ผู้กำกับ Sam Raimi ใช้เวลาว่างจากการกำกับหนังไอแมงมุมไปนั่งเก้าอี้เป็น Producer ให้กับหนังสยองขวัญหลายเรื่องในรอบหลายปีมานี้ ไล่มาตั้งแต่ 30 Days of Night (2007), The Messengers (2007), Boogeyman (2005) และ The Grudge (2004) ซึ่งแต่ละเรื่องดูเหมือนจะไม่ใช้แนวที่เขาคุ้นเคยนัก จนกระทั้งเจ้าตัวหวนไปคิดถึงผลงานก่อนๆที่ตัวเองชื่นชอบและถนัดในสมัยที่แจ้ง เกิดใหม่ๆ จนสุดท้ายก็ได้ลงมือเขียนบทหนังร่วมกับ Ivan Raimi จนออกมาเป็น Drag Me to Hell ซึ่งแม้จะห่างหายจากการกำกับหนังแนวนี้มานาน แต่ Sam ก็กระโดดมาทำหน้าที่กำกับและควบคลุมการสร้างเองทั้งหมดเพื่อให้งานชิ้นนี้ ออกมาสมบูรณ์ที่สุด และเขาก็ไม่ทำให้แฟนๆต้องผิดหวังเพราะหนังเรื่องนี้ได้คำวิจารณ์ในแง่บวกพอสมควร ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยเพราะใน Drag Me to Hell เต็มไปด้วยความสดใหม่ ระทึก สยองขวัญ และอารมณ์ขันร้ายๆสไตล์ Sam Raimi รวมไปถึงการคลุมจังหวะ ลักษณะการดำเนินเรื่อง และรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายที่ลงตัว ถือเป็นการกลับมา ท็อปฟอร์ม ในการทำหนังสยองอีกครั้งของเขาที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
Drag Me to Hell เป็นหนังสยองขวัญที่ไม่ได้มีมาให้ผู้ชมสัมผัสมานานแล้ว ถึงแม้หนังจะอาศัยเรื่องของการใช้ เสียงโฉ่งฉ่าง ทำให้ตกใจอย่างในหนังสยองสูตรสำเร็จที่มักพบเป็นประจำกับหนังแนวนี้ แต่ Drag Me to Hell ยังมี จุดเด่น ที่ประกอบไปด้วย ตัวบท ที่มีลูกเล่นตลอดทั้งเรื่อง รวมไปถึงวิธีการดำเนินเรื่องที่น่าติดตาม และแน่นอนถ้าใครเป็นแฟนของผู้กำกับคนนี้ก็คงจะรู้ดีว่าหนังสยองที่ดีต้องมี อารมณ์ขันร้ายๆ รวมอยู่ด้วย และมันก็ถูกผสมลงในหนังเรื่องนี้ในปริมาณที่พอเหมาะ และทุก มุกตลกสไตล์ Sam Raimi (ขอเรียกอย่างงี้แล้วกัน) ก็ล้วนถูกวางไว้ในฉากที่ลงตัวอย่างสุดๆอีกด้วย ส่วนในเรื่องของฉากสยองขวัญทั้งหลายนั้นหลายห่วงเลยครับ เพราะเกือบตลอด 2 ชม.ที่ชม ผู้ชมจะถูกสะกดอยู่กับที่พร้อมลุ้นไปกับตัวละคร Christine ว่าจะถูกตามหลอกหลอนจาก "ลาเมีย" ด้วยวิธีใดบ้าง ตั้งแต่ ฉากแรกจนถึงฉากจบ ที่จะทำให้ทุกคนต้องถึงกับอ้าปากค้าง !!!
นอกจากนี้ใน Drag Me to Hell ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้เรานึกไปถึงงานเก่าๆของผู้กำกับคนนี้อย่าง Evil Dead ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจครับ เพราะตัวผู้กำกับเองก็ออกมาบอกว่าจงใจทำบางฉากเพื่อคารวะหนังไตรภาคผีอมตะจริงๆ อาทิ ฉากพิธีเข้าทรงในช่วงท้ายเรื่อง , ฉากตัวละคร Christine ขุนหลุมฝังศพในป่าช้า ที่ทำให้นึกไปถึงภาพ Bruce Campbell ขุดหลุมฝังศพในผีอมตะจริงๆ ,ฉากดึงผ้าเช็ดหน้าจอมตื้อที่ทำให้อดนึกไปถึงฉากกลางป่าใน Army of Darkness (1992) ไม่ได้ และฉากอภิมหาเลือดกำเดาที่เยอะที่สุดฉากหนึ่งในโลกภาพยนตร์ ที่นึกไปถึงฉากหนึ่งใน Evil Dead 2 ! รวมไปถึงการออกแบบ ผี ในเรื่องที่คงกลิ่นอายของหนังสยองขวัญเกรดบีสไตล์ Sam Raimi ไว้ครบเครื่อง
(ถ้าเราเคยเห็น Bruce Campbell ถูกทรมานและถูกผีหลอกอะไรมาบ้างใน Evil Dead ตัวละคร ของสาว Alison Lohman เองก็ถูกกระทำไม่ต่างกัน แต่ก็แอบคิดในใจว่าการที่ตัวละครเอกเป็นผู้หญิงทำให้ ฉากสู้กับผีตัวต่อตัว ในเรื่องยังพอมีขอบเขตบ้าง เพราะไม่งั้นขืนเธอโดนแบบ Bruce ใน Evil Dead ก็ไม่รู้ว่าคนสวยของผมจะโดนอะไรจนสะบักสะบอมอีกบ้างละเนี่ย)
โดยรวมแล้ว Drag Me to Hell คือหนังที่สามารถบอกได้เต็มปากเลยว่า เป็นหนังสยองขวัญที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในรอบหลายปีที่ผ่านมา เพราะนอกจากมันจะเต็มไปด้วยความ "สยอง" ที่พร้อมให้คุณหลอนจนเก็บไปฝันร้ายหรือ สะดุ้งสุดตัวแล้ว ตัวหนังยังแฝงไปด้วย ความบันเทิงระดับสุดยอด ไว้อย่างร้ายกาจ ที่เชื่อเลยว่าถ้าไม่ใช่คนที่ชื่อ Sam Raimi ก็คงไม่มีใครทำได้ และจะมีหนังสยองขวัญสักกี่เรื่องที่ทำให้คุณรู้สึกตกนรกเหมือนกับนางเอกของเรื่อง จริงๆและรู้สึกสนุกเต็มอิ่มหลังหนังจบอย่าง Drag Me to Hell !!!!