|
|
ช่วงข้าวยากหมากแพง...การเอาตัวรอดก็เลยยิ่งเป็นเรื่องสำคัญ...เราเข้าใจแต่มันต้องมีขอบเขต...
ที่ผ่านมามีเสียงตามสายต่อสายมาหาเราตลอด...มาแสดงอำนาจบอกว่าอันนี้ของเค้า...อันนั้นของเค้า...
ประเด็นของคำถามของเราคือ...ของสิ่งนั้นเป็นของใครก็ต้องอยู่กับคนนั้น...
ถ้าสิ่งนั้นเราครอบครองอยู่...เราทำอยู่...ที่มาเฝ้าพร่ำแสดงความเป็นเจ้าของนั้นหมายถึง...เราขโมยเค้ามางั้นเหรอ?
เราโดนกล่าวหาและตามราวีเรื่องแบบนี้มาโดยตลอด...อันนั้นไม่ใช่ของเรา...อันนี้เราทำไม่ได้...ใช้อะไรเป็นเกณฑ์จำกัดการมีชีวิตสิทธิเสรีภาพของคนอื่น
ถ้าเคยดูละครหลังข่าว...จะเห็นภาพชัดมาก...
เหมือนเราเป็นลูกเมียน้อยที่บ้านใหญ่เรียกไปข่ม...ไปเหยียดให้สำนึกตลอดว่าอันนี้ไม่ใช่ของเราอย่ามาแตะต้องนะ
ในชีวิตจริงของเรา...เราไม่ได้เป็นลูกเมียน้อยบ้านไหน...และเราบริจาคทานเสมอ...ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่ได้หวังจะได้อะไรบ่อยไป
และเราไม่เคยแสดงออกว่าเหนือ...หรือกร่างกับใคร...เราไม่เคยอยากให้ใครมารู้ประวัติเรา...
เพราะงั้นถ้าไม่มีใครมาข่มหรือเหยียดและแสดงอำนาจบาทใหญ่กับเราอย่างไม่มีเหตุผลก่อน...เราก็ไม่เคยจะไปเจียระไนว่าเรามีความเป็นมายังงัย
พอมีการรังควานและข่มขู่เราบ่อยๆ...เราเลยมาทบทวน
ทบทวนว่าเราไปแย่งหรือขโมยอะไรใครมาตามที่เค้ากล่าวหางั้นเหรอ...ก็ไม่หนิ...
ในโลกความจริงนี้...เราก็ไม่ได้ไปเอาอะไรใครมา...
เรารำคาญกับการรังควานชีวิตมาก...และอยากได้ความสงบมากกว่าอะไรทั้งหมดในตอนนี้...
เราแทบจะสละทุกอย่างเพื่อให้"""แล้วทำไมการรังควานนี้ยังไม่หายไป?
ก็เลยกลับมาทบทวนดูซ้ำๆว่าอะไรที่อีกฝ่ายเค้าต้องการ...
อีกฝ่ายก็ต่อสายมาไม่หยุดหย่อน...น้ำเสียงส่อเสียดบ้าง...น้ำเสียงผยองท้าทายบ้าง...จนบ่อยๆเรารู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นมีสติสมบูรณ์ไหมตอนสื่อสาร
เค้าพูดมาเป็นเป็นชาติ...เสมือนของทุกอย่างของเรา...บ้าน...รถ...งาน...เป็นของเค้า...เราขโมยเค้ามา...
ด้วยเหตุผลที่พูดมา...ไดอารี่หน้านี้เราเขียนเพื่อแสดงเจตนาในการทำเรื่องบางเรื่อง
จากนี้ไป...เป็นการใช้กฎหมายเข้ามาช่วยพิสูจน์สิ่งที่เราโดนกล่าวหามาตลอด...
พิสูจน์ว่าที่อีกฝ่ายรบกวนเรามาตลอดนั้น...เป็นเราที่ขโมยจริงไหม...และที่อีกฝ่ายกล่าวหาเราในทุกๆเรื่องนั้นจริงไหม
เราไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่เราจำเป็นต้องปกป้องชื่อเสียงตัวเองและชีวิตเรา...
เราไม่ได้อยากแย่งชิง...และเราไม่ได้อยากเบียดเบียนสร้างความเดือดร้อนให้ใคร...แต่บางเรื่องถ้าไม่ใช้กฎหมายก็แก้ไขสิ่งนั้นให้ถูกต้องไม่ได้
สำหรับอีกฝ่าย...ทุกครั้งที่แบกความทุกข์หรืออารมณ์มาอาละวาดใส่เรา..ให้ตระหนักว่า
เราพยายามช่วยแล้ว...และเราเชื่อว่าสิ่งที่เราได้พูดไปได้ช่วยให้อีกฝ่ายดีขึ้น...ได้รับความช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ไปได้
เราเลยไม่เข้าใจว่า...ทำไมอีกฝ่ายยังไม่รู้สึกถึงความมีน้ำใจและความปราถนาดีของเรา...
ต้องยอมรับว่า...เราไม่ชอบนิสัยเถื่อน...ถ่อยไม่มีมารยาท...เราไม่ชอบให้ใครมาท้าทายท้าตีท้าต่อย...เพราะเราไม่มีเพื่อนและสังคมแบบนั้นเลย
เพราะงั้นไม่แปลกที่เมื่อรู้จักกันจริงๆแล้ว...เราถึงไม่ได้มีความรู้สึกนึกชอบใจหรือเอ็นดูอีกฝ่าย...
เราที่สำคัญเราไม่ใช่คนดีขนาดที่จะให้ทุกสิ่งกับคนที่ร้ายกาจกับเรา...
เรายอมรับจริงๆว่า...เราไม่ปราถนาจะให้คนลักษณะนี้อยู่ในชีวิตหรือเกี่ยวข้องกับเรา...
ถ้าเป็นเด็ก...เราคงจะพูดตักเตือนกับอีกฝ่ายว่า...
อีกฝ่ายควรเกรงใจเราและรู้จักพอใจกับสิ่งที่ได้รับไป...ไม่ว่านั้นจะเป็นการให้ความเมตตาจากใครก็ตามที่เราได้ช่วยแนะนำไป...ไม่ใช่ต่อสายมารบกวนเราเรื่อยๆ...
การเสียสละของเรา...ควรได้รับคำขอบคุณเป็นการตอบแทน...ไม่ใช่การบ่อนทำลายชีวิตแบบนี้...
อย่าบังคับให้เราเดินกลับไปยืนที่เดิมเพื่อพิสูจน์สิ่งที่ถมน้ำลายใส่เราเลย...ปล่อยให้บางเรื่องมันเงียบหายไป...มันฉลาดและดีกับทุกฝ่าย...
เพราะงั้นแยกกันอยู่...ทางใครทางมัน...อย่ามารบกวนเราอีก...
ข้อความนี้สำหรับทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่คิดว่าทุกอย่างบนโลกเป็นของพวกคุณ...
ของใคร...ก็รู้อยู่แก่ใจกันดีทุกคน...ว่าจริงๆมันเป็นของใคร...
หัดขอบคุณและซาบซึ้งกับความใจดีของคนอื่นบ้าง...ไม่ใช่ไม่รู้จักพอทั้งผู้หญิงและผู้ชาย...
ถ้าไม่ชัดเจนเดี๋ยวนักกฎหมายเค้าจัดการทำให้มันชัดเจนเอง...
ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เข้าใจผิดหรือเข้าใจถูกกันอยู่...จะได้ชัดเจนสักที...
ไม่ว่าจะงาน...และสิทธิ์ในหลายๆเรื่อง...จะได้ไม่ต้องมากล่าวหาใคร...
ไม่ได้มีเจนตนาข้ามหัวข้ามหน้าใคร...แต่ต้องขออนุญาตเรื่องนี้...จะไม่มีการไกล่เกลี่ยเพราะจำเป็นต้องปกป้องชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของเรา...ที่โดนกล่าวหามาตลอด
เราไม่ได้ขยับตัวทำอะไร...แทนที่จะสงบและถอยไป...กลับคิดไม่ได้...
ได้คืบเอาศอก...ไม่รู้จักพอ...
เอาล่ะวันนี้เข้าใจความหมายนี้ชัดไหม...ได้คืบเอาศอก...
Create Date : 23 สิงหาคม 2567 |
Last Update : 23 สิงหาคม 2567 16:13:28 น. |
|
0 comments
|
Counter : 325 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
 |
|
|
|