Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
23 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
@>.....^.^.....สวดมนต์พิชิตโรค




วันนี้มีเพื่อนคนหนึ่งส่งบทความนี้มาให้
อยากมาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้อ่านกัน




ประโยชน์ของการสวดมนต์ (ทางการแพทย์)





เรื่อง Vibrational Therapy : สวดมนต์บำบัด โดย: ชมนาด




เชื่อหรือไม่ว่าหากเราสวดมนต์(ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม) เพื่อให้ใครสักคนหายป่วย แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้ ??? เพราะการสวดมนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียงที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง
และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกลๆได้

การสวดมนต์บำบัด คือหลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine คือการใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ ก็เป็น Vibrational Therapy เช่นกัน แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์
ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต
ต่างจากสวดมนต์บำบัดซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต

ดังนั้นมาดูพลังแห่งการสวดมนต์บำบัดกัน
ว่าคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร ???

คลื่นแห่งการเยียวยา

การสวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความสม่ำเสมอ เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา ซึ่งหากคลื่นเสียงที่มากระทบดังแบบไร้ระเบียบ คือประกอบด้วยเสียงที่มีความถี่ต่างๆกัน ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการบำบัดกลไกดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียง บทสวด ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณสมองกลีบขมับ
ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้าๆ
สม่ำเสมอประมาณ 15 นาที
ก็จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย

เสียงสวดมนต์ด้วยสมาธิเป็นยา :ให้ผลกับร่างกายเอนกอนันต์

รองศาสตราจารย์ ดร. สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
อธิบายเพิ่มเติมดังนี้

“ สมองของเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆชนิด บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน ( serotonin) เพิ่มขึ้นซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ ช่วยการเรียนรู้ ลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ เพราะจะช่วยยึดอายุการทำงานของเซลล์ประสาท เซลล์ร่างกาย ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ
เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึง โดปามีน
มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน

นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อ ประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณ อาร์กินิน วาโซเปรสซิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำ และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นของการ ทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง
ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง
ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น ”

ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่ อาจารย์สมพรเสริมว่า

“ หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้า หลายๆประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อม ๆ กัน ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์ เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไวและอ่อนไหวมาก เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไป
ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ ”

และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์

สวดมนต์กระตุ้นอวัยวะ

อาจารย์ เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า

“ เวลาเราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากันตามฐานที่เกิดของเสียงหรือตาม วิธีเปล่งเสียง แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้น
ถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์จึงเกิดพลังของการสั่น ”

และเมื่อเกิดพลังของการสั่น การสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วยได้อย่างไร อาจารย์เสถียรพงษ์อธิบายต่อว่า

“ เวลาเราสวดมนต์ เสียงสวดจะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด เช่นการวิจัยของฝรั่ง พบว่า อักษร เอ บี ซี ดี จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย ทำให้ต่อมต่างๆในร่างกายถูกกระตุ้น เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆเข้า
ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น ”

นอกจากนี้ยังมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับการฝึกเปล่งเสียงเพื่อรักษาโรคจาก เสียงต่างๆ เช่น

โอม ...... กระตุ้นหน้าผาก ฮัม ....... กระตุ้นคอ

ยัม ....... กระตุ้นหัวใจ ราม .......กระตุ้นลิ่นปี่

วัม ....... กระตุ้นสะดือ ลัม ....... กระตุ้นก้นกบ เป็นต้น

แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวด

รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปว่ามี 2 ข้อคือ

1. การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด
เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ

2. ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม
จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด

เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆ ให้ทำงานเป็นปกติ เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ
ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศที่อาจารย์สมพร
สรุปให้ฟังว่า การสวดมนต์ช่วยบำบัดอาการป่วยและโรคร้ายดังต่อไปนี้



1. หัวใจ 2. ความดันโลหิตสูง 3. เบาหวาน 4. มะเร็ง

5. อัลไซเมอร์ 6. ซึมเศร้า 7. ไมเกรน 8. ออทิสติก

9. ย้ำคิดย้ำทำ 10. โรคอ้วน 11. นอนไม่หลับ 12. พาร์กินสัน

สวดมนต์อย่างไรให้หายจากโรค สวดมนต์บำบัดมีวิธีการและจุดประสงค์ที่หลากหลาย สรุปออกมาได้ 3 แบบ

1. การสวดมนต์ด้วยตัวเอง

เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์
นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง
วิธีการที่อาจารย์สมพรแนะนำคือ

● ควรสวดด้วยตัวเอง และไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที
ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย
อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน

● หาสถานที่ที่สงบเงียบ

● สวดบทสั้น ๆ 3-4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีขึ้นไป
จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ
จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา

● ขณะสวดมนต์ให้หลับตา สวดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้ตัวเองได้ยิน

2. การฟังผู้อื่นสวดมนต์

เป็นการเหนี่ยวนำโดยคลื่นเสียงจากผู้อื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผู้นำสวดในศาสนาต่างๆ หากผู้สวดมีสมาธิ เสียงสวดนั้นจะนุ่ม ทุ้ม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา ( healing) ผู้ฟัง
แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา
เสียงสวดที่เกิดขึ้นอาจเป็นคลื่นขึ้นๆลงๆ
นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วย อาจทำให้เสียสุขภาพได้

3. การสวดมนต์ให้ผู้อื่น

ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย เรามักสวดมนต์อธิษฐานขอให้ความเจ็บป่วยของเขาหายไป บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้นจริงหรือไม่ อาจารย์สมพรอธิบายดังนี้

คลื่นสวดมนต์ เป็นคลื่นบวก เพราะเกิดจากจิตใจที่ดีงาม ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกลๆ มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าและสารเคมีได้ถึง สิบยกกำลังสิบ คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกลๆ

บางทีพ่อกำลังป่วยหนักอยู่ที่นี่ แต่ลูกอยู่ต่างประเทศ ก็สามารถรับคลื่นนี้ได้และรู้ว่ามีใครกำลังไม่สบาย
ที่เราเรียกว่า ลางสังหรณ์หรือสัมผัสที่หก

การรับรู้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้รับผู้ส่งด้วย ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้จึงได้ผล เหมือนเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ดังนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไปผู้ป่วยก็จะได้รับ
และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์
แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป

เลือกสวดมนต์อย่างไรดี

แล้วบทสวดที่เลือกควรใช้บทไหนดี อาจารย์สมพรแนะนำว่า

“ น่าแปลกที่บทสวดในศาสนาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนจังหวะเพลง จะมีโทนเสียงแค่ไม้เอกไม้โทเท่านั้น สักสามสี่พยางค์ มาสวดซ้ำไปมาได้ทั้งนั้น ”

พระพุทธศาสนา มีบทสวดมากมายหลายบท ให้เลือกใช้ตามความชอบ ยกตัวอย่างเช่น อิติปิโส หรือนะโมตัสสะ นะโมพุทธายะ หรือสัพเพสัตตา ฯลฯ เลือกท่อนใดท่อนหนึ่งแล้วสวดวนไปวนมา หรือโพชฌงค์ 7
ที่หลายคนนิยมสวดให้ตัวเองหรือคนไข้หายป่วย

“ ข้อที่น่าสังเกตคือ บทสวดโพชฌงค์ 7 จะมีความแตกต่างจากบทสวดอื่นๆคือ คลื่นเสียงของบทสวดจะมีแค่เสียงสระ มีแค่สองจังหวะ
คลื่นเสียงจากบทสวดจึงทำให้เกิดคลื่นที่เยียวยาได้ดีที่สุด ”

อยากให้ตัวเองและผู้อื่นมีสุขภาพกายใจเป็นสุขและยังน้อมนำกุศลจิต
เริ่มจากการสวดมนต์เป็นประจำด้วยสมาธิ


Inta : รายงาน

Credit : นิตรสารชีวจิต ฉบับแรกของเดือนมกราคม 2551






นำมาแบ่งๆกันอ่าน คืนนี้เรามาสวดมนต์กันเถอะ
สวดเสร็จแล้ว ก็แผ่เมตตาให้กันและกันด้วย
พลังแห่งคลื่นความสุข จะได้ส่งถึงกัน

ขอให้เพื่อนๆมีความสุขกายสุขใจ
สดชื่น สดใส สุขภาพแข็งแรง


คืนนี้คุณสวดมนต์ก่อนนอนหรือยัง




แอมอร








Create Date : 23 กรกฎาคม 2553
Last Update : 23 กรกฎาคม 2553 23:27:44 น. 23 comments
Counter : 823 Pageviews.

 
ว๊าววววได้เจิมๆๆๆ
เจิมก่อน อิอิ..
วันนี้ได้ 2 แต้มแย้วเรา


โดย: mutcha_nu วันที่: 23 กรกฎาคม 2553 เวลา:23:39:44 น.  

 
แว่วมาว่าจะไปเรียนแพทย์แผนไทย
ดีจังอะ...อยากเรียนเหมือนกัน
แต่ไม่รู้จะเอาเวลาและสมองที่ไหนอะ
ที่ยังเหลือตอนนี้ก็ตอนนอนอะ
ไม่รู้เค้าจะยอมให้หลับไปด้วย
เรียนไปด้วยได้ปะ...55

ปล..บทสวดเบื้องบน..ยาวโคดๆ...


โดย: mutcha_nu วันที่: 23 กรกฎาคม 2553 เวลา:23:42:19 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับพี่แอม

ผมสวดมนต์บ่อยครับ
ตอนนี้เวลาอุ้มหมิงหมิงก็สอนเค้าสวดไปด้วยครับ








โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 กรกฎาคม 2553 เวลา:7:46:00 น.  

 
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้สวดมนต์เลย จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ทำแล้วไม่มีใครเสียหาย อีกอย่างเป็นการฝึกสมาธิด้วย น่าทำครับ


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 24 กรกฎาคม 2553 เวลา:11:23:18 น.  

 
..ทักทาย..ยัยแอม..คนน่ารักจร้า..

..หม่ำข้าวเที่ยงยัง..?

..ชอบสวดมนต์เหมือนกัลล์..

รู้สึกว่า..สวดแย้วเปงสุข..

จิตสงบ.. ถ้าบทสวดมีคำแปลด้วยยิ่งชอบนะ..

แต่..ช่วงนี้..จาสวด..คาถาเงินล้าน..บ่อยหน่อย..

555 ..Photobucket


โดย: อ๋อซ่าส์ วันที่: 24 กรกฎาคม 2553 เวลา:12:09:14 น.  

 
กำลังอ่านหนังสือคล้าย ๆ นี้เล่มนึงครับ
หากจับประเด็นใดได้จะมาเสนอบ้างครับ



โดย: ไกลเกินใจสายเกินแก้ วันที่: 24 กรกฎาคม 2553 เวลา:16:06:03 น.  

 
สงสัยต้องลองบ้างแล้วล่ะยาย เผื่อจะหายกับเขาบ้าง ขอบคุณที่นำมาฝากกันนะครับ..


โดย: non lock วันที่: 24 กรกฎาคม 2553 เวลา:16:34:24 น.  

 

สวดมนต์แล้วขอผลบุญช่วยให้พระท่านคุ้มครองคนไกล ให้อยู่เย็นเป็นสุข ถึงเราจะไม่ได้เดินทางไปหาท่านด้วยตนเอง แค่คิดว่าผลจากสวดจะช่วยคุ้มครองท่าน ก็สุขใจแล้วค่ะ

สวัสดีค่ำวันเสาร์ ณ เชียงใหม่จร้าพี่แอม


โดย: aenew วันที่: 24 กรกฎาคม 2553 เวลา:19:46:43 น.  

 


หมอยาแผนโบราณเหรอคะ ..
เพี้ยนอยากเรียนนวดแผนโบราณน่ะ อิอิ

คิดถึงเหมือนเดิม ..แต่เพิ่มจากเมื่อวาน
จุ๊บๆ ^^


โดย: star_paradise วันที่: 24 กรกฎาคม 2553 เวลา:21:49:37 น.  

 
คิดถึ๊งงงง... คิดถึง
ราตรีสวัสดิ์นะคะพี่แอม



โดย: ศุภมาศ วันที่: 24 กรกฎาคม 2553 เวลา:23:10:43 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับพี่แอม









โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 กรกฎาคม 2553 เวลา:5:09:26 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่แอม ^^

คนเรานี่ก็แปลก...
ตัดสินความสามารถที่หน้าตาเนอะ

โอ้..เสียใจๆๆๆๆ เกิดมาสวยเกินไป
อิอิ คิดถึงค่ะ


โดย: star_paradise วันที่: 25 กรกฎาคม 2553 เวลา:8:34:03 น.  

 
..ฮัลโหลลล..วันอาทิตย์..

เมื่อเช้า..สวดมนต์ยัง.. จร้า..

..ถ้าสวดเสร็จแย้ว..ก้อมาฟังเพลงเพราะๆเร้ว
Photobucket


โดย: อ๋อซ่าส์ วันที่: 25 กรกฎาคม 2553 เวลา:10:36:03 น.  

 
ดีจังเลยคะ การสวดมนต์ของคนไทยเราคงจะทำกันแทบทุกคนนะคะโดยเฉพาะก่อนเข้านอน

เมื่อคืนนอนไม่หลับด้วยอาการเจ็บป่วยทางกาย ลุกขึ้นลุกลง หายากินเข้าไปหลายรอบ กินเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น แต่ก็อยากนอนคะ เสร็จแล้วก็มานึกว่าเราไม่ควรปล่อยให้อาการเจ็บป่วยทางกายมาทำให้เราเจ็บป่วยทางใจด้วย เพราะเท่ากับมันจะเจ็บเพิ่มขึ้นไปอีก หลักการนี้เราคงเคยได้ยินหลายๆท่านกล่าวถึงซึ่งหากจะคุ้นที่สุดก็คงเป็นแม่ชีศ้นษณีย์ ได้กล่าวไว้หลายครั้ง ก็เลยทำใจทำสมาธิแยกอาการเจ็บนั้นออกยอกกับตัวเองว่าหากจะเจ็บก็ปล่อยให้เจ็บตรงส่วนนั้นไป แต่อย่าให้ไปรบกวนหรือเจ็บที่จิตใจด้วยได้ผลคะ วันนี้ตื่นเอาสายตะวันโด่งเลย แล้วไม่มีอาการแบบเมื่อวานและเมื่อคืนเลย คะ
จริงๆนะคะการสวดมนต์หรือการทำจิตใจให้สงบได้นี่ช่วยได้เยอะจริงๆคะ เป็นคลื่นแห่งการเยียวยา จริงๆคะ


โดย: cengorn วันที่: 25 กรกฎาคม 2553 เวลา:14:51:28 น.  

 
ต้องลองมั่งแล้วค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 25 กรกฎาคม 2553 เวลา:16:13:32 น.  

 
แวะมาทักทายยายยามค่ำคืนนะ...วันนี้ใช้เวลาว่างอย่างคุ้มค่าสุดๆทำทุกๆอย่างที่จะสามารถทำได้...การที่เรามีอะไรทำมันทำให้เราไม่หมกมุ่นกับความคิดของเราเอง...ไม่ต้องห่วงนะครับยาย...ตอนนี้ทั้งกายและใจดีขึ้นมากแล้วล่ะ...ก็มียายให้กำลังใจอยู่ตลอดยังงี้ไง..


โดย: non lock วันที่: 25 กรกฎาคม 2553 เวลา:19:30:54 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่แอม..

เดือนนี้เป็นเดือนที่ดีดีของอ้อมแอ้มค่ะ

เลยจะมาชวนทำสิ่งดีดีในชีวิตค่ะ

ขอให้มีความสุข-ความเจริญตลอดไปนะค่ะ





โดย: คนผ่านทางมาเจอ วันที่: 25 กรกฎาคม 2553 เวลา:19:50:04 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณแอมอร

ขอโทษทีทีหายไปนาน หลายๆเหตุผล(มีขี้เกียจรวมอยู่ด้วย อิอิ) ขอบคุณสำหรับข่าวสารนะคะ เด๋วมีเวลาจะแว่บไปดู แต่เรื่องราวของเรามันเขียนไปเรื่อยเปื่อยไม่น่าจะเป็นทีสนใจเท่าไหรนะ

ตอนนี้อยู่เมืองไทยแล้วค่ะ เพิ่งมาถึงวันนี้เองค่ะ


โดย: jeab&michelle วันที่: 25 กรกฎาคม 2553 เวลา:20:00:16 น.  

 
ถึงจะอยู่เชียงใหม่แต่เรื่องเน็ตไม่เป็นปัญหาค่ะเพราะเพื่อนต่อเน็ตไว้ให้ วันนี้ก็หาเรื่องไปใช้เงินอีกวันหนึ่งแล้วค่ะพี่ อีกสักพักคงออกจากเน็ตเพื่อไปคิดบัญชีแล้วค่ะ เพราะรู้สึกว่าค่าใช้จ่ายในแต่ละวันค่อนข้างเยอะ

วันนี้ตอนเช้าไข้หายไป พอตกค่ำมันมาอีกแล้วละพี่แอม....

เข้ากรุงเทพช่วงวันหยุด รถไม่ติดแน่เลย คนหายไปหมด


โดย: aenew วันที่: 25 กรกฎาคม 2553 เวลา:22:02:22 น.  

 
สวัสดีอีกรอบค่ะพี่แอม ^^

แอบไปเที่ยวชะอำด้วยเหรอคะ
น่าอิจฉาจัง

ส่วนเรื่องงานตะพาบ
โอ้ .. มิบังอาจค่ะ
เพี้ยนขอเป็นผู้ติดตามอ่านดีกว่า ๕๕


โดย: star_paradise วันที่: 25 กรกฎาคม 2553 เวลา:22:38:51 น.  

 
สวดมนต์มีประโยชน์ขนาดนี้ ผมคงต้องหันมาเริ่ม
สวนมนต์ก่อนนอนใหม่เเล้วครับ หลังจากไม่ได้สวดมานานมาก


โดย: Don't try this at home. วันที่: 26 กรกฎาคม 2553 เวลา:0:23:59 น.  

 
ก๊อก ๆๆ กลับบ้านยัง ??

หรือคืนนี้นอนชะอำ .. อิอิ

อ้อ ๆ อย่าลืมสวดมนต์ก่อนนอนนะจ๊ะ คุณพี่ .. 555


โดย: SongPee วันที่: 26 กรกฎาคม 2553 เวลา:0:29:34 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับพี่แอม








โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 กรกฎาคม 2553 เวลา:7:47:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

peeamp
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 61 คน [?]




บางที ปลายทางก็ไม่ได้สำคัญมากไปกว่า


.....

สิ่งที่อยู่ระหว่างทาง


..............^^....
และความสุขในปัจจุบัน

ก็เป็นสิ่งที่เราจับต้องได้

....^^.....^^......


โดยไม่ต้องรอคอย

ความสุขของอนาคต



ปูปรุง








New Comments
Friends' blogs
[Add peeamp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.