แหล่งรวมเกร็ดความรู้เรื่องการเงินในทุกมิติของทุกช่วงชีวิต โดยทีมให้คำปรึกษาและวางแผนการเงิน K-Expert
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
8 ตุลาคม 2555
 
All Blogs
 

ปัจจัยสี่แห่งความมั่งคั่ง

สวัสดีครับ

เมื่อกล่าวถึง “ความมั่งคั่ง” เชื่อว่า ไม่ว่าใครๆ ก็ต้องอยากสัมผัสอยากมีไว้ในครอบครองโดยการที่เรียกได้ว่า “มั่งคั่ง”นั้นหมายถึงการมีทรัพย์สินสุทธิเพียงพอกับการใช้จ่ายให้ชีวิตสุขสบายและเพียงพอต่อความต้องการใช่จ่ายของเราได้โดยคำว่า “สินทรัพย์สุทธิ” นั้นหมายถึงสินทรัพย์หักลบด้วยหนี้สิน เพื่อให้เหลือเป็นสินทรัพย์สุทธินั่นเองครับ

จากที่กล่าวมาก็พอจะเป็นการบอกใบ้อยู่กลายๆ ว่า ความมั่งคั่งของเราแต่ละคนนั้น จะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความต้องการพื้นฐานของแต่ละคนครับ ทั้งนี้ความมั่งคั่งไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ แต่เราต้องสร้างมันเองครับและบทความวันนี้ก็จะนำเสนอ “ปัจจัยสี่แห่งความมั่งคั่ง”ซึ่งเป้นกลไกสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งทางการเงิน

เงินตั้งต้น

เงินตั้งต้นนั้นอาจจะเป็นเงินเก็บที่มีมาแต่เดิมหรือเป็นเงินก้อนที่ได้รับมาจากคนอื่น เช่น ได้รับเป็นมรดกหรือได้รับมาจากพ่อแม่ซึ่งเงินในส่วนนี้ไม่ควรเป็นเงินที่เกิดจากการกู้เพราะการกู้มีดอกเบี้ยซึ่งอาจจะแพงกว่าผลตอบแทนที่เราจะได้จากเงินก้อนนี้ก็จะเรียกได้ว่าเสียไม่คุ้มได้นั่นเองครับ เงินตั้งต้นนี้เป็นเงินก้อนแรกที่จะช่วยให้เราสร้างความมั่งคั่งครับเพราะเมื่อมีเงินตั้งต้น เราก็จะมีกำลังในการลงทุน ซึ่งหากเงินตั้งต้นของเรามีมากก็จะช่วยให้เราเดินทางไปสู่ความมั่งคั่งได้ไวขึ้นครับ

เงินออมรายงวด

หลังจากที่เรามีเงินตั้งต้นในการเริ่มลงทุนแล้วเราก็ต้องกันเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการลงทุนไว้เพื่อเป็นเงินออม ถ้าไม่เช่นน้นความมั่งคั่งก็จะไม่เกิดครับ ซึ่งเงินออมในส่วนนี้ ใครๆ ก็สามารถเริ่มออมได้ครับขอเพียงมีรายได้ ไม่ว่าจะแหล่งใดก็ตามครับ โดยทั่วไป การออมเงินควรอยู่ในอัตรา10-30% ของรายได้ครับและที่สำคัญคือ ควรออมก่อนใช้ ไม่ใช่ใช้เหลือแล้วค่อยออมครับ

อัตราผลตอบแทนทบต้น + ระยะเวลาการลงทุน

สองปัจจัยนี้ต้องมาพร้อมกันเป็นคู่ครับเพราะเมื่อสองปัจจัยนี้ทำงานร่วมกันจะสามารถทำให้เงินตั้งต้นหรือเงินออมของเราเพิ่มมูลค่าให้เราไปถึงเป้าหมายทางการเงินของตัวเองได้ไวยิ่งขึ้นครับถ้าเราสามารถลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงๆ และลงทุนในระยะเวลาที่ยาวนานผลตอบแทนก็จะยิ่งเพิ่มเท่าทวีคูณ อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงก็ย่อมมากับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน ซึ่งนอกจากระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนานจะช่วยทำให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นแล้วยังช่วยลดความเสี่ยงด้านความผันผวนของผลตอบแทนได้อีกด้วยครับ

จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่าเมื่อเราเริ่มลงทุนและได้ผลตอบแทน เราควรกันเงิน 10-30% ไว้ออม และนำเงินออมนั้นไปลงทุนต่อตามระดับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้โดยการลงทุนนั้นหากเป็นระยะยาว ก็จะได้ผลประโยชน์จากหลักการ “ดอกเบี้ยทบต้นทบดอก”ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าของเงินลงทุนได้เป็นเท่าทวีคูณครับ

ท้ายนี้หากใครมีข้อสงสัยหรือมีคำถามเกี่ยวกับทุกเรื่องการเงินและการลงทุนสามารถส่งอีเมล์มาปรึกษา K-Expertได้ที่ k-expert@kasikornbank.com หรือเข้าไปอ่านสาระดีๆ ได้ที่ www.askkbank.com/k-expert และสำหรับผู้ที่ชอบการรับข้อมูลทาง Twitter สามารถ follow@ KBank_Expert หรือเข้าไปที่ //twitter.com/KBank_Expert เพื่อรับข่าวสารการเงินการลงทุน และเกรดการเงินง่ายๆสำหรับชีวิตประจำวันครับ




 

Create Date : 08 ตุลาคม 2555
0 comments
Last Update : 8 ตุลาคม 2555 16:41:29 น.
Counter : 1613 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Expert Blog
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




เกร็ดความรู้ทางการเงินสำหรับชีวิตประจำวันในทุกมิติของชีวิต
Friends' blogs
[Add Expert Blog's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.