Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2556
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
30 ตุลาคม 2556
 
All Blogs
 
ทริปตรัง ถือศีลกินผัก ปี 2556 ตอนที่ 5หลวงพ่อแก่นจันทร์,ถ้ำเลสเตโกดอน


วันรุ่งขึ้น วันนี้จะเป็นการเดินทางไปสักการะพระพุทธรูปหลวงพ่อแก่นจันทร์ที่วัดชมภูนิมิต

วัดนี้อยู่ที่ถนนแยกทางหลวงหมายเลข 404 (ปะเหลียน) - บรรจบทางหลวงหมายเลข 406

(ฉลุง) (ทุ่งหว้า) ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จ.สตูล พิกัด 7 6.2722N , 99 45.2742E


ประวัติหลวงพ่อแก่นจันทน์(ประวัติพระลากห้ามฝน วัดชมพูนิมิตร อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล)


หลวงพ่อแก่นจันทน์ เป็นพระพุทธรูปที่ ชาวทุ่งหว้าให้ความเคารพนักถือมาเป็นเวลาช้านาน

โดยมีประวัติเล่าต่อๆกันมาว่า ชาวบ้านบ้านแหลมแค ตำบลบ้าน ท่าแลหลาอำเภอละงู

จังหวัดสตูล ซึ่งอยู่ริมทะเล ไปเจอพระพุทธรูป ๓ องค์ลอยน้ำมา เกยตื้น ที่บ้านแหลมแค

โดยพระพุทธรูปองค์ใหญ่ แกะสลักสวยงามมาก และมีพระพุทธรูปองค์ เล็ก อีก ๒ องค์

เข้าใจว่าเป็นพระลูกศิษย์ แต่เนื่องจากว่าชาวบ้านบ้านแหลมแคเป็นชาวอิสลามทั้งหมด

จึงส่งข่าวมาบอก นายเทียนยี่ เล่าเซ้ง กับนาย หิ้น โพธิรัตน์ ซึ่งเป็นไทยพุทธ และ

เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งวัดชมภูนิมิตร บุคคลทั้งสองจึงชักชวนไทยพุทธชาวทุ่งหว้า จำนวนหนึ่ง

เดินเท้าจากอำเภอทุ่งหว้า ไปบ้านแหลมแค และได้อุ้มพระพุทธรูปทั้ง สามองค์ มาไว้ที่

วัดชมภูนิมิตร ประดิษฐาน เป็นพระประธาน ซึ่งมีเพียง ๓องค์เท่านั้น ขณะเดินทางกลับ

เกิดฝนตกหนัก ปรากฏว่า คนอุ้มพระ ไม่เปียกฝน ทำให้ชาวบ้านมีความศรัทธามาก นิยม

ไปกราบไว้บูชา และบนบานสารกล่าวขอพรเป็นประจำ เมื่อได้ตามที่ขอไว้แล้ว ก็จะนำ

ขนมโค ไปไหว้ เพื่อแก้บน


เมื่อถึงวันออกพรรษา ก็จะมีประเพณีลากพระ โดยทางเรือ ด้วยยังไม่รู้ว่าเป็นพระอะไร

จึงเรียนว่า “พระลาก” เพราะนิยมนำมาลากพระในวันออกพรรษา ต่อมาเมื่อถึงวันสงกรานต์

จะนำพระพุทธรูปดังกล่าวมาสรงน้ำ ปรากกฎว่า เศียรพระซึ่งมีลักษณะเป็นเปลวแหลม เกิดบิ่น

ขึ้นมา ชาวบ้านจึงเอาเอาเศียรพระ มาดูกัน ปรากฏว่าผู้รู้ บอกว่า เป็นไม้จันทน์ จึงเรียก

“หลวงพ่อแก่นจันทน์” แทน “พระลากตั้งแต่นั้นมา


ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ ของหลวงพ่อแก่นจันทน์ พุทธบริษัท จึงได้จัดสร้างวิหารหลวงพ่อแก่นจันทน์

เพื่อประดิษฐานหลวงพ่อแก่นจันทน์ และเพื่อเป็นการป้องกันผู้ร้ายมาแอบมาขโมยไป เพราะ

หลวงพ่อแก่นจันทน์ มีอายุเก่าแก่มาก ป้จจุบันสร้างวิหารเสร็จสิ้นแล้ว และด้วยความจงรักภักดี

ต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ คณะกรรมการจึงขอพระราชทาน ตราสัญลักษณ์

พระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ฉลองไว้ที่หน้าจั่ววิหารหลวงพ่อ


//www.web-pra.com/Article/Show/523





ขอบคุณ นายณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ นายกอบต.ทุ่งหว้า ที่มาให้ความรู้เราเกี่ยวกับวัดแห่งนี้

และยังได้ตามไปให้ความสะดวก พร้อมอุปกรณ์ต่างๆในการลุยถ้ำเลสเตโกดอน





หลังจากที่ไหว้สักการะ กันแล้วท่านเจ้าอาวาสได้อวยพรประพรมน้ำมนต์ให้แก่พวกเรา สาธุๆ





ช่วงนั้นฝนกำลังตกหนักทีเดียว ต้องรอให้ฝนซาลงบ้าง





น่าจะเป็นศาลาแห่งใหม่ หากใครทราบข้อเท็จจริง จะมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมก็จะเป็นพระคุณยิ่ง





วิหาร หลวงพ่อแก่นจันทร์ ทุ่งหว้า สตูล ที่สร้างขึ้นมาและคณะกรรมการขอพระราชทาน

ตราสัญลักษณ์ พระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ฉลองไว้ที่หน้าจั่ววิหารหลวงพ่อ





ท่านเจ้าอาวาสชี้ให้พวกเราดูพญานาค ที่ต้นปาล์ม ที่ปลูกอยู่หน้าวิหาร เหมือนจริงๆด้วย





จากนั้นก็เดินทางกันต่อไปยังที่ถ้ำเลสเตโกดอน ซึ่งคุณวิ บอกย่าว่าเป็นไฮไลท์ของการ

เดินทางทริปนี้ กำลังจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้ กับแหล่งท่องเที่ยวที่เป็น

มากกว่าถ้ำให้เรามาดูความสวยงามของถ้ำและหินต่างๆ เพราะที่นี่แตกต่างและมีคุณค่า

ทางด้านธรณีวิทยาอย่างมากมาย


การเดินทางเริ่มต้นจากปากถ้ำ ที่อยู่บริเวณหมู่บ้านคีรีวง ในเขตของตำบลทุ่งหว้า ทางเข้า

ถ้าจะอยู่ติดทางหลวงหมายเลข 416 ซึ่งมีป้ายชื่อถ้ำเล สเตโกดอน ติดไว้ เดินผ่านสวนยาง

ไปซักประมาณ 200 เมตร





ก่อนถึงถ้ำเราต้องลงรถกันที่นี่ วิวสวนยางสวยจริงๆ หลั่นล้าชักภาพกันเป็นที่ระลึก

เที่ยวนี้พวกเรามากับช่างภาพตัวกลั่นจากหลายที่ ก็เลยได้ภาพสวยๆมาอวดกัน ขอบคุณ

คุณจำลองช่างภาพ


สาวสาวสาว สุดา Achariyasilp , Chayanandh Kaenkaew และปาลิตา Khampanna





ข้ามสะพานไม้สุดคลาสสิค เพื่อไปยังปากถ้ำ





นายณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ (หรือรู้จักกันในนาม นายกโอเล่) นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า

อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล ผู้บุกเบิกถ้ำเล-สเตโกดอน งานนี้เธอมารอพวกเราอยู่ที่ปากถ้ำ

พร้อมอุปกรณ์การลุยถ้ำ เช่น เสื้อชูชีพ,หมวกกันน๊อค(เพื่อความปลอดภัย),ไฟฉายแกส,ไฟฉายสวมหัว,

ถุงกันน้ำ(สำหรับกล้อง) เรียกว่าพร้อมสรรพจริงๆ ขอบคุณๆ ช่วงที่เรามาถึงที่นี่ฝนปรอยๆมาตลอด

และเริ่มมาตกหนักตอนถึงปากถ้ำ จึงต้องรีบแต่งองค์ทรงเครื่องให้พร้อม ก่อนการลุยถ้ำ ต้องรีบเก็บ

กล้องใส่ถุงกันน้ำเพราะฝนตกมากขึ้นทุกที จึงไม่มีภาพของช่วงนี้ เรือคยัคพร้อมบริการ





อุปกรณ์พร้อมสรรพตะเกียงแก๊สมือถือ ท่านนายกโอเล่ของพวกเราแจ๋วจริงๆ





ถ้ำเล สเตโกดอน เดิมชื่อถ้ำวังกล้วย เป็นถ้ำที่อยู่ติดทะเล และมีน้ำทะเลท่วมขังตาม

การขึ้นลงของน้ำทะเล จึงเรียกว่าถ้ำเล และยังเป็นถ้ำเลที่มีความยาวที่สุดในประเทศไทย

ด้วยค่ะ เพราะมีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร ส่วนคำว่า "สเตโกดอน" ซึ่งไม่ค่อยคุ้นหูเรา

เท่าไหร่นักนั้น มันคือชื่อของช้างดึกดำบรรพ์ และเหตุผลที่นำชื่อช้างนี้มาตั้งเป็นชื่อถ้ำ

เนื่องจากมีการพบฟอสซิลของช้างสเตโกดอนในถ้ำแห่งนี้ ตอนที่ชาวบ้านไปหากุ้งก้าม

กรามในถ้ำ และพบหินรูปร่างแปลกตา จึงนำมาซึ่งการสำรวจถ้ำ และค้นพบซากฟอสซิล

อีกมากมายภายในถ้ำนี้ และตามผนังถ้ำเราก็ยังพอเห็นฟอสซิลของสาหร่ายทะเลอีกด้วย

เรียกว่าถ้ำนี้เป็นถ้ำที่มีฟอสซิลเยอะมาก





ตรงจุดนี้เหมือนม่านน้ำตก





ทะยอยกันเข้าถ้ำ แบบเรียงหนึ่ง สมาชิกบางท่านปีนโขดหินขึ้นไปถ่ายข้างบน

ต้องระมัดระว้งค่ะเพราะพื้นเป็นตะปุ่มตะปั่มแถมลื่นเพราะน้ำฝน





เบื้องหลังรูปสวย





ตรงส่วนนี้หินงอกยังเป็นอยู่น้ำหยดลงมาตลอดเวลา





ขอบคุณไฟฉายแก๊สที่ทางเจ้าหน้าที่ส่องให้เราได้ถ่ายภาพกัน





หินย้อยที่ผนังถ้ำ อากาศโปร่งโล่งสบาย เพราะมีลมพัดผ่านตลอดเวลา





ตรงนี้เป็นเนินสโลปเตี้ยๆ และมีน้ำไหลรินตลอดเวลา





หินย้อยลักษณะคล้ายม่าน





รูปทรงแปลก





จุดไฮไลท์ที่มีน้ำฝนไหลลงมา





ถ่ายแนวตั้งให้เห็นเงาสะท้อนของหินย้อยก้อนมหึมาในน้ำ





โพรงถ้ำและน้ำตกขั้นบันได





กล้องย่าเริ่มถ่ายไม่ได้เพราะเปียกฝน ควักมือถือออกมาถ่าย ถึงจะไม่แจ่มนักแต่ก็พอได้แฮะไม่เลว





เที่ยวนี้พวกเราได้แอดเวนเจอร์กันเล็กๆ เนื่องจากฝนตกหนักมาก บางจุดเป็น

สโลปและน้ำวน ไหนจะฝนตกเป็นสายลงมา ต้องรีบเก็บกล้อง

เรียกได้ว่าย่าเปียกหมดทั้งตัวแบบโชกๆเลยทีเดียว บางท่านโดนน้ำพัดวนจนเรือ

เกือบล่มก็มี ตื่นเต้นจริงๆ














ตรงจุดนี้สวยมาก หินสีขาวส่องประกายระยิบ เพราะมีแร่แคลไซด์ อยู่ในเนื้อหิน

มีน้ำไหลโกรกตลอดเวลา





ภาพมุมกว้าง





เที่ยวกลับฝนยิ่งกระหน่ำ พวกเราจึงได้ภาพที่แปลกตาไปอีกแบบ ซึ่งต่างจากทริปน้ำน้อย กล้องย่ากลับมาใช้ได้อีกครั้ง





ตรงจุดนี้จึงใช้เวลาในการถ่ายกันค่อนข้างนาน นับเป็นภาพอันซีนจริงๆ





ใกล้เข้าไปอีกนิดให้เห็นน้ำสาดกระเซ็นกันจะจะ





ได้เวลากลับกันแล้ว มาถึงปากถ้ำแบบหมดสภาพ กล้องก็ป่วยได้มาแค่นี้เอง

แล้วก็ต้องเก็บกล้อง ไม่มีแรงจะไปชมหินรูปหัวใจ เพราะฝนกระหน่ำหนักมาก





หลุดจากทางออกก็พบทางวิบาก ขอบคุณช่างภาพสำหรับโมเมนต์นี้





จากนั้นก็ถ่ายรูปหมู่กันก่อนขึ้นเรือกลับ





เหนื่อยแต่สนุก





ลงเรือกลับ





ป่าโกงกางอันอุดมสมบูรณ์ เขียวครึ้มเชียว





ระหว่างอยู่ในเรือหนูอุ้มยกกล้องขึ้นส่องย่า ก็เลยเอาคืน ฮา...





หมุดหมายอันต่อไปพิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า โปรดติดตามชม





ย่าดารายงาน





Create Date : 30 ตุลาคม 2556
Last Update : 30 ตุลาคม 2556 18:59:16 น. 3 comments
Counter : 3760 Pageviews.

 

เจิม & กด Like ให้เป็นคนที่ 2 ค่ะ
WOW อุ้มกำลังตั้งท่าศาลเจ้าไท่หนานฯ ค่ะย่าดา
กำลังติดฝนตกหนักอยู่ อิอิอิ
ว่าแล้วโหวต PHoto ให้ย่าดาค่ะ

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ดา ดา Photo Blog ดู Blog



โดย: อุ้มสี วันที่: 4 พฤศจิกายน 2556 เวลา:10:27:27 น.  

 



More Enjoy Comments

-----------------------------
ฝันดีราตรีสวัสดิ์นะคะคุณดา


โดย: เกศสุริยง วันที่: 4 พฤศจิกายน 2556 เวลา:21:22:31 น.  

 
ขอบคุณค่ะหนูอุ้ม ย่าเพิ่งอับบล๊อกตอนต่อไปเมื่อกี้นี้เอง ไปชมซิคะ
สวันดีค่ะครูเกศ สบายดีนะคะ


โดย: ดา ดา วันที่: 7 พฤศจิกายน 2556 เวลา:12:36:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดา ดา
Location :
1 Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




Friends' blogs
[Add ดา ดา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.