สวัสดีครับ
เมื่อกล่าวถึง ความมั่งคั่ง เชื่อว่า ไม่ว่าใครๆ ก็ต้องอยากสัมผัสอยากมีไว้ในครอบครองโดยการที่เรียกได้ว่า มั่งคั่งนั้นหมายถึงการมีทรัพย์สินสุทธิเพียงพอกับการใช้จ่ายให้ชีวิตสุขสบายและเพียงพอต่อความต้องการใช่จ่ายของเราได้โดยคำว่า สินทรัพย์สุทธิ นั้นหมายถึงสินทรัพย์หักลบด้วยหนี้สิน เพื่อให้เหลือเป็นสินทรัพย์สุทธินั่นเองครับ
จากที่กล่าวมาก็พอจะเป็นการบอกใบ้อยู่กลายๆ ว่า ความมั่งคั่งของเราแต่ละคนนั้น จะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความต้องการพื้นฐานของแต่ละคนครับ ทั้งนี้ความมั่งคั่งไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ แต่เราต้องสร้างมันเองครับและบทความวันนี้ก็จะนำเสนอ ปัจจัยสี่แห่งความมั่งคั่งซึ่งเป้นกลไกสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งทางการเงิน
เงินตั้งต้น
เงินตั้งต้นนั้นอาจจะเป็นเงินเก็บที่มีมาแต่เดิมหรือเป็นเงินก้อนที่ได้รับมาจากคนอื่น เช่น ได้รับเป็นมรดกหรือได้รับมาจากพ่อแม่ซึ่งเงินในส่วนนี้ไม่ควรเป็นเงินที่เกิดจากการกู้เพราะการกู้มีดอกเบี้ยซึ่งอาจจะแพงกว่าผลตอบแทนที่เราจะได้จากเงินก้อนนี้ก็จะเรียกได้ว่าเสียไม่คุ้มได้นั่นเองครับ เงินตั้งต้นนี้เป็นเงินก้อนแรกที่จะช่วยให้เราสร้างความมั่งคั่งครับเพราะเมื่อมีเงินตั้งต้น เราก็จะมีกำลังในการลงทุน ซึ่งหากเงินตั้งต้นของเรามีมากก็จะช่วยให้เราเดินทางไปสู่ความมั่งคั่งได้ไวขึ้นครับ
เงินออมรายงวด
หลังจากที่เรามีเงินตั้งต้นในการเริ่มลงทุนแล้วเราก็ต้องกันเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการลงทุนไว้เพื่อเป็นเงินออม ถ้าไม่เช่นน้นความมั่งคั่งก็จะไม่เกิดครับ ซึ่งเงินออมในส่วนนี้ ใครๆ ก็สามารถเริ่มออมได้ครับขอเพียงมีรายได้ ไม่ว่าจะแหล่งใดก็ตามครับ โดยทั่วไป การออมเงินควรอยู่ในอัตรา10-30% ของรายได้ครับและที่สำคัญคือ ควรออมก่อนใช้ ไม่ใช่ใช้เหลือแล้วค่อยออมครับ
อัตราผลตอบแทนทบต้น + ระยะเวลาการลงทุน
สองปัจจัยนี้ต้องมาพร้อมกันเป็นคู่ครับเพราะเมื่อสองปัจจัยนี้ทำงานร่วมกันจะสามารถทำให้เงินตั้งต้นหรือเงินออมของเราเพิ่มมูลค่าให้เราไปถึงเป้าหมายทางการเงินของตัวเองได้ไวยิ่งขึ้นครับถ้าเราสามารถลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงๆ และลงทุนในระยะเวลาที่ยาวนานผลตอบแทนก็จะยิ่งเพิ่มเท่าทวีคูณ อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงก็ย่อมมากับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน ซึ่งนอกจากระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนานจะช่วยทำให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นแล้วยังช่วยลดความเสี่ยงด้านความผันผวนของผลตอบแทนได้อีกด้วยครับ
จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่าเมื่อเราเริ่มลงทุนและได้ผลตอบแทน เราควรกันเงิน 10-30% ไว้ออม และนำเงินออมนั้นไปลงทุนต่อตามระดับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้โดยการลงทุนนั้นหากเป็นระยะยาว ก็จะได้ผลประโยชน์จากหลักการ ดอกเบี้ยทบต้นทบดอกซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าของเงินลงทุนได้เป็นเท่าทวีคูณครับ
ท้ายนี้หากใครมีข้อสงสัยหรือมีคำถามเกี่ยวกับทุกเรื่องการเงินและการลงทุนสามารถส่งอีเมล์มาปรึกษา K-Expertได้ที่ k-expert@kasikornbank.com หรือเข้าไปอ่านสาระดีๆ ได้ที่ www.askkbank.com/k-expert และสำหรับผู้ที่ชอบการรับข้อมูลทาง Twitter สามารถ follow@ KBank_Expert หรือเข้าไปที่ //twitter.com/KBank_Expert เพื่อรับข่าวสารการเงินการลงทุน และเกรดการเงินง่ายๆสำหรับชีวิตประจำวันครับ