พระงามที่จน คนงามที่รวยโดย เสฐียรพงษ์ วรรณปกการสอนธรรมะแก่คนรุ่นใหม่ หรือคนสมัย โลกาภิวัฒน์ นี้ นอกจากต้องปรับเปลี่ยนเทคนิควิธีการสอนแล้ว เนื้อหาที่นำมาสอนก็จำเป็นจะต้องเลือกเหมือนกันธรรมะ คำสอนของพระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนยารักษาโรค ขึ้นชื่อว่ายารักษาโรคนั้น มิได้หมายความว่าขนานเดียวจะรักษาได้ทุกโรค แต่ละขนานก็เหมาะสำหรับรักษาแต่ละโรค ปวดศีรษะก็ต้องกินยาขนานหนึ่ง ปวดท้องก็กินอีกขนานหนึ่ง เวลาปวดศีรษะไปกินยาแก้ปวดท้อง มันก็ไม่เข้าเรื่อง แทนที่อาการปวดท้องจะหาย กลับปวดมากขึ้น หรือมีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่นเข้ามาก็เป็นได้เรื่องยานี้ ฉันใด เรื่องธรรมะ ก็ฉันนั้นแล โยมทั้งหลายเอ๋ย ธรรมะ คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มีทั้งระดับพื้นฐานที่ทรงสอนเพื่อแก้ปัญหาชีวิตแบบโลก ๆ และให้อยู่ในโลกร่วมกับคนอื่นได้อย่างสงบสันติ มีทั้งระดับที่สูงสุด คือสอนให้ลด ละ เลิก สิ่งที่เรียกว่า กิเลส ให้หมดไปจากจิตสันดาน เป็นพระอริยะอรหันต์ บรรลุนิพพาน (ดับกองกิเลสและกองทุกข์ได้ทั้งปวง) อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาใครอยากอยู่ระดับไหน หรืออยากก้าวไปถึงระดับไหน ก็เลือกเอา พระพุทธเจ้ามิได้ตั้งหน้าตั้งตาจะสอนให้คนออกบวช ละบ้านช่อง ลูกเมีย ไปนิพพานกันหมดทุกคนดอกครับ ใครยังไม่พร้อม ยังไม่อยากไป ก็ขอให้อยู่ใน โลกียวิสัย อย่างถูกต้องก็พอคำว่า อยู่ในโลกียวิสัยอย่างถูกต้อง นั้น หมายถึงอยู่อย่างไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น อยู่อย่างผู้ที่ช่วยตัวเองได้ในทางเศรษฐกิจ และเอื้อเฟื้อแบ่งปันแก่ผู้อื่นตามสมควร อยู่อย่างผู้มีคุณภาพจิต สมรรถภาพจิต และมีสุขภาพจิตมีสุขภาพจิต คือมีคุณธรรมที่แสดงออกถึงความอ่อนโยน นุ่มนวล เช่น มีเมตตากรุณา รักและสงสารคนอื่น และพร้อมที่จะช่วยเหลือก มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น อันนี้เรียกว่า เป็นฝ่าย อ่อน มีสมรรถภาพจิต คือมีคุณธรรมอันแสดงออกถึงความเข้มแข็ง เช่นมีสติ รู้จักยับยั้งชั่งใจได้ มีปัญญารู้รอบคอบชัดที่จะตัดสินปัญหาได้ดี มีวิริยะ ความพากเพียร มีปณิธานความแน่วแน่ในการที่จะทำอะไร ต้องทำให้สำเร็จจงได้ เป็นต้น อันนี้เรียกว่าเป็นฝ่าย แข็ง ทั้งอ่อนและแข็ง เป็นสิ่งจำเป็นที่คนเราจะต้องมีครบ และเลือกใช้ในการดำเนินชีวิตให้เหมาะแก่กาลเทศะ ดังสุภาษิตโบราณสอนไว้ว่าถ้าจะอ่อน อ่อนให้จริง ยิ่งเส้นไหมเพื่อจะได้ เอาไว้โยง เสือโคร่งเฆี่ยนถ้าจะแข็ง ก็ให้แกร่ง ดั่งวิเชียรเอาไว้เจียน ตัดกระจก เจียระไนมีสุขภาพจิต คือมีคุณธรรมที่แสดงออกถึงความผ่อนคลาย เช่นมีปีติในการทำงาน มีความสบายไม่เครียด ไม่กังวล มีความปล่อยวาง หรือ ปลง ได้ เมื่อเผชิญกับบางสถานการณ์ที่จะบีบรัดรุนแรง มีความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีทิฐิมานะถือดีในตัวเองเกินเหตุ เป็นต้นในสมัยพุทธกาล มีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ สุทัตตะ ต่อมามีชื่อเป็นที่รู้ทั่วไปว่า อนาถบิณฑิกะ (แปลว่าเศรษฐีใจบุญ) เพราะท่านผู้นี้ได้ทำบุญทำทานมากมาย รวยแล้วไม่เสพสุขเฉพาะตน หากแบ่งปันช่วยเหลือเจือจานคนอื่นด้วย จนเป็นที่รักใคร่ของประชาชนทั่วทั้งเมืองอนาถบิณฑิกะเศรษฐี ได้สร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า ชื่อวัดพระเชตวัน ได้ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนามากมายจนได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นผู้ศรัทธาในพระศาสนามากที่สุดคนหนึ่ง ไม่ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้อนาถบิณฑิกะเศรษฐีออกบวช เพราะทรงเห็นว่าเศรษฐีคนนี้มีทรัพย์แล้ว รู้จักใช้ทรัพย์ให้เกิดประโยชน์แก่ตนและสังคม คนเช่นนี้เรียกว่า รู้จักอยู่ในโลกได้อย่างถูกต้องพระพุทธศาสนานั้น ไม่ได้ตำหนิความร่ำรวย ตรงกันข้าม กลับสนันสนุนให้คนรู้จักทำมาหากินเพื่อให้ได้ทรัพย์สินเงินทองมามาก ๆ เพื่อให้เพียงพอแก่การเลี้ยงดูครอบครัว และมีส่วนเหลือเจือจานสังคม ดังทรงสอน หัวใจเศรษฐี ไว้ว่า คนเราต้องพยายามเป็นเศรษฐีให้ได้ ด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ๑. ต้องขยันทำมาหาเลี้ยงชีพ๒. ได้ทรัพย์มาแล้ว ต้องรู้จักเก็บออม๓. รู้จักคบคนที่เกื้อกูลแก่อาชีพการงานของตน ไม่คบนักเลงที่จะชักจูงไปทางเสื่อมโภคทรัพย์ เป็นต้น๔. ไม่สุรุ่ยสุร่าย ฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็น ใช้จ่ายเป็นและให้คุ้มค่าสิ่งพระพุทธเจ้าทรงตำหนิ คือการรวยโดยวิธีไม่ถูกต้อง ใครที่แสวงทรัพย์สินมาในทางทุจริต คอร์รัปชั่น เบียดบัง และเบียดเบียนคนอื่น ถึงจะได้มามากมายเพียงใด พระพุทธเจ้าไม่ยกย่อง มีแต่ตำหนิติฉินว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ควรเป็นอันขาดนอกจากตำหนิถึง ที่มา แห่งทรัพย์แล้ว ยังทรงตำหนิถึง ที่ไป แห่งทรัพย์นั้นด้วย ใครจะเอาทรัพย์นั้นไปทำบุญอะไรก็ตาม ก็ไม่ถือว่าเป็นบุญที่บริสุทธิ์ เช่น โกงเขามาเป็นแสนเป็นล้าน แล้วเอาเงินแสนเงินล้านนั้นไปสร้างโบสถ์ สร้างศาลา บุญที่ทำก็มิได้เป็นบุญบริสุทธิ์ ได้น่ะได้อยู่ แต่ได้น้อย ว่าอย่างนั้นเถอะ เพราะบุญที่จะได้จริง ๆ จะต้องครบองค์ประกอบ คือ๑. ทรัพย์ที่ได้มาทำบุญนั้น จะต้องได้มาอย่างบริสุทธิ์๒. เจตนาทั้งก่อนจะให้ กำลังให้ และหลังจากที่ให้ไปแล้ว ต้องบริสุทธิ์ คือไม่คิดเสียดาย๓. ผู้รับทานของเรา ต้องเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ด้วยขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้อยู่ แต่บุญมันได้น้อยอย่างว่านั้นแหละ โดยเฉพาะข้อที่ ๑ นั้น สำคัญมากผู้หลักผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่า สมัยรัชกาลที่ ๕ ยายแฟง เป็น มาม่าซัง มี ลูกค้า จำนวนมาก แกร่ำรวยมากจากอาชีพเป็นเจ้าสำนักขายเนื้อสด แบ่งทรัพย์จำนวนหนึ่งไปสร้างวัด ชื่อว่า วัดใหม่ยายแฟง (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นวัดคณิกาผล) เมื่อสร้างเสร็จ ได้นิมนต์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เทศน์ฉลอง สมเด็จฯ ท่านเทศน์ว่า ยายแฟงสร้างวัดนี้ ยายแฟงไม่ได้บุญสักเท่าใดดอก คนที่ได้มากกว่ายายแฟง คือพวกเด็ก ๆ ลูกสาวของยายแฟงต่างหากยายแฟงเคืองสมเด็จฯ ไปหลายวัน แต่พอมาตรึกตรองดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ในที่สุดก็เห็นด้วยกับสมเด็จฯ จึงหายโกรธท่าน เพราะเงินที่ได้มานั้น ไม่ได้มาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของยายแฟงแม้แต่สตางค์แดงเดียว พวกลูก ๆ ของยายแฟงต่างหาก พลีร่างแลกกับเงินเหล่านั้นมา เรียกว่าได้มาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของพวกเธอจริง ๆ พวกลูกเล้าจึงควรได้บุญมากกว่ามาม่าซังแฟง ว่าอย่างนั้นเถอะสรุปตรงนี้ก็คือ พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ความจนว่าเป็นทุกข์สำหรับผู้ครองเรือน ทรงสรรเสริญความร่ำรวย แต่ขอให้รวยในทางที่สุจริตชอบธรรม พูดให้ชัดก็คือ ชาวพุทธต้องรวย และเมื่อรวยแล้ว ต้องเจือจานสังคมด้วยชาวพุทธที่พระพุทธเจ้าให้อยู่อย่างยากจนเรียบง่ายนั้น คือชาวพุทธฝ่ายบรรพชิตครับ บวชเป็นพระแล้วต้องอยู่อย่างยากจน ไม่แสวงทรัพย์ หาบริษัทบริวารแวดล้อม ประเภทที่ไปไหนมาไหน มีขบวนลูกศิษย์ตามเป็นพรวน เพื่อแสดงว่าตนมีบารมีมากนั้น ไม่ใช่พระในพระพุทธศาสนาดอกครับเพลง ส่วนเกิน
การสอนธรรมะแก่คนรุ่นใหม่ หรือคนสมัย โลกาภิวัฒน์ นี้ นอกจากต้องปรับเปลี่ยนเทคนิควิธีการสอนแล้ว เนื้อหาที่นำมาสอนก็จำเป็นจะต้องเลือกเหมือนกันธรรมะ คำสอนของพระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนยารักษาโรค ขึ้นชื่อว่ายารักษาโรคนั้น มิได้หมายความว่าขนานเดียวจะรักษาได้ทุกโรค แต่ละขนานก็เหมาะสำหรับรักษาแต่ละโรค ปวดศีรษะก็ต้องกินยาขนานหนึ่ง ปวดท้องก็กินอีกขนานหนึ่ง เวลาปวดศีรษะไปกินยาแก้ปวดท้อง มันก็ไม่เข้าเรื่อง แทนที่อาการปวดท้องจะหาย กลับปวดมากขึ้น หรือมีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่นเข้ามาก็เป็นได้เรื่องยานี้ ฉันใด เรื่องธรรมะ ก็ฉันนั้นแล โยมทั้งหลายเอ๋ย ธรรมะ คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มีทั้งระดับพื้นฐานที่ทรงสอนเพื่อแก้ปัญหาชีวิตแบบโลก ๆ และให้อยู่ในโลกร่วมกับคนอื่นได้อย่างสงบสันติ มีทั้งระดับที่สูงสุด คือสอนให้ลด ละ เลิก สิ่งที่เรียกว่า กิเลส ให้หมดไปจากจิตสันดาน เป็นพระอริยะอรหันต์ บรรลุนิพพาน (ดับกองกิเลสและกองทุกข์ได้ทั้งปวง) อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาใครอยากอยู่ระดับไหน หรืออยากก้าวไปถึงระดับไหน ก็เลือกเอา พระพุทธเจ้ามิได้ตั้งหน้าตั้งตาจะสอนให้คนออกบวช ละบ้านช่อง ลูกเมีย ไปนิพพานกันหมดทุกคนดอกครับ ใครยังไม่พร้อม ยังไม่อยากไป ก็ขอให้อยู่ใน โลกียวิสัย อย่างถูกต้องก็พอคำว่า อยู่ในโลกียวิสัยอย่างถูกต้อง นั้น หมายถึงอยู่อย่างไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น อยู่อย่างผู้ที่ช่วยตัวเองได้ในทางเศรษฐกิจ และเอื้อเฟื้อแบ่งปันแก่ผู้อื่นตามสมควร อยู่อย่างผู้มีคุณภาพจิต สมรรถภาพจิต และมีสุขภาพจิตมีสุขภาพจิต คือมีคุณธรรมที่แสดงออกถึงความอ่อนโยน นุ่มนวล เช่น มีเมตตากรุณา รักและสงสารคนอื่น และพร้อมที่จะช่วยเหลือก มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น อันนี้เรียกว่า เป็นฝ่าย อ่อน มีสมรรถภาพจิต คือมีคุณธรรมอันแสดงออกถึงความเข้มแข็ง เช่นมีสติ รู้จักยับยั้งชั่งใจได้ มีปัญญารู้รอบคอบชัดที่จะตัดสินปัญหาได้ดี มีวิริยะ ความพากเพียร มีปณิธานความแน่วแน่ในการที่จะทำอะไร ต้องทำให้สำเร็จจงได้ เป็นต้น อันนี้เรียกว่าเป็นฝ่าย แข็ง ทั้งอ่อนและแข็ง เป็นสิ่งจำเป็นที่คนเราจะต้องมีครบ และเลือกใช้ในการดำเนินชีวิตให้เหมาะแก่กาลเทศะ ดังสุภาษิตโบราณสอนไว้ว่าถ้าจะอ่อน อ่อนให้จริง ยิ่งเส้นไหมเพื่อจะได้ เอาไว้โยง เสือโคร่งเฆี่ยนถ้าจะแข็ง ก็ให้แกร่ง ดั่งวิเชียรเอาไว้เจียน ตัดกระจก เจียระไนมีสุขภาพจิต คือมีคุณธรรมที่แสดงออกถึงความผ่อนคลาย เช่นมีปีติในการทำงาน มีความสบายไม่เครียด ไม่กังวล มีความปล่อยวาง หรือ ปลง ได้ เมื่อเผชิญกับบางสถานการณ์ที่จะบีบรัดรุนแรง มีความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีทิฐิมานะถือดีในตัวเองเกินเหตุ เป็นต้นในสมัยพุทธกาล มีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ สุทัตตะ ต่อมามีชื่อเป็นที่รู้ทั่วไปว่า อนาถบิณฑิกะ (แปลว่าเศรษฐีใจบุญ) เพราะท่านผู้นี้ได้ทำบุญทำทานมากมาย รวยแล้วไม่เสพสุขเฉพาะตน หากแบ่งปันช่วยเหลือเจือจานคนอื่นด้วย จนเป็นที่รักใคร่ของประชาชนทั่วทั้งเมืองอนาถบิณฑิกะเศรษฐี ได้สร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า ชื่อวัดพระเชตวัน ได้ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนามากมายจนได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นผู้ศรัทธาในพระศาสนามากที่สุดคนหนึ่ง ไม่ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้อนาถบิณฑิกะเศรษฐีออกบวช เพราะทรงเห็นว่าเศรษฐีคนนี้มีทรัพย์แล้ว รู้จักใช้ทรัพย์ให้เกิดประโยชน์แก่ตนและสังคม คนเช่นนี้เรียกว่า รู้จักอยู่ในโลกได้อย่างถูกต้อง
พระพุทธศาสนานั้น ไม่ได้ตำหนิความร่ำรวย ตรงกันข้าม กลับสนันสนุนให้คนรู้จักทำมาหากินเพื่อให้ได้ทรัพย์สินเงินทองมามาก ๆ เพื่อให้เพียงพอแก่การเลี้ยงดูครอบครัว และมีส่วนเหลือเจือจานสังคม ดังทรงสอน หัวใจเศรษฐี ไว้ว่า คนเราต้องพยายามเป็นเศรษฐีให้ได้ ด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ๑. ต้องขยันทำมาหาเลี้ยงชีพ๒. ได้ทรัพย์มาแล้ว ต้องรู้จักเก็บออม๓. รู้จักคบคนที่เกื้อกูลแก่อาชีพการงานของตน ไม่คบนักเลงที่จะชักจูงไปทางเสื่อมโภคทรัพย์ เป็นต้น๔. ไม่สุรุ่ยสุร่าย ฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็น ใช้จ่ายเป็นและให้คุ้มค่าสิ่งพระพุทธเจ้าทรงตำหนิ คือการรวยโดยวิธีไม่ถูกต้อง ใครที่แสวงทรัพย์สินมาในทางทุจริต คอร์รัปชั่น เบียดบัง และเบียดเบียนคนอื่น ถึงจะได้มามากมายเพียงใด พระพุทธเจ้าไม่ยกย่อง มีแต่ตำหนิติฉินว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ควรเป็นอันขาดนอกจากตำหนิถึง ที่มา แห่งทรัพย์แล้ว ยังทรงตำหนิถึง ที่ไป แห่งทรัพย์นั้นด้วย ใครจะเอาทรัพย์นั้นไปทำบุญอะไรก็ตาม ก็ไม่ถือว่าเป็นบุญที่บริสุทธิ์ เช่น โกงเขามาเป็นแสนเป็นล้าน แล้วเอาเงินแสนเงินล้านนั้นไปสร้างโบสถ์ สร้างศาลา บุญที่ทำก็มิได้เป็นบุญบริสุทธิ์ ได้น่ะได้อยู่ แต่ได้น้อย ว่าอย่างนั้นเถอะ เพราะบุญที่จะได้จริง ๆ จะต้องครบองค์ประกอบ คือ๑. ทรัพย์ที่ได้มาทำบุญนั้น จะต้องได้มาอย่างบริสุทธิ์๒. เจตนาทั้งก่อนจะให้ กำลังให้ และหลังจากที่ให้ไปแล้ว ต้องบริสุทธิ์ คือไม่คิดเสียดาย๓. ผู้รับทานของเรา ต้องเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ด้วยขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้อยู่ แต่บุญมันได้น้อยอย่างว่านั้นแหละ โดยเฉพาะข้อที่ ๑ นั้น สำคัญมากผู้หลักผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่า สมัยรัชกาลที่ ๕ ยายแฟง เป็น มาม่าซัง มี ลูกค้า จำนวนมาก แกร่ำรวยมากจากอาชีพเป็นเจ้าสำนักขายเนื้อสด แบ่งทรัพย์จำนวนหนึ่งไปสร้างวัด ชื่อว่า วัดใหม่ยายแฟง (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นวัดคณิกาผล) เมื่อสร้างเสร็จ ได้นิมนต์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เทศน์ฉลอง สมเด็จฯ ท่านเทศน์ว่า ยายแฟงสร้างวัดนี้ ยายแฟงไม่ได้บุญสักเท่าใดดอก คนที่ได้มากกว่ายายแฟง คือพวกเด็ก ๆ ลูกสาวของยายแฟงต่างหากยายแฟงเคืองสมเด็จฯ ไปหลายวัน แต่พอมาตรึกตรองดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ในที่สุดก็เห็นด้วยกับสมเด็จฯ จึงหายโกรธท่าน เพราะเงินที่ได้มานั้น ไม่ได้มาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของยายแฟงแม้แต่สตางค์แดงเดียว พวกลูก ๆ ของยายแฟงต่างหาก พลีร่างแลกกับเงินเหล่านั้นมา เรียกว่าได้มาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของพวกเธอจริง ๆ พวกลูกเล้าจึงควรได้บุญมากกว่ามาม่าซังแฟง ว่าอย่างนั้นเถอะสรุปตรงนี้ก็คือ พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ความจนว่าเป็นทุกข์สำหรับผู้ครองเรือน ทรงสรรเสริญความร่ำรวย แต่ขอให้รวยในทางที่สุจริตชอบธรรม พูดให้ชัดก็คือ ชาวพุทธต้องรวย และเมื่อรวยแล้ว ต้องเจือจานสังคมด้วยชาวพุทธที่พระพุทธเจ้าให้อยู่อย่างยากจนเรียบง่ายนั้น คือชาวพุทธฝ่ายบรรพชิตครับ บวชเป็นพระแล้วต้องอยู่อย่างยากจน ไม่แสวงทรัพย์ หาบริษัทบริวารแวดล้อม ประเภทที่ไปไหนมาไหน มีขบวนลูกศิษย์ตามเป็นพรวน เพื่อแสดงว่าตนมีบารมีมากนั้น ไม่ใช่พระในพระพุทธศาสนาดอกครับ
สมํ กปฺเปติ ชีวิตํ สมุภตํ อนุรกฺขติ
ขยันทำงาน ไม่ประมาท ฉลาดในวิธีจัดการ เลี้ยงชีพแต่พอดี
ย่อมรักษาทรัพย์สมบัติให้คงอยู่และเพิ่มทวีได้
ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ตลอดไป...นะคะ