|
|
วันพระก่อนไปวัดมาคะ...พระท่านเทศน์เรื่องการให้มาคะ...
มีนิทานเรื่องนึง...ครั้งก่อนพระท่านเล่าให้ฟัง...จำชื่อตัวละครไม่ได้คะเพราะเรียกยาก...จะเล่าคราวๆให้ฟังละกันนะคะ...
ที่เมืองหนึ่งมีพระราชาที่มีคุณธรรมสูงบรรลุอรหันต์แล้วแต่ยังไม่นิพพาน...
พระราชามีกุมาร 2 องค์
วันหนึ่งมียักษ์ตนนึง...มากราบทูลของกุมารทั้ง 2 ไปเป็นอาหาร
พระราชาทรงเรียกกุมารทั้ง 2 มา...แล้วบอกเล่าความต้องการของยักษ์ให้กุมารฟัง...
พร้อมบอกกุมารว่าการให้ชีวิตแก่ยักษ์ครั้งนี้จะช่วยให้กุมารหลุดพ้นจากบ่วงทั้งหลายทางโลก...และเป็นหนทางถึงซึ่งจะเข้าใกล้นิพพานและดับทุกข์ในภพต่อไป
แต่พระราชาก็ไม่ได้บังคับกุมาร...บอกว่าแล้วแต่กุมารจะตัดสินใจ...พ่อจะตามใจ...
กุมารทั้ง 2 ด้วยความเป็นผู้มีบุญอยู่แล้ว...ก็บอกพ่อไปว่า...เรายินดีให้กายและชีวิตนี้แก่ยักษ์...
ผู้เป็นพ่อได้ยินดังนั้นก็มอบกุมารทั้ง 2 .ให้เป็นอาหารแก่ยักษ์
จบ (เล่าแบบจับใจความเอานะคะ กระชับมาก ฮ่า ฮา)
ขออนุญาตมาขยายความเรื่องการให้ชีวิตในนิทานเรื่องนี้...ในความเข้าใจของตัวเองก่อนนะคะ...เผื่อมีคนสงสัยว่า หะ ได้เหรอ ให้ชีวิตได้เหรอ
เอาละเผื่อมีคนสงสัยว่าการให้ชีวิตนั้น...ไม่เป็นบาปเหรอ...
ขออธิบายแบบที่เราเข้าใจนะ...ไม่อิงหลักอะไรมากมายให้ซับซ้อน...
ทางนี้เข้าใจว่า (เน้นว่าเป็นความคิดของทางนี้นะไม่รู้ว่าถูกหรือผิดไหม)...อ่านไปก็ใช้วิจารณญานไปด้วยนะคะ
ทุกข์นั้นมีอยู่ทุกสภาวะ...ทั้งตอนเกิด...ตอนแก่...ตอนเจ็บ...และตอนตาย...และเราทุกคนก็หนีไม่พ้น...
เพราะงั้น...ที่บางคนไม่ได้กลัวความตาย...เพราะเค้าเข้าใจความตายและวัฎสงสาร...
คือไม่ว่าจะอยู่หรือตายก็หนีไม่พ้นทุกข์...ตกนรกก็ทุกข์...ขึ้นสวรรค์ก็ทุกข์...เกิดใหม่เป็นมนุษย์ก็หนีกันไม่พ้นทุกข์...การเวียนว่ายตายเกิดเลยเป็นเรื่องธรรมดาในมุมมองของคนกลุ่มนี้
มาคะ...มาทำความเข้าใจกับการเกิดทุกข์กันแบบง่ายๆตามระดับความสามารถของคนทางนี้ที่จะอธิบายได้กันคะ
การเกิด...การมีชีวิตก็หนีไม่พ้นความทุกข์...ทุกข์จากอารมณ์ต่างๆ...ไม่ว่าจะเป็นคร่ำครวญ...ร่ำไร...โมหะจริต...โลภ...อิจฉา...ทะเยอทะยาน...หวาดกลัวและอื่นๆ...
การแก่...และการเจ็บป่วย...ก็หนีไม่พ้นทุกข์...เพราะเกิดสังขารที่เสื่อมนำมาซึ่งความเจ็บป่วย...และอารมณ์ที่หมองเศร้า...หดหู่...ทกุข์จาการดิ้นรนรักษาสังขารให้ไม่เสื่อม เป็นต้น
การตาย...ก็หนีไม่พ้นทุกข์...เพราะกลัว...กังวลกับโลกที่ไม่เคยพบเห็น...กลัวเนื่องมาจากความเชื่อที่เคยได้รับรู้มา
เพราะงั้น...สำหรับกุมารก็อาจจะคิดว่า...การสละทานที่มีค่านี้ให้ไป...เป็นทางเลือกการพาตัวเองดับซึ่งทุกข์อย่างนึง...ไม่ต้องทุกข์เพราะแก่...ไม่ต้องทุกข์เพราะเจ็บ...และเป็นการปลงไม่ยึดติดกับรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติที่มี...
หากไม่กังวลในโลกหลังความตาย...เข้าใจกฎแห่งกรรมและยอมรับและเข้าใจได้...การตายก็ไม่ใช่เรื่องแย่เพราะยังงัยกุมารทั้ง 2 (รวมทั้งเราทุกคน)ก็หนีไม่พ้น
กรรมดีและกรรมเลว...เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว...ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้...
จะย้อนกลับไปทำกรรมดีที่เคยทำไว้...ให้ดีขึ้นกว่าเดิมก็ไม่ได้
จะย้อนกลับไปทำกรรมเลวที่เคยทำไว้ให้ลดน้อยลง หรือไม่ทำ ก็ไม่ได้แล้ว
ยังงัยแล้ว...สิ่งที่ทำไปก็จะส่งผลแน่นอน...ในอนาคต...เหตุและผลนี้เป็นจริง...
ดังนั้นคนที่ปฎิบัติดีก็และตั้งตนโดยชอบ...ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องของความตายและโลกหลังความตาย...
เอาละประเด็นคือ...หลังจากฟังนิทานเรื่องนี้จบ...ทางนี้ก็เกิดคำถามกับตัวเองว่า...การให้ทานที่มีค่าขนาดนั้น...ไม่ต้องเลือกที่จะให้ได้จริงๆเหรอ
เช่น เราคงไม่บริจาคเงิน 1 ล้านให้คนติดพนัน ไปต่อทุน เพราะเราคงไม่ต้องการสนับสนุนเค้าเดินทางไปในทางเสื่อม
หรือ เราก็แค่คิดว่ามันบรรเทาทุกข์แก่เค้าได้ ถ้าเราไม่ได้เดือดร้อน เราก็สละทานนี้ให้ได้
นั่นแหละเป็นคำถามในใจทางนี้มาตลอดคะ...ว่าเรายังกิเลสหนาอยู่รึป่าว...ทำไมถึงสับสนและวางไม่ลงสักทีกับการบริจาคทานมีค่าให้กับคนบางประเภท
****อ่อ...ยักษ์นั้น...เมื่อกินอิ่ม...ก็จะไม่ออกไปจับคนกินอีก 2-3 เดือนคะ...การบริจาคทานที่มีค่าของกุมารทั้ง 2 นั้น จะเป็นการช่วยชีวิตคนอื่นในทางอ้อมคะ มันดูแตกต่างใช่ไหมคะ กับการให้ทานกับคนที่จะนำทานนั้นไปหาประโยชน์ในทางเสื่อม****
แชร์เรื่องส่วนตัวนะคะ...ในโลกเงา และโลกความจริง มันวุ่นวายกับความโลภมาก จนน่าเบื่อหน่ายคะ
ส่วนตัวยังคิดว่า...การมีมากกว่า...ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องให้ในทุกครั้งที่มีคนขอนะคะ...เพราะเรายังไม่ได้เป็นอรหันต์หรือนิพพาน...เราเลยคิดว่าการให้ที่ถูกมันต้องดูเหตุและผลและพิจารณาผู้รับด้วยคะ
เพราะบางคนก็ขอตลอด...ไม่ได้เกรงใจ...ไม่รู้จักพอ...ไม่รู้สึกขอบคุณน้ำใจที่ได้รับไป...ไม่เคยละอายใจเวลาเอ่ยขอซ้ำๆ
ให้จนเดือดร้อน...แต่ก็ยังให้...ให้จนคนรับ...ติดการขอและรบกวนเป็นนิสัย...อันนี้คนที่ให้ก็เป็นฝ่ายผิดที่สนับสนุนการสร้างนิสัยไม่ดีและส่งเสริมการขอดะให้แก่อีกฝ่าย...ส่งเสริมเค้าใช้ชีวิตไปในทางแย่...
เพราะงั้น...การเดินทางสายกลาง...ในบางครั้งก็จำเป็นสำหรับคนพวกนี้...
บางคนพอไม่ให้...ก็ไม่เคยพิจารณาความไม่ดีของตัวเอง...พอไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการก็กลายเป็นอีกฝ่ายที่เป็นฝ่ายสละตลอดมาถูกตำหนิ
เพราะงั้นเมื่อได้ฟังนิทานเรื่องนี้...เลยมีประเด็นนี้ติดอยู่ในใจคะ...ว่าเราควรต้องให้ในทุกครั้งที่มีคนมาขอเราเหรอ...ขอรอบที่ล้านก็ต้องให้รอบที่ล้านด้วยเหรอคะ
การให้ในบางครั้งอาจเป็นการสนับสนุนความโลภ...และอาจเป็นการทำลายสังคม...เปลี่ยนผิดเป็นถูกเปลี่ยนถูกเป็นผิด...และเรายังต้องให้งั้นเหรอคะ
ใครเข้ามาอ่านแล้วมีความรู้ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยคะ...เอาแบบง่ายๆนะคะ...ทางนี้ไม่ค่อยฉลาดคะ
***ทางพระพุทธศาสนา...ตัวตนของเรานั้น...แบ่งเป็น 1)ร่างกาย 2)จิต
การดับสูญไปของภพภูมิหนึ่ง...สำหรับคนที่เชื่อเรื่องเวรกรรมและวัฎสงสารนั้น...คือการเวียนว่ายตายเกิด...จากภพหนึ่งสู่ภพหนึ่ง...หมุนเวียนตามกรรมที่ทำไว้...
จิตที่ดับไปในภพนี้...ก็จะไปตื่นในอีกภพหนึ่ง...ในร่างกายใหม่...ก็เปรียบเสมือนเสื้อผ้าห่อหุ้มร่างกายชุดใหม่ในจิตเดิม... (แต่ต้องไปชดใช้กรรมให้สิ้นก่อนนะ แต่บางทีการเกิดใหม่ก็เป็นการชดใช้กรรมในภพเดิมนะ อันนี้ซับซ้อนเกินที่เจ้าของไดอารี่จะอธิบายได้เพราะเพิ่งเริ่มศึกษาคะ)
การจะหลุดพ้นจากการ...เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือการเวียนว่ายตายเกิดได้นั้นก็คือนิพพาน***
Create Date : 06 กันยายน 2567 |
Last Update : 6 กันยายน 2567 11:08:00 น. |
|
0 comments
|
Counter : 287 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
 |
|
|
|