Battle: Los Angeles "เรา(นาวิกฯ)จะสู้เพื่ออะไรในวันที่โลกถูกยึด !!"
Battle: Los Angeles คือหนังแอกชั่นเอเลี่ยนบุกโลกที่ฟอร์มดีที่สุดในรอบหลายปี โดยมาพร้อมองค์ประกอบด้านเนื้อหาหลายๆอย่างที่รวมๆแล้วอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทั้งนี้ตัวหนังยังทำให้ชวนนึกไปถึงหนังแอกชั่น ไซไฟ ที่เคยโด่งดังในอดีตมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การที่เอเลี่ยนมาบุกโลกพร้อมการโจมตีกลับของทหารฝ่ายมนุษย์ และ การตามล่าหายานแม่ (ID4), ความตื่นตระหนกกับการเผชิญหน้ากับเอเลี่ยน (Alien),ทหารหน่วยหนึ่งที่ถูกส่งไปทำภารกิจช่วยชีวิตพลเรือนไม่กี่คนที่ติดอยู่กลางสมรภูมิกลางเมือง (Saving Private Ryan) และ การเลือกกลับไปสู่สมรภูมิอีกครั้งหลังเพิ่งจะกลับออกมาได้ (Black Hawk Down) นอกจากนี้หนังยังมีส่วนผสมที่ทำให้นึกถึงเกมส์แอกชั่นระดับตำนานอย่าง Call of Duty และ Halo อีกด้วย (ส่วนตัวคิดว่าคอเกมส์ 2 เกมส์นี้ต้องถูกใจเป็นพิเศษแน่ๆ)
หนังมีการดำเนินเรื่องที่รวดเร็วตั้งแต่ฉากแรกจนฉากสุดท้าย พร้อมทั้งมีการแทรกความเป็นดราม่าและฉากแอกชั่นสลับกัน ซึ่งในส่วนของดราม่าหนังพยายามที่จะใส่ส่วนที่เป็น ชาตินิยม ในเรื่องของความรักชาติที่นาวิกโยธินมีให้กับพลเรือนและประเทศชาติเข้าไปในเรื่องจนเกินความพอดี และ ออกนอกหน้าไปนิด แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะจากหน้าหนังแล้ว การที่ทางผู้สร้างจะมาเน้นตรงจุดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ ในหนังผู้ชมจะพบว่าเหล่านาวิกโยธินในเรื่องทั้งหมดมักจะถกเถียงกันตลอดเวลาระหว่างลูกหน่วยกับหัวหน้าหน่วยที่เคลื่อนพลไปช่วยพลเรือนทำนองที่ว่า ทำไมต้องเสี่ยงชีวิตลูกทีมเพื่อช่วยคนอื่น - พลเรือนตายไม่ได้ แต่ลูกหน่วยตายได้เท่านั้นหรือ ? ตรงนี้หนังแสดงจุดยืนของการเป็นนาวิกโยธินที่รับใช้ประเทศออกมาได้ภาพชัดเจนมากๆ (แม้จะชัดเจนสุดๆ แต่เพราะความชัดเจนเกินไปในจุดนี้ทำให้หลายคนบอกว่ามันดูจงใจเชิดชูจนเกินธรรมชาติไปครับ)
ส่วนในเรื่องฉากแอกชั่นนั้นส่วนตัวคิดว่าหนังทำได้ออกมาในระดับที่เยี่ยมทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อ การ บันทึกเสียง ตลอดจนฉากเทคนิคพิเศษในเรื่องที่ยิ่งใหญ่อลังการไม่ผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็นฉากเปิดเรื่องที่ให้อารมณ์ขึงขังตั้งแต่ต้นเรื่อง,ฉากหน่วยทหารถูกเอเลี่ยนเปิดฉากจู่โจมครั้งแรก ,ฉากพาพลเรือนหนีบนทางด่วน ตลอดจนฉากการชี้เป้าตั้งหลักยิงกันในช่วงสุดท้ายของเรื่องที่มันส์สะใจคอหนังแอกชั่นแน่นอน
ตัวละคร Michael Nantz (ที่รับบทโดย Aaron Eckhart) ในการรับหน้าที่เจ้าหน้าที่ประสบการณ์สูงที่ต้องกลับมารับตำแหน่งรองหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจในภารกิจสุดท้ายก่อนเกษียณ ถือเป็นตัวละครที่จัดได้ว่าสมบูรณ์แบบมากๆในหนังสไตล์นี้ เพราะเขาทั้งประสบการณ์ทางทหารสูง,มีปมความผิดพลาดในอดีตที่คอยตามหลอกหลอนใจ,ไม่มีครอบครัว ชีวิตนี้มีให้แค่ประเทศชาติ และ พี่น้องร่วมรบเท่านั้น องค์ประกอบเหล่านี้ถูกนำมาใส่ในตัวละครตัวนี้จนภาพที่ปรากฎในหนังออกมาเป็นตัวละครที่มีความเป็น อเมริกัน สูงมากๆเลยทีเดียว
ส่วนตัวละคร William Martinez (รับบทโดย Ramon Rodriguez) หัวหน้าหน่วยที่เข้ามาปฎิบัตภารกิจครั้งแรก ในเรื่องผู้ชมจะพบว่าหลายครั้งที่หน่วยถูกโจมตีเขาไม่สามารถสั่งการหรือแก้ปัญหาได้ เนื่องจากอาการตกใจจนทำอะไรไม่ถูกนั่นเอง ทั้งการตัดสินใจแต่ละครั้งก็นำพามาซึ่งการสูญเสียลูกหน่วย นั่นยิ่งทำให้สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่ลงเรื่อยๆระหว่างที่ภารกิจดำเนินต่อไปข้างหน้า จนกระทั้ง Nantz เดินมาพูดกับเขาว่า
พวกเราคือนาวิกฯ และคุณคือหัวหน้า พวกเราต้องการผู้นำ ขอเพียงคุณสั่งมาว่าซ้าย เราก็ไปซ้าย หรือ ขาว เราก็จะไปขวาโดยไม่ลังเล แต่ที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ ลืมคนที่ตายไปแล้วสะก่อน เพราะยังมีคนที่ยังอยู่และต้องการคุณอีกมาก
คำพูดนี้เข้ามาสะกิดใจของ Martinez ให้กลับมาตั้งสติและสั่งการหน่วยนี้อีกครั้ง และนำพาไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในการต่อสู้บนทางด่วนของตัวละครตัวนี้
แม้หลายเสียงจะบ่นว่า Battle: Los Angeles มาพร้อมความจำเจในเนื้อหา และ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แถม บทก็เหมือนถูกปรุงแต่งจนเกินความพอดี แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่า ภาพรวมของเรื่องนี้ถ้ามองในแง่การเป็นหนังแอกชั่น-ไซไฟ แล้ว จัดว่า ผ่าน ครับ เพราะแม้หนังจะมาพร้อมอารมณ์รักชาติสุดกู่แต่หนังก็นำเสนอได้ชัดเจนครับ ไม่ได้มาแบบครึ่งๆกลางๆปล่อยให้ค้างคา ที่สำคัญถ้าเอเลี่ยนบุกโลกเราจริงๆคุณคงภาวนาให้นาวิกฯสหรัฐฯหน่วยนี้มาช่วยคุณแน่ๆ !!
Create Date : 28 เมษายน 2554 |
Last Update : 19 กรกฎาคม 2554 0:57:38 น. |
|
3 comments
|
Counter : 3470 Pageviews. |
|
|
|