตุลาคม 2493 จีนได้ส่งกำลังทหารเข้ามายึดภาคตะวันออกของทิเบตไว้ได้ทั้งหมด

ต้นปี 2502 เกิดวิกฤตระหว่างจีนกับธิเบตอย่างรุนแรง


ดาไลลามะจึงทรงตัดสินพระทัยเสด็จลี้ภัยไปยังอินเดียเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2502



ทรงจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่เมืองธรรมศาลา
ทางตอนเหนือของอินเดีย
จากนั้นท่านได้ทรงเดินทางไปทั่วโลกเพื่อบรรยายธรรมะ ทรงสอนเรื่องเมตตาธรรมและการให้อภัย
จนเกิดการเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชแก่ธิเบตไปทั่วโลก






ทรงได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปี 2532




















Riddle of the war
Spore of the love
Unlock the knowing at last
All the parts, started to unseemingly
and effortlessly put in to piece

















อาจารย์ คำเขียน สุวรรณโณ


"หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ"




เจ้าอาวาสวัดภูเขาทอง บ้านท่ามะไฟหวาน
อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ




เป็นพระนักปฏิบัติธรรมรูปหนึ่ง

ดำเนินตามรอยธรรมหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ
พระวิปัสสนาจารย์ชื่อดังแห่งวัดป่าพุทธยาน จ.เลย
ในฐานะศิษย์กตัญญูรู้คุณ อย่างหาที่สุด






อัตโนประวัติ

หลวงพ่อคำเขียน เกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2479
ที่บ้านหนองเรือ ต.หนองเรือ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น



พ.ศ.2518 หลวงพ่อคำเขียนได้ติดตามหลวงพ่อเทียน
ไปเผยแผ่ธรรมในเมืองกรุงเป็นครั้งแรก
โดยจำพรรษาที่วัดชลประทานรังสฤษฎิ์
อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
นับเป็นจุดเริ่มต้นที่แนวคำสอนของหลวงพ่อเทียน
ได้แผ่มาสู่สังคมเมือง โดยเฉพาะกลุ่มปัญญาชนคนรุ่นใหม่




ก่อตั้ง "กลุ่มเสขิยธรรม"


พ.ศ.2539 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรง
ตำแหน่งเจ้าคณะตำบลท่ามะไฟหวาน










 

Create Date : 09 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 26 สิงหาคม 2552 9:23:41 น.
Counter : 5207 Pageviews.  

มาดู O so cute คาตากูน การ์ตูนเด็กเพื่อการศึกษาและพัฒนาทางอารมณ์





























































การ์ตูนเด็กเพื่อเสริมการศึกษา


น่ารักมากๆ









คาตาคูน การ์ตูนเด็กเพื่อเสริมการศึกษา
และการพัฒนาทางอารมณ์และจิตใจ













ลายเส้นและสีที่ใช้สวยมากค่ะ
เห็นแล้วประทับใจ
เลยเอามาลงไว้ในบล๊อกค่ะ













ติดตาม คาตากูนที่ได้
//www.katakune.com/
































































ปล. ตัวเองยังไม่ได้อ่านละเอียดเหมือนกันค่ะ

เมื่อเช้าแว่ปไปเห็น
ตอนเล่นบล๊อก






























ให้ตั้งใจ ร่ำเรียน แลเขียนอ่าน
ได้ทุกการณ์ ตลอดสิ้น อายุขัย


หมั่นเรียนรู้ ดู-คิด” ในจิตใจ“

แลทำได้ ในนาที มีสุขการณ์


































 

Create Date : 30 มิถุนายน 2552    
Last Update : 22 กรกฎาคม 2552 14:24:02 น.
Counter : 1267 Pageviews.  

หลวงพ่อโสธร -คำพรพระ ไหว้พระ พบปะ อาหารอร่อย



















Thamma



ได้มีโอกาสไปวัดหลวงพ่อโสธร
ที่ฉะเชิงเทรา

ไปแล้วรู้สึกสงบมาก
มีพลังอย่างประหลาด
ที่ประทับใจคือ คนเยอะมาก
ศรัทธาที่ล้นหลาม ทำให้เรารู้สึกถึงพลังได้













ไม่ได้เอากล้องไป(เง้ออ...-ขอโต๊ดดครับบบ )




อยากนำมาเขียนบรรยายถึง
จึงขออนุญาตินำรูป
ถือเป็นการเผยแพร่ธรรม
ขอขอบคุณเวปไซด์โลกสันธิธรรม
และเจ้าของรูปทุกท่านนะคะ











หลวงพ่อโสธร เป็นพระพุทธรูปที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์



หน้าตักกว้างประมาณ 1 ศอกเศษ







ปรางค์ขัดสมาธิเพชร แต่ได้เสริมแต่งขึ้นจากเดิมโดยพอกปูนลงลักปิดทองให้เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 3ศอก 5 นิ้ว



พระเนตรเนื้อเลียนแบบพระสมัยลานช้าง








หรือเรียกกันสามัญว่า “พระลาว”
ซึ่งพระชนิดนี้มีชื่อว่าวัดหงษ์











โดยที่วัดนี้มีเสาใหญ่
มีหงษ์เป็นเครื่องหมายติดอยู่กับยอดเสา










วัดนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกงด้านทิศตะวันตก สถานที่ตั้งวัดแต่ดั้งเดิมนั้น เวลานี้ถูกน้ำเซาะพังเป็นแม่น้ำไปหมดแล้ว วัดนี้ใครเป็นผู้สร้างและสร้างขึ้นในสมัยใดไม่ปรากฏ





แต่ได้ความว่าเป็นวัดเก่าแก่สร้างมานานแล้ว







(สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ประธานในพิธีกำลังจุดธูปเทียนบูชาองค์หลวงพ่อพระพุทธโสธร จากเวปไซด์โลกสันติธรรม)







ต้นเหตุที่วัดนี้ได้ชื่อว่า โสทรหรือ โสธร นั้นเล่ากันว่า










กาลต่อมาหงษ์ใหญ่ที่ติดอยู่บนยอดเสานั้น
พลัดตกลงมาหักทำลายคงเหลือแต่เสา
จึงได้เอาผ้าผืนใหญ่ทำเป็นธงขึ้นไปแขวนไว้บนยอดเสา
แทนหงษ์



ประชาชนก็เลยเรียกชื่อตามนิมิตเครื่องหมายนั้นว่า วัดเสาธง



นานมาเสาธงนี้ได้ถูกลมพายุพัดหักโค่นลงมาเป็น 2 ท่อน
ชาวบ้านก็เลยถือเอานิมิตที่เสาธงหักเป็นท่อนนั้นตั้งเป็นชื่อวัดว่า “วัดเสาทอน” อยู่สิ้นกาลช้านาน จวบจนถึงสมัยที่มีพระพุทธรูป 3 องค์ พี่น้องล่องลอยน้ำมาจากเหนือ และในจำนวนพระพุทธรูป 3 องค์ นั้นได้อาราธนาอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานไว้ที่วัดนี้ 1 องค์




คือ หลวงพ่อโสธร และปรางหลังครั้งหลังก่อนหลวงพ่อโสธรจะมีชื่อเรียกมาอย่างไรไม่มีใครทราบ






**********************************








วัดโสธรวรารามวรวิหาร





ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดวรวิหาร

วัดโสธรวรารามวรวิหาร เดิมชื่อว่า วัดหงษ์ สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อพุทธโสธร พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของฉะเชิงเทรา เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ หน้าตักกว้าง ๑.๖๕ เมตร สูง ๑.๔๘ เมตร ฝีมือช่างล้านช้าง

ตามตำนานเล่าว่า หลวงพ่อพุทธโสธร เป็นพระพุทธรูปหล่อสำริดปางสมาธิหน้าตักกว้างศอกเศษ มีรูปทรงสวยงามมาก ได้แสดงปาฏิหาริย์ลอยน้ำมา และมีผู้อัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้ แต่พระสงฆ์ในวัดเกรงจะมีผู้มาลักพาไปจึงได้เอาปูนพอกเสริมหุ้มองค์เดิมไว้จนมีลักษณะที่เห็นในปัจจุบัน









แต่เดิม หลวงพ่อพุทธโสธรประทับอยู่ในโบสถ์หลังเก่าที่มีขนาดเล็ก รวมกับพระพุทธรูปอื่นๆ 18 องค์ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จราชดำเนินมาที่วัดแห่งนี้ ทรงมีพระราชปรารภเรื่องความคับแคบของพระอุโบสถเดิม พระจริปุณโญ ด. เจียม กุลละวณิชย์ อดีตเจ้าอาวาสจึงได้รวบรวมเงินบริจาคเพื่อจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างพระอุโบสถหลังใหม่









พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธานการสร้าง และทรงเป็นผู้กำกับดูแลงานสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนิน ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อ พ.ศ. 2531 และทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคำ น้ำหนัก 77 กิโลกรัม ประดิษฐานเหนือยอดมณฑป เมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2539 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาทรงตัดหวายลูกนิมิต เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2549


























ไหว้พระ พบปะ

อาหารอร่อย


(แนะนำ ต้นยำปลาคัง บรรรยากาศริมน้ำ)







อ่านเพิ่มเติม ที่
เวปไซด์ ประวัติหลวงพ่อโสธร
(ปล. หลายรูปไม่ใช่วัดหลวงพ่อโสธรค่ะ
แต่นำมาลงไว้ เป็นศิริมงคลค่ะ )









 

Create Date : 12 มิถุนายน 2552    
Last Update : 22 กรกฎาคม 2552 14:26:04 น.
Counter : 7071 Pageviews.  

"หลุดจากความทุกข์ เพราะสติรู้ตัว" (เมื่อได้ฟัง จึงรู้ ) หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ









//www.fungdham.com/sound/kumkein.html ร่วมกันเผยแพร่ธรรม
ฟังคำ ท่านคำเขียนค่ะ






แนวทางการเจริญสติ
โดย หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ


“ทางเอกของมนุษย์”









เพียงหนึ่งคำ อันมีค่า คือสันติ
เพียงขณะ ที่คิด นำสุขใส
คือสติ ฉับพลันรู้ ..ความเป็นไป...
ในนาที อันมีค่า คือรู้ทัน..


Treehouse











ถ้าจะเปรียบการเจริญสติเหมือนเด็กเรียนหนังสือ เมื่อครูเขียน ก. ไก่ ข. ไข่ ใส่กระดานอย่างชัดเจนแล้ว เด็กจะจำและเขียนได้ การเรียนรู้เรื่องกายและใจก็เช่นเดียวกัน ต้องฝึกให้มีสติเห็นกายเห็นใจชัดเจนก่อน แล้วเราจะทำได้ดี








ขณะที่มีความรู้สึกอยู่กับการเคลื่อนไหวของกาย
บางขณะอาจมีหลายเรื่องที่ทำให้เราหลง เช่น
ความคิดที่ลักคิด (หมายถึง เราเข้าไปในความคิดปรุงแต่ง)
ซึ่งมักเกิดขึ้นในขณะที่เราตั้งใจทำความเพียรด้วยการเจริญสติ
เมื่อเกิดขึ้น ให้ถือว่าเป็นบทเรียน เป็นประสบการณ์สอนเรา
ขอให้เรากลับมาตั้งต้นดูกายเคลื่อนไหวเสียใหม่







เพราะความหลงจะสอนเราไม่ให้หลง


บางคนมีความสงบเป็นปกติ ก็ง่ายที่จะมีความรู้สึกตัวหรือมีสัมปชัญญะเกิดขึ้น การบำเพ็ญภาวนาจึงให้ความสำคัญกับการมีสติสัมปชัญญะ คือมีความรู้สึกระลึกได้อยู่เสมอๆ





เพราะสติสัมปชัญญะจะสามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี เปลี่ยนผิดให้กลายเป็นถูกได้ ผู้มีสติสัมปชัญญะย่อมทำดี
เพราะสติสัมปชัญญะเป็นที่เกิดของศีล สมาธิและปัญญา



การมีสติดูกายดูใจ
จึงเปรียบเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้บันทึกข้อมูลไว้ การใส่ข้อมูลในจิตใจของเราโดยการฝึกดูบ่อยๆ ฝึกเห็นบ่อยๆ ก็จะมีการพัฒนาตนเอง ทำให้เห็นกายเห็นใจตามเป็นจริง เกิดความรู้ความเข้าใจเรื่องกายเรื่องใจของเราจนจบหลักสูตรของมนุษย์






นี้เรียกว่าการเห็นแจ้ง






การเห็นแจ้งเปรียบเหมือนกับการเปิดเราออกจากความมืด



เราจึงเห็นจิตใจของตนเอง และไม่เป็นไปกับอาการต่างๆ
(หมายถึง ไม่เกิดความคิดปรุงแต่งขึ้นในจิตใจของเรา)
เห็นรูปธรรม นามธรรม ว่าเป็นอย่างไร ธรรมชาติของรูปว่าเป็นอย่างไร ธรรมชาติของนามว่าเป็นอย่างไร อาการของรูปมีอะไรบ้าง

อาการของนามมีอะไรบ้าง (หมายถึง เห็นอาการที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ เช่น ความร้อน ความหิว ความหนาว ความดีใจ ความเสียใจ เป็นต้น)

ถ้าเราไม่เห็นแจ้ง เราจะยอมสยบต่อรูป ต่อนาม ต่ออาการของรูป ต่ออาการของนาม ทำให้เราตกอยู่ใต้อำนาจของความคิดปรุงแต่ง

ต่อเมื่อมีสติสัมปชัญญะ












เราจึงหลุดพ้นจากอำนาจความคิดปรุงแต่ง คล้ายกับว่าเราสามารถคิดโจทย์เลขได้ถูก ไม่มีอะไรที่ข้องติดเหมือนแต่ก่อน การเรียนรู้เรื่องการเรื่องใจ จึงเปรียบเหมือนเราเรียนจบหลักสูตรชั้นประถมอย่างสมบูรณ์



แต่ก่อนเราเข้าไปเป็นกับอาการของรูปหรือกาย เช่น เมื่อรู้สึกร้อนเราก็เป็นผู้ร้อน เมื่อรู้สึกหนาวเราก็เป็นผู้หนาว เมื่อรู้สึกหิวเราก็เป็นผู้หิว เมื่อรู้สึกเจ็บเราก็เป็นผู้เจ็บ เป็นต้น เราเป็น “ผู้เป็น” ไปกับอาการเหล่านั้นทั้งหมด เรียกว่า เราจำนนต่ออาการต่างๆ และปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นเป็นใหญ่ ต่อเมื่อมีสติสัมปชัญญะ สิ่งเหล่านั้นเป็นใหญ่ไม่ได้อีก เพราะเราเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงอาการของรูป อาการของนาม เช่น ความโกรธเป็นอาการ มันไม่เที่ยง มันไม่มีตัวตนอะไร การเห็นเช่นนี้จึงเปรียบเหมือนกับเกิดตาวิเศษขึ้นมารับรู้เกี่ยวกับอาการของรูป เกี่ยวกับอาการของนาม





“ตาวิเศษ” คือ การมีสติสัมปชัญญะเห็นรูปธรรมนามธรรมตกอยู่ในสภาพไตรลักษณ์






การเห็นความไม่เที่ยง หรือ เห็นไตรลักษณ์ ถือว่าเป็นบุญ บุญในที่นี้คือ ภาวะที่เห็นอาการของรูป อาการของนาม และสามารถใช้รูปนามในการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง

บาป คือ การไม่รู้เกี่ยวกับอาการของรูป อาการของนาม จึงเปรียบเหมือนความมืด ถ้าเป็นคนก็ถือว่าเป็นคนเถื่อน กายของเราก็เถื่อน ใจของเราก็เถื่อน เพราะเราปล่อยให้ความคิดปรุงแต่งมีอำนาจ ทำให้เรายึดความโกรธ ความโลภ ความหลง บางครั้งปล่อยให้ความโกรธอยู่กับเราข้ามในข้ามคืน

ต่อเมื่อเรารู้แจ้งเห็นแจ้งเรื่องกายเรื่องใจเช่นนั้น (เกิดวิปัสสนาญาณ) เราก็เป็นคนไม่เถื่อน เป็นคนมีคุณภาพ

ศาสนาเป็นเรื่องของคนโดยเฉพาะ เพราะเกี่ยวข้องกับกายและใจ ซึ่งมีอยู่ในเราทั้งหมด เรื่องบุญ เรื่องบาป ก็มีอยู่ในการกระทำของเรา

เมื่อปฏิบัติถึงภาวะนี้ รูปกับนาม หรือกายกับใจจะมีความเป็นธรรมต่อกัน แต่ก่อนรูปกับนามเบียดเบียนกันตลอดเวลา เช่น เมื่อรู้สึกว่าร้อนหรือหนาวเกิดขึ้นที่กาย ใจก็เป็นทุกข์ ความโกรธเกิดขึ้นที่ใจ กายก็เป็นทุกข์ ต่างเบียดเบียนกันและกันตลอดเวลา แต่บัดนี้เราเห็นรูปกับนามเกี่ยงข้องอย่างเป็นธรรมต่อกัน เพราะมีสติสัมปชัญญะเข้าไปดู ดังนั้น เมือมีสติสัมปชัญญะหรือความรู้สึกตัวเกิดขึ้นที่ใด ความเป็นธรรมจะเกิดขึ้นที่นั่น

เมื่อรู้ถึงจุดนี้ เราก็ได้หลักในการปฏิบัติ จึงก้าวหน้าไปเรื่อยๆ เปรียบเหมือนกับเราเรียนหนังสือจบประถมด้วยระดับคะแนนที่ดี จึงมีโอกาสที่จะเรียนต่อชั้นมัธยมได้ การได้หลัก หมายถึง เรามีความคล่องตัวในการดูความคิดปรุงแต่งที่เกิดขึ้น จึงทำให้เห็นความคิดปรุงแต่ง เมื่อเกิดภาวะที่เห็น ก็ทำให้เราไม่เป็นไปกับความคิดปรุงแต่งที่เกิดขึ้น






“การเห็น” ที่เป็นหลักสำคัญ เพราะสามารถถลุงและย่อยกิเลสออกทั้งหมด เปรียบเหมือนกับเราเรียนหนังสือเก่ง จึงอ่านออกและเข้าใจความหมายได้












การเห็นสมมติ ทำให้สามารถรื้อถอนคาถาออกหมดสิ้น เช่น คาถาพุทธคุณ ๑๐๘ ความเชื่อในพิธีกรรมต่างๆ คาถาอยู่ยงคงกระพัน ซึ่งต้องบริกรรมจนรู้สึกว่าตัวใหญ่ ตัวหนา หนังหนา และมองเห็นมีดปลิวเหมือนใบหญ้า เหล่านี้หลวงพ่อได้รื้อถอนออกหมดสิ้น จึงเกิดความเบากาย ความเบาใจ รู้แจ้งในเรื่องสมมติ ใครทำอะไรก็รู้ ใครทำผิดทำถูกก็รู้





ขณะที่ “ตกแหล่งของความรู้” คือ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เต็มไปด้วยวัตถุ ปรมัตถ์ อาการต่างๆ เห็นว่าทุกอย่างมีเหตุ มีปัจจัยต่อกัน เช่น เห็นว่าบางทีอารมณ์ ก็บัญญัติว่าดี ว่าไม่ดี ว่าชอบ ว่าไม่ชอบ คนธรรมดาก็บัญญัติว่ารัก ว่าชัง ว่าชอบ ว่าไม่ชอบ ว่าสวย ว่างาม ว่าคนนั้นดี ว่าคนนี้ไม่ดี ทั้งที่เป็นเรื่องปกติธรรมดา ทำให้ไม่เป็นอิสระในการเห็น







นี้เรียกว่า รู้สมมติ รู้บัญญัติ รู้ปรมัตถ์ เมื่อมารู้สมมติ รู้บัญญัติ รู้ปรมัตถ์
จิตก็เป็นอิสระ เพราะเกิดภาวะการเห็นแจ้ง






การตกแหล่งของความรู้เช่นนี้


จะรู้ในทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว กล่าวคือ เดินก็รู้ นั่งก็รู้ เห็นก็รู้ ได้ยินก็รู้ เรียกว่าเกิดปัญญาญาณ นำเราให้หลุดออกจากปัญหาต่างๆ การเห็นแจ้งจึงสนับสนุนให้เราเลื่อนระดับไปเรื่อยๆ ไปรู้เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ได้สัมผัสกับบุญจริงๆ ไม่ใช่คิดเอาเองเหมือนเมื่อก่อน





ใจที่สัมผัสกับบุญจริงๆ
แล้วรับรองว่าไม่ตกนรก ไม่เป็นเปรต ไม่เป็นอสุรกาย เพราะรู้จักถูก รู้ผิด การสัมผัสกับบุญจึงเป็นประโยชน์
การสัมผัสกับบาปก็ทำให้เรารู้จักละบาป
เปรียบเหมือนกับเราเคยเหยียบหนาม แต่เมื่อเราเห็นหนาม




เราจึงไม่เหยียบหนามเช่นแต่ก่อน






ดังนั้น การสัมผัสกับบุญจริงๆ
จึงเป็นไปเพื่อความดับทุกข์
เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น













อ่านต่อที่

//www.agalico.com/board/showthread.php?t=16665







เช่นเดิม ร่วมกันเผยแพร่ธรรม
ไว้ขัดเกลาจิตใจตัว(อีกเยอะ)
หากไม่เหมาะสมประการใด ขออภัยด้วยค่ะ











ปล. เสาร์อาทิตย์
พักผ่อนมากๆก๊าบบบบ






 

Create Date : 30 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 29 มิถุนายน 2552 16:40:02 น.
Counter : 3266 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  

treehouse
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Emo น้องลิง
Emo น้องเพนกวิน
X
X
เพียงขีดเขียน จากแรงบันดาลใจ ..ที่สัมผัสในใจ ในผู้คน........ (ขอบคุณเจ้าของรูปและเพลง ที่นำมาใส่ในบล๊อกนี้ทุกท่านนะคะ ขอบคุณที่ทำให้ โลกสวย และไพเราะค่ะ)
Friends' blogs
[Add treehouse's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.