Group Blog
 
All Blogs
 

ยึดครองกังตั๋ง

เสี้ยวสามก๊ก

ยึดครองกังตั๋ง

“เล่าเซี่ยงชุน”

ทางด้านเมืองกังตั๋ง ในสมัยที่พระเจ้าโจผีครองราชสมบัตินั้น ซุนกวนก็ตั้งตัวเป็นฮ่องเต้แห่งง่อก๊ก เมื่อ พ.ศ.๗๗๒ ครองราชสมบัติอยู่ได้ยี่สิบสามปี ก็สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ.๗๙๕ ซุนเหลียงพระราชบุตรจากมเหสีคนที่สาม อายุประมาณสิบเอ็ดปี ก็ได้ขึ้นเสวยราชย์ต่อมา จนถึง พ.ศ.๘๐๑ ก็ถูกซุนหลิมมหาอุปราชถอดออกจากบัลลังก์ แล้วเชิญพระเจ้าซุนฮิวพระราชบุตรคนที่หก ของพระเจ้าซุนกวนขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่อยู่ไม่นานพระเจ้าซุนฮิวก็กำจัดซุนหลิมเสียได้ และอยู่ในราชสมบัติจนถึง พ.ศ.๘๐๘ ได้ข่าวว่าพระเจ้าสุมาเอี๋ยนโค่นราชวงศ์วุยลง ก็วิตกว่าจะยกทัพมาตีเมืองกังตั๋ง จึงเป็นทุกข์ร้อนจนประชวรสิ้นพระชนม์ ขุนนางทั้งหลายเห็นว่าซุนเปียนพระราชบุตร เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา จึงเชิญพระเจ้าซุนโฮพระราชบุตรพระเจ้าซุนเหลียง ขึ้นสืบราชสมบัติแทน

ถึง พ.ศ.๘๒๓ พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็ยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋งทั้งทางบกทางน้ำ พระเจ้าซุนโฮส่งทหารออกไปต้านทาน ก็พ่ายแพ้หมดทุกทาง จนกองทัพข้าศึกเข้ามาล้อมเมืองไว้

พระเจ้าซุนโฮขึ้นทอดพระเนตรดูบนกำแพง เห็นทหารเมืองกังตั๋งหนีไปมิได้ต่อสู้ ก็สลดพระทัย ชักกระบี่ออกจะเชือดพระศอตาย ขุนนางทั้งปวงเข้ามาห้ามยึดกระบี่เอาไว้ และขอให้ยอมอ่อนน้อมต่อข้าศึกเช่นเดียวกับพระเจ้าเล่าเสี้ยน พระองค์ก็เห็นชอบด้วย จึงเปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้าน พาขุนนางทั้งปวงออกไปคำนับแม่ทัพข้าศึก และเอาบัญชีพลเมืองกับบัญชีสิ่งของในท้องพระคลังมอบให้ทุกประการ

เมื่อพระเจ้าซุนโฮเข้ามาคำนับพระเจ้าสุมาเอี๋ยนที่เมืองหลวงแล้ว พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็ตรัสสัพยอกว่าที่นั่งนี้ พระองค์ได้แต่งไว้คอยท่าอยู่ช้านานแล้ว พระเจ้าซุนโฮจึงทูลตอบว่า

“……..ข้าพเจ้าอยู่เมืองกังตั๋งนั้น ก็ได้แต่งที่ไว้คำนับพระองค์ เหมือนหนึ่งฉะนี้ก็ช้านานหลายปี เหมือนหนึ่งพระองค์แต่งไว้ท่าข้าพเจ้า…….”

แล้วพระเจ้าสุมาเอี๋ยนจึงตั้งให้ พระเจ้าซุนโฮเป็นที่อุ้ยเบ้งเฮา และแต่งตั้งขุนนางที่ตามมาด้วยนั้น ให้มีตำแหน่งตามฐานาศักดิ์ และอยู่ในฐานะเจ้าประเทศราชต่อมาอีกสี่ปีจึงสิ้น พระชนม์

แผ่นดินจีนจึงรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้การปกครองของพระเจ้าสุมาเอี๋ยน ซึ่งทรงพระนามว่า พระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ ปฐมราชวงศ์จิ้น และเปลี่ยนนามแผ่นดินเป็นไต้จิ้น

นิยายเรื่องสามก๊กก็อวสานลงแต่เพียงนี้.

#########




 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2559 8:40:18 น.
Counter : 1852 Pageviews.  

สิ้นสุดแซ่โจ

เสี้ยวสามก๊ก

อวสานสามก๊ก

ตอนที่ ๒ สิ้นสุดแซ่โจ

“ เล่าเซี่ยงชุน “

พระเจ้าโจฮวนขึ้นเสวยราชสมบัติวุยก๊กเมื่อ พ.ศ.๘๐๓ ครองราชย์อยู่ได้สามปี ก็ยึดครองเมืองเสฉวนของจ๊กก๊กได้เมื่อ พ.ศ.๘๐๖ สุมาเจียวมหาอุปราชก็มีความชอบมาก

ขุนนางทั้งปวงจึงปรึกษากันว่า มหาอุปราชทำการครั้งนี้ ควรที่จะเป็นจีนอ๋อง แล้วก็พากันเข้าไปทูลพระเจ้าโจฮวน ฮ่องเต้ก็ทรงแต่งตั้งให้สุมาเจียวเป็นที่จีนอ๋องตามคำของขุนนาง สุมาเจียวก็มีใจกำเริบคิดว่า แผ่นดินนี้เป็นของสุมาสูผู้พี่ทำไว้ ให้เรียบร้อยราบคาบสืบกันมา แล บัดนี้สุมาเอี๋ยน สุมาฮิว บุตรสองคนของตนนั้น ก็จำเริญวัยอยู่แล้ว ควรจะตั้งแต่งให้เป็นใหญ่ อันสุมาเอี๋ยนผู้พี่นั้นลักษณะก็มีวาสนา ปัญญาพาทีเฉลียวฉลาดหลักแหลม สุมาฮิวผู้น้องซึ่งสุมาสูเอาไปเลี้ยงดูแต่น้อยนั้น ก็มีใจสัตย์ซื่อมั่นคงดี เมื่อปรึกษาขุนนางคู่ใจแล้ว ขุนนางก็ว่า

“……..ซึ่งท่านจะตั้งสุมาฮิวเป็นชีจู๊นั้นมิชอบ ด้วยข้าพเจ้าเห็นว่าแผ่นดินแต่ก่อนเกิดจลาจลนั้น ก็เพราะกลับเอาผู้ใหญ่เป็นผู้น้อย มิได้ทำตามธรรมเนียมบุราณ ครั้งนี้ท่านจะมาตั้งน้องให้เป็นใหญ่กว่าพี่นั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย……..”

สุมาเจียวจึงตั้งให้สุมาเอี๋ยนเป็นเจ้าชีจู๊ ครั้นอยู่มาอีกสองปี สุมาเจียวก็เป็นลมปัจจุบันตายลง เจ้าชีจู๊บุตรชายคนโต ก็ได้รับตำแหน่งจีนอ๋องสืบต่อจากบิดา

สุมาเอี๋ยนก็ให้หาคนสนิทเข้ามาถามว่า โจโฉกับบิดาของเรา ข้างไหนจะดีกว่ากัน คนสนิทก็ตอบว่า

“……..อันโจโฉนั้นทำการทั้งปวงมีความชอบมากก็จริง แต่ทว่าอาณาประชาราษฎรหารักใคร่สนิทสนมไม่ ถึงมาตรว่าทำสมบัติไว้ให้แก่โจผีผู้บุตรนั้นเล่า ก็ยังมิราบคาบสิ้น ทิศเหนือทิศใต้ก็เป็นเสี้ยนหนามอยู่ อันพระอัยกาของท่านได้ทำการมาก็หนักหนา ปรากฎชื่อเสียงเลื่องลือเป็นอันมาก แลอาณาประชาราษฎรก็รักใคร่สนิท พระบิดาของท่านเล่าก็ซ้ำได้เมืองเสฉวน ครั้งนี้มีเกียรติยศเป็นที่ยำเกรงมาก ซึ่งจะเอาโจโฉมาเปรียบด้วยนั้น เห็นไกลกันนัก……”

จีนอ๋องจึงว่า

“……..แต่ก่อนแผ่นดินนี้เป็นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉคิดอ่านทำการกำจัดเสีย ชิงเอาราชสมบัติของพระองค์เป็นของตัวได้ แม้ว่าเราจะชิงเอาราชสมบัติของพระเจ้าโจฮวน เหมือนกระนั้นบ้างจะไม่ได้เจียวหรือ…….”

คนสนิทก็สนับสนุนว่า

“…….ท่านว่านี้ชอบ ซึ่งจะชิงเอาราชสมบัติของพระเจ้าโจฮวนนั้น ก็เหมือนช่วยแก้แค้นให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านคิดฉะนี้ก็ต้องด้วยประเพณีแผ่นดินอยู่แล้ว……”

จีนอ๋องได้ฟังคนสนิทยุยง ก็กำเริบน้ำใจ พอวันรุ่งขึ้นก็ถือกระบี่เข้าไปในวัง เข้าไปหาพระเจ้าโจฮวนถึงข้างใน ฮ่องเต้เห็นจีนอ๋องก็คำนับเชิญให้นั่งในที่อันสมควร จีนอ๋องจึงถามว่า

“……พระองค์รู้หรือไม่ว่าราชสมบัติบ้านเมืองทั้งปวงนี้ผู้ใดทำไว้……”

พระเจ้าโจฮวนก็ตอบว่า

“…….อันราชสมบัติบ้านเมืองซึ่งเป็นปกติราบคาบ เราได้อาศัยเป็นสุขอยู่ทั้งนี้ ก็เพราะกำลังปัญญาความคิดปู่ท่าน แลบิดาท่านทำไว้ให้แก่เรา…….”

จีนอ๋องจึงว่า

“……..ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทุกวันนี้สติปัญญาก็น้อย จะจัดแจงทหารก็ไม่เป็น จะว่ากล่าวกิจการฝ่ายพลเรือนเล่าก็มิได้ สารพัดที่ไม่สมประกอบทั้งสิ้น ต้องการอันใดจะมานั่งกอดสมบัติอยู่ ถ้ายกให้กับผู้อื่นที่มีสติปัญญา ว่ากล่าวกิจการแผ่นดินมิดีหรือ…….”

พระเจ้าโจฮวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ กอดพระหัตถ์เข้าซบพระพักตร์นิ่งอยู่ เตียวเจ๊กเป็นขุนนางผู้ใหญ่นั่งเฝ้าพระเจ้าโจฮวนอยู่ ได้ยินดังนั้นก็ว่า

“……..เหตุไฉนท่านมาเจรจาดังนี้ ครั้งเมื่อพระเจ้าโจโฉยังมีพนะชนม์อยู่ ทรงพระอุตส่าห์มิได้คิดแก่ชีวิต สู้ทรมานพระองค์ไปเที่ยวปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวง ให้ราบคาบปราศจากเสี้ยนหนามหลักตอ กำจัดราชศัตรูเสีย ทำให้อาณาประชาราษฎรเป็นสุข แล้วก็ยกแผ่นดินให้แก่พระญาติพระวงศ์ครอบครองสืบ ๆ กันมา พระเจ้าโจฮวนก็มิได้ทำสิ่งใดให้แผ่นดินเดือดร้อน หาความผิดมิได้ ซึ่งท่านจะให้ยกสมบัติให้แก่ผู้อื่นเสียง่าย ๆ นั้นด้วยเหตุอันใด…..”

จีนอ๋องก็โกรธจึงว่า

“……ราชสมบัติทั้งนี้ เดิมเป็นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉก็เป็นข้าพระองค์ คิดอ่านกำจัดพระองค์เสีย แล้วชิงเอาเป็นของตัวสิได้ ฝ่ายอัยกาบิดาเราก็ได้ทำสงคราม ปราบปรามกำจัดศัตรูเสียก้เหมือนกัน แม้จะชิงเอาบ้างจะไม่ได้เจียวหรือ…….”

ว่าแล้วก็สั่งให้พนักงานจับเอาเตียวเจ๊กไปตีเสียจนตาย แล้วก็ลุกออกกลับไป พระเจ้าโจฮวนก็ปรึกษากับขุนนางที่เป็นพวกของจีนอ๋อง ว่าการเป็นเช่นนี้จะเห็นประการใด ขุนนางนั้นก็ทูลว่า

“……..ทุกวันนี้ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดู เห็นแผ่นดินจะร่วงโรยลงแล้ว ซึ่งพระองค์จะขัดแข็งอยู่นั้นมิได้ การจวนตัวถึงเพียงนี้ ควรหรือพระองค์จะไม่ผ่อนผันนั้น ก็จะมีภัยมาถึงตัว ขอพระองค์จงยกสมบัติให้แก่จีนอ๋องเสียเถิด ก็จะมีความสุขสืบไป……..”

พระเจ้าโจฮวนก็เห็นชอบด้วย จึงกำหนดแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ถึงเดือนยี่ขึ้นค่ำหนึ่งให้เข้ามาพร้อมกันในวัง ครั้นถึงวันกำหนดขุนนางทั้งปวง เข้ามาพร้อมกันในที่เฝ้า พระเจ้าโจฮวนก็เอาตราสำหรับว่าราชการเมือง มอบให้จีนอ๋อง เมื่อรับเอาตราหยกไว้แล้ว จีนอ๋องก็ขึ้นนั่งบนที่สูง ชูกระบี่ขึ้นท่านกลางขุนนางทั้งสองแถว เรียกให้พระเจ้าโจฮวนเข้ามาคุกเข่าคำนับต่อหน้าขุนนาง แล้วจึงว่า

“………พระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชสมบัติ ครอบครองแผ่นดินนี้มาได้ยี่สิบห้าปี โจโฉผู้เป็นอัยกาของท่านกำจัดเสีย ขึ้นครองราชสมบัติสืบแซ่มาถึงสี่สิบห้าปี บัดนี้แผ่นดินก็ร่วงโรย ถึงกำหนดที่เราจะได้เป็นใหญ่ในราชสมบัติแล้ว ตัวท่านอย่ามีความวิตกไปเลย……..”

แล้วพระเจ้าจีนอ๋องก็ตั้งให้พระเจ้าโจฮวนเป็นที่ ตันลิวอ๋อง ให้ไปกินเมืองกิมลงเสีย กำหนดว่ามิได้มีข้อรับสั่งให้มา ก็อย่าให้มาเฝ้าเป็นอันขาดทีเดียว พระเจ้าโจฮวนก็ซบพักตร์ลงร้องไห้ แล้วคำนับลาพระเจ้าจีนอ่อง พาเอาครอบครัวพรรคพวกของตนไปอยู่ที่เมืองกิมลงเสีย

แซ่โจที่ตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ ตั้งแต่ พ.ศ.๗๖๓ ก็ถึงกาลล่มสลายลงใน พ.ศ.๘๐๘ มีฮ่องเต้ปกครองแผ่นดินมาทั้งสิ้นห้าพระองค์

พระเจ้าจีนอ๋องทรงพระนามว่า พระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ ก็เปลี่ยนชื่อแผ่นดินวุยก๊ก เป็นแผ่นดินไต้จิ้น เริ่มราชวงศ์จิ้น และมีฮ่องเต้สืบราชสมบัติต่อมาอีกสิบห้าพระองค์ เป็นเวลาถึง ร้อยห้าสิบห้าปี จึงเปลี่ยนเป็นราชวงศ์อื่น.

#########




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 22 กรกฎาคม 2559 12:03:06 น.
Counter : 1488 Pageviews.  

เสฉวนล่ม

เสี้ยวสามก๊ก

อวสานสามก๊ก

ตอนที่ ๑ เสฉวนล่ม

“ เล่าเซี่ยงชุน “

พระเจ้าเล่าเสี้ยนบุตรของพระเจ้าเล่าปี่ เป็นฮ่องเต้ของจ๊กก๊กอยู่ที่เมืองเสฉวน มาได้ยาวนานถึงสี่สิบปี ขงเบ้งมหาอุปราชได้พยายาม ยกกองทัพไปตีวุยก๊กถึงหกครั้ง ก็ไม่สามารถเอาชัยชนะได้ ต้องถึงแก่ความตายลงในสมรภูมิ เกียงอุยนายทหารใหญ่ศิษย์เอกของขงเบ้ง ก็ดำเนินรอยตามอาจารย์ ด้วยการยกกองทัพไปตีวุยก๊ก เพื่อจะให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้เป็นฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียวของแผ่นดิน แต่ได้พยายามแล้วถึงแปดครั้ง ก็ไม่มีผลสำเร็จเช่นกัน กองทัพของจ๊กก๊กไม่สามารถล่วงล้ำผ่านเขากิสาน เข้าไปในดินแดนของวุยก๊กได้เลย แม้แต่ครั้งเดียว

ครั้นถึง พ.ศ.๘๐๖ พระเจ้าโจฮวนแห่งวุยก๊ก ก็ให้ จงโฮย กับ เตงงาย เป็นแม่ทัพยกทหารมาตีจ๊กก๊กเป็นสองทาง เตงงายเข้าตีทางอิมเป๋งต้องผ่านเขามอเทียนเนีย ซึ่งเป็นทางกันดารมีหน้าผาชัน และหุบเหวลึก จะขี่ม้าไปมิได้ ต้องให้ทหารเอาเชือกผูกตัวไต่ไปตามหน้าผา เตงงายก็เดินทัพอยู่ประมาณยี่สิบวัน ได้ระยะทางประมาณพันเส้น เมืองอิวกั๋งเจ้าเมืองก็ยอมอ่อนน้อมด้วย จึงผ่านไปถึงเมืองปวยเสียในแดนเสฉวน

พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ปรึกษาหารือกับขุนนางทั้งปวง ขุนนางก็ให้หาตัวจูกัดเจี๋ยม มหาอุปราชซึ่งเป็นบุตรของขงเบ้งกับนางอุ๋ยซี และเป็นบุตรเขยของพระเจ้าเล่าเสี้ยนด้วย แล้วตรัสว่า

“…..บัดนี้เตงงายคุมทหารยกมาตีเอาเมืองปวยเสียได้แล้ว เห็นจะยกเข้ามาทำอันตรายแก่เราเป็นมั่นคง ขอท่านได้เอ็นดูออกมาช่วยทำการคิดอ่านกำจัดศัตรูเสีย ช่วยเอาชีวิตไว้ครั้งนี้เถิด……”

จูกัดเจี๋ยมได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ แล้วทูลว่า

“……เมื่อพระราชบิดาของพระองค์ยังมีพระชนม์อยู่ ก็มีพระคุณแก่บิดาข้าพเจ้า เมื่อบิดาข้าพเจ้าจะถึงแก่ความตาย ก็ได้สั่งไว้ให้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินสืบไป ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ที่จะสนองพระคุณพระองค์ อันราชการครั้งนี้พระองค์อย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะขออาสาไปกำจัดข้าศึกเสียให้ได้……”

พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็มีความยินดี จึงให้จูกัดเจี๋ยมนำทหารเจ็ดหมื่น ออกไปต่อสู้ศัตรูป้องกันบ้านเมือง เพราะเกียงอุยแม่ทัพใหญ่ไปตั้งขัดตาทัพอยู่ที่เมืองหลงเส กลับเข้ามาช่วยไม่ทันการณ์ จูกัดเจี๋ยมก็ให้จูกัดสงผู้บุตรอายุสิบเก้าปี เป็นแม่ทัพหน้า ยกไปตั้งรับที่เมืองกิมก๊ก

เตงงายก็แต่งหนังสือฉบับหนึ่ง ให้คนถือไปให้จูกัดเจี๋ยม มีความว่า

….เราผู้ชื่อว่าเตงงายเป็นที่เจงไสจงกุ๋นให้มาถึงท่าน ด้วยเราทำราชการมาแต่ก่อนตราบเท่าบัดนี้ จะเห็นผู้ใดมีปัญญากว้างขวางหลักแหลมเหมือนหนึ่งมหาอุปราชบิดาของท่านหามิได้ แลเมื่ออยู่ในเขาโงลังกั๋งนั้น ได้ทำนายไว้ว่า ในประเทศเมืองจีนนี้จะมีเจ้าแผ่นดินเป็นสามก๊ก ภายหลังจึงมีความอุตส่าห์กระทำราชการได้เมืองเกงจิ๋ว แล้วมาตั้งภูมิฐานเป็นใหญ่อยู่ในเมืองเสฉวนนี้เล่า ก็ต้องด้วยคำของบิดาท่านทำนายไว้ทุกประการ บัดนี้บิดาท่านก็หาบุญไม่แล้ว ถึงกำหนดแผ่นดินจะเกิดจลาจลสาบสูญไมทุกวัน พระเจ้าโจฮวนทราบพระทัยจึงให้เรายกกองทัพมากำจัดราชศัตรูเสีย เมืองเสฉวนก็เห็นจะได้แก่เรามั่นคง เหมือนอยู่ในเงื้อมมือ……

จูกัดเจี๋ยมอ่านแล้วก็โกรธ สั่งให้ตัดศรีษะทหารผู้ถือหนังสือนั้นเสีย แล้วให้บ่าวซึ่งตามมานั้นเอาศรีษะไปคืนให้แก่เตงงาย จากนั้นทั้งสองทัพก็เข้าต่อสู้กันเป็นสามารถ เตงงายขับทหารเข้าล้อมยิงด้วยเกาทัณฑ์ ถูกม้าจูกัดเจี๋ยมล้มลง จูกัดเจี๋ยมกลิ้งอยู่บนพื้นดิน ก็ร้องว่า

“……..ตัวเราเป็นชายชาติทหาร ถึงมาตรว่าสิ้นกำลังลงฉะนี้แล้วก็ดี มิย่อท้อคำนับต่อข้าศึก สู้ตายจะเอาชีวิตสนองคุณเจ้า ให้ปรากฏไปภายหน้า…….”

ว่ายังมิทันขาดคำ ทหารของเตงงายก็วิ่งกรูเข้ามาจะจับตัว จูกัดเจี๋ยมก็เอากระบี่เชือดคอตายเสียในทันใด ฝ่ายจูกัดสงขึ้นรักษาหน้าที่อยู่บนเชิงเทิน แลเห็นบิดาถึงแก่ความตายฉะนั้น ก็ใส่เกราะจับทวนขึ้นม้าออกไปฆ่าฟันทหารข้าศึกด้วยความโกรธ ทหารของเตงงายมีจำนวนมากกว่าทหารที่ติดตามไป ก็รุมล้อมเข้ามาฆ่าฟันจูกัดสงและทหารตายหมดสิ้น ในกลางสนามรบนั้นเอง เตงงายก็ยกทัพเข้ายึดเมืองกิมก๊กได้

พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งว่าแม่ทัพพ่อลูกถึงแก่ความตาย และเสียเมืองกิมก๊ก
แล้ว ก็ตกใจจึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า ข้าศึกยกล่วงเข้ามาฉะนี้จะคิดประการใด ขุนนางจึงทูลว่า

“…….บัดนี้ทแกล้วทหารเราก็ระส่ำระสายอิดโรยนักแล้ว ซึ่งจะต่อสู้ด้วยทหารเตงงายนั้นเห็นมิได้ ขอพระองค์ยกหนีไปข้างทิศใต้เถิด มีหัวเมืองอยู่หกหัวเมือง เราจะไปยับยั้งอาศัยอยู่ ซ่องสุมทหารพร้อมกันแล้ว จึงจะไปคำนับเมืองกังตั๋งขอกำลังมาช่วย จะได้คิดทำการต่อไป….”

แต่ก็มีขุนนางคัดค้านว่า

“…….อันธรรมเนียมโบราณซึ่งจะตั้งตัวเป็นเจ้าแผ่นดินนั้น จะได้อาศัยกำลังผู้อื่นมิได้ ย่อมเพียรพยายามได้เป็นดีด้วยปัญญาความคิด แลกำลังของตัว เมื่อแลต่อด้วยข้าศึกมิได้ เข้าไปนบนอบเมืองกังตั๋งนั้น ใช่ว่าเมืองกังตั๋งจะตั้งมั่นเป็นเอกโทอยู่ก็หาไม่ ก็จะเสียแก่วุยก๊กเป็นมั่นคง นานไปก็ต้องกลับไปคำนับเขาก็จะมิได้อัปยศเป็นซ้ำสองไปหรือ ถ้าเข้าคำนับแก่พระเจ้าวุยก๊กเสียครั้งนี้ เห็นจะได้อายแต่ครั้งเดียว ขอให้พระองค์ดำริดูเถิด………”

พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เห็นชอบด้วย จึงให้จัดแจงสิ่งของเครื่องบรรณาการ ซึ่งจะออกไปคำนับ ในที่ประชุมต่างก็ไม่มีผู้ใดคัดค้าน รวมทั้งบุตรของพระเจ้าเล่าเสี้ยนทั้งหกคน เว้นแต่เล่าขำผู้บุตรที่ห้า จึงว่าแก่ขุนนางผู้นั้นว่า

“………มึงนี้เป็นคนมิดีหากตัญญูมิได้ การศึกมีมามิได้คิดอ่านรักษาเจ้า ธรรมเนียมมีหรือเป็นกษัตริย์จะไปคำนับผู้อื่น ถึงมาตรว่าจะตายก็ควรจะสู้เสียชีวิต จะนบนอบแก่ข้าศึกหาควรไม่……”

พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินดังนั้นจึงว่า

“……บรรดาขุนนางทั้งปวงปรึกษาว่าจะไปคำนับ เห็นชอบด้วยกันสิ้น เป็นไฉนตัวเจ้าก้เป็นเด็ก ถือทิฐิมานะว่าฝีมือกล้าแข็งรู้กว่าผู้ใหญ่ จะให้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนนั้นมิชอบ…….”

เล่าขำจึงทูลว่า

“……..ทหารในเมืองเสฉวนยังมีอยู่เป็นหลายหมื่น พอจะจัดแจงกองทัพออกไปต่อสู้ด้วยข้าศึกได้อยู่ อนึ่งเกียงอุยก็ตั้งรักษาด่านอยู่ภายนอก ถ้าจะมีหนังสือออกไปให้ตีกระหนาบหลังข้าศึก เข้ามากระทบเป็นสองทัพ ศัตรูก็จะแตกกลับไป ไม่พอที่จะอัปยศแก่ทหารเมืองวุยกีกเลย….”

พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงว่า ตัวนี้เป็นเด็กมิได้รู้ลักษณะดีแลร้าย จะมาขัดขืนผู้ใหญ่นั้น ไม่ขอเชื่อฟัง เล่าขำได้ฟังพระราชบิดาว่าก็น้อยใจ เอาหน้าลงกระทบศิลาแล้วจึงว่า

“…….พระอัยกาอุตส่าห์กระทำความเพียรมา ก็ได้ความลำบากพระองค์เป็นสาหัส จึงได้มาตั้งเป็นภูมิฐานอยู่ ณ เมืองเสฉวน จนได้สมบัติสืบวงศ์มา ควรหรือมิได้คิดถึงความยากของพระอัยกาเลย ยังมิทันไรจะเอาสมบัติไปยกให้ผู้อื่นเสียฉะนี้มิควรนัก มาตรว่าการมาจวนตัวเข้าก็ดี พระองค์กับข้าพเจ้าผู้บุตรทั้งเจ็ดคน แลเสนาบดีทั้งปวง ก็ควรจะช่วยกันไปต่อด้วยข้าศึก ให้ตายเสียในกลางสงครามประเสริฐกว่าอัปยศแก่คน ถึงว่าจะตายไปพบพระอัยกาในเมืองผี ก็หาความติโทษมิได้…….”

พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็มิฟังตวาดเอาแล้วก็ขับให้ออกไปเสีย เล่าขำกลัวบิดาจะอยู่มิได้ก็เดินร้องไห้ออกมา แล้วกลับไปยังตำหนักที่อยู่ ถอดกระบี่ออกจะเชือดคอตาย นางชุยฮูหยินก็ยินดีจะตายตาม จึงเอาศรีษะฟัดลงกับศิลาถึงแก่ความตายไป เล่าขำก็ฆ่าบุตรทั้งสามคนเสีย แล้วตัดศรีษะบุตรกับภรรยา ไปบูชาไว้ที่หน้าตึกฝังศพพระเจ้าเล่าปี่ แล้วก็เอากระบี่เชือดคอตายอยู่ในที่นั้น

พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็แต่งหนังสือไปถึงเกียงอุยให้เร่งมาคำนับนบนอบแก่เตงงายเสีย แล้วให้ขุนนางออกไปแจ้งแก่เตงงายว่า เดือนยี่ขึ้นหนึ่งค่ำจะออกมาคำนับ แล้วให้เอาบัญชีพลเมืองแลสิ่งของในท้องพระคลัง ส่งให้ทั้งหมดไปมอบให้เตงงายด้วย เมื่อถึงกำหนดนัดเตงงายก็ยกกองทัพเข้าไปในเมือง ให้ทหารตรวจตราเอาทรัพย์สิ่งของทั้งปวงในท้องพระคลัง ครบตามบัญชีทุกประการ แล้วตั้งให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนเป็นที่ แพ้วกี๋จงกุน

ต่อมาเตงงายมีเรื่องขัดเคืองกับจงโฮย จึงถูกกำจัดไป และเกียงอุยก็พยายามจะกำจัดจงโฮย เพื่อแย่งเอาเมืองเสฉวนคืนมา แต่ไม่สำเร็จ ทั้งจงโฮยและเกียงอุยก็ถึงแก่ความตายไป ขุนนางของวุยก๊กก็พาพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปหาสุมาเจียวมหาอุปราชของวุยก๊ก ที่เมืองเตียงฮัน

สุมาเจียวก็พาพระเจ้าเล่าเสี้ยน และกองทัพกลับเมืองหลวง เมื่อถึงเมืองแล้วสุมาเจียวจึงว่าแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า

“……..ท่านนี้เป็นคนมิดีหาสติปัญญามิได้ เสพแต่สุรามิได้นำพากิจการบ้านเมือง ทำให้แผ่นดินฟั่นเฟือน เสียจนอาณาประชาราษฎร ได้ความเดือดร้อนดังนี้มิควรนัก ชอบแต่ประหารชีวิตเสียจึงจะควร……..”

พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็มีความกลัวเป็นกำลัง หน้าเศร้าสลดลงในทันใด และหมอบนิ่งอยู่ ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันขอโทษไว้ สุมาเจียวก็อนุญาติให้ แล้วตั้งพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้เป็นที่ อ่านลกก๋ง ประทานหญิงคนใช้ให้ร้อยหนึ่ง กับแพรอย่างดีหมื่นพับแลเงินทองเป็นอันมาก แล้วตั้งทหารที่ตามมาด้วยนั้น เป็นขุนนางตามตำแหน่งอันสมควร กับจัดบ้านเรือนให้อยู่ตามประเพณี ทุกประการ

พระเจ้าเล่าเสี้ยนหรือแพ้วกี๋จงกุ๋น หรืออ่านลกก๋ง ก็ได้อาศัยอยู่ในแคว้น วุยก๊ก อย่างสุขสบายไม่คิดที่จะกลับไปเมืองเสฉวน จนมีอายุได้แปดสิบปีจึงได้ถึงแก่กรรม อาณาจักรของจ๊กก๊กก็ถูกยึดครองโดย พระเจ้าโจฮวนของวุยก๊กนับแต่บัดนั้นมา ไม่มีโอกาสฟื้นคืนกลับไปเป็นเอกราชอย่างเดิมอีกเลย.

#########




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 21 กรกฎาคม 2559 7:31:55 น.
Counter : 984 Pageviews.  

ฉากสุดท้ายของมหาอุปราช

เสี้ยวสามก๊ก

ฉากสุดท้ายของมหาอุปราช

“ เล่าเซี่ยงชุน “

…….จึงให้เอาบุตรภรรยาพรรคพวกไปฆ่าเสีย แล้วสั่งให้เอาศพ…ไปตระเวนรอบเมือง เอามาประจานไว้ที่ทางสามแพร่ง ให้ทหารอยู่รักษา แลผู้รักษานั้นจึงฟั่นชุดใส่ลงที่สะดือ แล้วเอาเพลิงจุดตามต่างตะเกียงประจานไว้ แลอาณาประชาราษฎรในเมืองหลวงนั้น มีใจเจ็บแค้นชวนกันมาด่าว่าศพ….แล้วเอามือชี้ชกศรีษะบ้าง เอาเท้าถีบบ้าง จนศพนั้นแหลกละเอียด เปื่อยไป…….

เมื่อได้เห็นสำนวนนี้แล้ว ท่านผู้อ่านที่คุ้นเคยกับนิยายอิงพงศาวดารจีน เรื่อง สามก๊ก ก็จะทราบได้ทันทีว่า เป็นศพของตัวละครชื่อดังตอนต้นเรื่อง ซึ่งท่าน ยาขอบ ได้ให้ชื่อไว้ว่า ตั๋งโต๊ะ…ผู้ถูกแช่งทั้งสิบทิศ นั่นเอง และเมื่อลิ่วล้อคนสนิทที่มีความกตัญญู อุตส่าห์ให้ทหารไปสืบเสาะ เก็บเอากระดูกตั๋งโต๊ะมาให้แต่งการศพอย่างใหญ่โตตามตำแหน่งมหาอุปราช แล้วก็ตั้งขบวนแห่แหนออกไปจะฝังไว้ตามธรรมเนียม ก็เกิดเหตุประหลาดขึ้น คือ

……..ในขณะเมื่อจะฝังศพนั้น พอเกิดลมพายุพัดหนักฝนตกห่าใหญ่ น้ำท่วมแผ่นดินลึกประมาณสองศอก อัสนีผ่าถูกศพกระดูกนั้นกระจายไป ครั้นฝนสงบลงลิฉุยจึงให้เก็บเอากระดูกมาผสมกันเข้า แล้วจะให้ฝังในเวลากลางคืนนั้น ซ้ำเกิดพายุฝนตกฟ้าผ่ากระดูกนั้นกระจายไป ลิฉุยจึงให้เก็บเอากระดูกนั้นมาผสมกันเข้าอีกเป็นหลายครั้ง ฝนก็ตกฟ้าคะนองผ่าลงทุกครั้ง จนกระดูกนั้นสาบสูญไปสิ้นมิได้ฝัง……

แสดงว่ามหาอุปราชตั๋งโต๊ะนี้ชั่วช้าเสียจน สวรรค์ก็ไม่ปราณี ตั๋งโต๊ะนั้นตายเมื่อประมาณ พ.ศ.๗๓๓

ส่วนมหาอุปราชคนถัดมาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ คือ โจโฉ ซึ่งเป็นใหญ่อยู่ใน แผ่นดินมาร่วมสามสิบปี ถึงเวลาจะสิ้นชีวิต ก็มีอาการปวดศรีษะอย่างแรง หมอรักษาอย่างใดก็ไม่ทุเลา

……..วันหนึ่งเวลากลางคืนโจโฉปวดศรีษะเป็นกำลัง ให้วิงเวียนร้อนกระวนกระวาย นอนไม่หลับเลยจนเวลายามสาม จึงลุกออกมานั่งที่เก้าอี้ ได้ยินเสียงดังหนึ่งฉีกแพร จึงแลไปเห็นนางฮกเฮา นางตังกุยหุยกับบุตรทั้งสองคน กับฮกอ้วนบิดานางฮกเฮา กับตังสินบิดานางตังกุยหุย กับพรรคพวกประมาณยี่สิบคน มีโลหิตแดงทั่วตัวยืนอยู่ในอากาศ ร้องว่าโจโฉท่านเอาชีวิตมาคืนให้แก่เรา……..

ภาพคนทั้งหลายที่โจโฉเห็นนั้น ก็คือคนที่ถูกโจโฉสั่งให้ประหารชีวิต เนื่องจากเป็นขบถวางแผนจะทำอันตรายแก่ตนทั้งสิ้น ในเวลานั้นจะเป็นปีศาจมาหลอกหลอน หรือโจโฉแลเห็นไปเองเพราะพิษไข้ก็ไม่ทราบได้ แต่ก็ทำให้โจโฉมีอาการหนักขึ้นจนแน่ใจว่าจะไม่รอดแล้ว จึงเรียกขุนนางผู้ใหญ่ที่ไว้วางใจ มาสั่งเสียในเรื่องต่าง ๆ มากมาย เช่น

……..เราทำการรณรงค์มากว่าสามสิบปีแล้ว ข้าศึกที่ไหนเข้มแข็งเราก็ปราบปรามเสียได้ แผ่นดินก็ราบคาบ ราษฎรก็อยู่เย็นเป็นสุข แต่ซุนกวนเมืองกังตั๋ง เล่าปี่เมืองเส ฉวนยังหาปราบได้ไม่ ความไข้ก็หนักขึ้นถึงเพียงนี้ ซึ่งจะเป็นเพื่อนคิดการสงครามกับท่านทั้งปวงสืบไปอีกไม่ได้แล้ว เราจึงฝากฝังมอบเวรให้แก่ท่านทั้งปวง ลูกเราคนหนึ่งชื่อโจงั่งเกิดด้วยนางเล่าซี ก็ตายเสียที่เมืองอ้วนเซียนั้นแล้ว ยังแต่บุตรเราสี่คนเกิดด้วยนางเปียนซี ชื่อว่าโจผีคนหนึ่ง โจเจียงคนหนึ่ง โจสิดคนหนึ่ง โจหิมคนหนึ่ง

เราวิตกถึงโจสิดนักด้วยลูกคนนี้วาจาไม่ยั่งยืน แล้วก็มักเสพสุรา ความคิดไม่รอบคอบ จะตั้งให้แทนที่ก็ไม่ได้ ฝ่ายโจเจียงนั้นมีกำลังก็จริง แต่ว่าหาความคิดมิได้ โจหิมนั้นเป็นคนโลภ เห็นแต่โจผีพี่เอื้อยเป็นคนหนักแน่น มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลม พอที่จะตั้งให้เป็นใหญ่แทนตัวเราได้ เราหาบุญไม่แล้ว ท่านจงอนุเคราะห์ตั้งไว้ให้ว่าราชการแทนเราสืบไปเถิด……..

สั่งเสียเรื่องลูกแล้ว ก็หันมาสั่งเมียซึ่งไม่ทราบว่ามีอยู่สักเท่าไร อาจจะถึงหกโหลก็ได้ เพราะใช้คำว่า

…….ถ้าเราหาบุญไม่แล้ว ท่านทั้งปวงจงอุตส่าห์ฝึกสอนในการเย็บการปัก จึงจะได้เลี้ยงตัวเมื่อภายหลัง ท่านจงพากันไปอยู่ปราสาทตั้งเซ็กไต๋ เมื่อท่านจะเซ่นเรานั้น ให้มีมโหรี ปี่พาทย์จงทุกวัน อนึ่งท่านจงสั่งขุนนางให้ก่อกุฏิฝังศพเราที่ท้องสนามนอกเมือง ให้ได้เจ็ดสิบสองกุฏิ อย่าให้คนทั้งปวงรู้ว่าศพเราไว้กุฏิไหน เพราะว่ามีคนชังเรามากอยู่ เกลือกคนชังมันจะขุดศพเราขึ้นเสีย……….

ก็นับว่ารอบคอบ สมกับที่เป็นนักวางแผนยุทธศาสตร์ ฝีมือเยี่ยมมาในอดีต และรู้จักตนเองดีว่ามีคนรักน้อยกว่าผืนหนัง แต่คนชังอาจจะมากกว่าผืนเสื่อ จึงจัดการป้องกันศัตรูไว้ทุกทาง ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ลุกขึ้นมาสู้ไม่ได้แล้ว

ต่อมาถึงมหาอุปราชของพระเจ้าโจยอย บุตรพระเจ้าโจผี หลานของโจโฉ ที่ชื่อ สุมาอี้ รับราชการต่อไปจนถึงพระเจ้าโจฮอง เป็นคู่สงครามกับขงเบ้งมาประมาณยี่สิบสี่ปี ถึง พ.ศ.๗๙๔ ก็ป่วยด้วยโรคชรา เมื่ออาการหนักเห็นจะไม่รอดแล้ว จึงให้หา สุมาสู กับสุมาเจียว บุตรทั้งสองมาสั่งเสียถึงเตียงนอนว่า

……..บิดาได้เป็นที่มหาอุปราช ว่าราชการทั้งแผ่นดินโดยสัตย์โดยธรรม หาได้คิดคดต่อแผ่นดินไม่ คนทั้งปวงยังมาแกล้งว่าเป็นขบถต่อแผ่นดิน เราอาศัยสัตย์สุจริตรักษาตัวหาเป็นอันตรายไม่ บัดนี้บิดาจะตายแล้ว เจ้าจะเป็นข้าราชการสืบไป จงตั้งใจสัตย์ซื่อสามิภักดิ์
ต่อ เจ้าแผ่นดินกว่าจะสิ้นชีวิต ทำการสิ่งใดอย่าเบาแก่ความ จงตรึกตรองให้ละเอียดแล้วจึงทำ…….

บุตรทั้งสองซึ่งได้เป็นมหาอุปราชแทน ก็เชื่อฟังคำสั่งของบิดาเป็นอันดี สุมาสูผู้พี่รู้ว่าพระเจ้าโจฮองคิดจะทำร้าย จึงถอดออกจากราชบัลลังก์เสีย และยกโจมอ หลานพระเจ้าโจผี ขึ้นครองราชสมบัติแทน แล้วตนเองก็ถึงแก่ความตายด้วยโรคตาเป็นต้อ เมื่อประมาณ พ.ศ.๗๙๙ ก่อนจะสิ้นใจก็เรียกน้องชายมาสั่งว่า

……เจ้าจะทำราชการแทนที่พี่สืบไป อุตส่าห์ระวังรักษาตัวจงดี ถ้ามีราชการเป็นข้อใหญ่ อย่าไว้ใจผู้อื่นจะเสียราชการ จะฉิบหายสิ้นทั้งโคตร……..

สุมาเจียวผู้น้องได้ขึ้นเป็นมหาอุปราชแทนพี่ชายแล้ว ก็ปลงพระชนม์พระเจ้าโจมอเสีย และเชิญโจฮวนผู้เป็นหลานโจโฉ ขึ้นเป็นฮ่องเต้แทน ต่อมามีความชอบตีเมืองเสฉวนแตก ได้เลื่อนเป็นจีนอ๋อง อยู่มาได้ข่าวว่าตนจะมีวาสนาได้เป็นฮ่องเต้ เลยเป็นลมปัจจุบันตายไปอย่าง กระทันหัน ไม่ทันได้สั่งเสียผู้ใด สุมาเอี๋ยนบุตรชายคนโตได้เป็นจีนอ๋องแทนบิดา แล้วก็ยึดอำนาจจากพระเจ้าโจฮวน ขับไล่ให้ไปอยู่เมืองกิมลงเสีย เมื่อ พ.ศ.๘๐๘

ที่เล่ามาแล้วเป็นบทบาทของ มหาอุปราชแห่งวุยก๊ก ส่วนฝ่ายง่อก๊กเมืองกังตั๋งของซุนกวนนั้น ได้อาศัยจิวยี่ทำศึกกับโจโฉจนสิ้นชีวิต แล้วก็ได้เตียวเจียวขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน ว่าราชการอยู่ จนตั้งตัวเป็นฮ่องเต้เมื่อ พ.ศ.๗๗๒ เสวยราชย์ได้ยี่สิบสี่ปีก็สิ้นรัชกาล พระเจ้าซุนเหลียงได้สืบราชสมบัติต่อมีซุนจุ๋นเป็นมหาอุปราช เมื่อซุนจุ๋นตายลง ซุนหลิมน้องชายก็ได้ว่าที่มหาอุปราชแทน แล้วก็กระทำการหยาบช้า หาเรื่องฆ่าขุนนางผู้ใหญ่เสียหลายคน เพื่อตนจะได้เป็นใหญ่กว่าขุนนางทั้งปวง

พระเจ้าซุนเหลียงทนไม่ได้ จึงคบคิดกับขุนนางเก่า จะกำจัดซุนหลิมเสีย แต่ ซุนหลิมรู้ตัวจึงจัดการถอดฮ่องเต้ออกจากบัลลังก์ แล้วเชิญซุนฮิวบุตรคนที่หกของพระเจ้าซุนกวน มาครองราชย์แทน เมื่อ พ.ศ.๘๐๑ แต่พระเจ้าซุนฮิวกลับให้เตงฮองนายทหารเก่าสมัยพระเจ้า ซุนกวน คิดอุบายหลอกซุนหลิมมาฆ่าเสีย ซุนหลิมก็ร้องขอชีวิตว่า

…….พระองค์โปรดให้ทานชีวิตข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าไม่คิดการฉะนั้นสืบไปแล้ว จะถวายบังคมลาไปทำมาหากินอยู่ ณ บ้านเก่า พระเจ้าซุนฮิวจึงตวาดว่า เมื่อเตงอิ๋นกับลิกี๋แล อ๋องตุ้นนั้น ก็อ้อนวอนขอชีวิตจะลาไปอยู่บ้านเก่า เหตุใดตัวจึงฆ่าเสียเล่า…….

แล้วก็มีรับสั่งให้ประหารชีวิตเสีย พร้อมกับพี่น้องครอบครัวประมาณร้อยคนเศษ รวมทั้งให้ขุดศพซุนจุ๋นผู้พี่ขึ้นมาทำประจานด้วย

ต่อมาถึง พ.ศ.๘๐๘ ได้ข่าวว่าพระเจ้าสุมาเอี๋ยนจะยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋ง ก็มีพระทัยทุกข์ตรอมจนประชวรสิ้นพระชนม์ไป ถึงสมัยพระเจ้าซุนโฮซึ่งเป็นบุตรพระเจ้าซุนเหลียงขึ้นสืบราชสมบัติ ก็มิได้ปรากฏว่าได้ตั้งผู้ใดเป็นมหาอุปราชอีก

ฝ่ายจ๊กก๊กของพระเจ้าเล่าปี่นั้น ได้ตั้งตัวเป็นฮ่องเต้แห่งเมืองเสฉวน เมื่อ พ.ศ.๗๖๔ ก็มีขงเบ้งเสนาธิการคู่ใจเป็นมหาอุปราช ว่าราชการทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น ขงเบ้งก็พากเพียรพยายามที่จะโค่นอำนาจของวุยก๊ก ที่เชื้อสายของโจโฉสืบราชสมบัติต่อมา แม้พระเจ้าเล่าปี่จะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ก็ยกเล่าเสี้ยนขึ้นเป็นฮ่องเต้แทนบิดา และยกทัพไปตีวุยก๊กเพื่อจะรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียว ขึ้นแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยนซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่น แต่ก็ไม่สำเร็จ

จนถึง พ.ศ.๗๗๗ ขณะอยู่ในสนามรบใกล้แม่น้ำอุยโห ขงเบ้งก็ป่วยหนักด้วยการตรากตรำทำสงครามมาเป็นเวลานาน และรู้ตัวว่าจะถึงแก่ความตายแล้ว แม้จะทำพิธีต่ออายุก็ไม่สำเร็จ จึงเรียกแม่ทัพนายกองมาสั่งเสีย ให้เกียงอุยรับมรดกตำราพิชัยสงคราม และความรู้ต่าง ๆ ที่เคยใช้ในการรบมาตลอดชีวิต ให้เอียวหงีควบคุมกองทัพถอยกลับเมืองเสฉวน ให้เรียบร้อยอย่าให้เสียทีแก่ข้าศึกได้ แล้วก็เขียนหนังสือไปถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยน ขอกราบถวายบังคมลาตาย มีข้อความว่า

……..ด้วยข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่าบุราณกรรมมาถึงตัวแล้ว แลตัวข้าพเจ้านี้ก็อุตส่าห์ตั้งใจทำราชการตามสติปัญญา พระเจ้าเล่าปี่ชุบเลี้ยงให้เป็นใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่ข้าพเจ้ามีความวิตกอยู่ว่า ศัตรูฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ยังไม่ราบคาบ ควรหรือจะมาด่วนถึงแก่ความตาย ก็คิดแค้นอยู่ทุกเวลา แม้ข้าพเจ้าตายแล้วพระองค์จงรักษาความสัตย์ บำรุงทหารอาณาประชาราษฎร ให้อยู่เย็นเป็นสุขตามประเพณี อย่าได้เชื่อฟังคำคนอันเป็นพาล บ้านเมืองจึงจะปกติสืบไป……..

เมื่อพระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ทราบความตามหนังสือแล้ว ก็วิตกถึงบ้านเมืองว่าจะได้ผู้ใด มาช่วยว่าราชการในตำแหน่งมหาอุปราชต่อไป จึงให้ลิฮกกลับมาถามขงเบ้ง

………แม้เราตายแล้วจงให้เจียวอ้วนเป็นมหาอุปราชแทนเรา ลิฮกจึงว่าถ้าเจียวอ้วนหาบุญไม่ ท่านจะให้ผู้ใดเป็นมหาอุปราชต่อไปเล่า ขงเบ้งจึงว่า ให้เอาบิฮุยตั้งขึ้นแทนเจียวอ้วนเถิด ลิฮกจึงถามว่า ถ้าบิฮุยตายแล้ว ท่านเห็นผู้ใดจะเป็นแทนที่เล่า……

แต่ขงเบ้งหมดแรงที่จะตอบเสียแล้ว ก็สิ้นใจตายไปกรรมของตน และแม้จะได้ว่าราชการอยู่จนเฮือกสุดท้ายของลมหายใจ ขงเบ้งก็มิได้ห่วงใยในครอบครัวของตน มากไปกว่าการบ้านเมือง ดังที่ได้กราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนไว้ว่า

………อันในที่อยู่ข้าพเจ้านั้น มีต้นหม่อนสำหรับเลี้ยงไหมอยู่ถึงแปดร้อยต้น นาห้าสิบไร่ แลที่นากับต้นหม่อนนี้ ก็พอเลี้ยงบุตรภรรยาข้าพเจ้าอยู่แล้ว อันทรัพย์สิ่งของข้าพเจ้า ซึ่งอยู่ในเรือนนั้น ขอให้เอาเข้าไปไว้ในท้องพระคลังจะได้แจกทหาร……..

แล้วเราก็ได้เห็นความแตกต่าง ระหว่างปัจฉิมวาจาของมหาอุปราชของแต่ละก๊กว่าแตกต่างกันเพียงใด เราท่านผู้ได้รับทราบเรื่องราวต่อมาภายหลังนับพันปี จะนับถือและดูเยี่ยงอย่าง จากมหาอุปราชท่านใด ในจำนวนเจ็ดคนที่ยกมาเล่า ก็สุดแท้แต่อัธยาศัยของแต่ละคนเถิด.

###############




 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 20 กรกฎาคม 2559 6:52:51 น.
Counter : 425 Pageviews.  

สองศัตรูคู่อาฆาต

เสี้ยวสามก๊ก

สองศัตรูคู่อาฆาต

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เรื่องของศัตรูคู่อาฆาต ในนิยายอิงพงศาวดารเรื่องสามก๊กนั้น มีอยู่หลายคู่ที่ขับเคี่ยวกันอย่างเอาเป็นเอาตาย อย่างเช่น โจโฉกับอ้วนเสี้ยว สุมาอี้กับขงเบ้ง เตงงายกับเกียงอุย และยังมีอยู่อีกคู่หนึ่ง ตอนต้น ๆ ของเรื่อง คือลิโป้กับเตียวหุย

ลิโป้อัศวินพเนจรนั้น มีฝีมือกล้าแข็งเป็นที่กล่าวขวัญถึง ในหมู่นักรบทั่วไป แต่ในด้านความคิดสติปัญญา และความประพฤตินั้น มักจะถูกประนามว่าเป็นคนโลภเห็นแก่ลาภ น้ำใจไม่ซื่อตรง และเป็นคนเนรคุณ จนมักจะมีคนเรียกว่าอ้ายลูกสามพ่อ อยู่เสมอ

ส่วนเตียวหุยพี่น้องร่วมสาบาน คนสุดท้ายของเล่าปี่นั้น มีผู้กล่าวว่าเป็นคนมุทะลุดุดัน เก่งกล้าแต่บ้าบิ่น และสติปัญญาก็พอกันกับลิโป้นั่นแหละ เพราะเป็นเพียงพ่อค้าขายหมูมาก่อน เรื่องราวของคนทั้งคู่นี้จะเป็นอย่างไรนั้น จะค้นคว้ามาเล่าให้อ่านกันต่อไป

ในคราวที่ตั๋งโต๊ะยึดอำนาจการปกครองเมืองลกเอี๋ยงไว้ในกำมือ และถอด หองจูเปียนฮ่องเต้ที่สืบราชสมบัติ ต่อจากพระเจ้าเลนเต้ผู้บิดาอย่างถูกต้อง ออกจากราชบัลลังก์ แล้วยกหองจูเหียบ น้องชายอายุเก้าปี ขึ้นเป็นฮ่องเต้แทนนั้น ตั๋งโต๊ะก็ได้อาศัยลิโปที่ลงมือฆ่า เต๊งหงวนบิดาเลี้ยง แล้วมาอยู่กับตั๋งโต๊ะ ซึ่งตั๋งโต๊ะมีความยินดีมาก กล่าวต้อนรับลิโป้ว่า

“….ตัวเรานี้อุปมาเหมือนทำนา ตกกล้าลงแล้วฝนแล้งกล้านั้นก็ใบแดงไป ซึ่งท่านมาหาเราบัดนี้ เหมือนฝนตกลงมาห่าใหญ่ น้ำท่วมเลี้ยงต้นกล้าชุ่มชื่นขึ้น ใบนั้นเขียวสดขึ้น….”

แล้วตั๋งโต๊ะก็คุกเข่าลงคำนับ ลิโป้ตกใจเข้าอุ้มเอาตั๋งโต๊ะขึ้นนั่งบนเก้าอี้ แล้วกราบคำนับกล่าวว่า

“…….ข้าพเจ้านี้มีใจภักดี จะมาทำราชการด้วยท่าน ซึ่งท่านมีใจเมตตาข้าพเจ้านั้น ก็เห็นประจักษ์สิ้น ข้าพเจ้าจะขอเอาท่านเป็นบิดากว่าจะสิ้นชีวิต…….”

เมื่อโจโฉรวบรวมกำลังพลจากสิบหกหัวเมือง ยกเข้ามาตีเมืองลกเอี๋ยง เพื่อช่วยพระเจ้าเหี้ยนเต้หรือหองจูเหียบ ให้พ้นจากอำนาจของตั๋งโต๊ะนั้น เล่าปี่กับกวนอูและเตียวหุย ซึ่งสาบานเป็นพี่น้องกันที่เมืองตุ้นก้วน ก็สมัครเข้ามาในกองทัพของกองซุนจ้านเจ้า เมืองปักเป๋งด้วย

หลังจากที่ฮัวหยงทหารรองของลิโป้ ออกไปรบและถูกกวนอูฆ่าตายแล้ว ลิโป้ก็ ออกศึกที่ด่านเฮาโลก๋วนเอง ครั้งแรกก็ได้ฆ่านายทหารของฝ่ายโจโฉตายไปสองคน และเอาทวนหวดมือขาดไปอีกหนึ่งคน กองซุนจ้านขี่ม้าถือทวนเข้าไปรบกับลิโป้ได้สิบเพลง ก็ขับม้าหนี ลิโป้ไล่ตามมา ก็เจอเตียวหุยควบม้าเข้าสกัดหน้าไว้ แล้วร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง จนม้าเซ็กเธาว์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นม้าศึกชั้นยอด ตกใจชะงักถอยหลังไปหลายก้าว แล้วเตียวหุยก็ด่าลิโป้ว่า

“……..อ้ายลูกสามพ่อ กูมาจะรบกับมึง เหตุใดมึงจึงชักม้าถอยไป……”

ลิโป้ก็โกรธจึงขับม้าเข้ารบกับเตียวหุยถึงห้าสิบเพลง ก็มิได้แพ้ชนะกัน กวนอูกลัวว่าน้องชายมีกำลังน้อยกว่าลิโป้จะเสียที จึงขับม้าเข้ารบกับลิโป้อีกสามสิบเพลง เล่าปี่ก็ขับม้าถือกระบี่สองมือเข้าช่วยน้องทั้งสองรบกับลิโป้ ทั้งสามพี่น้องรุมรบลิโป้เป็นสามเส้า แต่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะลิโป้ได้ ลิโป้เห็นว่าข้าศึกเอาเปรียบเกินไป จึงพาทหารถอยเข้าด่านไป

การศึกในครั้งนั้น ฝ่ายตั๋งโต๊ะต่อสู้รักษาตัวไว้ได้ จนกองทัพหัวเมืองแตกแยกถอยกลับไปหมดแล้ว ต่อมาลิโป้ไปหลงรักนางเตียวเสียน ภรรยาน้อยของตั๋งโต๊ะ จึงร่วมมือกับอ้องอุ้น ฆ่าตั๋งโต๊ะ ชิงเอานางเตียวเสียนมาเป็นภรรยาน้อยของตน แต่ก็ถูกลูกน้องของตั๋งโต๊ะกลับมาแก้แค้น ต้องหนีออกจากเมืองหลวง ซมซานไปขออาศัยเมืองไหนก็ไม่มีผู้ใดรับอุปการะ จนมาถึงเมืองชีจิ๋ว ซึ่งเล่าปี่ได้เป็นเจ้าเมืองสืบต่อจากโตเกี๋ยมอยู่ เล่าปี่ก็รับไว้ แต่เตียวหุยเตือนว่า

“……..น้ำใจท่านอารีต่อคนทั้งปวง จะรับลิโป้เข้ามาไว้ก็ตามเถิด แต่ให้คิดระวังเหตุผลจงดี……”

เล่าปี่ก็จัดแจงบ้านช่องให้ลิโป้อยู่พร้อมกับครอบครัว ต่อมาลิโป้ก็เชิญสามพี่น้องไปกินเลี้ยงที่บ้านใหม่ เพื่อขอบคุณที่ให้อยู่อาศัย เมื่อทั้งสามมาถึงบ้าน ลิโป้ก็พาบุตรภรรยาออกมา คำนับเล่าปี่ แต่เล่าปี่เห็นว่าลิโป้และภรรยาหลวง มีอายุมากกว่าตนจึงห้ามว่าอย่าคำนับเลย ลิโป้ก็ว่าน้องเราจงให้บุตรภรรยาเราคำนับเถิด

เท่านั้นเองเตียวหุยซึ่งเกลียดชังลิโป้เข้ากระดูก ก็โกรธจนหนวดกระดิก ร้องว่า เล่าปี่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ลิโป้เป็นอะไรจึงบังอาจมาเรียกว่าน้อง เล่าปี่ก็ห้ามปรามและให้กวนอูพา เตียวหุยออกไปข้างนอก แต่พอเล่าปี่ลากลับไปแล้วไม่นาน เตียวหุยก็กลับม้ารำทวนอยู่หน้าบ้าน ลิโป้ และท้าทายว่า

“……..เมื่อกี้นั้นกูเกรงพี่กูอยู่ บัดนี้พี่กูไปแล้ว เร่งออกมาลองกันดูสักสามร้อยเพลง ให้รู้จักฝีมือกันไว้…..”

ลิโป้ก็ขยับจะรับคำท้า แต่ยังไม่ทันจะออกไป กวนอูก็หวนกลับมาพาเตียวหุยกลับไปเสียก่อน วันรุ่งขึ้นลิโป้จึงไปหาเล่าปี่และบอกว่า

“……..เดิมมาขออาศัยท่านก็ยอมให้อยู่ บัดนี้เตียวหุยน้องท่านไปว่ากล่าวหยาบช้าดูหมิ่นเรา เราจะอยู่สืบไปก็จะเคืองใจท่าน เราจะลาท่านไปอยู่ที่อื่นแล้ว…….”

เล่าปี่ก็ว่า

“…..ท่านจะไปอยู่ที่อื่นนั้น ความครหานินทาก็จะอยู่แก่เรา ซึ่งเตียวหุยเป็นใจหนุ่มได้ว่ากล่าวหยาบช้าต่อท่านนั้น วันอื่นเราจะพาเตียวหุยไปขอขมาท่าน ถ้าท่านมิฟังก็ให้ไปอยู่เมืองเสียวพ่ายเถิด แต่ที่นั้นเป็นเมืองน้อยขึ้นแก่เมืองนี้ ถ้าขาดข้าวปลาอาหารเราจะให้เอาไปส่ง….”

ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงคำนับเล่าปี่พาครอบครัว กับทหารของตนไปอยู่เมืองเสียวพ่าย แต่ก็มีความสุขอยู่ได้ไม่นาน พอโจโฉพาพระเจ้าเหี้ยนเต้ ไปตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองฮูโต๋แล้ว ก็คิดหาทางที่จะให้เล่าปี่เป็นศัตรูกับลิโป้ จึงมีรับสั่งแต่งตั้งให้เล่าปี่เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋วอย่างเป็นทางการ เมื่อลิโป้รู้ข่าวก็ไปเยือนเล่าปี่ที่เมืองชีจิ๋ว แล้วว่าตนรู้ว่ามีรับสั่งตั้งให้เล่าปี่เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว ตนก็มีความยินดีด้วยนัก พูดไม่ทันขาดคำ เตียวหุยก็ถือกระบี่เข้ามาจะฆ่าลิโป้ เล่าปี่เห็นก็ตกใจลุกขึ้นยุดเอากระบี่ไว้

ลิโป้ก็ว่าแก่เล่าปี่ว่า เตียวหุยนั้นมีความแค้นตนด้วยสิ่งใด จึงมีใจพยาบาทอยากจะฆ่าตนเสียเป็นหลายครั้งมาแล้ว เตียวหุยก็ตอบว่า

“…….ตัวมึงมิได้รู้จักคุณคน โจโฉจึงให้มีหนังสือมาถึงพี่กู ให้ฆ่ามึงเสีย…..”

เล่าปี่ก็ให้ทหารเอาตัวเตียวหุยออกไปเสียภายนอก และพาลิโป้เข้าไปข้างในแล้วเอาหนังสือของโจโฉมาให้ดู ซึ่งมีความว่าโจโฉนั้นได้ช่วยทูลให้ฮ่องเต้ตั้งเล่าปี่เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว แล ลิโป้นั้นมักทำร้ายแก่ผู้มีคุณ ให้เล่าปี่คิดอ่านฆ่าลิโป้เสียให้จงได้ ลิโป้เห็นหนังสือแล้วก็ว่า ซึ่งโจโฉคิดดังนี้ก็หวังจะให้เล่าปี่กับตน มีความสงสัยคิดร้ายเป็นศัตรูกันในภายหน้า เล่าปี่จึงว่าอย่าวิตกเลยถึงมาตรว่าจะมีผู้ยุยงประการใด ตนก็มิได้เชื่อฟังและคิดร้ายต่อลิโป้เลย ลิโป้จึงค่อยคลายใจและว่า ซึ่งเล่าปี่ออกปากดังนี้ คุณหาที่สุดมิได้ แล้วทั้งสองก็กินโต๊ะกันอยู่จนเย็น ลิโป้จึงลากลับไปเมืองเสียวพ่าย

อยู่มาไม่นานเล่าปี่ได้รับหนังสือรับสั่งจากฮ่องเต้ ให้ยกทัพไปตีเมืองลำหยงของอ้วนสุด เล่าปี่ก็ยกทหารไปกับกวนอู ทิ้งให้เตียวหุยอยู่รักษาเมืองชีจิ๋ว คืนหนึ่งก็มีคนใช้ของโจป้าพ่อตาของลิโป้ ถือหนังสือของโจป้ามาแจ้งว่า บัดนี้เล่าปี่ยกไปเมืองลำหยง เตียวหุยเสพสุราเมาให้ตีเรา แล้วว่ากล่าวหยาบช้ากระทบมาถึงลิโป้ด้วย ขอให้คุมทหารยกมาตีเมืองชีจิ๋ว ในเวลากลางคืนวันนี้ เห็นจะได้โดยง่าย ด้วยเตียวหุยกำลังเมาสุราอยู่

ลิโป้ก็ปรึกษากับตันก๋งคนสนิท ตันก๋งจึงว่า

“………ซึ่งเตียวหุยทำการว่ากล่าวดังนี้ เห็นหยาบช้านัก อันท่านจะอยู่แต่เมืองเสียวพ่ายนี้ เห็นไม่สมควรเป็นที่มั่น บัดนี้ได้ทีแล้ว จำจะยกไปตีเอาเมืองชีจิ๋ว จะได้อยู่เป็นสุข จะได้คิดการใหญ่สืบไป……”

ลิโป้ก็เห็นชอบด้วยจึงสั่งให้ตันก๋งกับโกซุ่น เกณฑ์ทหารให้หมดเมืองยกไปเมือง ชีจิ๋ว ส่วนตนเองคุมทหารประมาณห้าร้อย ยกล่วงหน้าไปก่อนเป็นการด่วน เมื่อถึงประตูเมืองชีจิ๋วเป็นเวลาประมาณสามยามเศษ ก็ร้องเรียกทหารบนเชิงเทินให้เปิดประตู ด้วยเล่าปี่ให้ตนมาแจ้งข้อราชการแก่เตียวหุย ก็มีทหารพรรคพวกของโจป้าเอาความไปบอกแก่โจป้า ให้ออกมาเปิดประตูเมือง รับเอาลิโป้กับทหารทั้งห้าร้อยเข้าไป

ส่วนเตียวหุยนั้นเมาสุรานอนหลับอยู่ เมื่อทหารเข้าไปปลุกให้ตื่นยังงัวเงียอยู่ ครั้น แจ้งว่าทหารลิโป้เข้าเมืองได้แล้ว ก็ตกใจคว้าทวนคู่มือลุกออกมาขึ้นม้า แต่เห็นว่าตนเองยังไม่หายเมา คงจะสู้ลิโป้ไม่ได้ จึงพาทหารคนสนิทสิบแปดคนหนีออกจากเมืองชีจิ๋วไป โดยไม่ห่วงครอบครัวของเล่าปี่ ลิโป้ก็มิได้ติดตามไป แต่โจป้านั้นเคียดแค้นเตียวหุยมาก จึงคุมทหารร้อยหนึ่งตาม เตียวหุยไป จนทันกันที่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง แต่รบกันได้เพียงสามเพลง ก็ถูกเตียวหุยเอาทวนแทงตกม้าตายไป ตามระเบียบ

เล่าปี่รู้เรื่องจากเตียวหุยแล้ว ก็เป็นห่วงครอบครัวรีบยกกลับมาเมืองชีจิ๋ว ก็พบว่า ลิโป้ดูแลรักษาครอบครัวของตนไว้เป็นอันดี มิมีอันตราย เล่าปี่จึงว่าแก่กวนอูและเตียวหุยว่า

“……..ข้าได้ว่าแต่เดิมทีว่า อันลิโป้นั้นมีกตัญญูต่อเราอยู่ เห็นจะไม่ทำร้ายแก่ครอบครัวเรา…..”

เมื่อพบกันลิโป้ก็บอกแก่เล่าปี่ว่า

“……..เราทำการทั้งนี้ใช่เราจะเห็นแก่สมบัติของท่านนั้นหามิได้ เพราะเตียวหุยน้องท่านเสพสุราเมา เรากลัวจะทำการหยาบช้า จะเกิดวุ่นวายกันขึ้น เราจึงมาทำการทั้งนี้หวังจะรักษาเมืองไว้ให้ท่าน……..”

เล่าปี่จึงว่า

“……เมืองอันนี้ แต่แรกเราก็ว่าจะให้ท่านอยู่อีก ท่านมิยอม บัดนี้ท่านตีได้เป็นเมืองของท่านก็ดีแล้ว เชิญท่านอยู่ให้เป็นสุขเถิด ตัวเรากับสมัครพรรคพวกจะขอไปอยู่เมือง เสียวพ่าย….”

ลิโป้ก็เกลี้ยกล่อมให้เล่าปี่อยู่รักษาเมืองดังเก่า แต่เล่าปี่ไม่ยอมอยู่ ขอลาลิโป้ไปอยู่เมืองเสียวพ่ายแทน ส่วนกวนอูเตียวหุยนั้นคิดพยาบาทลิโป้อยู่มิขาด เล่าปี่แจ้งในกิริยาของน้องทั้งสอง จึงว่าเจ้าอย่าคิดวุ่นวายไปเลย จงค่อยทนไปจนกว่าจะได้ทีของเรา จึงจะคิดการต่อไป

ลิโป้ก็ปกครองเมืองชีจิ๋วอยู่ด้วยความเป็นสุข หารู้ไม่ว่าขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองซึ่งเป็นพวกพ้องของเล่าปี่และโจโฉ มิได้มีความซื่อสัตย์ต่อตน คิดจะทรยศอยู่ตลอดเวลา แม้ตันก๋งคนสนิทคอยตักเตือน ลิโป้ก็ไม่เชื่อฟัง

ต่อมาคนของลิโป้ไปซื้อม้าจากเมืองซัวตั๋งสามร้อยตัว ผ่านมาทางเมืองเสียวพ่าย เตียวหุยก็ถือโอกาสตีชิงเอาม้าไปเสียร้อยห้าสิบตัว ลิโป้ก็โกรธจึงยกทหารจะไปจับเตียวหุย ในฐานะเป็นผู้ร้ายลักม้า เตียวหุยก็ไม่กลัวบอกว่าตนเองชิงม้าจริง แต่ลิโป้จะทำไมตน ลิโป้ยิ่งโกรธหนักขึ้นร้องว่า อ้ายผู้ร้ายตากลมนี้ทำการหยาบช้าดูหมิ่นเป็นหลายครั้งแล้ว ยังบังอาจมาท้าทายอีก เตียวหุยก็โต้ว่า ที่ตนชิงม้าไว้นี้ลิโป้โกรธหรือ แต่ที่ลิโป้ชิงเอาเมืองชีจิ๋วไปจากเล่าปี่นั้น ตนจะไม่โกรธหรือ ทั้งสองต่างก็เข้าต่อสู้กันด้วยเชิงทวนถึงสองร้อยเพลง เล่าปี่ก็ตีม้าล่อเรียกเตียวหุยกลับเข้าเมือง ลิโป้ก็ล้อมเมืองเสียวพ่ายไว้ทั้งสี่ด้าน เล่าปี่รู้ว่าเตียวหุยผิดจริง จึงขอขมาต่อลิโป้ ลิโป้ก็จะไม่เอาเรื่อง แต่ตันก๋งเห็นว่าได้ทีแล้ว ให้ยกเข้าตีเล่าปี่ให้แตกพ่ายไปเลย แต่เล่าปี่กับสองพี่น้องได้พาครอบครัว ตีฝ่าทหารของลิโป้ออกไปหาโจโฉที่เมืองฮูโต๋ได้

ต่อมาโจโฉก็ชักชวนเล่าปี่ ลิโป้ และซุนเซ็ก ให้ร่วมมือกันรบอ้วนสุด ซึ่งตั้งตัวเป็นเจ้าที่เมืองลำหยง จนอ้วนสุดหนีไปจากเมืองแล้ว โจโฉก็เกลี้ยกล่อมเล่าปี่กับลิโป้ให้เลิกพยาบาทกันเสีย โดยให้เล่าไปอยู่เมืองเสียวพ่าย ลิโป้ไปอยู่เมืองชีจิ๋วตามเดิม

จนกระทั่งทหารของตันก๋งจับม้าใช้ของเล่าปี่ ได้หนังสือของเล่าปี่มีไปถึงโจโฉว่า ถ้าโจโฉยกกองทัพมากำจัดลิโป้เมื่อใด เล่าปี่จะช่วยให้สำเร็จ ลิโป้จึงยกกองทัพไปตีเมืองเสียวพ่ายแตก เล่าปี่ก็หนีไปหาโจโฉอีก โจโฉก็ยกทัพใหญ่มาช่วยเล่าปี่ ตีเมืองชีจิ๋วแตก ลิโป้หนีไปจนมุมอยู่ที่เมืองแห้ฝือ สุดท้ายก็ถูกลูกน้องทรยศ จับตัวมัดไปส่งให้โจโฉตัดสินโทษ ให้ประหารชีวิตเสีย ต่อหน้าเล่าปี่และพี่น้องทั้งสอง เป็นอันสิ้นศัตรูตัวร้ายไปได้

ส่วนเตียวหุยนั้นอยู่กับเล่าปี่มาอีกนานนับสิบปี จนกวนอูถูกซุนกวนน้องซุนเซ็ก เจ้าเมืองกังตั๋งจับตัวไปประหารชีวิต แล้วส่งศรีษะไปให้โจโฉ ทำให้โจโฉป่วยตายตามไปด้วย และเล่าปี่ซึ่งตั้งตนเป็นฮ่องเต้ของจ๊กก๊กที่เมืองเสฉวน จะยกทัพไปตีเมืองกังตั๋งแก้แค้นแทนน้องรอง เตียวหุยซึ่งเป็นเจ้าเมืองลองจิ๋ว ก็เกณฑ์ให้นายทหารรองสองคน จัดแจงตระเตรียมเครื่องศัสตราวุธ และม้าขาวธงขาวเครื่องนุ่งห่มขาวของทหารทั้งกองทัพ ให้เสร็จภายในสามวัน เมื่อลูกน้องร้องว่าทำไม่ได้ ก็ให้เอาตัวไปเฆี่ยนเสียคนละห้าสิบที แล้วว่าถ้าทำไม่ได้ภายในพรุ่งนี้ ก็จะฆ่าเสียทั้งสองคน

นายทหารทั้งสองคนจึงร่วมคิดกัน เข้าไปฆ่าเตียวหุยเสีย ในขณะที่เมาสุรานอนหลับอยู่กับทหารนอกห้องที่พัก โดยไม่มีใครช่วย แล้วทั้งสองก็ตัดศรีษะเตียวหุย เอาไปให้ซุนกวนที่เมืองกังตั๋ง เอาความชอบ ก่อนที่เล่าปี่จะยกกองทัพออกจากเมืองเสฉวนด้วยซ้ำ

ทั้งลิโป้ผู้มีฝีมือเข้มแข็ง แต่ขาดความซื่อสัตย์กตัญญู และเตียวหุยผู้มีฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แต่มุทะลุดุดัน กักขฬะหยาบช้า ก็ถึงกาลอวสานไปเพราะสันดานเดิมทั้งคู่ แม้ว่าเวลาจะห่างกันเป็นสิบ ๆ ปีก็ตาม.

##############

นิตยสารต่วยตูน
เมษายน ๒๕๔๗ ปักษ์แรก




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2559    
Last Update : 19 กรกฎาคม 2559 15:27:01 น.
Counter : 468 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.