พึงอยู่เป็นเช่นกระจก
โดย ไพรัตน์ แย้มโกสุม
ชอบสำนวนไทยประโยคหนึ่ง ที่ว่า ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา หมายความว่า ให้รู้จักฐานะของตนและเจียมตัว
ที่ชอบเพราะเตือนตนได้ดี ไม่ทำให้หลงกระแส เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง คือทำเลียนแบบคนใหญ่คนโต หรือคนมั่งมี
ทั้ง ๆ ที่ตนไม่มีกำลังทรัพย์ หรือความสามารถพอ
จึงทำให้เข้าถึงคำว่า พอเพียง คือ พอใจเท่าที่ตนมีอยู่ หรือเป็นอยู่ ได้มาเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เป็นคน มักน้อย เช่น ยินดีในภรรยาหนึ่งคนของตน ไม่อยากมีมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นแฟน เป็นชู้ เป็นกิ๊ก ฯลฯ
สมมติ มีเงินเดือน หรือมีรายได้เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท มีรถเก่า ๆ ขี่ไปทำงาน ใช้ได้อยู่ แต่ไม่พอใจ อยากได้รถใหม่ป้ายแดง ราคาเป็นล้าน เหมือนคนอื่นเขา ก็กระเสือกกระสนกู้หนี้ยืมสิน หามาจนได้ อย่างนี้เรียกว่า ไม่พอเพียง หรือ ไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา หรือ ไม่รู้จักส่องกระจกดูตัวเอง !
คำว่า กระจก หรือ กระจกเงา คือแผ่นกระจก ฉาบด้านหลังด้วยแผ่นบาง ๆ ของโลหะเงิน หรือโลหะเจือปรอท แล้วทาสีทับ ใช้สำหรับส่องหน้า เป็นต้น
กระจก จึงมีหลายนัยะ หลายระดับชั้น ตั้งแต่ระดับธรรมดา จนถึงไม่ธรรมดา
ความกระจ่างใสของกระจกนั้น อยู่ที่ไหนหนอ ? ก็อยู่ที่กระจกนี่ไง จิตนี้ก็เช่นกัน ความสว่าง ความตื่น ความเป็นพุทธนั้น ล้วนแล้วแต่มีพร้อมอยู่ หากแต่มันหลง หลงไปมองอย่างอื่น จนลืมมองจิตตน เลิกงมกันอย่างหลง ๆ แล้วหันมาทำลายกิเลส เพื่อให้จิตกลับสู่ความสว่างได้ ไร้กิเลสเถิด...
(ที่มา : ทางลัด ตัดตรง นิพพาน โดย ภิกขุโย)
ความหมองมัวของกระจก อยู่ที่ฝุ่นจับ เมื่อเช็ดฝุ่นออก กระจกก็กลับใสสะอาดตามเดิม ฉันใด ใจคนเศร้าหมอง อยู่ที่มีกิเลสห่อหุ้มจิต เมื่อขจัดกิเลสออกไป ใจก็กลับคืนสู่สว่างใส รู้แจ้งเห็นจริง ฉันนั้น
กายของเราคือต้นโพธิ์ ใจของเราคือกระจกเงาอันใส เราเช็ดมันโดยระมัดระวังทุก ๆ ชั่วโมง และไม่ยอมให้ฝุ่นละอองจับ นี่คือโศลกของชินเชา
ไม่มีต้นโพธิ์ ทั้งไม่มีกระจกเงาอันใสสะอาด เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่าแล้ว ฝุ่นจะลงจับอะไร
นี่คือโศลกของเว่ยหลาง (ที่มา : สูตรของเว่ยหลาง แปลโดย พุทธทาสภิกขุ)
โศลกทั้งสอง บอกถึงภูมิปัญญาที่ต่างกัน ของชินเชา เป็นเพียงโลกิยธรรม (ธรรมอันเป็นวิสัยของโลก) หรือ สังขตธรรม (สิ่งที่เกิดขึ้นโดยมีปัจจัยปรุงแต่ง) ส่วนโศลกของเว่ยหลาง เป็นระดับโลกุตตรธรรม (ธรรมอันพ้นจากวิสัยโลก) หรือ อสังขตธรรม (สิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง)
หนังสือ วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า วัชรสูตร พระสงฆ์จี้กงอรรถาธิบาย อมร ทองสุก แปล
และเรียบเรียง เป็นพระสูตรสำคัญ ที่ผู้ศึกษาธรรมทุกคนต่างรู้จักดี มี ๓๒ บท บทสุดท้าย บทที่ ๓๒ ชื่อ นิรมาณ มิใช่จริง เนื้อหาสังเขป....
สุภูติ ! หากมีบุคคลได้นำสัปตรัตนะมาเติมเต็มอสงไขย โลกธาตุอันไร้จำกัด ใช้ในการบริจาคทาน แต่หากมีกุลบุตร กุลธิดา ได้บังเกิดในโพธิจิต ปฏิบัติในพระสูตรนี้ แม้ที่สุดจะเพียงแค่โศลก ๔ บท มาทำการสมาทาน สวดท่อง กล่าวสาธยายแก่ผู้อื่น บุญนี้ยังจะมากยิ่งกว่าอย่างแรก แต่ควรกล่าวสาธยายแก่บุคคลอื่นอย่างไรล่ะ ? ไม่ยึดในลักษณะตั้งมั่นอยู่ในตถตาภาพโดยไม่หวั่นไหว เพราะเหตุใด ?
สังขตธรรมทั้งปวง
ดุจฝันมายาฟองน้ำรูปเงา
ดุจนิศาชลและอสนี
ควรพินิจด้วยอาการเช่นนี้แล
ครั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพระสูตรนี้จบ ผู้อาวุโส สุภูติ รวมทั้งเหล่าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนปวงเทพ มนุษย์ อสูร ทั้งหลายในโลก ที่ได้สดับซึ่งพระพุทธพจน์นี้แล้ว ต่างพากันอนุโมทนายินดี ทั้งมีความศรัทธาน้อมรับไปปฏิบัติด้วยประการฉะนี้แล
ประโยคที่ว่า ตั้งมั่นอยู่ในตถตาภาพ โดยไม่หวั่นไหว หมายความว่า..ใจมีความเป็นดั่งกระจก ดังนั้น จึงกล่าวว่า เป็นตถตาภาพที่ไม่หวั่นไหว ซึ่งถือเป็นแก่นสาระของพระสูตรนี้เลยทีเดียว ไม่ยึดในลักษณะ หมื่นธรรมล้วนว่างเปล่า ดำรงในตถตาโดยไม่หวั่นไหว ก็คือ ความกลมสมบูรณ์ที่เสรีภาพนั่นเองแล
ใจมีความเป็นดั่งกระจก อาจารย์ อมร ทองสุก ผู้แปล ยังได้อธิบายขยายความว่า...
บนบานกระจก ยามวัตถุมาก็เกิดภาพ ยามวัตถุไปภาพก็หาย ซึ่งกระจกจะไม่มีการยึดหรือละต่อภาวะที่ไปหรือมาแต่อย่างใด โดยกระจกก็ยังคงเป็นกระจก อันเหมือนดั่งตถตาภาพแห่งเรา ที่ยังคงเป็นดั่งที่เป็นอยู่ โดยหาได้ผกผันไปตามภาวะที่ประสบไม่
กระจกบานนี้ หรือใจดวงนี้ ช่างเรียบง่าย สุขุมคัมภีรภาพ เลิศล้ำคำคม และสุญญตา จริง ๆ ดั่งฟ้าแจ้งจางปาง ปานหงายของที่คว่ำอยู่ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ตถตา เช่นนั้นเอง
ปอป้าขอฝากไว้ท้ายเรื่อง : หากมีเวลา อยากให้อ่านเรื่องตถตา ของท่านพุทธทาสภิกขุ จะทำให้มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น..ค่ะ ไปอ่านได้ ...ที่นี่เลย...ค่ะ
ขอบคุณ ภาพประกอบเรื่อง จากกูเกิ้ล
เพลง ดวงใจ
บรรเลงโดย เครื่องสายจีน
ยํ ปณฺฑิโต นิปุณํ สํวิเธติ สมฺโมหมาปชฺชติ ตตฺถ พาโล
บัณฑิตจัดการเรื่องใดอันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน คนโง่ย่อมถึงความหลงใหลในเรื่องนั้น
....ข้าพเจ้ามองเห็นเหตุผลนี้ จึงกล่าวว่า.....
ปญฺโญว เสยฺโย น ยัสสฺสิ พาโล
คนมีปัญญาประเสริฐกว่า คนโง่ถึงจะมียศก็หาประเสริฐไม่
หมั่นพัฒนาปัญญาเพื่อความประเสริฐแห่งตน ตลอดไป...นะคะ