Group Blog
 
All Blogs
 

สตรีในสามก๊ก (๑)

สามก๊กฉบับฮูหยิน

สตรีในสามก๊ก (๑)

เล่าเซี่ยงชุน


บทบาทของตัวละครฝ่ายหญิงในเรื่องสามก๊กนั้น เมื่อได้พยายามพลิกค้นหาทบทวนดูมากกว่าสามครั้งสามคราแล้ว ก็ได้พบว่ามีชื่อเสียงอยู่หลายคน

นอกจากระดับนางเอก คือ นางเตียวเสียน ผู้ใช้กลมารยาสตรีล่อลวงเอา ตั๋งโต๊ะมหาอุปราชผู้ชั่วร้ายคนแรก มาให้ ลิโป้สังหาร แล้วยอมไปเป็นภรรยาน้อย ของลิโป้ซึ่งมีภรรยาเดิมชื่อ นางเหงียมซี ไปเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองชีจิ๋ว เป็นเวลานาน แต่สุดท้ายโจโฉกลัวจะเป็นเสี้ยนหนาม จึงตามมาตีเมืองแตก จับตัวลิโป้ไปประหารเสีย ส่วนภรรยาทั้งสองไม่ทราบว่าโจโฉเอาไปไว้ที่ไหน

อีกคนหนึ่งคือ นางซุนฮูหยิน น้องสาวของซุนกวนที่ต้องตกมาเป็นภรรยา เล่าปี่ เพราะเหตุผลทางการเมือง แต่นางกลับจงรักภักดีต่อสามี เหนือกว่าบ้านเมืองของตน จนเมื่อได้ทราบว่ากองทัพของสามีถูกกองทัพของพี่ชายตีแตก และเล่าปี่ถึงแก่ความตายไปด้วยความตรอมใจ นางก็ตัดสินใจโดดน้ำตายตามไป ทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างกันคนละทิศ

นอกจากนั้น ก็ยังมีอีกหลายนาง ตอนต้นเรื่องก็คือ นางตังไทฮอ มารดาของ พระเจ้าเลนเต้ รับเอา หองจูเหียบ พระราชบุตรของฮ่องเต้ ที่เกิดจาก นางอองบีหยิน สนมเอกไปเลี้ยงไว้เนื่องจากกำพร้ามารดา ครั้นพระเจ้าเลนเต้สิ้นพระชนม์แล้ว หองจูเปียน บุตรที่เกิดจาก นางโฮเฮา มเหสีได้ครองราชสมบัติ ทั้งสองนางแม่ผัวกับลูกสะใภ้ ต่างก็อยากให้ลูกหลานของตนได้เป็นใหญ่ จึงขัดใจกัน นางโฮเฮาได้เปรียบกว่า เพราะมี โฮจิ๋น พี่ชายเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน จึงจัดการสำเร็จโทษนางตังไทฮอเสีย

ต่อมานางโฮเฮาไปคบพวกขันทีสิบคน ที่เคยทำความเดือดร้อน ตั้งแต่สมัยพระเจ้าเลนเต้แล้ว บ้านเมืองก็เกิดวุ่นวายขึ้นอีก ตั๋งโต๊ะ เจ้าเมืองซีหลงก็เลยได้โอกาส ยกทัพเข้ามาจัดการปราบจลาจลในเมืองหลวง แล้วก็ถอดหองจูเปียนออกจากบัลลังก์ ยกหองจูเหียบขึ้นเป็นฮ่องเต้ ทรงพระนามว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ และฆ่านางโฮเฮากับหองจูเปียน ตายตามนางตังไทฮอไปด้วยทั้งสองคน

ต่อไปก็คือ นางเจ๋าซือ อาสะใภ้ของเตียวสิ้วเจ้าเมืองอ้วนเสีย ซึ่งเป็นแม่ม่ายอยู่ โจโฉถูกใจแอบเอามากกในค่ายของตน จนเป็นเหตุให้เสียทีแก่กองทัพของข้าศึก ถูกตีแตกจนเสียชีวิตของทหารเอกกับลูกชายและหลานชายไปถึงสามคน

นางตังกุยหุย สนมเอกกับ นางฮกเฮา มเหสีของพระเจ้าเหี้ยนเต้ผู้วางแผนกำจัด โจโฉ แต่ไม่แนบเนียนจึงถูกโจโฉจับเอาไปฆ่าเสียทั้งคู่ ต่างกรรมต่างวาระกัน

นางลิซุนเอี๋ยง ภรรยาน้อยของอุยกุ๋ย ซึ่งเป็นชู้กับเบียวเต๊กน้องชายของภรรยาหลวง เมื่อทราบว่าสามีไปร่วมมือกับม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียง เพื่อกำจัดโจโฉ ก็ให้เบียวเต๊กนำความไปบอกให้โจโฉรู้ ม้าเท้งจึงถูกฆ่าตายไปพร้อมกับบุตรชายอีกสองคน และอุยกุ๋ยด้วย แต่สุดท้ายโจโฉเห็นว่านางลิซุนเอี๋ยงกับชู้รักเป็นคนทรยศ จึงประหารชีวิตเสียทั้งคู่

นางชัวฮูหยิน ภรรยาของเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ญาติของเล่าปี่ ความที่รักบุตรของตัวมากกว่าบุตรภรรยาเก่าของเล่าเปียว เมื่อเล่าเปียวตายก็ทำอุบายให้ลูกตัวเป็นเจ้าเมือง แล้วยกเมืองให้โจโฉ แต่ก็ไม่รอด ถูกโจโฉฆ่าตายพร้อมกันทั้งสองคนแม่ลูก

นางชีฮูหยิน ภรรยาของซุนเซียงเจ้าเมืองตันเอี๋ยง ซึ่งเป็นน้องรองของซุนกวน แต่เป็นคนชอบเสพสุราแล้วมีกิริยาหยาบช้า ทารุณกับขุนนางจนมีผู้เกลียดชัง และร่วมมือกันฆ่า เจ้าเมืองเสีย แล้วก็ข่มขู่จะให้นางเป็นภรรยามิฉะนั้นจะฆ่าเสียอีกคน นางก็ทำเป็นยินยอมแล้วก็ร่วมมือกับลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ต่อสามี ฆ่าผู้ทรยศสองคนตัดศรีษะเอามาเซ่นศพสามีจนได้

ฝ่ายเล่าปี่เมื่อครั้งเป็นเจ้าเมืองเสียวพ่าย ถูกลิโป้ตีแตกต้องหนีไปหาโจโฉ ระหว่างเดินทางผ่านป่าแห่งหนึ่ง ได้เข้าไปอาศัยพักอยู่กับชายชาวป่าแซ่เดียวกัน ชื่อเล่าอั๋น เจ้าของบ้านเป็นคนยากจน ได้จัดหาอาหารมาเลี้ยงเล่าปี่กับผู้ติดตาม แล้วก็ให้นอนค้างคืน พอรุ่งเช้าเล่าปี่ลากลับ จะไปขึ้นม้าก็พบศพภรรยาของเล่าอั๋นนอนตายอยู่ข้างคอกม้า เมื่อสอบถามจึงได้ความว่า เล่าอั๋นไม่มีอาหารจะเลี้ยงเล่าปี่ จึงฆ่าภรรยาเอาเนื้อของนางมาทำอาหารเลี้ยงดู เล่าปี่ก็ตกใจแต่ไม่รู้จะทำอย่างได้ เพราะนางตายไปเสียแล้ว เมื่อไปพบโจโฉและเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง โจโฉก็ให้รางวัลแก่เล่าอั๋น เป็นทองร้อยตำลึง ส่วนภรรยาผู้เคราะห์ร้าย ไม่ได้แจ้งว่าชื่อแซ่ใด

นอกจากนี้ก็ยังมีอีกนางหนึ่ง เป็นมารดา ชีซี ศิษย์อาจารย์เดียวกันกับ ขงเบ้ง และ บังทอง ซึ่งปลอมชื่อเป็น ตันฮก ไปสมัครเป็นที่ปรึกษาของเล่าปี่ ทิ้งมารดาไว้ที่เมืองฮูโต๋ซึ่งเป็นเมืองหลวงใหม่ ที่โจโฉเป็นมหาอุปราชผู้มีอำนาจสูงสุดอยู่ โจโฉคิดจะตัดกำลังของเล่าปี่ จึงใช้อุบายปลอมจดหมายมารดาชีซี เรียกตัวกลับ ไม่เช่นนั้นโจโฉจะฆ่ามารดาเสีย ชีซีมีความกตัญญูต่อมารดาจึงจำใจต้องลาจากเล่าปี่มา แทนที่มารดาจะดีใจมารดากลับด่าว่าโง่ไม่สมกับที่ได้เรียนดีมีความรู้ท่วมหัว จึงเข้าห้องไปผูกคอตายเสียในบัดนั้น

ส่วนเล่าปี่เดิมมีภรรยาสองคนคือ นางกำฮูหยิน มีบุตรชายชื่อ อาเต๊า นางบีฮูหยิน ภรรยารองไม่มีบุตร แต่เป็นผู้เลี้ยงอาเต๊าเหมือนบุตรของตน เมื่อครั้งที่เล่าปี่อพยพครอบครัวและประชาชนพลเมือง หนีโจโฉออกจากเมืองซินเอี๋ยไปทางเมืองตงหยง แล้วถูกกองทัพของโจโฉตามทันและเข้าตีจนแตกกระจัดพลัดพรากกันไปนั้น นางบีฮูหยินได้อุ้มเด็กชายอาเต๊า หนีไปซุกซ่อนอยู่ข้างบ่อน้ำกลางเมือง จูล่ง ทหารเอกของเล่าปี่ ตีฝ่าทหารหลายสิบหมื่นของโจโฉไปค้นหาจนพบ พยายามพาตัวกลับมา แต่นางบีฮูหยินถูกแทงขาเจ็บเดินไม่ไหว จึงวางอาเต๊าไว้ให้ แล้วโดดบ่อน้ำตายเพื่อไม่ให้เป็นภาระ จูล่งจึงอุ้มอาเต๊าฝ่าทหารของโจโฉ เอาชีวิตกลับมาหาเล่าปี่ได้สำเร็จ

ผู้หญิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองกังตั๋งสองคนพี่น้องคือ นางไต้เกี้ยว กับ นางเสียวเกี้ยว ทั้งสองมีรูปโฉมโนมพรรณสวยงาม เป็นที่เลื่องลือไปทั่วแคว้นแดนจีน เมื่อ โจโฉได้ยินกิตติศัพท์ความงามของสองนางก็หลงใหลใฝ่ฝัน พอมีอำนาจราชศักดิ์มากขึ้น จึงสร้างตำหนักคู่ชื่อ หยกหลง และกิมฮองไว้ซ้ายขวาปราสาทใหญ่ของตน ที่ริมแม่น้ำเจียงโหเมืองเงียบกุ๋น ตั้งใจว่าถ้าได้นางมาเป็นภรรยา จะให้อยู่ตำหนักทั้งสองนั้น

เมื่อโจโฉยกกองทัพบกทัพเรือ มีกำลังพลเกือบร้อยหมื่นไปตั้งอยู่หน้าเมืองกังตั๋ง เพื่อทำศึกใหญ่นั้น ขงเบ้งได้เดินทางไปเกลี้ยกล่อมซุนกวน ให้เข้าเป็นพวกเดียวกันนั้น ก็ได้วางอุบายแก่จิวยี่แม่ทัพใหญ่ของเมืองกังตั๋งว่า ถ้าจะให้โจโฉถอยทัพกลับไป ก็เพียงแต่พาคนสองคนลงเรือลำหนึ่งข้ามไปหาโจโฉเท่านั้น จิวยี่ถามว่าจะให้ส่งผู้ใดไปให้โจโฉ ขงเบ้งก็บอกว่า

“…..เมื่อเรายังอยู่ที่เขาโงลังกั๋งนั้น แจ้งว่าโจโฉได้ทำปราสาทไว้แห่งหนึ่ง อยู่ริมแม่น้ำเจียงโหเป็นที่สบาย แล้วจัดเอาผู้หญิงรูปงามมาไว้เป็นอันมาก ด้วยมีน้ำใจกำเริบในมาตุคามอยู่ แล้วรู้ว่านางเกียวก๊กโล่ อยู่ ณ เมืองกังตั๋ง มีบุตรหญิงสองคนรูปร่างงามหาหญิงใดเสมอมิได้ โจโฉมีน้ำใจผูกพันอยู่ ได้ว่าไว้ว่าถ้ารบเมืองกังตั๋งได้แล้ว จะรับเอาหญิงสองคนนี้ไว้เป็นที่บำเรอของตัว ถึงมารตว่าจะตายไปก็มิพะวักพะวนน้ำใจ ซึ่งโจโฉยกทหารมาถึงร้อยหมื่นนี้ ก็เพราะปรารถนาหญิงสองคนเป็นเค้ามูล……..”

จิวยี่ก็ถามว่ามีสิ่งใดเป็นสำคัญ ขงเบ้งก็ว่า โจโฉได้ผูกเป็นโคลงไว้ มีใจความว่า

“……..ปรัศน์ซ้ายขวาซึ่งเราทำไว้ ชื่อว่าหยกหลงกับกิมฮอง ข้าจะกอดนางสองเกี้ยวไว้ทั้งซ้ายขวา ให้มีความสุขทุกเวลา มิให้อนาทรเลย…….”

จิวยี่ได้ฟังออกชื่อนางสองเกี้ยวดังนั้น ก็โกรธดังเอาเพลิงเข้าไปจุดในหัวใจ จึงลุกขึ้นชี้มือไปทางทิศเหนือตรงเมืองเกงจิ๋ว ร้องว่าอ้ายศัตรูเฒ่าโอหังเจรจาประมาทกูเล่น ว่าแล้วก็ตัดสินใจที่จะรบกับโจโฉให้แตกหักทันที

ความลับที่ขงเบ้งเอาไปเปิดเผย จนจิวยี่โกรธจนตัวสั่นนี้เป็นความจริง เพราะโจโฉเองก็ได้เปิดเผยด้วยตนเอง ในคืนวันหนึ่งบนเรือธงของโจโฉ ที่เตรียมพร้อมจะเข้าตีเมืองกังตั๋งในวันรุ่งขึ้น ซึ่งโจโฉเลี้ยงดูแม่ทัพนายกองของตนจนได้ที่ดีแล้ว ก็ลุกขึ้นกล่าวปราศรัยแก่ทหารทั้งปวงว่า

“……อันอายุเรานี้ก็ได้ห้าสิบปีแล้ว แม้ได้เมืองกังตั๋งก็จะมีความยินดีอยู่หน่อยหนึ่ง ด้วยแต่ก่อนนั้นเรารู้จักกับนางเกียวก๊กโล่ แลนางเกียวก๊กโล่มีบุตรหญิงสองคน รูปร่างงามกว่าหญิงทั้งปวง เราคิดพอใจอยู่ แต่ว่าเผอิญให้พลัดไปเป็นภรรยาซุนเซ็กคนหนึ่ง เป็นภรรยาจิวยี่คนหนึ่ง เมื่อเราไปรบได้เมืองกิจิ๋วนั้น เราให้สร้างเมืองใหม่ทำปราสาทไว้ที่ริมแม่น้ำเจียงโห ครั้งนี้ถ้าเราได้เมืองกังตั๋ง เราจะพาหญิงสองคนนี้ไปอยู่ ณ ปราสาทเมืองกิจิ๋ว จะได้ปรนนิบัติเราให้เป็นที่ชอบใจ กว่าจะสิ้นชีวิตในที่นั้น……..”

เรื่องก็เป็นที่กระจ่างแจ้งแล้วว่า เหตุใดจิวยี่จึงตัดสินใจรบกับโจโฉ ทั้ง ๆ ที่มีกำลังพลน้อยกว่าถึงยี่สิบเท่า ส่วนที่ว่านางเป็นบุตรหญิงของ นางเกียวก๊กโล่ นั้น มีอยู่ในฉบับของท่าน เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เท่านั้น ส่วนฉบับอื่น ๆ ที่แปลมาจากภาษาจีนโดยตรง หรือแปลมาจากภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลมาจากภาษาจีนอีกทอดหนึ่งนั้น ยืนยันว่าเกียวก๊กโล่เป็นผู้ชาย

นางแซ่เกียวทั้งสองนั้น จะเป็นบุตรีของใครก็ช่างเถิด แต่ก็สามารถทำให้เมือง กังตั๋งเอาชนะโจโฉได้อย่างเด็ดขาด เป็นที่เลื่องลือกันมานับพันปี โดยอาศัยแต่เพียงชื่อของนางทั้งสองนี้เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่นางเองก็ไม่ได้ออกมามีบทบาท หรือปรากฎตัวออกมาทำอะไรในเรื่องสามก๊กเลยแม้แต่น้อย.

############




 

Create Date : 26 เมษายน 2559    
Last Update : 26 เมษายน 2559 14:11:56 น.
Counter : 687 Pageviews.  

นางผู้รักลูกยิ่งชีวิต (๒)

สามก๊กฉบับฮูหยิน

นางผู้รักลูกยิ่งชีวิต

ตอนที่ ๒ กรรมของสองแม่ลูก

"เล่าเซี่ยงชุน"

เมื่อ เล่าปี่ กลับไปรักษาเมืองซินเอี๋ยนั้น โจโฉ ก็ให้ แฮหัวตุ้น คุมพลสิบหมื่นมาตีเมืองซินเอี๋ย แต่ผลปรากฎว่าถูกเล่าปี่และ ขงเบ้ง ที่ปรึกษากับ กวนอู เตียวหุย จูล่ง สามทหารเสือดักโจมตีที่ทุ่งพกบ๋องนอกเมืองซินเอี๋ย จนแตกพ่ายไปอย่างยับเยิน

โจโฉจึงต้องยกทัพใหญ่มีกำลังพลห้าสิบหมื่น มาตีเมืองซินเอี๋ยด้วยตนเอง

คราวนี้เล่าเปียวได้ข่าวก็ตกใจล้มป่วยลง และให้ตามตัวเล่าปี่มาหาที่เมืองเกงจิ๋ว และออกปากฝากฝังบ้านเมืองว่า

".....ตัวเราทุกวันนี้เป็นไม้ใกล้ฝั่ง นับวันอยู่แต่จะตาย ซึ่งให้หาท่านมาบัดนี้ หวังจะฝากเมืองเกงจิ๋วแก่ท่าน ด้วยว่าบุตรเรานี้ สติปัญญาก็อ่อนนัก แม้ว่าบุญเราหาไม่ จะรักษาบ้านเมืองสืบไปเห็นจะขัดสน ตัวท่านเป็นผู้ใหญ่มีสติปัญญา จงช่วยรักษาบ้านเมืองไว้ อย่าให้เป็นอันตรายไปแก่ผู้อื่นเลย....."

เล่าปี่ก็คำนับแล้วร้องไห้ว่า

"....ตัวข้าพเจ้าทุกวันนี้ มีความสุจริตต่อท่านด้วยกตัญญูมิได้คิดสิ่งไร ถึงว่าท่านจะหาบุญไม่ก็ดี ข้าพเจ้าจะช่วยทำนุบำรุงบุตรท่านทั้งสองสืบไป....."

แม้ว่าเล่าปี่จะนอบน้อมถ่อมตนต่อเล่าเปียวผู้อาวุโส แต่นางชัวฮูหยินที่แอบฟังความอยู่ก็น้อยใจว่า เล่าเปียวนั้นรักเล่าปี่มากกว่าบุตรภรรยา จะยกบ้านเมืองให้ หามีความเอ็นดูต่อบุตรของตนเองไม่

เมื่อเล่าปี่ขอลาไปป้องกันเมืองซินเอี๋ยแล้ว นางจึงให้ ชัวมอ น้องชายกับ เตียวอุ๋น ผู้เป็นที่ไว้วางใจ คอยดูแลตรวจตราที่พักของเล่าเปียว มิให้ผู้ใดเข้ามาหาถึงตัวได้อีก

ฝ่ายเล่ากี๋ซึ่งไปอยู่ที่เมืองกังแฮได้ข่าวว่าบิดาป่วยหนักก็รีบมาเยี่ยม แต่ ชัวมอกับเตัยวอุ๋นไม่ยอมให้เข้าไปพบอ้างว่า

"...ตัวท่านนี้บิดาให้ไปอยู่รักษาเมืองกังแฮ มิได้ให้หามา แลท่านทิ้งเมืองเสียฉะนี้ แม้ซุนกวนรู้จะยกกองทัพจู่มาตีเอา เมืองกังแฮนั้น จะมิเสียหรือ อนึ่งบิดาท่านป่วยหนักอยู่ ซึ่งท่านจะเข้าไปบัดนี้ ก็เห็นว่าบิดาท่านจะโกรธ ว่าทิ้งเมืองเสีย โรคนั้นก็จะกำเริบขึ้น เหลือกำลังก็จะถึงแก่ความตาย เหมือนท่านเอายาพิษมาเจือเข้าอีก....."

เล่ากี๋ได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ ขึ้นม้ากลับไปด้วยความเสียใจ

ตัวเล่าเปียวนั้นก็ป่วยหนักลงทุกวัน คอยบุตรชายคนโตก็ไม่เห็นมาจนถึงเดือนสิบขึ้นสามค่ำ ก็ถึงแก่ความตาย นางชัวฮูหยินก็ปรึกษากับชัวมอเตียวอุ๋น ทำหนังสือเป็นลายมือของเล่าเปียวมีความว่า แม้ตนเองหาบุญไม่แล้ว ก็ให้ เล่าจ๋อง บุตรของนาง ชัวฮูหยิน รักษาแผ่นดินเมืองเกงจิ๋วสืบไป

แล้วนางชัวฮูหยินก็เรียกประชุมขุนนางน้อยใหญ่ และเอาหนังสือปลอมนั้นให้ดู พวกขุนนางทั้งปวงก็ไม่มีใครคัดค้าน เล่าจ๋องมีอายุได้สิบสี่ปี มีความคิดสติปัญญาดี จึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า

".....บิดาเราหาบุญไม่แล้ว เล่าปี่ผู้อาเรา และเล่ากี๋ผู้พี่ก็ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งท่านทั้งปวงจะตั้งเราเป็นใหญ่นั้นไม่ควร ถ้าแลเล่าปี่เล่ากี๋มีความน้อยใจ จะยกกองทัพมาทำอันตรายเรา ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านประการใด....."

ลีกุ๋ย ซึ่งเป็นขุนนางพลเรือนก็ว่า

".....ท่านว่านี้ชอบนักต้องด้วยประเพณีโบราณสืบมา ขอให้ท่านแต่งหนังสือไปเชิญเล่ากี๋ผู้พี่ มาเป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋ว แล้วให้ เชิญเล่าปี่มาช่วยคิดอ่านกิจการทั้งปวง จะได้ป้องกันซุนกวนแลโจโฉสืบไป....."

ชัวมอก็ตวาดเอาว่า

".....เล่าเปียวจะตายก็เขียนหนังสือให้ไว้เป็นสำคัญ เราท่านทั้งปวงก็เป็นผู้ใหญ่ช่วยกันคิดอ่านทำนุบำรุงอยู่ แลซึ่งจะให้มีหนังสือไปเชิญ เล่ากี๋เล่าปี่มานั้น คนทั้งสองนี้จะมีสติปัญญาความคิดมาเป็นประการใด....."

ลีกุ๋ยขัดใจก็ด่าชัวมอว่า

".....เป็นคนหาปัญญามิได้ ไม่กระทำตามขนบธรรมเนียมแต่ก่อนจัดแจงเอาเองตามอำเภอใจฉะนี้ จะทำให้แผ่นดินเมืองเกงจิ๋ว แลหัวเมืองทั้งเก้านี้เป็นอันตรายยิ้ม แลตกอยู่ในเงื้อมมือผู้อื่นเป็นมั่นคง แค้นใจด้วยท่านผู้มีวาสนาซึ่งตายไปนั้น มิมาหักคอเอาไปเสียเลย....."

ชัวมอก็โกรธจึงสั่งให้เอาตัวลีกุ๋ยไปประหารเสีย ลีกุ๋ยก็ด่าช้วมอไม่ขาดปาก จนทหารลงดาบขาดใจตายไป

ชัวมอก็ตั้งเล่าจ๋องขึ้นเป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋วสืบแทนเล่าเปียวและแต่งตั้ง
สมัครพรรคพวกแซ่เดียวกันขึ้นเป็นใหญ่ ทั้งทหารและพลเรือนทุกตำบล แล้วให้อยู่รักษาเมืองเกงจิ๋ว ส่วนตนเองพานางชัวฮูหยินกับเล่าจ๋องไปอยู่ที่เมืองซงหยง เพื่อป้องกันมิให้ เล่าปี่และเล่ากี๋ยกมาตีเมืองเกงจิ๋ว

แต่ปรากฎว่ากองทัพโจโฉมาถึงก่อน เล่าจ๋องก็ตกใจปรึกษากับชัวมอแล ขุนนางทั้งปวงว่าจะทำประการใด ฮูสวน ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ก็ว่า

"....นี่หากว่าโจโฉยกทัพมา ท่านจึงรู้จักสำนึกตัวกลัวอันตราย ถึงมารตโจโฉไม่ยกมา ดีร้ายเล่าปี่กับเล่ากี๋ก็จะยกมาเป็นมั่นคง เพราะท่านทำการละเมิดแต่ตามอำเภอใจ มิได้บอกให้เล่าปี่กับเล่ากี๋รู้ด้วย แม้เล่าปี่เล่ากี๋มีความน้อยใจ จะยกกองทัพมาตีกระหนาบเข้า เห็นท่านจะได้ความเดือดร้อน กลอุบายของข้าพเจ้ามีอยู่ประการหนึ่ง แม้ท่านกระทำตาม ชาวเมืองทั้งปวงก็จะไม่มีอันตราย ทั้งตัวท่านก็จะได้ครองเมืองเป็นสุขสืบไป....."

เล่าจ๋องก็ถามว่าอุบายนั้นคืออย่างไร ฮูสวนก็บอกว่า

"....ขอให้ท่านยกเมืองเกงจิ๋ว กับทั้งเก้าหัวเมืองนี้ให้แก่โจโฉ เห็นโจโฉจะมีความยินดีก็จะชุบเลี้ยงให้มีความสุข...."

เล่าจ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่า

"....บิดาเราถึงแก่ความตาย บัดนี้เราได้ครองเมืองยังมิทันใดแลท่านมาคิดอ่านจะให้เราเอาเมืองไปให้แก่โจโฉนั้นเพราะเหตุสิ่งใด....."

เก๊งอวด ขุนนางอีกคนหนึ่งก็ว่า

"...อันฮูสวนว่านี้ชอบนัก เพราะเกิดมาเป็นคน จำจะรู้จักที่หนักที่เบาจึงควร แลทุกวันนี้โจโฉได้เป็นมหาอุปราชมีน้ำใจกำเริบ จะทำการสิ่งใดก็ถือเอารับสั่ง พระเจ้าเหี้ยนเต้ เป็นประมาณ เที่ยวปราบปรามได้บ้านเมืองเป็นอันมาก บัดนี้ท่านก็พึ่งตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ แต่การภายในพี่น้องของท่านก็ยังไม่ปกติกัน ซึ่งจะคิดอ่านทำศึกภายนอกนั้นเห็นไม่ควร แม้โจโฉยกมาถึงแล้ว อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็จะกลัว และชวนกันหนีไปเข้าด้วยโจโฉสิ้น เห็นท่านจะสู้ไม่ได้....."

เล่าจ๋องก็เสียงอ่อนลงว่า

"...ซึ่งท่านว่านี้ชอบอยู่แล้ว แต่ว่าบิดาเรามอบเมืองไว้ยังมิทันไร จะยกให้ผู้อื่นเสียนั้น ก็เหมือนหนึ่งเรารักษาทรัพย์มรดกของบิดามิได้ จะมิเป็นที่ครหานินทาติเตียนแก่เราหรือ....."

อองซัน ที่ปรึกษาอีกคนหนึ่งก็ว่า

".....อันฮูสวนกับเก๊งอวดว่านั้นชอบนัก เหตุใดท่านจึงไม่ทำตาม ท่านประมาณใจท่านเห็นจะสู้โจโฉได้อยู่หรือ บัดนี้โจโฉก็มีที่ปรึกษาแลทหารมีฝีมือเป็นอันมาก แต่ ลิโป้ กับ อ้วนเสี้ยว อ้วนสุด ซึ่งมีสติปัญญาแลกำลัง โจโฉยังรบพุ่งทำอันตรายกำจัดเสียได้ แล้วมีใจกำเริบขึ้นเป็นอันมาก บัดนี้โจโฉยกมา กำจัดหัวเมืองฝ่ายใต้ ซึ่งท่านจะคิดอ่านสู้รบมิได้อ่อนน้อมต่อโจโฉนั้น นานไปท่านจึงจะรู้จักสำนึก เพราะท่านมิได้ฟังคำคนทั้งปวง....."

เล่าจ๋องได้ฟังขุนนางผู้ใหญ่ทั้งหลายพากันพูดเป็นเสียงเดียว ก็จนปัญญา แต่บ่ายเบี่ยงขอไปปรึกษามารดาก่อน พอดีนางชัวฮูหยินเดินออกมาจากที่ข้างใน จึงว่าแก่บุตรชายว่า

".....ท่านทั้งสามปรึกษาเห็นชอบพร้อมกันแล้วจึงว่ากล่าวทั้งนี้ เจ้าจะกลับเอาเนื้อความมาปรึกษาแม่ใยเล่า เจ้าจงประพฤติตามที่ชอบนั้นเถิด....."

เล่าจ๋องก็เชื่อฟังมารดาให้เขียนหนังสือไปขออ่อนน้อมต่อโจโฉ พอโจโฉยกมาถึงแดนเมืองอ้วยเซียได้รับหนังสือนั้นก็มีความยินดี แต่ให้เล่าจ๋องออกมาคำนับตามประเพณีก่อน แล้วจะช่วยทำนุบำรุงให้เป็นสุขสืบไป

ขณะนั้นเล่าปี่ได้ทราบข่าวว่าเล่าเปียวถึงแก่ความตาย เล่าจ๋องได้ขึ้นเป็นใหญ่แล้วคิดอ่านกับชัวมอและนางชัวฮูหยิน จะยกเมืองเกงจิ๋วให้โจโฉ ก็คิดจะรบกับโจโฉเพื่อชิงเอาเมืองเกงจิ๋วไว้ จึงยกกองทัพไปตีโจโฉที่เมืองอ้วนเซียจน โจหยิน ทหารเอกที่เป็นญาติของโจโฉแตกพ่ายไปอีก โจโฉจึงยกกองทัพใหญ่ของตนเข้าตีเล่าปี่ที่เข้ายึดเมืองอ้วนเซียไว้ เล่าปี่เห็นว่ากำลังของตนน้อยกว่าก็ถอยไปทางเมืองซงหยง แต่เข้าไม่ได้เพราะชัวมอขัดขวางไว้ เกิดการรบพุ่งเป็นจลาจลไปทั่วเมือง เล่าปี่จึงต้องถอยต่อไป หวังจะตั้งหลักที่เมืองกังแฮ

โจโฉก็ตามมาถึงเมืองซงหยง ชัวมอกับเตียวอุ๋นก็ออกไปต้อนรับโจโฉที่ นอกเมือง โจโฉจึงแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพเรือ และให้พาเล่าจ๋องออกมาคำนับตามที่ตกลง เช้าวันรุ่งขึ้น เล่าจ๋องกับนางชัวฮูหยิน ก็จัดแจงเครื่องบรรณาการ ออกไปคำนับพาโจโฉ เข้าเมืองซงหยงและมอบตราสำหรับตำแหน่งให้ด้วย โจโฉก็ตั้งให้เก๊งอวดเป็นเจ้าเมือง กังเหลง ให้ฮูสวนกับอองซันเป็นขุนนางผู้ใหญ่ และให้เล่าจ๋องเป็นเจ้าเมืองเฉงจิ๋ว

เล่าจ๋องรู้ว่าต้องจากบ้านเมืองของตนไปก็อ้อนวอนว่า

".....ซึ่งท่านจะตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นเจ้าเมืองเฉงจิ๋วนั้น คุณมหาอุปราชหาที่สุดมิได้ ซึ่งข้าพเจ้าอุตส่าห์ออกมาคำนับท่านทั้งนี้ ใช่จะมีความปรารถนาเป็นเจ้าบ้านผ่านเมืองนั้นหามิได้ ข้าพเจ้าจะขอเป็นแต่ไพร่อยู่ในเมืองเกงจิ๋วนี้ จะได้รักษาศพของบิดา แลญาติทั้งปวงตามประเพณี ขอท่านได้กรุณาแก่ข้าพเจ้าเถิด....."

โจโฉก็ว่าเมืองเฉงจิ๋วนั้นอยู่ใกล้เมืองหลวง จะได้เฝ้าแหน พระเจ้าเหี้ยนเต้ สะดวก และเมืองเกงจิ๋วนั้นเป็นชายแดนหน้าศึก ต่อไปจะได้รับความลำบาก เล่าจ๋องมีความกลัวโจโฉ ขัดมิได้ก็ต้องจำใจคำนับลา แล้วพามารดา
ไปเมืองเฉงจิ๋ว พร้อมด้วย อองอุ้ย ผู้จงรักภักดี

ส่วนพวกขุนนางทั้งปวงพากันมาส่งถึงฝั่ง ท่าน้ำแล้วก็กลับไปสิ้น

นางชัวฮูหยินกับบุตรชายเดินทางไปได้ไม่เท่าไร อิกิ๋ม ทหารเอกของโจโฉก็คุมทหารตามมาทัน แล้วร้องบอกว่า

"...บัดนี้มหาอุปราชใช้ให้เราตามมาฆ่าท่าน แม่ลูกทั้งสองเสีย ท่านอย่าวุ่นวายไปเลย จงนิ่งให้เราตัดศรีษะไปให้มหาอุปราชเสียโดยดีเถิด...."

นางชัวฮูหยินได้ฟังก็ตกใจกอดคอเล่าจ๋องร้องไห้กันระงม อองอุ้ยโกรธแค้น
แทนนาย ก็หันเข้าต่อสู้ขัดขวาง อิกิ๋มก็ให้ทหารจับตัวไปฆ่าเสีย แล้วก็ตัดศรีษะสองแม่ลูกไปให้โจโฉตามคำสั่ง

ชีวิตของมารดาที่รักบุตรมากเกินไป จนตัดสินใจผิดพลาด ไม่รู้จักแยกมิตรและศัตรู จึงต้องสิ้นชีพลงทั้งคู่ ด้วยฝีมือของข้าศึก ที่ไร้ความเมตตาปราณี เช่นนี้.

##########




 

Create Date : 26 เมษายน 2559    
Last Update : 26 เมษายน 2559 8:57:17 น.
Counter : 457 Pageviews.  

นางผู้รักลูกยิ่งชีวิต (๑)

สามก๊กฉบับฮูหยิน

นางผู้รักลูกยิ่งชีวิต (๑)

ญาติผู้พเนจร

"เล่าเซี่ยงชุน"

เมืองเกงจิ๋วซึ่งเป็นเมืองใหญ่ ที่อยู่ใกล้ชิดกับเมืองกังตั๋งในภาคใต้และ มีความสำคัญ ทางยุทธศาสตร์ของสามก๊กอย่างยิ่งนั้น เดิมเจ้าเมืองชื่อ เล่าเปียว เป็นญาติกับ เล่าปี่ ผู้กำลังร่อนเร่พเนจร เพื่อหาถิ่นฐานที่จะตั้งหลักเป็นใหญ่ในแผ่นดินอยู่ มีภรรยาคนแรกชื่อ นางต้านซี มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ เล่ากี๋ ต่อมาได้มีภรรยาอีกคนหนึ่งชื่อ นางชัวฮูหยิน มีบุตรชายอีกคนหนึ่งชื่อ เล่าจ๋อง

เมื่อเล่าปี่ยกพลไปตีเมืองฮูโต๋ แล้วพ่ายแพ้แก่ โจโฉ เมื่อ พ.ศ.๗๔๖ นั้น เล่าปี่ได้หนีมาอาศัยอยู่กับเล่าเปียวที่เมืองเกงจิ๋ว แล้วรับอาสาไปปราบขบถที่เมืองกังแฮ จึงมีความชอบมาก เล่าเปียวไว้ใจส่งสามทหารเสือของเล่าปี่คือ เตียวหุย ไปอยู่รักษาด่านเมืองลำอวดป้องกันพวกฮวน กับให้ กวนอู ไปรักษาด่านเมืองตังฉวน ป้องกัน เตียวฬ่อ และให้ จูล่ง ไปเฝ้าด่านทางเมืองกังตั๋งป้องกัน ซุนกวน ทางทิศใต้

ส่วนตัวเล่าปี่นั้นให้อยู่เป็นที่ปรึกษาในเมืองเกงจิ๋ว

นางชัวฮูหยินก็ไม่ค่อยไว้ใจเล่าปี่อยู่แล้วพอดี ชัวมอ น้องชายมาบอกว่า

"...บัดนี้เล่าเปียวเชื่อถือเล่าปี่ ให้ทหารเล่าปี่ทั้งสามคนนั้น คุมทหาร ออกไปตั้งอยู่ปลายแดนทั้งสามตำบล ตัวเล่าปี่นั้นอยู่ในเมือง นานไปข้าพเจ้าเห็นจะมีภัยมาถึงเล่าเปียวเป็นมั่นคง....."

พอถึงเวลาค่ำนางชัวฮูหยินก็หาโอกาสคุยกับเล่าเปียวว่า

"...ทุกวันนี้ ข้าพเจ้ารู้ข่าวว่าชาวเมืองเกงจิ๋วไปมาหาสู่เล่าปี่เป็นอันมาก ขอท่านเร่งระวังตัวจงหนัก หาไม่จงคิดอ่านให้เล่าปี่ไปอยู่รักษาเมืองอื่นซึ่งขึ้นแก่เมืองเราดีกว่า ถ้าท่านมิฟังข้าพเจ้า เห็นภัยจะมาถึงตัวท่าน....."

เล่าเปียวก็ตอบว่าอันเล่าปี่นั้นเป็นคนสัตย์ซื่อ มิได้คิดร้ายต่อเรา นางชัวฮูหยินก็ย้ำว่า

"....ซึ่งท่านจะประมาณใจเล่าปี่ว่าซื่อนั้น เกลือกเขาจะไม่ซื่อเหมือน ใจท่าน....."

เล่าเปียวเกรงใจภรรยาก็นิ่งอยู่ แต่ต่อมาไม่ช้าก็หาทางให้เล่าปี่ไปอยู่เสียที่เมืองซินเอี๋ย ตามที่นางชัวฮูหยินแนะนำ

เล่าปี่ไปอยู่เมืองซินเอี๋ยได้สี่ปี นางกำฮูหยิน ภรรยาใหญ่ก็ได้คลอดบุตรเป็นชายชื่อ อาเต๊า พอรู้ข่าวว่าโจโฉยกทัพไปปราบ อ้วนเสี้ยว ทางทิศเหนือเล่าปี่ก็เข้ามาปรึกษากับเล่าเปียวที่เมืองเกงจิ๋ว ให้ยกทัพไปตีเมืองฮูโต๋อีก แต่เล่าเปียวยังไม่อยาก ให้ไพร่พลเดือดร้อน จึงไม่ตกลงด้วย

ต่อมาได้ข่าวว่าโจโฉมีชัยชนะต่ออ้วนเสี้ยว และจะยกทัพมาตีเมืองเกงจิ๋ว จึงเรียกเล่าปี่มาปรึกษาอีก นางชัวฮูหยินก็คอยแอบฟังอยู่หลังมู่ลี่ตามเคย เมื่อกินโต๊ะเสพสุรากันอยู่นั้น เล่าเปียวก็ร้องไห้ เล่าปี่จึงถามว่าเหตุใดจึงโศกเศร้า เล่าเปียวก็ว่า ความทุกข์นั้นใหญ่หลวงนัก เล่าปี่ก็ขอให้บอกถ้าช่วยได้ก็จะได้ช่วย เล่าเปียวจึงบอกว่า

".....นางต้านซีภรรยาของเราซึ่งตายนั้น มีบุตรอยู่คนหนึ่งชื่อเล่ากี๋ ปัญญานั้นเฉลียวฉลาดอยู่ แต่เป็นคนใจเย็น เห็นจะคิดการสิ่งใดไม่ตลอด แลเล่าจ๋องบุตร นางชัวฮูหยิน ซึ่งเป็นภรรยาเราทุกวันนี้ มีสติปัญญาฉลาด จะคิดสิ่งใดก็หนักแน่น ดีกว่า เล่ากี๋ผู้พี่ บัดนี้เราคิดว่าจะให้เล่าจ๋องเป็นเจ้าเมืองแทนเรา แต่เกรงอยู่ว่าจะผิดธรรมเนียมโบราณ คนทั้งปวงจะครหานินทาได้ ครั้นจะตั้งเล่ากี๋ผู้พี่ให้เป็นเจ้าเมืองตามประเพณีเล่า ก็เกรงอยู่ว่าญาติพี่น้องนางชัวฮูหยิน ซึ่งเป็นขุนนางอยู่ในเมืองนี้ก็หลายคน แล้วให้คุมทหารอยู่เป็นอันมาก เกลือกเราถึงแก่ความตายแล้ว คนทั้งนี้จะคิดทำร้ายเล่ากี๋เสีย เหตุดังนี้เราจึงว่ามีทุกข์ใหญ่หลวง....."

เล่าปี่ก็ว่า

"....อันท่านจะให้บุตรน้อยเป็นเจ้าเมืองก่อนบุตรผู้ใหญ่นั้น ไม่ควร ซึ่งเกรงว่าญาติพี่น้องนางชัวฮูหยินจะทำร้ายเล่ากี๋นั้นท่านจงค่อยคิดอ่านผ่อนกำลัง คนเหล่านี้เสียให้เบาบาง แล้วจึงตั้งเล่ากี๋เป็นเจ้าเมืองแทน ก็จะไม่มีอันตราย....."

เล่าเปียวก็เห็นด้วย ทั้งสองเสพสุราต่อไปเล่าปี่ก็เมามากขึ้น จึงคุยโวโอ้อวดว่าจะปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวงให้สิ้น ครั้นรู้สึกตัวว่าพูดมากก็ขอลากลับไปที่พัก

ฝ่ายนางชัวฮูหยินแอบฟังอยู่ ได้ความว่าเล่าปี่ไม่เข้าข้างลูกของตน ก็มีความโกรธ พอเล่าปี่ไปแล้วเล่าเปียวกลับมาที่ข้างใน นางก็ยุเล่าเปียวว่า

".....เมื่อกี้นี้เล่าปี่พูดจาหยาบช้าดูหมิ่นหัวเมืองทั้งปวง แลตัวท่านก็เป็นเจ้าเมืองใหญ่อยู่ตำบลหนึ่ง ซึ่งเล่าปี่ว่ากล่าวทั้งนี้ ท่านเห็นประจักษ์แล้วหรือ นานไปเล่าปี่จะคิดเอาเมืองเกงจิ๋ว อันตรายจะมีมาถึงท่าน ขอให้เร่งคิดกำจัดเล่าปี่เสีย ท่านจึงจะพ้นภัย....."

เล่าเปียวก็นิ่งเฉยเสียอีก

นางชัวฮูหยินจึงให้คนใช้ไปตามชัวมอมาปรึกษาชัวมอก็ว่าอย่าวิตกเวลานี้เล่าปี่กำลังเมาอยู่ จะรีบไปฆ่าเสียแล้วจึงค่อยกลับมาแจ้งแก่เล่าเปียว นางชัวฮูหยินก็เร่งให้น้องชายไปจัดการโดยเร็ว

แต่เมื่อไปถึงที่พักของเล่าปี่ในเวลาประมาณสองยามก็ปรากฎว่าเล่าปี่ได้หนีกลับไปเมืองซินเอี๋ยเสียแล้ว ชัวมอจึงแค้นเป็นอันมาก แกล้งเขียนโคลงสี่บทไว้ที่ฝาผนังตึกข้างที่นอนของเล่าปี่ แล้วรุ่งเช้าก็พาเล่าปี่ไปดูโคลงนั้นมีความว่า

สู้จำใจทุกข์ทรมานเป็นหลายปี ตั้งใจคิดการจะเอาราชสมบัติ ธรรมดาชาติมังกรซึ่งจะอยู่ในสระและห้วยหนองนั้นไม่ได้ ถ้าได้ทีแล้วก็จะขึ้นไปสำแดงฤทธิ์บนอากาศ

ทีแรกเล่าเปียวอ่านแล้วก็โกรธเป็นอันมาก แต่ก็กลับคิดได้ว่า เล่าปี่นั้นไม่มีความรู้พอที่จะเขียนคำโคลงได้ จึงเห็นว่าเป็นอุบายของผู้ที่เกลียดชังเล่าปี่ ก็มิได้ทำประการใด ชัวมอก็นำความมาเล่าให้นางชัวฮูหยินฟัง นางก็ให้หาหนทางอื่นต่อไป

ต่อมาใกล้จะถึงวันขึ้นปีใหม่ ชัวมอก็บอกกับเล่าเปียว ให้เตรียมตัวที่จะไปต้อนรับและให้โอวาท แก่เจ้าเมืองขึ้นที่จะมาประชุมกันที่เมืองซงหยง ตามประเพณี เล่าเปียวก็ว่าป่วยอยู่จะให้เล่ากี๋กับเล่าจ๋องไปต้อนรับแทน ชัวมอก็แย้งว่าบุตรทั้งสองยังอ่อนแก่ความคิด ไม่ควรจะให้ไปคอยรับขุนนางผู้ใหญ่ เล่าเปียวจึงให้เชิญเล่าปี่มาแทนตน ชัวมอก็ยินดีรีบแต่งคนไปแจ้งให้เล่าปี่ทราบ

พอถึงวันขึ้นปีใหม่เล่าปี่ก็มาที่เมืองซงหยง พร้อมด้วยจูล่งทหารเอก กับพลทหารอีกสามร้อยคน เพื่อเป็นประธานต้อนรับเจ้าเมืองที่มาประชุมกัน ซึ่งมีเจ้าเมืองโทเก้าเมืองเจ้าเมืองตรีจัตวาสี่สิบสองหัวเมือง

ชัวมอก็ให้น้องชายสามคนคือ ชัวโฮ คุมทหารไปดักตรงประตูทิศตะวันออก ชัวต๋ง คุมทางประตูทิศใต้ ชัวหุน คุมประตูทิศเหนือคงเหลือแต่ประตูทิศตะวันตก ซึ่งมีแม่น้ำตันเขขวางอยู่

พอประชุมเสร็จก็มีการเลี้ยงโต๊ะกันตามธรรมเนียม ชัวมอก็ให้ทหารห้าร้อยคน ล้อมที่กินเลี้ยงไว้

ขณะที่กินเลี้ยงนั้น จูล่งก็ถือกระบี่คอยรักษาเล่าปี่อยู่ ชัวมอก็ให้ขุนนาง มาเชิญจูล่งออกไปกินโต๊ะข้างนอก แม้จูล่งจะอิดเอื้อน แต่เล่าปี่ก็ออกปากอนุญาตให้ไปได้
ชัวมอก็รอเวลาให้เล่าปี่เมาสุรา แล้วจะได้จับตัวฆ่าเสีย แต่มีผู้หวังดีต่อเล่าปี่แอบกระซิบ ให้เล่าปี่ลอบหนีออกทางด้านหลังไปเสีย ก่อนที่ชัวมอจะลงมือ

เล่าปี่ควบม้าไปทางประตูทิศตะวันตกแต่ผู้เดียว นายประตูก็มาแจ้งให้ชัวมอทราบ จึงรีบพาทหาร ตามไปประมาณสามสิบเส้น ถึงริมฝั่งแม่น้ำตันเข ก็เห็นเล่าปี่ขี่ม้าข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้ามแล้ว ทั้ง ๆ ที่แม่น้ำนั้นกว้างประมาณสิบวาน้ำก็ลึกมาก ชัวมอตามไปไม่ได้ ก็ตะโกนถามว่าเหตุใดจึงไม่อยู่กินโต๊ะจะรีบไปไหน

เล่าปี่ก็ตอบว่าชัวมอคิดร้ายจะฆ่าตนจึงหนีมาเสีย ชัวมอก็ชักลูกเกาทัณฑ์
ออกจะยิง เล่าปี่จึงควบม้าหนีต่อไปทางทิศตะวันตก ชัวมอคิดว่าชรอยเทพยดาจะช่วยให้เล่าปี่ข้ามแม่น้ำไปได้ จึงไม่คิดจะติดตามไปอีก

เมื่อเล่าปี่กลับไปถึงเมืองซินเอี๋ยแล้ว ก็ให้ ซุนเขียน ถือหนังสือมาถึงเล่าเปียวมีความว่า

"....ซึ่งท่านให้หาข้าพเจ้ามากินโต๊ะรับคำนับขุนนาง ข้าพเจ้าก็ได้มา และขณะเมื่อเลี้ยงโต๊ะกันอยู่นั้น ชัวมอคิดจะทำร้ายข้าพเจ้า หากข้าพเจ้าหนีได้จึงพ้นจากอันตราย แลเหตุผลทั้งนี้ข้าพเจ้ามิได้ทันจะแจ้งแก่ท่าน ด้วยจะรีบหนีเอาตัวรอด...."

เล่าเปียวอ่านแล้วก็โกรธ ให้เรียกตัวชัวมอมาด่าว่า

"....บังอาจ คิดจะฆ่าเล่าปี่ผู้น้องกูเสียตามอำเภอใจ หามีความยำเกรงไม่....."

แล้วก็สั่งให้ทหารเอาตัวไปประหารเสีย

ขณะนั้นนางชัวฮูหยินรู้เรื่องจึงรีบออกมาขอร้องว่า

"..ซึ่งชัวมอบังอาจ ทำการทั้งนี้ โทษก็ผิดอยู่แล้ว ท่านจะให้เอาไปฆ่าเสียนั้นก็ควรอยู่ แต่ข้าพเจ้าจะขอโทษไว้สักครั้งหนึ่งก่อน....."

เล่าเปียวเกรงใจภรรยาก็นิ่งอยู่ ซุนเขียนจึงพูดเป็นเชิงไมตรีว่า

".....ชัวมอทำผิดท่านจะให้ประหา ชีวิตเสียนั้นก็ชอบอยู่ แต่ว่าข้าพเจ้าพิเคราะห์เห็นว่า ถ้าชัวมอตายแล้วเล่าปี่จะอยู่ในแว่นแคว้นของท่านก็คงไม่มีความสุข ซึ่งเอ็นดูเล่าปี่นั้นก็เหมือนหาประโยชน์ไม่....."

เล่าเปียวก็เห็นชอบด้วย จึงได้แต่คาดโทษชัวมอไว้ครั้งหนึ่ง แล้วก็ให้เล่ากี๋บุตรคนโตไปเมืองซินเอี๋ยกับซุนเขียน เพื่อขอขมาเล่าปี่แทนตน

ปีต่อมาเมื่อ โจโฉ ปราบ อ้วนเสี้ยว ผู้ยิ่งใหญ่ในภาคเหนือ เรียบร้อยลงแล้ว ก็ยกกองทัพมุ่งลงมาทางใต้ ตั้งใจจะตีดะตั้งแต่เมืองซินเอี๋ยไปจนถึงเมืองเกงจิ๋ว และเมืองกังตั๋งของ ซุนกวน

เล่าเปียว ก็เชิญ เล่าปี่ มาปรึกษา และจะให้เข้ามาช่วยว่าราชการในเมืองเกงจิ๋วด้วย แต่เล่าปี่ก็ปฏิเสธและออกอุบายให้ เล่ากี๋ บุตรชายคนโตของเล่าเปียว ไปรักษาเมืองกังแฮให้พ้นภัยจาก นางชัวฮูหยิน มารดาเลี้ยง แล้วตนเองก็ขอลากลับไปรักษาเมืองซินเอี๋ยตามเดิม

นางชัวฮูหยินจึงต้องหาโอกาสใหม่ เพื่อกำจัดเล่าปี่ญาติผู้พเนจร มิให้เป็นก้างขวางทางขึ้นเป็นใหญ่ ของบุตรอันเป็นที่รักแห่งตน ให้จงได้.

##########




 

Create Date : 25 เมษายน 2559    
Last Update : 25 เมษายน 2559 9:43:57 น.
Counter : 280 Pageviews.  

นางผู้ไม่รู้คุณสามี

สามก๊กฉบับฮูหยิน

นางผู้ไม่รู้คุณสามี

" เล่าเซี่ยงชุน "

เมื่อครั้งที่มีผู้คิดจะปฏิวัติรัฐประหาร ล้มล้างรัฐบาลของมหาอุปราชแซ่โจ ซึ่งกระทำการหยาบช้าต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ อันมีอยู่ด้วยกันเจ็ดคนนั้น เป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนห้าคน ก็ถูก โจโฉ จับได้ให้เอาตัวไปประหารชีวิต พร้อมด้วยพรรคพวกลูกเมียทั้งหลาย หมดสิ้นเสี้ยนหนามไปแล้ว เล่าปี่ ก็หนีไปตั้งหลักที่เมืองชีจิ๋ว ไม่ได้หวนกลับมาเมืองฮูโต๋อีกเลย อีกคนหนึ่งก็คือ ม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียง ซึ่งเป็นเมืองบ้านนอกอยู่ไกลออกไปจากเมืองหลวงมาก และหนทางก็ทุรกันดาร โจโฉจึงยังไม่ได้คิดบัญชี

จนกระทั่งไปรบเมืองกังตั๋งแล้วเสียท่า จิวยี่ ถึงขั้นแตกทัพ แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ต้องกลับมาตั้งหลักที่เมืองฮูโต๋ใหม่ จนมีกำลังเข้มแข็ง เพียงพอที่จะยกทัพไปแก้แค้นเมืองกังตั๋งได้แล้ว โจโฉก็เกิดคิดขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้จัดการกับม้าเท้ง จึงมีหนังสือรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้แต่งตั้งให้ม้าเท้งเป็นนายทหารใหญ่ฝ่ายใต้ และจะให้ยกกองทัพไปรบ ซุนกวน ที่เมืองกังตั๋ง แต่ให้เข้ามาร่วมปรึกษาราชการที่เมืองฮูโต๋ ซึ่งเป็นเมืองหลวงอยู่ในขณะนี้ก่อน

ม้าเท้งก็ให้ ม้าเฉียว บุตรชายคนโต กับ หันซุย เพื่อนสนิท อยู่รักษาเมืองเสเหลียง ส่วนตนเองพร้อมด้วย ม้าฮิว ม้าเทียด ลูกชายอีกสองคน กับ ม้าต้าย หลานชาย คุมทหารห้าพันมาฟังความดูก่อน เมื่อยกพลมาจนอีกสองร้อยเส้น จะถึงเมืองหลวง ก็หยุดทัพรออยู่

โจโฉก็ให้ อุยกุ๋ย ขุนนางผู้หนึ่ง ออกไปบอกม้าเท้งว่า ม้าเท้งยกทหารมาเป็นอันมาก จะเข้ามาในเมืองนั้นให้แต่ตัวม้าเท้งกับนายทหารผู้ใหญ่ เข้ามาเฝ้า พระเจ้าเหี้ยนเต้ แลทหารทั้งปวงนั้นมาทางไกล เห็นจะขัดสนเสบียงอาหาร ให้หยุดอยู่ภายนอกนั้นเถิด พรุ่งนี้จะเอาเสบียงไปส่งให้

อุยกุ๋ยก็ออกไปหาม้าเท้งที่ค่ายพัก เมื่อคำนับกันแล้วม้าเท้งก็จัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดูตามธรรมเนียม อุยกุ๋ยกินสุราจนเมาตึงตัวแล้วจึงคุยว่า

"....บิดาเราชื่อ อุยอ๋วน ตายเสียเมื่อครั้ง ลิฉุย กุยกี ยกเข้ามาทำร้ายถึงวัง พระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้งนั้นใจข้าพเจ้ายังหาหายแค้นไม่ บัดนี้มาพบอ้ายศัตรูราชสมบัติอีกเล่า....."

ม้าเท้งจึงถามว่าผู้ใดเป็นศัตรูราชสมบัติ อุยกุ๋ยจึงว่า

".....ศัตรูราชสมบัติคือโจโฉนี้แหละ ท่านไม่รู้จักหรือจึงมาถามเรา....."

ม้าเท้งกลัวจะเป็นอุบายจึงห้ามว่า

".....ท่านอย่าเจรจา น้ำใจโจโฉหรือจะเป็นดังนั้น ถ้ารู้ถึงโจโฉเราจะพากันตายเสีย"

อุยกุ๋ยจึงตวาดเอาว่า

"....ท่านลืมไปแล้วหรือ เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้เขียนพระอักษรออกมา ด้วยพระโลหิตครั้งนั้น เราเป็นข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ มิได้เป็นข้าโจโฉ ท่านอย่ากินแหนงเราเลย การสิ่งใดเราจะช่วยท่านคิด....."

ม้าเท้งฟังคำของอุยกุ๋ยตรงกับใจตน เห็นจะไม่ล่อลวงแน่แล้ว จึงเล่าถึงเรื่องที่เคยร่วมคิดกับ ตังสิน และพวกอีกหกคน จะกำจัดโจโฉเสียแต่ไม่สำเร็จ เมื่อสามสี่ปีก่อนโน้น คราวนี้มีรับสั่งให้มาเฝ้า ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นอุบายของโจโฉหรือไม่ จึงยกทหารมาดูเชิงก่อน ถ้าได้ทีก็จะได้จัดการกับโจโฉให้เด็ดขาดไป อุยกุ๋ยได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่า

".....อันโจโฉจะให้หาท่าน เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นไม่จริง ถ้าเข้าไปแล้วเขาจะจับฆ่าเสีย ท่านเร่งคิดแก้ไขจงดี...."

ม้าเท้งจึงว่า

".....ความคิดโจโฉนั้นจะทำประการใด ท่านอยู่เมืองเดียวกันก็แจ้งอยู่ ขอท่านคิดให้เถิด ข้าพเจ้าจะทำตาม...."

อุยกุ๋ยจึงแนะว่า

"....ซึ่งโจโฉจะหาท่านเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้น ท่านจงบอกเข้าไปว่า มาแต่ทางไกลยังเหนื่องบอบช้ำอยู่ขอให้งดก่อน พรุ่งนี้โจโฉจะให้เอาเสบียงมาส่ง ดีร้ายตัวจะออกมาดูทหารท่านด้วย ถ้าโจโฉออกมาแล้ว ให้ท่านเร่งคิดการจับตัวฆ่าเสียให้จงได้....."

ม้าเท้งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจนัก จึงว่า

".....การในเมืองนั้นท่านช่วยคิดแก้ไขเถิด การข้างนอกเมืองไว้ข้าพเจ้าจะคิดเอง “

เมื่อทั้งสองตกลงกันได้เช่นนั้นแล้ว อุยกุ๋ยก็ลากลับไป
บอกแก่โจโฉ ตามที่ได้นัดแนะกับม้าเท้งทุกประการ

เมื่อคำนับลาโจโฉกลับมาถึงบ้านแล้ว อุยกุ๋ยก็ตรึกตรองดูหนทาง ที่จะทำร้ายโจโฉแล้ว ก็วิตกกลัวว่าจะไม่สำเร็จ เกิดความทุกข์ร้อนขึ้นในใจไม่มีความสบาย ภรรยาหลวงจึงเข้าไปปลอบถามถึงสามครั้ง อุยกุ๋ยก็ไม่ยอมบอกเล่าแต่ประการใด

อุยกุ๋ยนั้นยังมีภรรยาน้อยอีกคนหนึ่งชื่อ นางลิซุ่นเอี๋ยง ซึ่งรักใคร่ชอบพอกับ เบียวเต๊ก น้องชายของภรรยาหลวง ซึ่งอยู่ในบ้านเดียวกัน เบียวเต๊กนั้นใคร่จะได้นางลิซุ่นเอี๋ยงมาครอบครองเป็นของตน แต่ยังหาโอกาสไม่ได้

วันนั้นนางลิซุนเอี๋ยงก็มาบอกว่า

".....อุยกุ๋ยไปหาโจโฉ ปรึกษาราชการแล้ว กลับมาวันนี้เห็นกิริยาโกรธ แล้วทุกข์ร้อนไม่สบายไม่รู้เหตุประการใด....."

เบียวเต๊กอยากจะหาโทษให้พี่เขยอยู่แล้วจึงยุว่า

"....ข้าพเจ้าได้ยินว่าอุยกุ๋ยออกไปหาม้าเท้ง แล้วกลับมาไม่สบายดังนี้ น่าที่จะมีความลับ เจ้าจงอ้อนวอนปลอบถามดู ให้ได้เนื้อความเถิด...."

พอตกค่ำอุยกุ๋ยก็แวะไปหานางลิซุ่นเอี๋ยง เมื่อปฏิบัติกิจตามประเพณีแล้ว เมียน้อยก็กล่าวเป็นอุบายว่า

".....เล่าปี่ เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ ตั้งใจทำราชการทำนุบำรุงแผ่นดินโดยสุจริต ข้างโจโฉเป็นคนหยาบช้า ทำการหาตรงต่อแผ่นดินไม่ ตัวท่านก็มีสติปัญญาอยู่ เหตุใดจึงมาอยู่ด้วยโจโฉ ซึ่งเป็นศัตรูราชสมบัติ....."

อุยกุ๋ยกำลังเมาสุราอยู่ไม่ได้คิดพิเคราะห์กลสตรีให้ดี จึงบอกความในใจว่า

"....ตัวเจ้าเป็นหญิงยังรู้จักผิดแลชอบ ตัวข้าเป็นชายก็รู้อยู่ว่าโจโฉเป็นศัตรู ราชสมบัติ แต่มาวิตกว่าความคิดซึ่งจะทำร้ายโจโฉนั้นกลัวจะไม่สำเร็จ...."

นางลิซุนเอี๋ยงก็อ้อนว่า

".....ความคิดท่านจะทำประการใด จึงจะฆ่าโจโฉได้ โปรดบอกให้แจ้งด้วยข้าพเจ้า เป็นหญิงแม้เห็นผิดและชอบประการใด จะได้ช่วยเตือนสติท่านบ้าง....."

อุยกุ๋ยไม่ทันคิดก็เล่าเนื้อความ ซึ่งได้ตกลงกับม้าเท้ง ให้นางลิซุนเอี๋ยง ฟังทุกประการ ครั้นอุยกุ๋ยนอนหลับเงียบไปแล้ว นางลิซุนเอี๋ยงก็คาบความมาบอกเล่าให้เบียวเต๊กฟัง จนหมดสิ้น เจ้าน้องเขยผู้ทรยศก็รีบเข้าไปบอดแก่โจโฉ ในกลางคืนนั้นเอง หวังจะเอาความชอบ แต่โจโฉให้คุมตัวเบียวเต๊กไว้ก่อน แล้วให้ทหารไปจับตัวอุยกุ๋ย กับบุตรภรรยาทั้งปวงมาจำขังไว้หมดทั้งครอบครัว

รุ่งเช้าโจโฉก็เรียกทหารเอกสี่คน มาสั่งให้แต่งตัวให้เหมือนมหาอุปราช เอาธงแดงประจำตัวแห่ไปด้วย ยกออกไปตั้งทัพเป็นหน้ากระดานที่สนามนอกเมือง ฝ่ายม้าเท้งนึกว่าโจโฉยกมาจริง ก็นำทหารออกจากค่ายเข้าไปในสนามนั้น พร้อมด้วยม้าฮิวและม้าเทียด ทหารของโจโฉก็ล้อมยิงด้วยเกาทัณฑ์อย่างหนาแน่น จนม้าเทียดตกจากม้าตาย ส่วนม้าเท้งกับม้าฮิวก็ถูกจับตัวมัด ไปให้โจโฉ
สอบสวนอย่างง่ายดาย

โจโฉให้เอาตัวอุยกุ๋ยเข้ามาสอบสวนพร้อมกับม้าเท้งด้วย อุยกุ๋ยก็ไม่รับบอกว่า

".....ข้าพเจ้าจะได้คบคิดกับม้าเท้ง ทำร้ายมหาอุปราชนั้นหามิได้...."

แล้วยังปลอบม้าเท้งว่า

".....ท่านอย่าวิตก ตัวเรามิได้มีความผิดสิ่งใด....."

โจโฉจึงเอาตัวเบียวเต๊กมาให้การยืนยัน ทั้งสองก็จนแต้มไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไร ม้าเท้งโกรธอุยกุ๋ยก็ด่าอุยกุ๋ยว่าเป็นคนหลงเมีย

"....ทำให้เสียการของกูไป ถึงตัวกูจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่มาคิดน้อยใจว่าจะล้างศัตรูราชสมบัติเสีย ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข ก็ไม่สมความคิด....."

โจโฉจึงให้เอาตัว ม้าเท้งม้าฮิว และอุยกุ๋ยไปประหาร ม้าเท้งไม่กลัวตายอย่างปากว่า คงร้องด่าโจโฉไปตลอดทางไม่ขาดคำ จนทหารลงดาบฟันถึงแก่ความตาย

แล้วโจโฉก็บอกเบียวเต๊กว่า

"....ท่านมีความชอบต่อเราเป็นอันมาก ท่านจะปรารถนาสิ่งใด เราจะให้ท่าน....."

เบียวเต๊กจึงรีบบอกว่า

".....ข้าพเจ้าจะได้รักยศถาศักดิ์นั้นหามิได้ ข้าพเจ้าจะขอแต่นางลิซุนเอี๋ยง ภรรยาน้อยอุยกุ๋ย มาเป็นภรรยา...."

โจโฉจึงว่า

"....นางลิซุนเอี๋ยงเป็นคนชั่ว ไม่รู้จักคุณสามี พี่เขยของ
ท่านก็ตายเพราะปากมัน ซึ่งท่านจะเลี้ยงมันเป็นภรรยานั้นไม่ควร....."

เบียวเต๊กก็ตกใจกลัวโจโฉจะฆ่านางลิซุนเอี๋ยงเสีย จึงเล่าเนื้อความซึ่งได้เป็นชู้กับนางลิซุนเอี๋ยง ให้โจโฉฟังโดยตลอด

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธยิ่งนัก จึงว่า

"......ตัวเป็นน้องภรรยาเขา บังอาจทำชู้กับภรรยาน้อยของพี่เขย แล้วคิดอ่านล้างชีวิตเขาเสียด้วยประสงค์หญิงผู้เดียว ตัวเป็นคนมิได้มีสัตย์กตัญญู ถ้าเราจะไม่เอาโทษบัดนี้ คนทั้งปวงก็จะดูเป็นเยี่ยงอย่างสืบไป....."

แล้วโจโฉก็สั่งให้เอาตัว เบียวเต๊กกับนางลิซุนเอี๋ยง และครอบครัวของอุยกุ๋ยตลอดจนสมัครพรรคพวก ไปประหารเสียจนหมดสิ้น

ความฝันของหญิงร้ายชายทราม จึงเป็นอันสิ้นสุดลงแต่เพียงนี้.


##########




 

Create Date : 25 เมษายน 2559    
Last Update : 25 เมษายน 2559 8:00:38 น.
Counter : 651 Pageviews.  

แม่ม่ายใจซื่อ

สามก๊กฉบับฮูหยิน

แม่ม่ายใจซื่อ

"เล่าเซี่ยงชุน"

เมื่อเอ่ยถึงชื่อ นางชีฮูหยิน คงจะไม่มีท่านผู้อ่านสามก๊กคนใดจำได้เป็นแน่ว่า นางคือใคร มีความสำคัญอย่างไร และได้แทรกอยู่ตรงไหนของสามก๊ก ฉบับของ ท่านเจ้าพระยาพระคลัง (หน) อันมีความยาวเกือบสองพันหน้านั้น

ถึงแม้ว่านางจะไม่มีความสำคัญ ต่อเรื่องราวของการรบราฆ่าฟันกัน ระหว่างก๊กทั้งสามนี้เลยก็ตาม แต่นางก็มีพฤติกรรมอันแสดงถึงจิตใจที่มั่นคง ต่อคุณธรรมความดี พอที่จะเป็นตัวอย่างของสตรีได้

ลิ่วล้อผู้เล่าจึงขออนุญาตขุดคุ้ยออกมา ให้ท่านได้รู้จักกันไว้ในคราวนี้

นางชีฮูหยิน เป็นภรรยาของ ซุนเซียง น้องชายรองจาก ซุนกวน เจ้าเมืองกังตั๋ง ผู้ยิ่งใหญ่แห่งจ๊กก๊กในภาคใต้ของแผ่นดินจีน เป็นบุตรของ ซุนเกี๋ยน นักรบรุ่นราวคราวเดียวกันกับ โจโฉ และ เล่าปี่ แต่เสียชีวิตเมื่ออายุเพียงสามสิบปี ในการรบกับ เล่าเปียว ที่เมืองเกงจิ๋ว

มารดาของซุนเซียงคือ นางงอฮูหยิน มีบุตรชายล้วน สี่คน คือ ซุนเซ็ก ซุนกวน ซุนเซียง และ ซุนของ

เมื่อซุนเกี๋ยนถึงแก่ความตาย ซุนเซ็กพี่ชายคนโตอายุประมาณสิบห้าปีได้เป็นใหญ่ในเมืองกังตั๋งสืบต่อจากบิดาไปอีกสิบกว่าปี ก็ถูกทหารเลวลอบยิงด้วยเกาทัณฑ์ถึงแก่ความตายไปอีก เมื่อายุได้ประมาณยี่สิบหกปีเท่านั้น

ซุนเซ็กไม่มีบุตร ซุนกวนน้องชายคนรองจึงได้เป็นเจ้าเมืองกังตั๋งต่อไป และให้ซุนเซียงไปเป็นเจ้าเมืองตันเอี๋ยง แต่ซุนเซียงนั้นมีนิสัยชอบเสพสุรา เมื่อเมาแล้วก็มีกิริยาหยาบช้า มิได้ปราณีแก่ขุนนางทั้งปวง หาเรื่องทำโทษโบยตีต่าง ๆ นา ๆ อยู่เนือง ๆ จนขุนนางน้อยใหญ่โกรธแค้น เกลียดชังคิดจะหาทางกำจัดเสีย

ไต้อ้วน ซึ่งเป็นปลัดเมืองจึงคบคิดกับ อิหลำ และไปชักชวน เกลี้ยกล่อม เปียนหอง คนสนิทของซุนเซียง มาเข้าเป็นพวกด้วย แล้วร่วมกันวางแผนการณ์ที่จะฆ่าซุนเซียงให้ได้

พอถึงเทศกาลขึ้นปีใหม่ เป็นประเพณีที่ขุนนางทั้งหลาย จะต้องเข้ามาคำนับอวยพรเจ้าเมือง ซึ่งซุนเซียงก็ให้แต่งโต๊ะ ไว้เลี้ยงต้อนรับขุนนางเหล่านั้นให้พร้อม

แต่นางชีฮูหยินเป็นคนที่มีความรู้ ในการเสี่ยงทายเรื่องร้ายดี จึงเสี่ยงทายดูแล้วบอกกับสามีว่า

".....เวลาเช้าท่านจะออกเลี้ยงโต๊ะขุนนางที่ศาลากลาง เหมือนอย่างทุกครั้งนั้น ท่านอย่าออกไปเลย เคราะห์ร้ายนักอยู่....."

ซุนเซียงก็ไม่เชื่อ ถึงเวลาก็ออกไปต้อนรับขุนนางที่มาคำนับ แล้วก็เชิญให้กินเลี้ยงจนเสร็จงาน เมื่อขุนนางทั้งหลายลากลับไปหมดแล้ว ซุนเซียงก็กลับเข้าบ้านพอถึงประตูบ้านจะเข้าข้างใน เปียนหองคนสนิทซึ่งเดินตามมาข้างหลัง เห็นซุนเซียงมิได้ระมัดระวังตัว จึงชักกระบี่ออกฟันซุนเซียงล้มลง ถึงแก่ความตายอยู่ตรงนั้นเอง

อิหลำกับไต้อ้วนเห็นดังนั้น ก็จับเปียนหองไว้ในฐานที่เป็นคนร้ายลงมือฆ่าซุนเซียงเจ้าเมืองตาย แล้วก็ให้เอาตัวไปประหารชีวิตเสียโดยเร็ว เมื่อไม่มีใครเป็นใหญ่กว่า อิหลำก็ยึดทรัพย์สมบัติของซุนเซียงไว้ แล้วก็ให้หาตัวนางชีฮูหยินมาบอกว่า

".....บัดนี้เปียนหองคิดมิชอบ เป็นขบถฆ่าสามีท่านเสีย ข้าพเจ้าก็ได้แก้แค้นแทนท่าน ให้เอาเปียนหองไปฆ่าเสียแล้ว ตัวท่านเป็นผู้หญิงควรจะปฏิบัติตามเรา แม้มิยอมเป็นภรรยาเรา เราก็จะฆ่าเสีย....."

นางชึฮูหยินก็ตกใจ แต่ก็บอกว่า

"....ตัวข้าพเจ้าเป็นหญิงหาสามีมิได้ เป็นที่คนทั้งปวงดูหมิ่น ซึ่งท่านเมตตาจะเลี้ยงข้าพเจ้าเป็นภรรยานั้นก็ควรอยู่แล้ว แต่ทว่า ผัวข้าพเจ้าตายใหม่ ๆ ใจยังไม่ปกติขอท่านได้งดไว้ก่อน ข้าพเจ้าจะแต่งโต๊ะเซ่นวักสามี ตามประเพณีแล้ว จึงจะปฏิบัติตามท่าน....."

อิหลำได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงกลับไปบ้านรอโอกาสนั้นอยู่

นางชีฮูหยินก็ให้คนใช้ลอบไปตาม ซุนโก๋ และ เปาเอ๋ง ซึ่งเป็นคนเก่า ของซุนเซียงมาหา แล้วนางก็ร้องไห้บอกว่า

"....บัดนี้อิหลำไต้อ้วนสองคนนี้ คิดอ่านให้ เปียนหองฆ่าซุนเซียงถึงแก่ความตาย แล้วเก็บเอาทรัพย์สิ่งของทั้งปวงไว้เป็นอาณาประโยชน์ แล้วมิหนำซ้ำจะมาข่มเหงเอาตัวเราไปเป็นภรรยาอีกเล่า บัดนี้เราจะทำเป็นว่ากล่าวอ้อนวอนไว้มิให้ขัดใจ แลตัวท่านทั้งสองเป็นที่รักใคร่ไว้วางใจ จงได้อนุเคราะห์แก่เรา เหมือนเอ็นดูซุนเซียงผู้ตาย ให้มีหนังสือบอกไปถึงซุนกวนผู้พี่ ให้แจ้งเหตุผลทั้งนี้ด้วย แลตัวเราก็จะคิดอ่านเพทุบายฆ่าอิหลำไต้อ้วน สองคนนี้เสีย....."

ซุนโก๋กับเปาเอ๋งก็ยืนยันว่า

".....ข้าพเจ้านี้เป็นข้าเก่าของซุนเซียง ได้เอ็นดูกรุณาคุณหาที่สุดมิได้ ครั้นรู้ว่าอิหลำไต้อ้วนทำร้ายแก่สามีท่าน ก็คิดจะแก้แค้นแทนคุณอยู่....."

แล้วทั้งสองก็ลากลับมาบ้าน และแต่งหนังสือเล่าเรื่องราวให้คนถือหนังสือ ไปส่งให้ซุนกวนที่เมืองกังตั๋งได้ทราบเรื่องโดยเร็ว

วันต่อมานางชีฮูหยินก็ตั้งโต๊ะ เซ่นศพสามีตามประเพณีเสร็จแล้ว ก็อาบน้ำแต่งตัวสวยงาม ทำกิริยาดุจมีความยินดีที่จะมีสามีใหม่ แล้วก็เชิญให้อิหลำมากินเลี้ยงที่บ้านในเวลาค่ำ เมื่ออิหลำมาถึงนางก็ต้อนรับเป็นอันดี เชิญนั่งโต๊ะและรินสุราส่งให้ด้วยกิริยาท่าทีเอาใจใส่รักใคร่ จนอิหลำเมาได้ที่ดีแล้ว นางก็ประคองเข้าไปในห้องนอน ซึ่งได้นัดให้ซุนโก๋กับเปาเอ๋งมาแอบอยู่ข้างเตียงก่อนแล้ว
ซุนโก๋และเปาเอ๋งก็ถอดกระบี่ออกมาฟันอิหลำถึงแก่ความตายไป

แล้วนางชีฮูหยินก็ให้คนใช้ไปบอกไต้อ้วนว่า วันนี้เป็นวันดีนางได้จัดงานแต่งงานเป็นภรรยาอิหลำ จึงขอเชิญให้ไปกินเลี้ยงที่บ้านด้วย ไต้อ้วนมีความยินดีก็รีบมาที่บ้านนางชีฮูหยิน พอเข้าประตูบ้าน ก็ถูกซุนโก๋เปาเอ๋งฆ่าตายไปอีกคนหนึ่ง

แล้วทั้งสองก็คุมทหารไปจับบุตรภรรยา และพรรคพวกของอิหลำกับไต้อ้วนมาฆ่าเสียทั้งครอบครัว นางชีฮูหยินก็ให้ตัดศรีษะผู้ทรยศทั้งสอง ไว้คำนับเซ่นไหว้ที่หน้ากุฏิศพของซุนเซียงผู้สามีด้วย

อีกไม่นานซุนกวนแจ้งเรื่องราวในหนังสือแล้ว ก็รีบยกทหารมาถึงเมืองตันเอี๋ยง เมื่อทราบว่านางชีฮูหยินได้ร่วมมือกับซุนโก๋และเปาเอ๋ง จัดการกับอิหลำและไต้อ้วนเป็นที่เรียบร้อยไปแล้วก็มีความยินดี

ซุนกวนก็จัดแจงบ้านเมือง ให้สงบเรียบร้อย แล้วแต่งตั้งให้ซุนโก๋กับเปาเอ๋งเป็นเจ้าเมือง และปลัดเมืองตันเอี๋ยงตามความชอบ แล้วก็พานางชีฮูหยินกลับไปอยู่ด้วยกันที่เมืองกังตั๋งอย่างเป็นสุขสืบมา

ก็เป็นอันว่านางชีฮูหยิน หญิงเหล็กที่มีใจคอเด็ดเดี่ยวซื่อสัตย์ต่อสามี ได้เป็นตัวอย่างอันดี สมควรยกย่องไว้ในประวัติศาสตร์ได้อีกคนหนึ่งเหมือนกัน

###############




 

Create Date : 24 เมษายน 2559    
Last Update : 24 เมษายน 2559 11:48:02 น.
Counter : 356 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.