Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
21 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 
อินเดีย: ตามรอยพุทธศาสนา ไหว้สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ตอนที่6หลวงพ่อดำ,มูลคันธกุฏี เขาคิชฌกูฏ



จากนั้นพวกเราก็เดินทางกันต่อด้วยรถม้า เพื่อที่จะไปยังหลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ พระพุทธรูปศักดิ์ แห่งกรุงราชคฤห์





ระหว่างทางมีผู้เสนอขายทับทิม





วิ่งตามๆกันไป





ม้ากับเครื่องตกแต่ง สวยดีค่ะ เก็บภาพมาฝาก





แท่นรูปสลักข้างๆ เข้าใจว่าในสมัยก่อนเอาไว้ตั้งเครื่องเซ่นไหว้บูชา





หลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ พระพุทธรูปศักดิ์ แห่งกรุงราชคฤห์


เมือง ราชคฤห์ ประเทศอินเดีย ศาสนสำคัญนอกซากปรักหักพังของมหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทาแล้ว

ยังมีพระพุทธรูปองค์หนึ่งซึ่งอยู่นอกเขตรั้วของมหาวิทยาลัยสงฆ์ ทางด้านทิศตะวันตกมีพระพุทธรูป

องค์หนึ่งชื่อว่า"หลวงพ่อพระพุทธเจ้า องค์ดำ" เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหินสีดำ หน้าตัก

กว้าง 60 นิ้ว พระเกตุทรงดอกบัวตูม ปางสมาธิ องคุลีของพระหัตถ์ขวาทั้งหมดชี้ลงธรณี แม้บาง

องคุลีและพระนาสิกจะหักบิ่นไป แต่ก็ยังทรงความงดงามอยู่มิได้จืดจาง


พระ ครูภาวนาจิตสุนทร รองประธานสมาคมพุทธไทย-ภารต ประธานที่ปรึกษาวัดป่าพุทธคยา

และเจ้าอาวาสวัดอรัญญิกาวาส อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี บอกว่า การบนบานศาลกล่าวขอพรจาก

พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินเดียนั้น เป็นไปในลักษณะเดียวกับคนไทย


ชาวอินเดียนับถือศรัทธาความ ศักดิ์สิทธิ์ของท่านมาก เวลาลูกไม่สบาย ก็พากันเอาน้ำมันเนยมา

ทาที่องค์ท่านก่อน แล้วลูบเอาน้ำมันเนยนั้นกลับมาทาตัวลูก ทำให้ลูกหายเจ็บป่วย หายงอแง กิน

ข้าวได้ อ้วนท้วนสมบูรณ์ จนหลายคนขนานนามท่านว่า หลวงพ่อน้ำมัน หรือภาษาอินเดียว่า"เตลิยะบาบา"

บางคนก็ขนานนามท่านว่า"หลวงพ่ออ้วน"หรือภาษาอินเดียว่า"โมต้าบาบา"


จน ข่าวความศักดิ์สิทธิ์แพร่กระจายออกไปทั่ว แม้กระทั่งชาวพุทธในเมืองไทย ถ้าได้ไปอินเดีย

ต้องไม้เว้นที่จะแวะไปกราบไหว้นมัสการท่าน ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา เมืองราชคฤห์แห่งนี้

ขณะเดียวกัน ใกล้ๆบริเวณนั้นมีบ่อน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ผู้คนมักจะมาบูชาพระอาทิตย์ และเอาน้ำใน

บ่ออาบกายตน ทำให้โชคดีมีสุข และเชื่อว่าเป็นเพราะบารมีของพระพุทธรูปหลวงพ่อพระพุทธองค์ดำ

ก็เลยพากันมาบน และแก้บนโดยเอาน้ำมันเนยมาทาลูบไล้ และดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา เอา

ข้าวสารมาไหว้ถวาย จนข่าวความศักดิ์สิทธิ์แพร่กระจายออกไปทั่ว


แม้ กระทั่งชาวพุทธในเมืองไทย ถ้าได้ไปอินเดีย ต้องไม่เว้นที่จะแวะไปกราบไหว้นมัสการ

พระพุทธเจ้าองค์ดำที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ นาลันทา เมืองราชคฤห์ แห่งนี้


ประวัติหลวงพ่อพระพุทธองค์ดำ


สำหรับ ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่ออ้วนนั้น จากบันทึกของ ปิลาซิง ทำให้เราได้ทราบว่า

พระพุทธรูปพระพุทธเจ้าองค์ดำนี้ สร้างเมื่อสมัย พระเจ้าเทวาปาล คือระหว่าง พ.ศ.1353

-1393และถ้าหากท่านทราบประวัติ ความเป็นมามากกว่านี้ ท่านจะรู้สึกศรัทธา และประหลาด

ใจเป็นแน่ เพราะเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวเท่านั้น ที่เหลือจากการทำลายของคนศาสนาอื่นได้

อย่างไม่น่าเชื่อ กล่าวคือ


เมื่อ พ.ศ.1766 พวกมุสลิมได้ใช้วิธีเผยแผ่ศาสนาโดยใช้กำลังอาวุธ ถ้าใครไม่นับถือ

ศาสนาของตนจะต้องถูกทำร้าย โดยเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ถือว่าเป็นศัตรูตัวสำคัญ จะต้อง

ถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นคนหรือทรัพย์สมบัติในพระพุทธศาสนา


จนกระทั่งเข้ายึดครอง ดินแดนชมพูทวีปฝ่ายเหนือได้ทั้งหมด ด้วยการใช้กำลังอำนาจเข้าห้ำหั่น

ฆ่าฟัน ข่มเหง และย่ำยีด้วยวิธีการต่างๆ นานา ซึ่งมี อิคเทียร์ ซิลจิ เป็นหัวหน้า พาสมัครพรรค

พวก ถืออาวุธเข้าห้ำหั่นชาวพุทธ ทุบทำลายเผาตำรับตำรา สถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา

เหลือไว้แต่ซากปรักหักพัง เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก


จากการบันทึกของท่าน ตารนาท ธรรมสวามินปราชญ์ เขียนเอาไว้ว่า พอกองทัพมุสลิมยกทัพ

กลับไปแล้ว พระ นักศึกษา และพระอาจารย์ ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ซึ่งเหลืออยู่ประมาณ

70 องค์ ก็พากันออกมาจากที่ซ่อน ทำการสำรวจข้าวของที่ยังหลงเหลืออยู่ รวบรวมเท่าที่จะ

หาได้ ปฏิสังขรณ์ตัดทอนกันเข้า ก็พอได้ใช้สอยกันต่อมา


และ ท่าน มุทิตาภัทร รัฐมนตรีของกษัตริย์ ในสมัยนั้น ได้จัดทุนทรัพย์จำนวนหนึ่ง ส่งไปจาก

แคว้นมคธ เพื่อช่วยเหลือซ่อมแซมปฏิสังขรณ์วัดวาอารามที่นาลันทาขึ้นมาใหม่ แต่ก็ทำได้บางส่วนเท่านั้น





แต่แล้ววันหนึ่ง ได้มี ชูชก 2 คน เข้ามาวางอำนาจ ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลทางศาสนา จนกระทั่ง 12

ปีผ่านไป 2 ชูชกก็ยังวางตนเขื่องอยู่


มา ถึงคราวหนึ่ง ทั้ง 2 ชูชกได้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาขึ้น และคงคิดว่าเพียงพอแล้วที่จะอยู่

ที่นี่ต่อไป จึงได้รวบรวมเศษไม้ แล้วก่อไฟขึ้น พร้อมทั้งขว้างปาดุ้นฟืนที่ติดไฟไปตามสถานที่ต่างๆ

โดยรอบ จนกระทั่งเกิดไฟลุกไหม้ไปทั่ว มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา แหลกลาญเป็นผุยผง สุดที่จะทำ

การซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ให้คืนดีได้ดังเดิม มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา อันเลื่องชื่อลือนาม ก็เป็นอัน

สิ้นสุดลง ถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า มาตั้งแต่บัดนั้น


จนกระทั่งชาวอังกฤษเข้ายึดครองอินเดีย ได้มีนักโบราณคดีชาวอังกฤษคนหนึ่ง ชื่อท่าน เซอร์

คันนิ่งแฮม ได้อ่านบันทึกของ พระถังซำจั๋ง ซึ่งเป็นพระจีนที่เคยเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนา

ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ถึง 14 ปี ได้บันทึกเหตุการณ์ และสถานที่สำคัญต่างๆ เอาไว้อย่างละเอียด


ซึ่ง เมื่อ เซอร์คันนิ่งแฮม ได้อ่านดูแล้ว จึงได้มอบหมายให้ เอ.เอ็ม.พรอดเล่ย์ และ ดร.สปูนเนอร์

เข้าไปค้นหาปูชนียวัตถุ ตามบันทึกนั้น ก็ปรากฏว่าได้พระพุทธรูปมากมายหลายองค์ ส่วนมากจะเสีย

หายหักบิ่นจากการถูกทำลายของมุสลิมดังกล่าว จึงส่งเข้าไปรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ประเทศอังกฤษ


ส่วนพระพุทธรูป หลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ นั้น ไม่ทราบว่า เป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ถูกส่งไปอังกฤษ

ด้วย และเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวที่ยังคงความสมบูรณ์ที่สุด จะมีหักบิ่นนิดหน่อยเฉพาะที่พระนาสิก

และพระองค์คุลีข้างขวาเท่านั้น


สรุปแล้วก็คือ เป็นพระพุทธรูปองค์เดียวเท่านั้น ที่เหลือรอดจากการถูกทำลายของมุสลิม

และไม่ถูกอังกฤษยึดไป นับ เป็นสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งนัก จึงทำให้ประชาชนผู้ทราบข่าว

ต่างมากราบไหว้บูชา ขอบารมีหลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำช่วยคุ้มครองดลบันดาลให้ประสบโชคดีดัง

ปรารถนา


คำสวดบูชาสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ดำ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (3จบ)

(คำสวดบูชา)

อิ ติปิโส ภะคะวา กาฬะวัณณะพุทธะปฏิมัง อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต

โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมาสาระถิ สัตถาเทวะ มะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ

(ให้สวด 9 จบ หรือ 108 จบ)


ขอ พุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ พุทธบารมี สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ดำ ที่ข้าพเจ้าได้บุชา

แล้ว จงมีอานุภาพ พลานุภาพ บุญญฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ จงบันดาลส่งผลให้ข้าพเจ้า มีอุดมมงคลสูงสุด

ในตัวข้าพเจ้า และครอบครัว ธุรกิจการงานของข้าพเจ้า จงชนะตลอด ปลอดภัยตลอด ร่ำรวยตลอด

ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บตลอดชีวิต มีพลานามัยที่สมบูรณ์ยิ่ง


ในที่สุดขอ ให้ข้าพเจ้ามีปัญญาได้ดวงตาเห็นธรรม รู้แจ้ง เห็นจริง ในอริยสัจ4ประการ พระสัมมา

สัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรมอย่างไร ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าจงรู้ธรรมอย่างนั้นด้วยเทอญ


//www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=1311





รอนแรม รายทาง





จากนั้นเราก็เดินทางกันต่อเพื่อที่จะไปไหว้พระสวดมนต์ที่ มูลคันธกุฏี เขาคิชฌกูฏ


ระหว่างทางแล่นรถผ่านร้านขายขนม คาจา ซึ่งที่มาของชื่อขนมนี้มีที่มาค่ะ

ได้รับการบอกเล่าจากพระคุณเจ้าที่คณะเราว่า มีผู้นำขนมนี้ไปถวายพระพุทธเจ้า

เมื่อท่านฉันเสร็จแล้ว ท่านตรัสว่า คาจา ซึ่งแปลว่าอิ่มแล้ว ขนมนี้จึงได้ชื่อว่า คาจาตั้งแต่นั้นมา





ก่อนอื่นเรานำข้าวของไปเช็คอินที่โรงแรมนี้กันก่อนค่ะ





ระหว่างรอเช็คอิน ย่าเดินสำรวจรอบๆโรงแรม เห็นกระถางปลูกต้นไม้ของที่นี่ สวยคลาสสิคดี

ทำด้วยทองเหลืองแกะสลักลาย ต้นประดับของที่นี่จะใส่กระถางแบบนี้ค่ะ

ดูเป็นสไตล์อินเดียดี





สาวในขณะเราขอแอปเป็นดาราอินเดียกับเขาสักรูป น่ารักไหมคะ





จากนั้นก็ขึ้นรถเพื่อไปยังเขาคิชภูฐ มีไม้เท้าให้เช่าขึ้นเขาคิชภูฐ





พบพระธิเบต ซึ่งเดินทางขึ้นเขา ไปสักการะมูลคันธกุฏี เขาคิชฌกูฏ





วิวจากยอดเขา





เขาคิชฌกูฏ อยู่ในบริเวณของแคว้นมคธ เป็นหนึ่งใน 5 เบญจคีรี เพราะแค้วนรมคธ ล้อมรอบด้วยเขา 5

ลูก ดังนั้น แคว้นมคธจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า คิริวราชา เพราะเมืองนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา 5 ลูก ล้อมรอบ

ทุกด้าน ภูเขาทั้ง5 คือ 1. เวภาระ 2. ปัณฑวะ 3. เวปุลละ 4. อิสิคิริ 5. คิชฌกูฎ ในคัมภีร์

มหาภารตะเรียกชื่อภูเขาทั้ง 5 ต่างกับคัมภีร์บาลี คือ 1. ไวภาระ 2.วลาหะ 3. วฤศภะ 4.

ฤาษีคิริ 5. ไชตยากะ และปัจจุบัน ชาวอินเดียเรียกดังนี้ 1. ไวภาระ 2. วิปุลละ 3.

รัตนะ 4. ฉหัตถะ 5. ไสละ





ปัจจุบัน เขาคิชฌกูฏ อยู่ทางทิศใต้อยู่ในเขตตำบลราชคีร์ (Rajgir) ในเขตจังหวัดนาลันทา รัฐพิหาร

ใช้เวลาเดินทาง ไม่มากนัก ก่อนเดินทางไปถึงเขาคิชฌกูฏ จะผ่านสถานที่สำคัญ 2 แห่ง คือ ชีวกัมพวัน และ

สถานที่คุมขังพระเจ้าพิมพิสาร





ราชคฤห์ คือ อิสิคิรี บัณฑวะ คิชฌกูฏ เวภาระ และเวปลละระหว่างทางไปเขาคิชฌกูฏ จะเห็นชีวกัมพวันซึ่งเป็น

โรงพยาบาลแห่งแรกในพระพุทธศาสนาหมอชีวกได้รับแต่ง ตั้งให้เป็นแพทย์ประจำราชสำนักหมอชีวก หรือ

"ชีวกโกมารภัจจ์" เป็น บุตรของนางสาลวตี ซึ่งเป็นหญิงนครโสเภณีประจำ กรุงราชคฤห์ เมื่อนางคลอดลูก

ออกมาเป็นชายก็ได้นำไปทิ้งยังกองขยะ ต่อมาอภัยราชกุมารไปพบเข้าจึงนำไปเลี้ยงไว้ในวัง และให้ไปศึกษา

วิชาแพทย์ที่เมืองตัก-กสิลา นครหลวงแห่งแคว้นคันธาระเมื่อจบออกมาก็เป็นหมอใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากเขา

คิชฌกูฏเป็นภูเขาที่เอียงลาดยาวขึ้นไป ทางขึ้นไม่ลำบาก เมื่อจวนจะถึงยอดเขาก็จะเห็นบริเวณที่พระเทวทัต

คิดทำร้ายพระพุทธเจ้า โดยพระเทวทัต แอบขึ้นไปบนยอดเขาคิชฌกูฏ แล้วงัดก้อนหินใหญ่ลงมา หวังจะปลง

พระชนม์พระบรมศาสดาในขณะเสด็จขึ้นจะไปประทับที่กุฏิวิหาร


ของพระองค์บนยอดเขา แต่ก็ไม่อาจทำอันตรายพระบรมศาสดาได้ เป็นแต่เพียงสะเก็ดหินได้

กระเด็นไปกระทบพระบาทจนห้อพระโลหิตนายแพทย์ใหญ่ชีวกโกมารภัจจ์ แพทย์ประจำพระองค์พระพุทธเจ้า

ก็ถวายการปฐมพยาบาลพระองค์ในครั้งกระนั้น





ปิดทองสักการะ





กุฎิของพระอานนท์





ธงมนต์





ระหว่างทางไปยังยอดเขา





ถึงแล้วเตรียมสวดมนต์





สวดมนต์





***





ตั้งจิต





คารวะ





โปรยข้าวสาร





ถวายเงินปัจจัย





ปิดทอง





บำเพ็ญภาวนา





บูชา





มีผู้ไปสักการะหลายกลุ่มด้วยกันค่ะ





หลังจากสักการะ และสวดมนต์กันเสร็จแล้ว พวกเราเตรียมตัวกลับ สวนทางกับผู้ที่พึ่งมาถึง





เสนอขายโพสการ์ด





แสวงบุญ





ระหว่างทางเห็นคนแถวนั้นเก็บพืชสมุนไพรเอามาขาย

พอเห็นย่าส่องกล้องไป ยิ้มรับกล้องทันที





ยิ้มด้วยมิตรไมตรี





ตะวันจวนลับฟ้า





ชาวบ้านขายของป่าระหว่างทาง





ลิงข้างทาง ถืออาหารขึ้นไประวังโดนแย่งนะคะ เพิ่นร่วมทริปโดนไปแล้วค่ะ





ในที่สุดเราก็กลับมาถึงต้นทางแล้ว





ลงมาที่เชิงเขาเห็นคนพื้นที่เข้าคิวกันขึ้นกระเช้า แถวยาวเหยียด นี่ถ้าพวกเรามารอขึ้นกระเช้า

คงยังไปไม่ถึงไหน เดินขึ้นทางเดินก็ไม่ไกลนัก ทางเดินก็สะดวกสบายค่ะ





ก่อนกลับเราแวะดูสถานที่ๆอดีตเคยเป็นคุกที่พระเจ้าอชาตศัตรูนำพระเจ้าพิมพิสารมาขังไว้

พระเจ้าพิมพิสารมีกำลังใจเพราะได้เห็นพระพุทธเจ้าเดินขึ้นเขาลงเขาไปบำเพ็ญ ภาวนาผ่านทาง

หน้าต่างที่กั้นลูกกรง จึงมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป


แต่ปัจจุบันคงเหลือแต่แนวอิฐให้เห็นเพียงเท่านี้
-----
เพื่อเป็นการขยายความ ขอนำประวัติพระเจ้าอชาตศัตรูมาลงกำกับไว้ด้วยเพื่อจะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้นค่ะ

พระเจ้าอชาตศัตรู
*หมายเหตุ: ผู้ทำอนันตริยกรรม ปิตุฆาต และองค์อุปถัมภ์สำคัญในการปฐมสังคายนา
พระเจ้าอชาตศัตรู (ภาษาสันสกฤต:अजातशत्रु; ปกครอง พ.ศ. 53-83) พระราชาแห่งแคว้นมคธ ปกครองทางตอนเหนือของอินเดีย เป็นพระโอรสในพระเจ้าพิมพิสารและมเหสีโกศลเทวี พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นอุบาสกบริษัทเอกอัครศาสนูปถัมภ์ในการกระทำสังคายนาครั้งที่ 1[2]

เมื่อครั้งที่ยังอยู่ในพระครรภ์มเหสีโกศลเทวีของพระเจ้าพิมพิสาร พระนางทรงแพ้ท้อง อยากเสวยพระโลหิตของพระสวามี ด้วยความรักพระมเหสีและบุตรในครรภ์ พระองค์จึงรองพระโลหิตของพระองค์ไปให้พระมเหสีเสวย ทางด้านโหราจารย์ทำนายว่า ราชกุมารในครรภ์จะเป็นปิตุฆาต (ฆ่าพ่อ) พระนางโกศลจึงพยายามทำแท้งแต่ไม่สำเร็จ พระเจ้าพิมพิสารเมื่อทรงทราบก็ห้าม พอประสูติมีพระนามว่า “อชาตศัตรู” (แปลว่า ผู้ที่ไม่เป็นศัตรู)

ในวัยเยาว์ ทรงเลี้ยงดูพระโอรสเป็นอย่างดี และทรงสถาปนาเป็นมกุฎราชกุมาร เมื่อเข้าวัยรุ่นทรงมีสติปัญญาเฉียบแหลม แต่ก็ได้รู้จักกับพระเทวทัตที่กำลังจะแสวงหาผู้ที่จะมาช่วยตนปลงพระชนม์ พระบรมศาสดา ซึ่งต้องการได้รับความสนับสนุนจากผู้มีอำนาจทางบ้านเมือง และด้วยที่พระเจ้าอชาตศัตรูขาดประสบการณ์ สามารถชักจูงได้ง่าย ทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูเกิดความศรัทธาในพระเทวทัต ถูกเสี้ยมสอนว่า ชีวิตคนเรานั้นไม่เที่ยงไม่แน่ว่าจะได้ครองราชย์สมบัติ จึงควรปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารเสีย แล้วขึ้นครองราชย์แทน ส่วนพระเจ้าเทวทัตจะปลงพระชนม์พระศาสดาและทำหน้าที่ปกครองสงฆ์ พระเจ้าอชาตศัตรูก็หลงเชื่อ จับพระเจ้าพิมพิสารมาขังในคุกและทรมานโดยวิธีการต่างๆ จนพระบิดาสิ้นพระชนม์ แต่หลังพระบิดาสิ้นพระชนม์ก็สำนึกได้ว่าได้ทำกรรมอันหนักยิ่ง จึงทรงบำเพ็ญกุศลต่างๆเพื่อลบล้างความผิดให้เจือจางลงไปบ้าง และทรงปฏิญาณตนเป็นอุบาสกบริษัท ตั้งมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์

ทรงปกครองการเมืองโดยตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมและราชสังควัตถุ ทำให้ประชาราษฎร์อยู่อย่างเป็นสุข และยังมีแสนยานุภาพเป็นที่เกรงขามของแคว้นอื่น แต่ก็ไม่สามารถอุปสมบท หรือบรรลุธรรมขั้นสูง เพราะการกระทำหนักคือปิตุฆาต พระองค์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วยดีจนสิ้นพระชนม์
//th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B9





ลากันด้วยภาพนี้ค่ะ อาทิตย์กำลังลาจากท้องฟ้า และผืนป่า

ขออภัยที่ทำให้ท่านโหลดนาน บายค่ะ












Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 22 เมษายน 2554 12:00:41 น. 13 comments
Counter : 4100 Pageviews.

 
ขออนุญาตเจิมก่อนครับ



โดย: nulaw.m วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:23:34:43 น.  

 
รีบแปะบล็อกดอกไม้นั้นของหนูหล่อก่อนนะครับ
เผื่อย่าดายังไม่นอน

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nulaw-08&group=7

ถ้าทราบก็จะดีมากเลยครับ ขอบพระคุณ



โดย: nulaw.m วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:23:36:55 น.  

 
หนูหล่อ ย่าไปตามลิงค์แล้วไม่เห็นภาพค่ะ ไม่ทราบเพราะอะไร ไว้จะแวะไปใหม่ค่ะ


โดย: ดา ดา วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:3:07:32 น.  

 
นำภาพมารบกวนที่นี่ครับ ใช้ประโบขน์แล้ว
ย่าดากรุณาลบด้วยนะครับ
















โดย: nulaw.m วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:8:38:13 น.  

 
แล้วถือโอกาสอยู่ตามไปเที่ยวด้วยครับ

พวกเราเคยอยากพาพ่อกับแม่ไปแบบนี้บ้าง
แต่สุขภาพทั้งสองท่านไม่สู้ดี เลยห่วงๆ ผัดมา
หลายครั้งแล้ว คงต้องรีบๆพาไป

ขอให้มีความสุขตลอดวันอันขมุกขมัวน่านอน
นี้นะครับ



โดย: nulaw.m วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:8:42:13 น.  

 
หนูหล่อมันคือต้นชิงชี่จ๊ะ
ชิงชี่
ชื่ออื่น ๆ : แสมชอ, ชิงชี, ชาสู่ต้น, กินขี้, แช่ม้าลาย, น้ำนอง, จิงโจ้, น้ำนองหวะ, น้ำนอง
ชื่อสามัญ : -
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Capparis micracantha, capparis horrida, Linn.
วงศ์ : CAPPARIDACAEE
ลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดย่อม ลำต้นโต และมีความสูงประมาณ 1 ถึง 3 เมตร ผิวของลำต้
นั้นจะเป็นกระขาว ๆ และจะแตกเป็นระแหง ส่วนลำต้นและกิ่งที่ยังอ่อน ๆ อยู่จะเป็นสีเขียวและเกลี้ยง
ใบ : ใบจะเป็นสีเขียวและแข็ง ตรงปลายใบจะเรียวและแหลมจะมีความยาวประมาณ 5-18 ซม. และกว้างประมาณ 3-9 ซม. ก้านใบมีความยาวประมาณ 0.5 ซม. และมีหนามแหลม ๆ อยู่ 2 ข้างขอบใบ
ดอก : จะเป็นเส้นเล็ก ๆ ฟู เป็นสีขาวจะแตกออกมาตามโคนของก้านใบ ตั้งแต่ 1-3 ดอก
เกสร : เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียจะอยู่ในดอกเดียวกัน เป็นเส้นเล็ก เป็นสีขาว และเป็นฝอยยื่นออกไปข้างนอกปากกระบอกดอก
ผล : ผลนั้นจะกลมโตเท่าลูกมะนาว ถ้าสุกจะเป็นสีแดง
ส่วนที่ใช้ : ต้น ใบ ดอก ผล และราก ใช้เป็นยา
สรรพคุณ :
ต้น ใช้รักษาอาการฟกบวม
ใบ ใช้ต้มน้ำอาบรักษาโรคผิวหนัง สันนิบาต ไข้ฝีกาฬและตะคิว
ดอก ใช้รักษาโรคมะเร็ง
ผล ใช้รักษาโรคที่บังเกิดในลำคอ
ราก จะมีรสขม ใช้รักษาโรคที่เกิดในท้อง และขับลมให้ซ่านออกมา รักษาไข้เพื่อดี และเลือด มักจะใช้ดีตอนต้นไข้ ใช้หยอดตา และรักษาดวงตา หรือใช้โรคไข้ร้อนภายในทุกชนิด
ถิ่นที่อยู่ : มักขึ้นตามป่าโปร่งทั่ว ๆ ไป
หมายเหตุ :
พจนานุกรม สมุนไพรไทย ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม

ภาพย่าจะไม่ลบทิ้งนะคะ เผื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อื่นด้วยค่ะ


โดย: ดา ดา วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:10:50:16 น.  

 
มาชมภาพครับ ย่าดา


โดย: เศษเสี้ยว วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:13:17:04 น.  

 
ตามเที่ยวอินเดียภาคต่อ ด้วยคนครับ
ถึงจะเป็นคนละเมือง แต่ก็ยังพอได้บรรยากาศเหมือนที่เคยไปมาอยู่บ้างครับ


โดย: ถปรร วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:19:09:35 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับ

ย่าดาได้เข้าไปนมัสการหลวงพ่อองค์ดำแบบใกล้ชิดมากเลยครับ
ตอนผมไปไม่ไ่ด้เข้าไปดูเลยครับ
เพราะคนเยอะมากจริงๆครับ









โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:5:55:52 น.  

 
สวัสดีครับ แวะมาเที่ยวอินเดียและชมภาพสวยๆ โหวตให้ครับ


โดย: บูรพากรณ์ วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:8:41:00 น.  

 
ขออนุญาติ แก้ไขนี๊สนึงค่ะ พระเจ้าพิมพิสาร ถูกพระเจ้าอชาติศัตรู ผู้เป็นราชบุตรขัง เพราะถูยุยงจากพระเทวทัตผู้เป็นพระญาติและมีใจริษยาพระพุทธเจ้า และเหตุที่พระเจ้าพิมพิสาร เป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระเทวทัตจึงพยายามเสี้ยมสอนให้พระเจ้าอชาติศัตรูคิดทำร้ายพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชบิดามาตลอดค่ะ กระนั้นก็มิได้ทำให้ความศรัทธาของพระเจ้าพิมพิสาร ที่มีต่อพระพุทธเจ้าเสื่อมคลายลง และยังคงปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานจนกระทั่งวาระสุดท้ายแห่งชีวิตที่คุกแห่งนี้ค่ะ

ย่าดาขา...รูปสวยมั่กมากค่ะ หนูยังรอรูปจากย่าอยู่นะคะ ยังจำได้ป่าวคะ รูปสุดท้ายก่อนเข้ามาใน airport อ่ะค่ะ


โดย: อ้อม IP: 125.24.3.108 วันที่: 4 มีนาคม 2554 เวลา:14:53:35 น.  

 
แหะๆหนูอ้อม รูปนั้นมันไม่ชัดค่ะ เลยไม่ได้ส่งไปให้ ส่วนเรื่องชื่อที่ผิดไปย่าแก้ไขให้ถูกต้องแล้วนะคะ แล้วก็เลยถือโอกาส ลงประวัติของพระเจ้าอชาติศัตรู เอาไว้ด้วยเลย เผื่อท่านที่ยังไม่ทราบประวัติว่าทำไมถึงเอาพระบิดาตัวเองไปขังอย่างงั้น

ต้องขออภัยอย่างแรงสงสัยช่วงทำบล๊อกทำตอนดึกไปหน่อยเลยเบลอๆเลยเขียนผิด ไม่รู้ตัวด้วยว่าผิด จนมีคนท้วงมานั่นแหล่ะค่ะ อิอิ

หนูอ้อมดูครบทุกตอนหรือยังคะ มีรูปของหนูอ้อมหลายรูปเลยแหละ 555


โดย: ดา ดา วันที่: 22 เมษายน 2554 เวลา:12:08:42 น.  

 

เพื่อความสะดวกในการชมทริบอินเดีย: ตามรอยพุทธศาสนา ไหว้สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ย่าจึงรวมลิงค์ไว้ดังนี้ค่ะ:-

อินเดีย: ตามรอยพุทธศาสนา ไหว้สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ตอนที่1 พระเจดีย์พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

อินเดีย: ตามรอยพุทธศาสนา ไหว้สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ตอนที่2 ต้นศรีมหาโพธิ์,พระพุทธเมตตา(ที่พุทธคยา)

อินเดีย: ตามรอยพุทธศาสนา ไหว้สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ตอนที่3 เนรัชรา,บ้านนางสุชาดา,วัดญี่ปุ่นและวัดไทยพุทธคยา

อินเดีย: ตามรอยพุทธศาสนา ไหว้สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ตอนที่4 สวดมนต์ที่พุทธคยาอีกครั้ง

อินเดีย: ตามรอยพุทธศาสนา ไหว้สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ตอนที่5 นาลันทา มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลก

อินเดีย: ตามรอยพุทธศาสนา ไหว้สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ตอนที่6หลวงพ่อดำ,มูลคันธกุฏี เขาคิชฌกูฏ

อินเดีย: ตามรอยพุทธศาสนา ไหว้สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ตอนที่7 ตโปทาราม (ความแตกต่างระหว่างชนชั้น),ทอดผ้าป่าวัดไทยกุสาวดี

Incredible India! (ทริบอินเดียภาคพิเศษ)

อินเดีย: ตามรอยพุทธศาสนา ไหว้สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ตอนที่8 วัดไทยสารนาถ,ธัมเมกขสถูป สารนาถ

อินเดีย: ตามรอยพุทธศาสนา ไหว้สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ตอนที่9 ล่องแม่น้ำคงคายามค่ำ,วัดเชตวันมหาวิหาร

อินเดีย: ตามรอยพุทธศาสนา ไหว้สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ตอน10 บ้านอนาถบิณฑิกเศรษฐี,บ้านองคุลีมาล และวัด๙๖๐

อินเดีย: ตามรอยพุทธศาสนา ไหว้สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ตอน11 ลุมพินีสถานที่พระตถาคตประสูติ

อินเดีย: ตามรอยพุทธศาสนา ไหว้สังเวชนียสถาน 4 ตำบลว ตอน12 มหาปรินิพพานวิหาร และ มกุฏพันธนเจดีย์ (ตอนจบ)


โดย: ดา ดา วันที่: 26 เมษายน 2554 เวลา:4:16:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดา ดา
Location :
1 Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




Friends' blogs
[Add ดา ดา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.