Group Blog
 
All Blogs
 

ชุดที่ ๑๔ กองโจรกลับใจ (ตอนที่ ๘) จบบริบูรณ์

ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ

ชุดที่ ๑๔ ซ้องกั๋ง.....จอมโจรกลับใจ

ตอนที่ ๘ บำเหน็จชิ้นสุดท้าย

"เล่าเซี่ยงชุน"

เมื่อ ซ้องกั๋งได้รับรับสั่ง พระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ ให้ยกกองทัพไปปราบปรามพวกฮวนที่เมืองไต้เหลียว ก็ตั้งหน้าทำการอย่างเข้มแข็ง จนตีได้เมืองไลกุ้ย เมืองทันจิว เมืองกีจิว มาถึงเมืองฮิวจิว ไต้เหลียวอ๋อง เจ้าแคว้นจึงส่งคนถือหนังสือมาเกลี้ยกล่อมซ้องกั๋ง มีความว่า

".....ในเมืองตังเกียนั้นประกอบด้วย ขุนนางกังฉินเป็นอันมาก ถ้าเห็นผู้ใดมีสติปัญญาดีกว่าตัวแล้ว ก็อิจฉาพยาบาทคิดเบียดเบียนต่าง ๆ ตัวทำผิดสักเท่าใด ก็ปิดเนื้อความไว้ ถ้าผู้อื่นทำผิดบ้างแต่เล็กน้อย ก็แคะไค้ว่ากล่าวให้ความผิดนั้นมากขึ้น ถึงผู้ใดจะมีความชอบต่อแผ่นดิน ก็ทูลเกียดกันเสีย เอาความชอบของผู้อื่นมาเป็นของตัว เจ้าแผ่นดินซ้องยังหนุ่มไม่รอบรู้ในการบ้านเมือง ฟังแต่คำคนสอพลอประจบประแจง เป็นประมาณ ซึ่งท่านจะทำราชการร่วมกันกับคนพวกนี้ เห็นว่าภัยจะมีเป็นแน่แท้ จงตรึกตรองหาผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งอันตั้งอยู่ในยุติธรรม จะได้มีความสุขต่อไป ให้สมควรกับสติปัญญาและฝีมือของท่าน....."

เมื่อซ้องกั๋งมาปรึกษากับโงวหยง ก็แกล้งให้ความเห็นว่า เมื่อทำราชการอยู่ที่เมือง ตังเกียไม่มีความสุข เพราะพวกขุนนางกังฉินคอยเบียดเบียน หาข้อผิดอยู่เป็นนิจ จะคิดเข้าเป็นพวกไต้เหลียวอ๋องให้พ้นพวกพาล จะเป็นอย่างไร

ซ้องกั๋งก็โกรธตอบว่า

".....พวกเราทำความผิดเป็นมหันตโทษ พระเจ้าแผ่นดินก็ยังเมตตา โปรดพระราชทานยศและทรัพย์แก่พวกเรา ควรที่ท่านทั้งปวงจะระลึกถึงพระคุณจงมาก ไม่ควรจะคิดทรยศประทุษร้าย หมายเอาผู้อื่นเป็นที่พึ่ง....."

โงวหยงก็ว่าเพียงสัพยอกลองใจดูเท่านั้น ขออย่าได้ถือโทษโกรธเลย ซ้องกั๋งจึงทำเป็นรับไมตรีจากไต้เหลียวอ๋อง แล้วขอเวลาเกลี้ยกล่อมพรรคพวกพี่น้อง ให้ลงใจด้วยกันก่อน การศึกก็สงบอยู่

อยู่มาวันหนึ่งซ้องกั๋งชวนพี่น้องไปหา ฬ่อจินหยิน อาจารย์ของ กงสุนสิน ซึ่งมีเพศเป็นหลวงจีน ที่เขายี่เซียนซัว โดยให้โงวหยงอยู่รักษาเมืองกีจิวไว้ให้ดี เมื่อพบกับอาจารย์ กงสุนสินก็แนะนำให้รู้จักซ้องกั๋ง อาจารย์ก็พอใจบอกว่า

".....ถ้าการศึกเสร็จแล้ว ท่านจงปล่อยกงสุนสินมาอยู่ปฏิบัติเรา จะได้มอบตำราวิชาทั้งปวงให้ ประการหนึ่งมารดากงสุนสินก็เป็นคนชราอายุมากกว่าเจ็ดสิบปี ไม่มีใครจะปฏิบัติรักษา ท่านอย่าหน่วงเหนี่ยวไว้ให้ช้า....."

ซ้องกั๋งก็รับคำ และขอให้ทำนายเหตุการณ์ภายหน้าของตน อาจารย์ก็ทำนายว่า

"....เดิมซ้องกั๋งตั้งก๊กอยู่ ณ แขวงเมืองซัวตัง ได้ชักชวนคนทั้งร้อยเจ็ดกระทำสัจสาบานเป็นพี่น้อง ซื่อตรงมิได้คิดคดต่อกัน จึงอาสาเจ้าแผ่นดินมาปราบปรามแผ่นดินฝ่ายเหนือ คือเมืองไต้เหลียวนั้น คงจะสำเร็จตามความปรารถนา แต่การศึกจะไปยุติอยู่ เพียงเมืองฌ้อ จะได้ดีก็ได้ดีพร้อมกัน แล้วจะพลัดพรากจากกัน เปรียบเหมือนฝูงนกเมื่อฤดูหนาว ธรรมดานกที่มีความหนาว เมื่อเวลาใกล้รุ่งก็มั่วสุมประชุมเป็นฝูงเข้า แล้วก็พากันบินโฉบเอาไอน้ำ ตามลำน้ำ และท้องทะเล กว่าแสงอาทิตย์จะกล้า ครั้นสิ้นฤดูหนาวก็แตกฝูงกระจัดกระจายไป พวกร้อยแปดคนนี้ก็เหมือนฝูงนก พี่น้องจะต้องจากกันเมื่อปลายมือ....."

เมื่อกลับมาแล้วซ้องกั๋งก็ทำอุบายลวง เข้าตีได้เมืองปาจิวอีกเมืองหนึ่ง และล้อมเมืองฮิวจิวไว้ ไต้เหลียวอ๋องจึงต้องขออ่อนน้อม จะยอมส่งเครื่องบรรณาการมาคำนับทุกปี พระเจ้าซ้องฮุยจงก็ยอมรับเมืองไต้เหลียวเป็นเมืองขึ้น และเรียกกองทัพของซ้องกั๋งกลับ

ในขณะที่ซ้องกั๋งนำกองทัพเดินทางกลับเมืองตังเกีย ผ่านเขาเงาไทซัวลูตีซิม ที่ถือเพศเป็นหลวงจีน ก็คิดถึงอาจารย์ ตีจินเจียงเล้า ซึ่งเป็นผู้วิเศษ จึงขอลาไปเยี่ยมอาจารย์ ซ้องกั๋งก็ขอตามไปเคารพอาจารย์ด้วย ลูตีซิมเอาเงินทองสิ่งของที่ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ ให้อาจารย์ของตน อาจารย์ก็รับไว้ และบอกว่าจะเอาของเหล่านี้ไปสร้างคัมภีร์บาลีไว้ในศาสนาเพื่อลบล้างบาป กรรมที่ลูตีซิมได้ทำไว้ให้เบาบางลง ต่อไปจะได้บำเพ็ญเพียรให้ถึงขั้นสำเร็จได้

ซ้องกั๋งก็ขอให้อาจารย์ตีจินเจียงเล้า ทำนายเหตุการณ์ข้างหน้าของตนเองอีกอาจารย์ว่าความที่ถามนั้นเป็นความลับบอกไม่ได้ สืบไปข้างหน้าก็คงจะเห็นเอง

เมื่อซ้องกั๋งกลับมาเฝ้าพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้แล้ว ก็มิได้รับพระราชทานบำเหน็จความชอบเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เพราะมีกองโจรกลุ่มใหญ่อยู่ที่เมืองซิมจิว แขวงห้อปักทางทิศเหนือ แล้วตั้งตัวขึ้นเป็นไต้อ๋องชื่อ ซันโฮ้ว ได้ยกพวกมาตีเมืองเฉงจิว จึงได้รับรับสั่งให้ยกกองทัพ ไปปราบพวกโจรคณะนี้อีก

ซ้องกั๋งยกทัพไปตีเมืองซิมจิวแตก จับตัวซันโฮ้วผู้เป็นกบฏและ ซันปิว ผู้เป็นน้องชายมาได้ พระเจ้าซ้องยินจงก็เสด็จเป็นกระบวน ออกไปรับซ้องกั๋งนอกเมืองตังเกียถึงสิบลี้ เมื่อกลับเข้าเมืองหลวงได้พักผ่อนยังไม่ทันไร ก็มีข่าวว่า อองเข่ง เป็นหัวหน้าโจรก๊กใหญ่ที่เขาอังท่อซัว อยู่ทางทิศตะวันตก ได้ตั้งตัวเป็นอ๋องที่เมืองฮวยไซ ซึ่งได้ส่งท่องกวน แม่ทัพฝ่ายกังฉินยกทัพไปปราบปรามแล้วไม่สำเร็จ ขุนนางกังฉินในเมืองจึงกราบทูลฮ่องเต้ ให้ส่งซ้องกั๋งออกไปจัดการอีก

ซ้องกั๋งก็พาพี่น้องทั้งปวง ยกทัพไปโดยมิได้ย่อท้อ ตีได้เมืองเจียะคีเสีย เมืองเนียจิ๋ว เมืองเอี้ยวเอี๋ยง เมืองอวดกังเสีย จนถึงเมืองซินจิว จึงจับตัวอองเข่งกับบุตรภรรยา กลับมาเมืองตังเกียได้สำเร็จ

คราวนี้พระเจ้าซ้องฮุยจงก็เลื่อนยศ ซ้องกั๋งกับโลวจุนหงี ให้เป็นแม่ทัพใหญ่ของเมืองตังเกีย และพระราชทานเสื้อหมวกอย่างดี กับม้าฝีเท้าดีให้คนละตัว เสร็จศึกครั้งนี้แล้ว กงสุนสินก็ขอลาซ้องกั๋งกลับไปอยู่กับอาจารย์ฬ่อจินหยิน ตามที่ขอร้องไว้

แต่ซ้องกั๋งก็ยังไม่หมดกรรม พอถึงวันเจียอ๊วยชิวอิด เป็นวันตรุษจีน ขึ้นปีใหม่ บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็พากันเข้าเฝ้าพระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ เพื่อถวายพระพรให้เจริญพระชันษายืนนานชั่วหมื่นปี ตามประเพณีมาแต่ก่อน ชัวเกียก็ขอรับสั่งให้แต่ซ้องกั๋งกับโลวจุนหงี เข้าเฝ้าได้เพียงสองคนเท่านั้น พรรคพวกทั้งหลายและไพร่พล ก็ให้พักอยู่นอกเมืองไม่ต้องมาเฝ้า

ซ้องกั๋งกับโลวจุนหงีกลับจากเฝ้าแล้วก็มีความโทมนัสน้อยใจยิ่งนัก โงวหยงก็ถามว่า ไปเฝ้ากลับมาทำไมจึงไม่สบายใจ ซ้องกั๋งก็ถอนใจใหญ่แล้วว่า

"....เราอุตส่าห์พากเพียรทำการศึกลำบากมาช้านาน พี่น้องทั้งปวงก็เหน็ดเหนื่อยถึงสาหัส ยังไม่มีความชอบสักนิดหนึ่ง....."

ลีขุย ได้ฟังดังนั้นก็พูดขึ้นมาบ้างว่า

"....เดิมทีเราอยู่เขาเนียซัวเปาะ เปรียบเหมือนราชสีห์ มิได้เกรงกลัวผู้ใด ครั้นมาทำราชการก็หมายว่าจะมีความสุข กลับได้ความคับแค้นเศร้าหมอง พวกเราพี่น้องชวนกันไปอยู่เขาเนียซัวเปาะตามเดิม ก็จะสบาย....."

ซ้องกั๋งก็โกรธตวาดเอาว่า พูดจาสิ่งใดก็ไม่ถูกธรรมเนียม ลีขุยก็ยืนยันว่าถ้าไม่เชื่อ สืบไปยิ่งจะเศร้าโศกทุกข์ร้อนมากขึ้น

ในระหว่างเทศกาลวันปีใหม่นั้นเอง พวกพี่น้องก็จัดโต๊ะและสุรา คำนับซ้องกั๋งผู้เป็นใหญ่ อวยพรให้เจริญสุขยืนยาวนาน แล้วซ้องกั๋งก็ชวนพี่น้องสิบนาย ขึ้นม้าออกจากค่ายเข้าไปในเมืองตังเกีย ไปอวยพรที่บ้านซกไทอวย แล้วก็กลับมาค่าย

ชัวเกียก็ให้คนเอาหนังสือมาปิดไว้ที่ประตูเมือง ห้ามมิให้ทหารของซ้องกั๋ง เข้าไปเที่ยวในเมืองหลวงอีก พรรคพวกของซ้องกั๋งก็พากันโกรธแค้นยิ่งขึ้น

พวกที่ชำนาญทางน้ำก็เชิญโงวหยง ไปปรึกษาที่ค่ายริมแม่น้ำ ชักชวนให้ช่วยกันจับ
พวกกังฉินฆ่าเสียให้หมด แล้วยกกองทัพกลับไปอยู่ ที่เขาเนียซัวเปาะตามเดิม

โงวหยงว่าน้องทั้งหลายพูดก็ควรแต่ซ้องกั๋งนั้นเห็นจะยอมไม่ได้ ด้วยอุตส่าห์ทำความชอบมาก็มากแล้ว และให้สติว่า

"...ธรรมเนียมมาแต่โบราณ เปรียบเหมือนสัตว์ยามจะไปสารทิศใด ต้องเอาศรีษะ ไปก่อน เราพี่น้องทั้งปวงเปรียบเหมือนท่อนหาง ถ้าศรีษะไปแล้วก็ต้องตาม....."

พวกนั้นจึงต้องจำยอมตามคำโงวหยง

เมื่อโงวหยงมาเล่าเรื่องให้ซ้องกั๋งฟัง ซ้องกั๋งก็ตกใจเรียกประชุมพวกพี่น้องทั้งปวง แล้วประกาศสัจจะว่า

".......พี่น้องคิดแปรปรวนไปต่าง ๆ ก็ตัดศรีษะพี่เสียก่อน ภายหลังจึงคิดการต่อไป ตามใจพี่น้องทั้งหลายเถิด....."

บรรดาพรรคพวกทั้งหลายได้ฟังก็ร้องไห้ และสาบานว่าจะไม่คิดเช่นนี้อีก

ต่อมาได้ข่าวว่า ฮ่องละ นายโจรแขวงเมืองกังหนำทางทิศใต้ คิดกบฏตีได้เมืองเลกจิวมาถึงเมืองยุ่นจิว ได้เมืองเอกแปดเมืองโทยี่สิบห้าเมือง และกำลังเข้าตีเมืองเอียงจิวอยู่ ซ้องกั๋งไม่อยากจะอยู่ในเมืองตังเกีย จึงไปบอกซกไทอวยให้กราบทูล ขออาสายกกองทัพไปปราบฮ่องละ

พระเจ้าซ้องฮุยจงก็ทรงแต่งตั้งให้ซ้องกั๋ง เป็นที่ โตวจงก้วน แม่ทัพใหญ่ โลวจุนหงีเป็นที่ เปียเบ๊โตวจงก้วน แม่ทัพรอง กับพระราชทานสายรัดเอวทองคำคนละสาย เสื้อเกราะทองคำคนละสำรับ และรับสั่งว่าถ้าสำเร็จศึกมา จะรวบรวมความชอบเดิมเข้าสมทบกัน และเลื่อนยศให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไป

การศึกคราวนี้หนักหนานัก ซ้องกั๋งยกทัพบกทัพเรือไปทำศึกอยู่เป็นเวลานาน เพราะต้องข้ามแม่น้ำซือจุย ซึ่งกว้างถึงพันสามร้อยลี้ แต่ก็สามารถตีได้เมืองยุ่นจิว และเมืองใหญ่อื่น ๆ อีกเจ็ดเมือง จับตัวฮ่องละได้สำเร็จ

แต่สงครามครั้งนี้ ก็ทำให้พรรคพวกพี่น้องของซ้องกั๋ง ต้องถึงแก่ความตายกลางสมรภูมิ ถึงสี่สิบสามคนรวมทั้ง เตียเชง เล่าตง ซือจิน อวนเซียวยี อวนเซียวเหงา ลุยเหง เจียสิว เกยเตียน เกยโป เอียนสุน ลีตง

ป่วยตายไปแปดคน รวมทั้ง ลิมชอง เอียจี้ เอียหยง แปะสิน

พวกหลวงจีนขอลาไปอยู่วัดสี่คน คือ ลูตีซิม บู๊สง กงสุนสิน กับ เตียวเคาเชง

และขอลาออกจากราชการกลับไปอยู่ที่ภูมิลำเนาอีกสี่คนคือ เอียนเชง ลี้จุน ทองอุย ทองเม้ง

กับพวกที่พลัดพรากสูญหายไปไม่ปรากฎชื่ออีกสิบสามคน คงเหลือกลับมา สามสิบเอ็ดคน รวมทั้งซ้องกั๋ง โลวจุนหงี โงวหยง อูเอียนเจียก ฮวยหยง ชาจิน จูตง ลีขุย อวนเซียวชิด ซ้องเซ็ง

รวมกับพวกที่ไม่ได้ไปในกองทัพอีกห้าคนจึงเป็นสามสิบหกคน

พระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ ก็ทรงเลื่อนยศศักดิ์ให้เป็นใหญ่กว่าแต่ก่อนทุกคน ผู้ที่ตายไปแล้วถ้ามีบุตรและหลาน ให้เข้ามาเป็นขุนนางทำราชการ รับเบี้ยหวัดเงินปีตามจำนวน แทนตำแหน่งใหม่ ถ้าบุตรหลานไม่มีก็ให้ปั้นรูปเขียนชื่อเชิญ ตั้งไว้ในศาลซื่อตรง สำหรับจะได้เซ่นไหว้สืบไป แม้แต่นายทหารที่เป็นหญิงก็ตั้งให้เป็นฮูหยินทุกคน

สำหรับซ้องกั๋งนั้นให้เป็นที่ บู๊เตกไต้ฮู้ เจ้าเมืองฌ้อจิว โลวจุนหงีเป็นที่ บู๊กงไต้ฮู้ เจ้าเมืองโลวจิว ทหารเอกที่มีชีวิตอยู่แต่งตั้งให้เป็นที่ บู๊กัดเจียงกุนนายทหาร ประจำหัวเมืองใหญ่ นายทหารรองก็เป็นที่ บู๊เอกหลัง นายบ้านนายอำเภอหัวเมืองน้อย

พรรคพวกพี่น้องของซ้องกั๋งที่ได้รับตำแหน่งแล้ว ไม่ยินดีรับราชการ ก็ขอลากลับไปอยู่ตามภูมิลำเนาเดิม ผู้ที่เต็มใจรับราชการ ก็แยกไปอยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ กระจัดกระจายกันไป ไม่เป็นปึกแผ่นเหมือนเดิม

แต่ ชัวเกีย ท่องกวนและกอกิว กังฉินทั้งสามก็ยังมีอำนาจเป็นขุนนางผู้ใหญ่ อยู่ในตังเกียเมืองหลวงดังเดิม ในไม่ช้าก็ออกอุบายให้พระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้โลวจุนหงีเข้าเฝ้า และพระราชทานสุราให้โลวจุนหงีกิน โดยมิได้ทราบว่ากอกิวได้ใส่ยาพิษเตรียมไว้แล้ว

โลวจุนหงีรับสุราพระราชทานมากิน เมื่อถวายบังคมลากลับมาที่พักก็ป่วยเดินไม่ได้ ต้องลงเรือไปตามแม่น้ำห้วยหอ เพื่อกลับเมืองโลวลิว ขณะที่นั่งอยู่หัวเรือ พิษสุรากำเริบก็พลัดตกลงน้ำตายไป พวกกังฉินก็ปกปิดความไว้

จากนั้นก็นำความกราบทูลพระเจ้าซ้องฮุยจง ให้จัดสุราไปพระราชทาน แก่ซ้องกั๋งที่เมืองฌ้อจิว ฮ่องเต้ก็ให้เจ้าพนักงานนำสุราสองปั้น ซึ่งพวกกังฉินได้ใส่ยาพิษไว้ เอาไปให้ซ้องกั๋งตามรับสั่ง

เมื่อซ้องกั๋งได้รับสุราพระราชทานแล้ว ก็รินให้เจ้าพนักงานที่นำมากินด้วย แต่เจ้าพนักงานพวกกังฉินบอกว่า

".....ซึ่งสุรานี้พระราชทานมาให้ท่าน ผู้มีความชอบต่อแผ่นดิน เชิญกินให้สบายเถิด....."

แล้วก็ลากลับไป

ซ้องกั๋งกินสุราเข้าไปแล้วก็ป่วย จึงสงสัยว่าจะมียาพิษ ก็รำพึงกับตนเองว่า

"..เรามิได้คิดประทุษร้ายประการใด เจ้าแผ่นดินเชื่อฟังพวกกังฉิน พระราชทานสุรายาพิษมาให้กิน เราก็จะสู้ยอมตาย แต่ลีขุยผู้น้องเป็นคนดุร้าย ถ้าแจ้งความที่ไหนจะฟัง คงจะแก้แค้นแทนพี่ ชื่อเสียงเราก็จะเสียว่าไม่ซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย....."

ซ้องกั๋งจึงให้คนใช้รีบไปเมืองวุ่นจิว เชิญลีขุยมาหาที่เมืองฌ้อจิวโดยเร็ว เมื่อมาถึงซ้องกั๋งก็ต้อนรับ แล้วรินสุราพระราชทานให้ลีขุยกิน แล้วจึงแจ้งเรื่องซึ่งฮ่องเต้ได้พระราชทานสุรายาพิษมาให้ ลีขุยก็ว่า

"....ถ้ากระนั้นต้องคิดกบฏ ไพร่พลของน้องมีอยู่สามพันเศษ รวบรวมกับทหารและไพร่พลของพี่ ยกเข้าไปฆ่าฟันเสียให้สิ้น แล้วกลับไปอยู่เขาเนียซัวเปาะตามเดิม ไม่ต้องอยู่ในบังคับผู้ใด....."

ซ้องกั๋งก็กล่าวว่า

".....พวกพี่น้องเราก็ล้มตาย กระจัดกระจายไปหมด ประการหนึ่งจะคิดกบฏนั้นไม่ได้ เทพยดาฟ้าแลดินตกแต่งไว้แน่นอน เรามาตายเสียด้วยกันดีกว่า ชื่อเสียงจะได้ปรากฎสืบไป ซึ่งสุรายาพิษนั้นก็กินเข้าไปแล้ว น้องจงกลับไปเมือง สั่งคนสนิทว่าถ้าตายลง จงเอาศพมาฝังที่ตำบลลกยี่กุ้ย ริมประตูกำแพงเมืองฌ้อจิวข้างทิศใต้ กับศพพี่ด้วยกัน....."

ในไม่ช้าซ้องกั๋งและลีขุยก็ถึงแก่ความตาย ในเวลาใกล้เคียงกัน ศพทั้งสองก็ถูกฝังอยู่ใกล้กัน ตามคำสั่งครั้งสุดท้ายของซ้องกั๋งนั้น โดยซ้องเซ็งผู้น้องเป็นคนจัดการหาสิ่งของมาเซ่นไหว้ทำบุญ ด้วยความเศร้าโศกอย่างยิ่ง แล้วก็กลับไปอยู่บ้านตามภูมิลำเนาเดิม

ฝ่าย โงวหยงว่าราชการอยู่ที่เมืองบูเส่ง ฮวยหยง ว่าราชการเมืองเทียนฮู้ พอรู้ข่าวก็รีบมาที่เมืองฌ้อจิว จัดหาสิ่งของมาเซ่นไหว้ที่ฝังศพซ้องกั๋งและลีขุยด้วยความอาลัยรัก แล้วทั้งสองต่างก็ผูกคอตายอยู่ ณ ที่นั้น พวกขุนนางเมืองฌ้อจิวก็จัดการฝังศพทั้งสอง ลงเคียงกับศพซ้องกั๋ง รวมเป็นสี่ศพ

แลชื่อเสียงของ ซ้องกั๋ง ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ กับพี่น้องทั้งร้อยแปดคน ก็ได้ปรากฎอยู่ในพงศาวดารแผ่นดินซ้อง ของมหาอาณาจักรจีน มาจนตราบเท่าทุกวันนี้.

##### จบบริบูรณ์ #####

นิตยสารโล่เงิน
ตุลาคม ๒๕๔๒


ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๙




 

Create Date : 22 มกราคม 2551    
Last Update : 12 มิถุนายน 2551 8:48:52 น.
Counter : 1181 Pageviews.  

ชุดที่ ๑๔ กองโจรกลับใจ (ตอนที่ ๗)

ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ

ชุดที่ ๑๔ กองโจรกลับใจ

ตอนที่ ๗ น้ำพระทัยฮ่องเต้

"เล่าเซี่ยงชุน"

เมื่อขบวนกองโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะเดินทางมาถึงเมืองตังเกียแล้ว หยุดพักอยู่นอกเมือง ซ้องกั๋งก็ให้ เอียนเชงกับ ไตจงเข้าไปแจ้งความแก่ซกไทอวยให้ทราบ ซกไทอวยก็เข้าไปกราบทูล พระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ทรงทราบ จึงมีรับสั่งให้จัดขบวนออกไปรับซ้องกั๋ง ให้เหมือนกับรับแขกเมืองประเทศราช ที่จะเข้ามาเฝ้า

วันรุ่งขึ้นพนักงานก็พากันไปต้อนรับซ้องกั๋ง อยู่ที่หน้าประตูเมืองด้านตะวันออก ซ้องกั๋งกับพี่น้องทั้งร้อยแปดคน แต่งตัวสวมเสื้อเกราะ ถืออาวุธสำหรับมือขึ้นม้าเป็นคู่ ๆ ทหารเอกนั้นออกหน้า ทหารโทตรีจัตวา ก็เดินม้าถัดกันไปเป็นอันดับ ม้าซ้องกั๋งนั้นอยู่กลาง โลวจุนหงี กับ โงวหยง อยู่ซ้ายขวา เจ้าพนักงานก็ขึ้นม้านำหน้าเข้าเมืองไปตามถนนถึงท้องสนาม

ครั้นถึงหน้าที่นั่ง ซึ่งพระเจ้าซ้องฮุยจงประทับอยู่บนเก๋งสูง ซ้องกั๋งกับทหารทั้งปวงลงจากหลังม้าวางอาวุธแล้วถวายบังคมพร้อมกัน พระเจ้าซ้องฮุยจง ทอดพระเนตรเห็นซ้องกั๋งมีสง่า สมควรเป็นแม่ทัพนายกอง ก็มีความยินดีตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า

ซ้องกั๋งเข้ามาสามิภักดิ์อยู่ด้วย เราก็สิ้นธุระไปอย่างหนึ่ง บ้านเมืองจะค่อยเป็นสุข เพราะเราได้กำลังซ้องกั๋งมาเพิ่มเติมขึ้นอีก ขุนนางที่เป็นพวกตงฉินก็รับรับสั่ง แต่ขุนนางที่เป็นพวกกังฉิน ก็พากันนิ่งอยู่

พระเจ้าซ้องฮุยจงก็ทรงเข้าพระทัย แต่มิได้ตรัสประการใด แล้วรับสั่งให้เจ้าพนักงานนำซ้องกั๋งกับพวก เข้ามาเฝ้า ณ ที่เสด็จออกขุนนาง เจ้าพนักงานก็พาตัวซ้องกั๋งกับพี่น้องเข้าไปกราบถวายบังคมใกล้ ๆ ทรงตรัสปราศรัยตามธรรมเนียม และให้เจ้าพนักงานจัดเสื้อแพร มาพระราชทานแก่ซ้องกั๋ง และพี่น้องทุกคน พร้อมกับพระราชทานดอกไม้ทองคำให้คนละกิ่ง

ซ้องกั๋งกับพวกก็คำนับรับเอามาแซมไว้บนหมวก แล้วกราบถวายบังคมลาออกจากที่เฝ้า ไปพักที่กงก๊วน สำหรับต้อนรับแขกเมือง

วันต่อมาพระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ ได้ทรงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า

"...ซ้องกั๋งตั้งใจเข้ามาสามิภักดิ์ ด้วยความกตัญญู โดยสุจริตนั้น ก็เป็นความดีความชอบของเขาโดยมาก เราคิดจะตั้งแต่งให้มียศศักดิ์สมกับความชอบ ท่านทั้งปวงจะเห็น
ประการใด....."

ท่องกวน ชิงกราบทูลว่า

".....พระองค์ตรัสปรึกษาข้าพเจ้าครั้งนี้ พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าซ้องกั๋งยังไม่ได้ทำความชอบสิ่งใด ให้เป็นประโยชน์แก่แผ่นดิน เป็นแต่สามิภักดิ์เข้ามาทำราชการ ถ้าพระองค์ยกย่องแต่งตั้งขึ้นในระหว่างนี้ ซ้องกั๋งก็จะมีใจกำเริบถือตัวว่าดี จะกระทำ ข่มเหงขุนนางเก่าให้ ได้ความเดือดร้อนต่าง ๆ การซึ่งจะแต่งตั้งนั้น ขอพระราชทานงดไว้ก่อน....."

แล้วเสนอแนะต่อไปว่า

"....ประการหนึ่ง ขุนนางนายทหารเก่าที่ตกไปอยู่กับซ้องกั๋งหลายนาย ขอให้พระองค์คืนมาตั้งแต่งให้ทำราชการอยู่ตามตำแหน่ง ซึ่งข้าพเจ้าทูลทัดทานครั้งนี้ ใช่จะคิดอิจฉาพยาบาทซ้องกั๋งนั้น หามิได้....."

พระเจ้าซ้องฮุยจงไม่ทันคิด ก็ทรงเห็นชอบตามคำท่องกวน จึงสั่งเจ้าพนักงานให้ไปบอกซ้องกั๋ง ขอนายทหารเก่าคืนมาไว้ในตำแหน่งเดิม

เมื่อซ้องกั๋งได้ทราบรับสั่ง ก็มีความเสียใจยิ่งนัก จึงปรึกษากับบรรดานายทหารที่มาอยู่ด้วย ทุกคนก็ลงความเห็นว่า

".....ความเรื่องนี้ เห็นทีพวกกังฉินจะกราบทูลยุยงเป็นแน่ เพราะเขาคิดจะตัดกำลังเรา ท่านจะมีความวิตกไปทำไม เมื่อพระเจ้าซ้องฮุยจงไม่ทรงพระเมตตา ตั้งอยู่ในธรรมสุจริตแล้ว เราก็พากันกลับไปอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะตามเดิม....."

ซ้องกั๋งได้ฟังพวกพ้องว่าจะให้ขัดรับสั่ง ก็จนใจไม่รู้ที่จะคิดประการใด จึงบอกเจ้าพนักงานว่า จะขอปรึกษาตกลงกันก่อน

รุ่งขึ้นเมื่อพระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จออก ขุนนางผู้รับรับสั่งกราบทูลว่า ซ้องกั๋งขอทุเลาให้รอรับสั่งไว้ก่อน ก็ทรงตรัสถามท่องกวนว่า ซ้องกั๋งพูดผัดทำทีจะไม่คืนคนให้นั้น จะเห็นประการใด ท่องกวนก็กราบทูลยุยงให้จับซ้องกั๋งกับพวกฆ่าเสีย จึงจะสิ้นเสี้ยนหนามแผ่นดิน

ซกไทอวยเฝ้าอยู่ด้วยจึงแย้งว่า ท่องกวนนั้นปกปิดราชการแผ่นดินไว้ ไม่นำความขึ้นกราบทูล พระเจ้าซ้องฮุยจงจึงตรัสถามว่า ท่องกวนปกปิดความใดไว้

ซกไทอวยก็กราบทูลว่า

"....ขณะนี้เจ้าเมืองไต้เหลียว ยกทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ โดยลงมาทางทิศตะวันออกและตะวันตก แตกไปหลายหัวเมืองแล้ว ผู้ว่าราชการเมืองมีหนังสือบอกมา พวกกังฉินก็ปิดความไว้ไม่กราบทูล และตามที่เกลี้ยกล่อมซ้องกั๋งมาสามิภักดิ์ ก็เพื่อเพิ่มเติมกำลังรักษาพระราชอาณาเขต แต่ท่องกวนกลับทูลให้ฆ่าเสีย ถ้าเชื่อท่องกวนก็เห็นว่า การศึกจะเกิดขึ้นในเมืองอีกเป็นแน่....."

พระเจ้าซ้องฮุยจงทรงเห็นจริงตามที่ซกไทอวยกราบทูล จึงว่าท่องกวนมีความผิด ให้ประชุมขุนนางปรึกษาโทษท่องกวน และพรรคพวกที่รู้เห็นตามกฎหมาย ท่องกวนก็กราบทูลแก้ตัวไปต่าง ๆ

พระเจ้าซ้องฮุยจงทรงขัดเคือง จึงรับสั่งให้ตำรวจหลวงลากตัวออกไปจากที่เฝ้า แล้วจึงปรึกษาข้อราชการกับซกไทอวยต่อไป ซกไทอวยก็กราบทูลว่า

".....ซ้องกั๋งเข้ามาสามิภักดิ์ คิดจะทำการอาสาแผ่นดินมิได้ขาด ขอพระองค์แต่งตั้งซ้องกั๋งให้มียศศักดิ์ขึ้น แล้วจึงให้เป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองไต้เหลียง....."

พระเจ้าซ้องฮุยจงทรงเห็นชอบด้วย จึงโปรดแต่งตั้งซ้องกั๋งเป็นนายทหารที่ ซ้องเซียนฮอง โลวจุนหงีเป็น ฮู้เซียนฮอง ให้ทั้งสองเป็นแม่ทัพไปปราบพวกฮวนที่เมืองไต้เหลียง เสบียงอาหารนั้นให้เกณฑ์เอาแก่หัวเมืองรายทาง ถ้าผู้ใดส่งไม่ทันหรือขัดขืนไม่ทำตามบังคับ ก็ให้ลงโทษตามอาญา ถ้าซ้องกั๋งอาสาทำศึกสำเร็จแล้ว จะเลื่อนยศให้มีอำนาจใหญ่ขึ้น

ซ้องกั๋งจึงบอกกับซกไทอวยว่า

".....บัดนี้มีรับสั่งให้ข้าพเจ้า ยกกองทัพไปตีเมืองไต้เหลียงนั้น ทแกล้วทหารก็ยังไม่พร้อม อยู่ที่เขาเนียซัวเปาะเป็นอันมากจะขอถวายบังคม กลับออกไปรวบรวมให้เป็นหมวดเป็นกอง...ถ้าจัดการเสร็จแล้วข้าพเจ้าจะขออาสากว่าจะสิ้นชีวิต ท่านจงช่วยกราบทูลให้ทรงทราบ...."

เมื่อซกไทอวยนำความไปกราบทูล พระเจ้าซ้องฮุยจงก็ทรงอนุญาต แล้วให้เจ้าพนักงานคลัง จัดทองคำสองพันตำลึงเงินห้าพันตำลึง แพรสีต่าง ๆ ห้าพัน ไปพระราชทานแก่ ซ้องกั๋งด้วย

ซ้องกั๋งกลับมาถึงเขาเนียซัวเปาะแล้ว ก็ให้ทหารจัดสุกรแพะและสุรามาตั้งที่หน้าศาล เตียวไก่ ไต้อ๋องคนเก่า ซึ่งมีป้ายจารึกว่า เตียวเทียนอ๋อง จุดธูปเทียนบูชาเซ่นป้ายแล้ว ก็เอาเพลิงเผาศาลและป้ายเสีย จากนั้นก็รวบรวมไพร่พลที่สมัครไปทัพ เข้าตามหมวดกอง ผู้ที่ไม่สมัครทำราชการก็ให้อพยพ บุตรภรรยาครอบครัว ไปหากินตามภูมิลำเนาเดิม มิให้ส้องสุมอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะอีกต่อไป แล้วก็ให้รื้อทำลายค่ายคูประตูรบเสียทั้งสิ้น

เสร็จแล้วก็กลับมาเฝ้า พระเจ้าซ้องฮุยจงที่เมืองตังเกีย ฮ่องเต้ก็พระราชทานกระบี่เล่มหนึ่ง ม้าฝีเท้าดีตัวหนึ่ง ซ้องกั๋งรับพระราชทานแล้ว ก็กลับมาปรึกษากับโงวหยง จัดกองทัพเตรียมออกเดินทางไปเมืองไต้เหลียว โดยจัดผู้มีความชำนาญทางน้ำสิบนาย คุมกองทัพเรือและเสบียงอาหารไปคอยอยู่ในแม่น้ำอึงโห แล้วแบ่งพลที่เหลือออกเป็นสองกอง ซ้องกั๋งเป็นแม่ทัพฝ่ายซ้าย โลวจุนหงีเป็นแม่ทัพฝ่ายขวา เมื่อได้ฤกษ์ดีแล้วก็ยกกองทัพออกจากเมืองตังเกีย

กองทัพของซ้องกั๋งเดินทางไปได้สองวันแล้ว พระเจ้าซ้องฮุยจงมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดสุราและเนื้อสุกร ตามไปพระราชทานซ้องกั๋งและทหารทั้งปวง กำหนดให้แจกสุราคนละขวดและเนื้อสุกรคนละชั่ง เจ้าพนักงานก็คุมสิ่งของตามไปทันที่ตำบลตั้นเอียเกียะ จึงนำสิ่งของไปให้ซ้องกั๋ง

แต่ซ้องกั๋งให้เจ้าพนักงาน ไปแจกแก่ทหารเองให้ทั่วถึง เจ้าพนักงานก็เบียดบัง แจกจ่ายสุราให้คนละครึ่งขวด และเนื้อสุกรคนละครึ่งชั่ง มีทหารคนหนึ่งรู้ทันจึงต่อว่าเจ้าพนักงานจนเกิดทะเลาะวิวาทกันขึ้น เจ้าพนักงานด่าว่าทหารผู้นั้นด้วยคำหยาบช้าต่าง ๆ พลทหารผู้นั้นจึงเอาดาบฟันเจ้าพนักงานตาย

นายหมวดก็พาตัวทหารผู้นั้น มาแจ้งความแก่ซ้องกั๋งให้ทราบ ซ้องกั๋งมีความวิตกกลัวความผิด ที่ทหารของตนฆ่าเจ้าพนักงานหลวง จึงปรึกษาโงวหยงว่าจะคิดแก้ไขประการใด โงวหยงก็ว่าทหารของเรา กระทำผิดแก่คนหลวงฉันใด โทษก็ตกอยู่แก่ตัวฉันนั้น

ซ้องกั๋งก็เสียใจร้องไห้แล้วพูดว่า

".....เราพี่น้องกับทหารทั้งปวงได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่ ณ เขาเนียซัวเปาะ ถึงจะมีความผิดสักเท่าใดเราก็มิได้ทำโทษเฆี่ยนตีฆ่าฟันผู้ใดเลย...."

แล้วก็สั่งคนใช้จัดสุราและอาหารมาให้พลทหารผู้นั้นกินให้อิ่ม เสร็จแล้วก็เอาเชือกส่งให้ไปผูกคอตายเสีย ทหารผู้นั้นก็คำนับรับเอาเชือกมารัดคอจนขาดใจตาย ซ้องกั๋งจึงให้ตัดศรีษะ ไปเสียบ และเขียนหนังสือแจ้งโทษปิดไว้เป็นเยี่ยงอย่าง กับให้เอียนเชงกับไตจงกลับไปแจ้งความแก่ซกไทอวยทุกประการ

ซกไทอวยก็บอกว่าไม่ต้องวิตก จะกราบทูลฮ่องเต้เอง ให้เดินทัพต่อไปตามกำหนดเดิม

ในเวลาค่ำซกไทอวยก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าซ้องฮุยจงถึงพระที่นั่งข้างในกราบทูลเรื่องทหารของซ้องกั๋งทำผิด ให้ทรงทราบทุกประการ พระเจ้าซ้องฮุยจงตรัสว่า

".....ทหารซ้องกั๋งทำผิดฆ่าคนหลวงเสีย ซ้องกั๋งก็ประหารชีวิตทหารผู้นั้น ให้ตกไปตามกัน ความก็เป็นยุติธรรมแล้ว ซึ่งเจ้าพนักงานเบียดบังของพระราชทานนั้นเราจะต้องทำโทษให้เข็ดหลาบ....."

พอวันรุ่งขึ้น พระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จออกว่าราชการ ขุนนางพวกกังฉินก็ทูลกล่าวโทษซ้องกั๋ง ว่าใช้ทหารให้ฆ่าคนหลวง ซึ่งคุมสิ่งของออกไปพระราชทานเสีย พระเจ้าซ้องฮุยจงก็ตรัสว่า

".....ความเรื่องนี้เรารู้แล้ว แต่พนักงานที่ฉ้อของหลวงนั้นเป็นพวกเจ้า จงทำโทษเสีย....."

ตรัสแล้วก็เสด็จขึ้น

ด้วยบารมีและน้ำพระทัยของฮ่องเต้ ซ้องกั๋งจึงรอดจากการให้ร้ายของพวกกังฉินไปได้อีกครั้งหนึ่ง

ซ้องกั๋งกับพรรคพวกนั้น ต่างมีความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ จึงออกไปทำสงครามปราบปรามพวกฮวนนอกอาณาเขต ด้วยความเต็มใจจะแก้ตัว ถ่ายโทษที่ได้เคยเป็นโจรมาเมื่อครั้งก่อน อย่างเข้มแข็งเต็มกำลัง.

##########

นิตยสารโล่เงิน
ตุลาคม ๒๕๔๑

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๒๙ สิงหาคม ๒๕๔๙




 

Create Date : 21 มกราคม 2551    
Last Update : 21 มกราคม 2551 9:08:20 น.
Counter : 477 Pageviews.  

ชุดที่ ๑๔ กองโจรกลับใจ (ตอนที่ ๖)

ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ

ชุดที่ ๑๔ กองโจรกลับใจ

ตอนที่ ๖ เต็มใจสามิภักดิ์

"เล่าเซี่ยงชุน"

ก่อนที่ผู้คุมของโจรเขาเนียซัวเปาะได้นำตัว กอกิวแม่ทัพใหญ่ของเมืองตังเกีย กับ บุ้นฮวนเจียงที่ปรึกษามาหาซ้องกั๋งไต้อ๋องของโจรเขาเนียซัวเปาะนั้น บุ้นฮวนเจียงได้ปลอบใจกอกิว ซึ่งกำลังโศกเศร้าเสียใจว่า

".....ความเกิดกับความตายเป็นของคู่กัน ซึ่งท่านจะร้องไห้อาลัยถึงชีวิตนั้นไม่เป็นประโยชน์.....ถ้าท่านรักชีวิตคิดจะกลับไปเมืองตังเกียแล้ว ข้าพเจ้าจะบอกให้ ตัวท่านครั้งนี้ก็เข้าที่คับแค้นเจียนจะถึงแก่ความตาย อย่าได้ถือตัวว่ามีบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางผู้ใหญ่เลย จงพูดจาอ่อนน้อมไกล่เกลี่ยเป็นไมตรีเอาใจดีต่อซ้องกั๋ง คงไม่ทำอันตรายเป็นแท้....."

ดังนั้นเมื่อถูกพามาถึงตรงหน้าซ้องกั๋ง กอกิวก็คุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า

".....ข้าพเจ้ากับท่านทำศึกแก่กัน บัดนี้ข้าพเจ้าเสียทีท่านจับได้ ชีวิตอยู่ในเงื้อมมือท่านแล้ว ขอท่านผู้มีอำนาจจงได้กรุณายกโทษเสียครั้งหนึ่งเถิด ถ้าท่านเมตตาปล่อยไปแล้ว ก็ เหมือนท่านทำความชอบไว้ในพระเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะนำความดีของท่าน ขึ้นกราบทูลให้ทรงทราบ....."

ซ้องกั๋งเห็นกอกิวสารภาพผิดก็มีความเมตตา ลุกขึ้นไปต้อนรับจูงมือขึ้นมานั่งเก้าอี้ที่หนึ่ง ให้บุ้นฮวนเจียงนั่งเก้าอี้ที่สอง ส่วนตนเองกับโงวหยงและพรรคพวกทั้งหลาย ยอมนั่งเก้าอี้ถัดไปตามลำดับ และสั่งให้จัดเครื่องแต่งตัวมา ผลัดเปลี่ยนให้ทั้งสองคนไปอาบน้ำชำระกายให้สบายเสียก่อน แล้วจึงเข้ามาสนทนากัน

เมื่อทั้งสองคนเปลี่ยนเสื้อกางเกงใหม่เรียบร้อยแล้ว กอกิวก็พูดยกย่องซ้องกั๋งว่า

".....ข้าพเจ้าเป็นข้าศึก ท่านจับมาได้ไม่ทำอันตราย แล้วมิหนำซ้ำต้องเสีย เครื่องนุ่งห่มให้อีกนั้น คุณของท่านหาที่จะอุปมามิได้ ถึงตัวข้าพเจ้าจะตายไปก่อน ก็จะสั่งบุตรและหลานว่า ถ้าพบปะพวกแซ่ซ้องแล้ว ถึงจะเป็นคนอนาถายากจนอย่าได้ดูหมิ่น จงช่วยอุปถัมภ์สงเคราะห์ไปตามกำลัง ซึ่งข้าพเจ้าว่านี้เป็นความสัตย์...."

ซ้องกั๋งก็ปล่อยตัวทหารเมืองตังเกียที่ตกเป็นเชลยอยู่ทั้งสิ้น กอกิวกับที่ปรึกษาพักอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะได้สามวัน กอกิวก็ขอลากลับไปโดยให้บุ้นฮวนเจียงอยู่เป็นตัวจำนำ และซ้องกั๋งก็ให้ เซียวเหยียง กับ งักหัว ติดตามกอกิวไปด้วยเพื่อฟังข่าว

กอกิวพาทหารที่เหลือประมาณสามหมื่นกลับไปเมืองตังเกีย แล้วก็เล่าเรื่องราวให้ ชัวเกีย ท่องกวน และพวกขุนนางกังฉินทราบ กับขอร้องให้ชัวเกียกราบทูล พระเจ้าซ้องฮุยจงว่ากอกิวป่วยจึงต้องกลับมารักษาตัวก่อน แล้วจึงจะยกออกไปอีก

ส่วนข้อความที่รับปากกับซ้องกั๋งนั้นก็เก็บไว้ มิได้กราบทูล และให้เอาตัวเซียวเหยียงกับงักหัวไปขังไว้ในบ้าน

ฝ่ายซ้องกั๋งเมื่อปล่อยตัวกอกิวไปแล้ว ก็คอยอยู่เป็นเวลานาน แต่มิได้ข่าวคราวประการใด จึงปรึกษากับโงวหยง เพื่อจัดส่งพรรคพวกไปสืบข่าวในเมืองหลวง เอียนเชง ก็ขออาสาไปสืบข่าวคราว ที่บ้านของ นางหลีซือซือ ซึ่งเคยรู้จักกันเมื่อไปครั้งก่อนโดยไตจง กับ ซิเซียน จะไปเป็นเพื่อน

ซ้องกั๋งก็มอบเงินทองกับเพชรพลอยไปเป็นของกำนัลแก่นางหลีซือซือ และขอให้บุ้นฮวนเจียง เขียนหนังสือฝากฝังไปกับ ซกไทอวย ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายตงฉิน ให้ช่วยเหลือด้วย เอียนเชงกับไตจงและซิเซียนเข้าไปในเมืองหลวงได้ไม่นาน ก็กลับมารายงานผล พอสรุปความได้ว่า

ไตจงกับซิเซียนได้พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมใกล้ประตูเมือง แล้วเอียนเชงก็ไปหานางหลีซือซือ ที่บ้านซึ่งสร้างขึ้นใหม่แทนหลังเก่า ที่ถูก ลีขุย เผาทิ้งไปแล้ว เอียนเชงขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ แล้วก็อธิบายความเก่าว่า

"....คนรูปร่างต่ำ ผิวเนื้อดำแดง นั่งเก้าอี้ที่หนึ่งนั้นชื่อซ้องกั๋ง เป็นใหญ่อยู่ ณ เขาเนียซัวเปาะ ที่นั่งเก้าอี้ที่สองนั้นชื่อ ชาจิน ที่อยู่ริมประตูสองคนนั้นชื่อไตจงกับลีขุย ตัวเรานี้ชื่อ เอียนเชง...."

นางหลีซือซือว่า ซ้องกั๋งนั้นเป็นโจรใจร้ายเหตุใดจึงพามา เอียนเชงก็ชี้แจงว่า

"....ซ้องกั๋งพี่เรานี้เป็นคนใจดี มีความอารีโอบอ้อมแก่คนทั้งปวง คิดจะเข้ามาสามิภักดิ์ ทำราชการช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ให้บ้านเมืองมีความสุข ก็ยังหาช่องโอกาสมิได้........จึงอุตส่าห์แอบแฝงเล็ดลอดเข้ามา หมายจะเฝ้ากราบทูลความ ขอเข้ามาสามิภักดิ์ ก็หาทันได้กราบทูลไม่ พอดีลีขุยกับขุนนางพวกรักษาพระองค์ เกิดวิวาทกันจึงได้กลับออกไปยังเขาเนียซัวเปาะ บัดนี้ซ้องกั๋งใช้ให้ข้าพเจ้า คุมทองคำกับเงินและเพชรพลอยสีต่าง ๆ มาคำนับท่าน....."

ว่าแล้วเอียนเชงก็เอาของกำนัลมากองให้ นางหลีซือซือก็มีความยินดี และว่าจะช่วยหาช่องทางให้ได้เฝ้าพระเจ้าซ้องฮุยจง และให้พักรออยู่ด้วยกันก่อน เอียนเชงเกรงว่าจะเกิดความเสียหายในทางชู้สาว จึงยอมคำนับวางตัวเป็นน้องนางหลีซือซือ และพักคอยเวลาอยู่

คืนวันหนึ่งพระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จมาฟังมโหรี ที่บ้านนางหลีซือซือตามเคย นางหลีซือซือก็อุบายให้เอียนเชง ออกมาร้องเพลงแทนตน พระเจ้าซ้องฮุยจงพอพระทัยจึงตรัสปราศรัยด้วย

เอียนเชงถือโอกาสกราบทูลว่า ตนเองถูกพวกโจรเขาเนียซัวเปาะจับไปอยู่ด้วย เป็นเวลาถึงสองปี บัดนี้ได้ช่องหนีมา เกรงว่าจะถูกเจ้าพนักงานจับกุม จึงขอหนังสือยกโทษไว้คุ้มตัว

พระเจ้าซ้องฮุยจงก็ทรงพระอักษรด้วยพระหัตถ์ พระราชทาน แก่เอียนเชง แล้วทรงถามถึงอัธยาศรัยของซ้องกั๋งหัวหน้าโจร กับพวกว่ามีความประพฤติเป็นประการใดบ้าง

เอียนเชงก็กราบทูลยกย่องซ้องกั๋งและเล่าเรื่องที่ได้มีหนังสือรับสั่งของฮ่องเต้ ไปถึงซ้องกั๋งทั้งสองครั้งแล้วไม่สำเร็จ เพราะขุนนางกังฉินไม่เต็มใจให้ซ้องกั๋งเข้ามาสามิภักดิ์ จึงแก้ไขข้อความให้เกิดความขัดแค้น ในหมู่พวกเขาเนียซัวเปาะ

แม้แต่การรบกับท่องกวน ที่กราบทูลว่าพวกโจรเอายาพิษใส่ในบึงห้วยหนอง จนทหารหลวงอาบกินแล้วเจ็บป่วยตายไปทั้งกองทัพ และการรบกับกอกิวครั้งหลังอ้างว่าป่วยไข้ ต้องยกทัพกลับนั้น ก็เป็นความเท็จทั้งสิ้น กอกิวพ่ายแพ้ถูกจับเป็นเชลย แต่ซ้องกั๋งปล่อยตัวมาเพื่อให้กราบทูลขอสามิภักดิ์ ต่อพระเจ้าซ้องฮุยจง กอกิวก็ให้บุ้นฮวนเจียงเป็นตัวจำนำอยู่ และเมื่อกลับมาแล้วก็นิ่งเสีย
พระเจ้าซ้องฮุยจงจึงทรงเข้าพระทัย

และก่อนจะกลับมา เอียนเชงกับไตจงและซิเซียนก็ได้ไปช่วยแก้ไขเอา ตัวเซียวเหยียงกับงักหัว ออกมาจากบ้านของกอกิวด้วย

ซ้องกั๋งได้ฟังแล้ว ก็สรรเสริญสติปัญญาของเอียนเชง เป็นอันมาก และโงวหยงก็ให้ม้าใช้ไปคอยสืบข่าวในเมืองหลวงตลอดเวลา

ฝ่ายพระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ ออกว่าราชการแล้วทรงซักถามขุนนางฝ่ายกังฉิน ถึงเรื่องราวที่ได้ไปรบกับซ้องกั๋ง ท่องกวนก็กราบทูลความเท็จ ช่วยแก้ตัวให้กอกิวและทับถมซ้องกั๋งต่าง ๆ นา ๆ พระเจ้าซ้องฮุยจงจึงตรัสว่า

".....ความไม่จริงของตัวนั้นก็มาก ยังเก็บเอาความโกงของคนอื่นมาช่วยอีกเล่า ความดีความร้ายของซ้องกั๋ง จะเป็นประการใดนั้นเรารู้อยู่ทั้งสิ้น แต่พวกกังฉินปกปิดความไว้ ชวนกันยุยงให้หลงโกรธเขา จนขุนนางนายทหารที่เป็นคนซื่อสัตย์ พลอยได้ความเดือดร้อนเพราะคนโกง ซึ่งขุนนางพวกกังฉิน คบคิดกันส่อเสียดใส่โทษซ้องกั๋งนั้น จะให้พิจารณาชำระเอาความจริง ก็จะตลอดถึงผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งสิ้น แล้วจะต้องลงโทษตามอาญาศึก พวกคนคดที่ต้องโทษก็จะชวนกันติเตียนเราว่า พระมหากษัตริย์ไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรม ปราศจากความกรุณา ทำผิดครั้งเดียวไม่ควรจะทำโทษ ด้วยเราทำความชอบไว้มากคงจะคุ้มกันได้ ความคิดของคนพาล คงเป็นเช่นนี้ เราจะภาคทัณฑ์ไว้ให้สมความคิดของเขาสักครั้งหนึ่ง ถ้าสืบไปเมื่อหน้า ทำความผิดเหมือนครั้งนี้แล้ว จะทำตามโทษานุโทษ....."

พวกขุนนางกังฉินได้ยินรับสั่งเช่นนั้น ก็มีความกลัวยิ่งนักนั่งก้มหน้านิ่งอยู่ ไม่มีผู้ใดกราบทูลแก้ไขประการใด ด้วยเป็นความจริงทั้งสิ้น

พระเจ้าซ้องฮุยจงจึงให้ทำหนังสือรับสั่ง ให้ ซกไทอวยถือไปหาซ้องกั๋ง พร้อมด้วยป้ายทองคำสามสิบหก ป้ายเงินเจ็ดสิบสอง รวมร้อยแปดป้าย และให้เจ้าพนักงานจัดแพรแดงสามสิบหก แพรเขียวเจ็ดสิบสองไม้ สุราร้อยแปดขวด เป็นของพระราชทานปูนบำเหน็จแก่ซ้องกั๋ง และพรรคพวกทุกคน

ซกไทอวยก็นำขบวนออกจากเมืองตังเกีย มาถึงเมืองจีจิว เตียซกแม้ออกมาต้อนรับพาเข้าไปที่พัก เมื่อทราบเรื่องราวแล้วก็ยินดี กล่าวว่า

"...อาณาประชาราษฎรไม่ได้ทำมาหากินมาหลายปี ในบ้านเมืองข้าพเจ้า และหัวเมืองเขตแดนติดต่อกันนี้กันดารด้วยเสบียงอาหารนัก ซึ่งมีพระอักษรมาเกลี้ยกล่อมซ้องกั๋งคราวนี้ ข้าพเจ้ามีความยินดีด้วยเสร็จการศึก ราษฎรในแขวงหัวเมือง จะได้ทำมาหากินเป็นสุขสบายทั่วกัน..."

แล้วเตียซกแม้ก็เดินทางไปบอกข่าวแก่ซ้องกั๋งด้วยตนเอง ซ้องกั๋งขอเวลาจัดแจงเตรียมต้อนรับข้าหลวงสามวัน แล้วก็สั่งให้ทหารปลูกโรงพิธีใหญ่ มีเฉลียงลดสามชั้น เสาและเพดานหุ้มดาดด้วยผ้าแดง ห้อยพวงดอกไม้อัจกลับแลโคมงดงาม พื้นล่างปูพรมเจียม ตั้งโต๊ะเก้าอี้เหมือนพระที่นั่งเสด็จออกว่าราชการ และเฉลียงล่างตั้งเครื่องดนตรีมโหรีประโคม

เสร็จแล้วซ้องกั๋งกับ โลวจุนหงี หัวหน้าที่สองกับไพร่พลสิบคน ก็ข้ามฟากไปรับซกไทอวยข้าหลวงใหญ่

เมื่อมาถึงโรงพิธีแล้ว ข้าหลวงก็เชิญพระอักษรขึ้นตั้งไว้บนโต๊ะ แล้วให้เซียวเหยียงเป็นผู้อ่านดังคราวก่อน ในหนังสือรับสั่งฉบับนี้ มีแต่ข้อความที่เป็นมงคลทั้งสิ้น และสรุปความว่า

"....บัดนี้ทราบว่าซ้องกั๋งเป็นคนสัตย์ซื่อ มั่นคงประกอบด้วยกำลังและปัญญา คิดจะเข้าไปสามิภักดิ์ทำราชการ ทำนุบำรุงแผ่นดินให้มีความสุขด้วยกันนั้น เรายินดีเป็นอันมาก จึงได้มีลายอักษรให้ซกไทอวยคุมสิ่งของมาพระราชทาน.....ถ้าซ้องกั๋งกับพรรคพวก ได้ทราบความตาม พระอักษรแล้ว จงรีบพากันเข้าไปถวายบังคมโดยเร็ว จะโปรดพระราชทานยศศักดิ์ตามสมควร...."

ซ้องกั๋งก็รับของพระราชทาน มาแจกแก่นายทหารเอกโทถ้วนทุกคนแล้วก็รินสุราแจกจ่ายกินพร้อมกัน

ซกไทอวยพักอยู่กับซ้องกั๋งสามวันแล้ว ก็ขอลากลับไปก่อน และเร่งให้ซ้องกั๋งเข้าไปเฝ้าโดยเร็ว ถ้าขืนช้าไปแล้วขุนนางกังฉินคิดอ่านหาเหตุอุบาย มาขัดขวางให้ได้ความลำบากอีก

ซ้องกั๋งก็ขอเวลาจัดแจงเรื่องครอบครัวทหาร และราษฎรชาวบ้าน เป็นเวลาสิบวันก่อน แล้วพากันไปส่งซกไทอวย จนพ้นแดนเขาเนียซัวเปาะประมาณสามสิบลี้ จึงคำนับลากลับมาค่าย

ซ้องกั๋งก็ประชุมพรรคพวกทั้งหมด และกล่าวว่า

"....ท่านทั้งปวงที่มาประชุมกันอยู่เช่นนี้ เหมือนกับอยู่ในที่มืด ถึงจะเห็นแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์บ้างก็ไม่ชัด ด้วยมหาเมฆมาปิดกำบังไว้ บัดนี้มีลมพายุใหญ่พัดเปิดเอาเมฆนั้นไปพ้นแล้ว เราท่านก็ได้เห็นแสงสว่าง เหมือนกับเราทำการชั่วมาแต่ก่อน บัดนี้พระเจ้าซ้องฮุยจงมีพระอักษรแจ้งมาให้เห็นหนทางแล้ว ก็ควรจะเข้าสามิภักดิ์เป็นข้าฉลองพระคุณ....."

แล้วซ้องกั๋งก็ให้ทหารทั้งหลายตัดสินใจ ผู้ใดจะสมัครไปด้วยก็รับไว้ ผู้ที่ไม่สมัครไปขออยู่ที่เขาเนียซัวเปาะมีห้าพันครอบครัว ซ้องกั๋งจึงเอาบัญชีทรัพย์สินเงินทองของกลางมาตรวจดู แล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งนั้นถวายเป็นของหลวง อีกครึ่งหนึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วนเหมือนกัน

ส่วนหนึ่งแจกให้ทหารที่จะอยู่และจะไป อีกส่วนหนึ่งให้แจกชาวบ้านซึ่งมีคุณอยู่ในตำบลนี้ โดยปิดประกาศไว้ทั้งสี่ทิศ มีความว่า

".....แต่บรรดาราษฎรซึ่งอยู่ในเขตเขาเนียซัวเปาะนั้น จงพากันไปรับเอาเงินทองที่ค่าย ซ้องกั๋งจะแจกจ่ายให้เสมอกัน ไม่เลือกหน้า ถึงทารกยังนอนอยู่ในผ้าอ้อมก็มีส่วนแจกเหมือนกัน ถ้าราษฎรรู้คำประกาศ นี้แล้ว จงรีบเข้าไปในเจ็ดวัน...."

แล้ว ซ้องกั๋ง ก็พาพรรคพวกทั้งร้อยแปดคน กับบุ้นฮวนเจียง และไพร่พลอีกเป็นจำนวนมาก เดินทางไปยังเมืองตังเกียโดยมิชักช้า ด้วยความจงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้ อย่าง บริสุทธิ์ใจ.

##########

นิตยสารโล่เงิน
กันยายน ๒๕๔๒

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๒๗ สิงหาคม ๒๕๔๙




 

Create Date : 20 มกราคม 2551    
Last Update : 20 มกราคม 2551 7:12:21 น.
Counter : 421 Pageviews.  

ชุดที่ ๑๔ กองโจรกลับใจ (ตอนที่ ๕)

ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ

ชุดที่ ๑๔ กองโจรกลับใจ

ตอนที่ ๕ น้ำตาคนพาล

"เล่าเซี่ยงชุน"

เมื่อบุ้นฮวนเจียง ถือหนังสือรับสั่งของพระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ มาถึงเมืองจีจิวนั้น กอกิว หรือกอไทอวย แม่ทัพใหญ่ของเมืองตังเกีย กำลังมีความทุกข์อยู่ ด้วยพ่ายแพ้แก่กองโจรเขาเนียซัวเปาะมาถึงสองครั้ง กำลังหาทางจะแก้แค้น เมื่อได้รับแจ้งก็ขึ้นม้าพาทหารออกไปรับข้าหลวง เข้ามาพักในเมืองด้วยความยินดี เพราะนึกว่าจะมาช่วยคิดการศึก

แต่บุ้นฮวนเจียงบอกว่าพระเจ้าซ้องฮุยจงโปรดให้ยกโทษ ซ้องกั๋ง และพรรคพวกเขาเนียซัวเปาะเสีย กอกิวจึงขอร้องว่า

"....ท่านจะอนุเคราะห์เราจริงแล้ว จงงดหนังสือไว้อย่าให้ซ้องกั๋งรู้ความ ท่านกับเราช่วยกันคิดจับซ้องกั๋งกับ โงวหยง ฆ่าเสียก่อน ท่านจะสงเคราะห์ได้หรือไม่....."

บุ้นฮวนเจียงก็ว่า

".....ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ควรจะเป็นที่พึ่งแก่ขุนนางผู้น้อยและราษฎร พระเจ้าซ้องฮุยจงก็ทรงนับถือวางพระทัย ให้เป็นแม่ทัพออกมาปราบปรามศัตรูอันเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน ท่านแต่งทหารออกมารบหลายครั้งก็ไม่ได้ชัยชนะ จึงทรงเห็นว่าพวกโจรมีฝีมือเข้มแข็ง จะตั้งรบขับเคี่ยวเอาชัยชนะนั้นยาก แม่ทัพนายทหารและราษฎรก็จะได้รับความลำบากเดือดร้อน จึงได้โปรดให้มีหนังสือมาเกลี้ยกล่อมแต่โดยดี หวังมิให้มีการศึกต่อไป ควรที่ท่านกับทหารทั้งปวงจะสรรญเสริญ พระคุณเจ้าแผ่นดิน ซึ่งท่านจะให้ปิดหนังสือแลแปลงข้อความเสียนั้น ไม่สมควรกับทรงเมตตาชุบเลี้ยง ถึงท่านทำการมีชัยชนะสมความคิด คุณกับโทษก็พอจะกลบลบกัน แม้การไม่สมคิดท่านกับข้าพเจ้าก็จะมีความผิดเสมอโทษกบฏ เชิญท่านตรึกตรองการหน้าและหลังให้ตลอดเสียก่อน....."

กอกิวได้ฟังข้าหลวงชี้แจงอย่างยืดยาวดังนั้นก็โกรธ แต่ได้เก็บเอาไว้ในใจ แล้วไปปรึกษากับ อ้องกึน กรมการผู้ใหญ่เมืองจีจิว ออกอุบายให้เรียกตัวซ้องกั๋งมาฟังหนังสือที่หน้าเชิงเทินเมืองจีจิว แทนที่จะเอาไปส่งให้ที่เขาเนียซัวเปาะดังครั้งก่อน แล้วส่งคนไปแจ้งให้ซ้องกั๋งทราบ

ซ้องกั๋งปรึกษากับโงวหยง ว่ากอกิวให้เข้าไปฟังหนังสือรับสั่ง ที่หน้าเชิงเทินเมืองจีจิว นั้น จะเห็นประการใด โงวหยงก็ว่า

".....การครั้งนี้จะว่าจริงก็ได้ จะว่าอุบายก็เป็น ควรที่ท่านจะเข้าไปฟังหนังสือให้รู้ว่าร้ายหรือดี แต่จะต้องเตรียมทหารไปด้วย เกลือกมีเหตุจะได้ช่วยแก้ไขกัน...."
แล้วโงวหยงก็สั่งให้พี่น้องทหารเอกหกคน คุมทหารม้าพันหนึ่งไปซุ่มอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองจีจิว ให้อีกห้าคนคุมพลเดินเท้าพันหนึ่ง ไปซุ่มทางทิศตะวันตก ถ้าได้ยินเสียงประทัดสัญญาณ ให้เร่งยกมาช่วยโดยเร็ว

ซ้องกั๋งกับโงวหยงและนายทหารเอกทั้งหลาย ก็แต่งตัวสวมเกราะ ถืออาวุธประจำตัว ขึ้นม้าเป็นขบวนยกมาเมืองจีจิว ให้พวกทหารเรืออยู่รักษาค่าย ครั้นมาถึงหน้าเชิงเทินห่างประมาณ สองลี้ ก็กระจายออกเป็นหน้ากระดานสองแถว

ซ้องกั๋งกับโงวหยงออกไปยืนม้าอยู่หน้าพลพรรคทั้งปวง แล้วยกมือขึ้นคำนับพร้อมกัน

ทางฝ่ายในเมืองนั้นมีทหารรักษาหน้าที่เต็มเชิงเทิน ตรงกลางตั้งเก้าอี้มีธงประจำแผ่นดินปักไว้ และแต่งโต๊ะบูชาไว้หลายที่ มีทหารยืนตามตำแหน่ง ทำเหมือนพระเจ้าแผ่นดินออกว่าราชการ กอกิวเห็นซ้องกั๋งกับพวกแต่งตัวสง่าเหมือนออกศึก ก็ให้ทหารออกมาบอกให้ถอดเสื้อเกราะและวางอาวุธ เข้ามาคำนับถึงเชิงกำแพง

ซ้องกั๋งก็ให้ ไตจง ทหารเอกไปแจ้งแก่กอกิวว่า

"...การซึ่งมีหนังสือมานั้นจะเท็จจริงประการใดไม่ทราบ เป็นแต่คำคนใช้ไปบอก ถ้าเป็นหนังสือรับสั่งแน่แล้ว ก็จะจัดการแต่งรับคำนับตามธรรมเนียม ประการหนึ่งจะให้เรากับทหารเข้าไปคำนับ หนังสือถึงเชิงกำแพงแล้ว ขอท่านผู้มีอำนาจได้หาตัวกรมการและราษฎรที่มีอายุมาพร้อมกันจะได้เป็นสักขีพยานด้วยกันทั้งสองฝ่าย ตัวเราและทหารจะลงจากม้า วางอาวุธ ถอดเสื้อเกราะ เข้าไปคำนับฟังหนังสือ ถึงเชิงกำแพงเมืองไม่ขัดขืน....."

กอกิวจึงแจ้งให้นายอำเภอไปเป่าร้องราษฎรที่มีอายุ มาประชุมพร้อมกันอยู่บนเชิงเทิน แล้วให้ไตจงกลับมาบอกแก่ซ้องกั๋งรีบเข้ามาโดยเร็ว ซ้องกั๋งก็นัดกับทหารทั้งปวงให้ตีกลองเป็นสำคัญ นัดแรกนั้นทั้งหมดลงจากหลังม้า นัดที่สองวางอาวุธถอดเสื้อเกราะออกกองไว้ นัดที่สามพนมมือเดินเข้าไปพร้อมกันจนถึงเชิงกำแพง ตรงกับธงประจำแผ่นดิน แล้วคุกเข่าก้มศรีษะลงคำนับ คอยฟังหนังสือรับสั่ง

กอกิวเห็นดังนั้นก็หยิบหนังสือให้เจ้าพนักงานอ่าน ตามที่ได้ซักซ้อมไว้แล้ว ซึ่งมีข้อความในตอนท้ายว่า

"....ถ้าซ้องกั๋งกับพวกจะสมัครเข้าไปเป็นข้าราชการ ก็จะชุบเลี้ยงแต่งตั้งตามสมควรแก่คุณวิชา มิได้มีความรังเกียจ ถ้าไม่สมัครเข้าทำราชการในเมืองหลวงแล้ว ให้แยกย้ายกันไปทำมาหากินตามภูมิลำเนาของตัว ถ้าขัดสนด้วยเงินทุน หรือที่อยู่ไร่นาเรือกสวน ก็ให้มาบอกแก่เจ้าพนักงานกราบทูลให้ทราบ จะโปรดพระราชทานให้โดยสมควร ห้ามอย่าให้ซ่องสุมกันเป็นโจร เที่ยวตีชิงเบียดเบียน อาณาประชาราษฎรให้ได้รับความเดือดร้อน ถ้าซ้องกั๋งกับพวกมีชื่อนับถือพระเจ้าแผ่นดินโดยสุจริต จงทำสัตย์สาบานให้แม่ทัพนายทหารและผู้ถือหนังสือรู้เห็นเป็นพยาน แล้วให้กอกิวเลิกทัพกลับเข้าไปเมืองหลวง....."

แต่ผู้อ่านได้แปลข้อความ ตามที่กอกิวแก้ไขว่า

".....บรรดาพวกพ้องซ้องกั๋งนั้นโปรดยกโทษให้ แต่ตัวซ้องกั๋งต้นเหตุนั้น ให้กอกิวพาตัวเข้าไปเฝ้า ณ เมืองหลวง....."

โงวหยงได้ฟังก็เข้าใจในอุบายของกอกิว จึงพยักหน้าให้แก่ ฮวยหยง ผู้เชี่ยวชาญ เกาทัณฑ์ ฮวยหยงก็ร้องว่าไม่ยอมให้ซ้องกั๋งไป แล้วชักเกาทัณฑ์ที่ซ่อนไว้ยิงไปถูกคนอ่านหนังสือตกจากเก้าอี้

ซ้องกั๋งกับพวกก็รีบกลับมาขึ้นม้าพร้อมกัน โดยให้นายทหารข้างหลังยิงเกาทัณฑ์ขึ้นไปบนเชิงเทินเป็นอันมาก ป้องกันทหารบนเชิงเทินทำร้ายแก่พวกซ้องกั๋ง

กอกิวก็พาทหารออกจากเมืองตามตีซ้องกั๋งกับพวก โงวหยงก็จุดประทัดขึ้นเป็นสัญญาณ ให้กองโจรที่ซุ่มอยู่ ออกมารบกระหนาบกอกิวไว้ พวกโจรฆ่าฟันทหารเมืองตังเกียล้มตายไปประมาณสามส่วน กอกิวจึงต้องล่าถอยกลับเข้าเมืองไป

แล้วกอกิวก็ทำหนังสือกราบทูล กล่าวโทษซ้องกั๋งว่า

".......ซ้องกั๋ง โงวหยงไม่นับถือเชื่อฟังและเกรงพระราชอาญา ให้ฮวยหยงพูดท้าทายด้วยคำหยาบต่าง ๆ เอาเกาทัณฑ์ยิงคนอ่านหนังสือถึงแก่ความตาย แล้วไล่ฆ่าฟันทหารรักษาหน้าที่ และคน ประ จำการตายเสียหลายพัน ข้าพเจ้ายกทหารรออกสู้รบ ฆ่าพวกซ้องกั๋งตายลงเป็นอันมาก ซ้องกั๋งกับพวกจึงหนีกลับไปค่ายเขาเนียซัวเปาะ....."

และมีหนังสือลับไปถึง ชัวเกีย กับ ท่องกวน พรรคพวกกังฉิน ให้ช่วยกราบทูลขอกองทัพไปเพิ่มเติมเพราะจะต้องทำศึกเป็นแรมปี พระเจ้าซ้องยินจงทรงเชื่อตามหนังสือของกอกิว จึงมีรับสั่งให้นายทหารเอกสองนาย คุมทหารยี่สิบหมื่นมาช่วยกอกิวตามคำขอ

กอกิวจึงร่วมคิดกับบุ้นฮวนเจียง หาช่างมีฝีมือมาต่อเรือรบขนาดใหญ่ห้าร้อยลำ ตัวเรือนั้นหุ้มด้วยทองแดงเป็นเรือมีจักรกล กราบทั้งสองข้างมีกระดานเสริมเป็นเชิงเทิน หน้าเรือและท้ายเรือเป็นป้อม เจาะช่องสำหรับให้ ทหาร ยิงเกาทัณฑ์ออกไปได้ ด้านบนเป็นดาดฟ้าสองชั้น สูบน้ำขังไว้ชั้นบนกันข้าศึกทิ้งเพลิง เรือจะได้ไม่ไหม้ ชั้นล่างให้คนหมุนจักรสองข้าง ๆ ละ ยี่สิบคน มีลูกเรือลำละสองร้อยคน

ฝ่ายซ้องกั๋งกับโงวหยงรู้ข่าว จึงส่งพรรคพวกปลอมเข้าไป เป็นลูกมือต่อเรือสองคน ได้ช่วยทำงานอยู่ประมาณเดือนเศษ พอคุ้นเคยกับพื้นที่ตั้งโรงต่อเรือแล้ว ก็ลอบวางเพลิงเผาโรง ต่อเรือ ให้เกิดวุ่นวายขึ้น และส่งกองโจรเข้าไปป้องกันไม่ให้ทหารหลวงเข้าไปดับเพลิงได้ เพลิงจึงไหม้เรือที่ยังต่อไม่เสร็จเสียหายใช้การไม่ได้ถึงร้อยลำ เหลือพอซ่อมได้ยี่สิบลำ แต่กอกิวก็สั่งให้ดำเนินการต่อไปให้สำเร็จจนได้

ครั้นการต่อเรือสำเร็จเรียบร้อยตามแผนแล้ว กอกิวก็จัดกองทัพเรือให้กองหน้าสามสิบลำมีพลลำละพันยกไปก่อน กองหนุนมีเรือห้าสิบลำพลลำละห้าร้อย ส่วนกองหลวงนั้น กอกิวเป็นแม่ทัพ บุ้นฮวนเจียงเป็นที่ปรึกษา มีเรือสี่ร้อยยี่สิบลำ ยกออกจากหน้าเมืองจีจิวไปยังเขาเนียซัวเปาะ

ฝ่ายโงวหยงจัดกองเรือเล็กมากมาย มีพลลำละสี่ห้าคน จัดทหารเอกที่ดำน้ำได้นานสิบสามนาย พลทหารสามหมื่นเศษ แยกออกเป็นสี่กอง เข้าล้อมกองทัพเรือของกอกิวไว้ทั้งหน้าหลัง เหมือนกับหมู่มดห้อมล้อมตอมน้ำอ้อย

กอกิวให้ทหารระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์เป็นห่าฝน แต่ทหารกองโจรคอยหลอกล่อ เดี๋ยวหนีเดี๋ยวเข้ามาใหม่มิได้แตกพ่ายไป ในขณะที่ต่อสู้กันบนผิวน้ำ พวกโจรนักประดาน้ำของเขาเนียซัวเปาะ ก็พากันดำน้ำเข้าไปถึงใต้ท้องเรือหลวง ใช้สิ่วและบิดหล่าเจาะท้องเรือแนวหมันยาเรือทะลุหมดทุกลำ น้ำก็เข้าเรือท่วมไปจนถึงดาดฟ้า

กอกิวกับบุ้นฮวนเจียงเห็นว่าเรือจะจมแน่ จึงหาทางโดดน้ำหนี ฝ่ายเนียซัวเปาะก็ปีนขึ้นไปบนเรืออาสาพาลงเรือเล็กหนี ทั้งสองคิดว่าเป็นทหารของตน จึงเข้าไปหา นายโจรทั้งสองคือ เตียสุน กับ เตียหวย ก็ฉุดมือกอกิวกับบุ้นฮวนเจียง โดดลงน้ำแล้วกอดไว้แน่น พาว่ายน้ำไปประมาณสองลี้ก็ถึงฝั่ง แม่ทัพหลวงกับที่ปรึกษาก็หมดกำลังนอนสลบไป

พวกลูกเรือหลวงทั้งหลายก็โดดน้ำตามนาย และถูกฆ่าตายไปเสียมากต่อมาก กองทัพเรือของเมืองจีจิวก็จมน้ำลงไปเกือบหมด ที่เหลือแตกพ่ายไปไม่เป็นขบวน

เตียหวยนั้นคิดจะตัดศรีษะ กอกิวกับบุ้นฮวนเจียง เอาไปให้ซ้องกั๋ง แต่ เตียสุนท้วงว่า

".....เจ้าจะทำหุนหันนั้นไม่ได้จะเสียการ ด้วยกอกิวเป็นที่กอไทอวยขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าซ้องฮุยจง ตัวเราและเจ้ามีบรรดาศักดิ์ต่ำไม่ควรทำอันตรายแก่เขาให้ถึงชีวิต ประการหนึ่งซ้องกั๋งผู้พี่ของเรา ไม่ได้คิดประทุษร้ายต่อแผ่นดิน สมัครจะเข้าไปเป็นข้าราชการอยู่ในเมืองหลวง ถ้าเราทำอันตรายแก่กอกิว พระเจ้าซ้องฮุยจงก็จะเห็นว่าพี่เราเป็นกบฏ....."

ทั้งสองจึงช่วยกันแก้ไขให้ฟื้นคืนสติ แล้วคุมตัวไปขังไว้ กอกิวก็ปรารภกับบุ้นฮวนเจียงว่า

".....ตัวเราและท่านคราวนี้ ไม่ได้กลับไปเห็นหน้าบุตรภรรยาอีกแล้ว จะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ในเขาเนียซัวเปาะเป็นแน่....."

พูดแล้วก็ร้องไห้ น้ำตาไหลลงอาบหน้า บุ้นฮวนเจียงเห็นกอกิวมีความโศกเศร้าเสียใจ จนไม่มีสติที่จะคิดแก้ไขก็ได้แต่เวทนา เพราะไม่รู้ว่าทั้งกอกิวและตนเอง จะมีชีวิตรอดจากเขาเนียซัวเปาะกลับไปเมืองตังเกียได้อย่างไรเหมือนกัน.

##########
นิตยสารโล่เงิน
สิงหาคม ๒๕๔๒

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๙




 

Create Date : 19 มกราคม 2551    
Last Update : 19 มกราคม 2551 5:32:07 น.
Counter : 954 Pageviews.  

ชุดที่๑๔ กองโจรกลับใจ (ตอนที่ ๔)

ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ

ชุดที่ ๑๔ กองโจรกลับใจ

ตอนที่ ๔ พิชิตแม่ทัพใหญ่

"เล่าเซี่ยงชุน"

เมื่อคณะข้าหลวงทั้งสามนายกลับมาจากเขาเนียซัวเปาะแล้ว เข้าเฝ้าพระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ กราบทูลมูลคดีที่ถูก ซ้องกั๋ง กับพรรคพวกทำหยาบช้า แก่ผู้แทนพระองค์ทุกประการ พระเจ้าซ้องฮุยจงทรงมีความแค้นยิ่งนัก จึงให้เอาตัว ซุยเจ๋ง ผู้แนะนำให้มีหนังสือไปเกลี้ยกล่อมพวกเขาเนียซัวเปาะ จำขังไว้ในคุก

พวกขุนนางกังฉินก็เสนอให้ ท่องกวน เป็นแม่ทัพยกกองทัพไปปราบปรามพวกโจรที่เขาเนียซัวเปาะ ให้ราบคาบ พระเจ้าซ้องฮุยจงทรงเห็นชอบด้วย จึงพระราชทานตราทองคำสำหรับตำแหน่ง กับธงอาญาสิทธิ์ให้แก่ท่องกวน ในฐานะเป็นแม่ทัพใหญ่

ท่องกวนยกกองทัพอันประกอบด้วย ทหารจากหัวเมืองแปดเมือง มีพลแปดหมื่น รวมกับทหารในเมืองหลวงอีกสองหมื่นเป็นสิบหมื่น ออกจากเมืองตังเกียไปถึงเมืองจีจิว เตียซกแม้ เจ้าเมืองก็ออกมาต้อนรับ ท่องกวนบอกว่ายกทัพมาครั้งนี้เพื่อจะปราบปรามพวกเขาเนียซัวเปาะเสียให้ราบคาบ เตียซกแม้จึงเตือนว่า

"...ซ้องกั๋งคนนี้มีสติปัญญาคิดการรอบคอบ รู้ประมาณการหนักและเบา ประการหนึ่ง โงวหยง ที่ปรึกษา และทหารทั้งร้อยแปดคน ก็มีสติปัญญาและฝีมือเข้มแข็งนัก ถ้าจะรบโดยซึ่งหน้าเห็นจะเอาชัยชนะยาก ท่านจงคิดกลศึกให้ซ้องกั๋งกับพวก หลงในอุบายจึงจะได้ชัยชนะ....."

ท่องกวนก็ว่า

"...ถ้าตัวรู้จักกลศึกลึกซึ้งแล้ว เหตุใดจึงไม่จับพวกโจรถวายเอาความชอบ...."

เตียซกแม้บอกว่าพวกโจรมากเหลือกำลัง จึงไม่อาจจับได้ ท่องกวนก็ตวาดเอาว่า

".....ตัวเป็นแต่ผู้ว่าราชการบ้านเมืองเล็กน้อย ไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมแม่ทัพ กลับมาสอนเราผู้มีอาญาสิทธิ์อีกเล่า ซึ่งเรายกมาครั้งนี้มีทหารเอกร้อยเศษ ทหารเลวกว่าสิบหมื่น ไม่ต้องคิดอุบายให้ป่วยการ เราจะให้ทหารถือมูลดินคนละก้อน ถมค่ายเขาเนียซัวเปาะเสียให้เต็ม แต่ในพริบตาเดียว....."

เตียซกแม้ก็จนปัญญาที่จะว่ากล่าวต่อไป จึงจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดูแม่ทัพนายกอง และเลี้ยงทหารทั้งกองทัพ ให้พักอยู่คืนหนึ่ง

รุ่งขึ้นท่องกวนก็จัดทหารเป็นกระบวนยกออกจากเมืองจีจิวไปถึงท่าข้าม ให้ตั้งค่ายเรียงรายไปตามฝั่งน้ำ และหน้าค่ายนั้นให้ทุบปราบเป็นลาน สำหรับทหารจะได้ซ้อมหัดเพลงอาวุธ เป็นการข่มขวัญพวกโจรที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

ฝ่ายซ้องกั๋งเมื่อทราบข่าว ก็ปรึกษากับ โงวหยงคิดการต่อสู้กับกองทัพเมืองหลวงให้เด็ดขาด โงวหยงจึงจัดทหารออกเป็นเจ็ดกอง นายกองหกคนทั้งซ้องกั๋งกับนายรองหกสิบห้านาย ทหารเลวห้าหมื่นห้าพัน ยกข้ามน้ำไปตั้งค่ายห่างค่ายทหารหลวงประมาณห้าลี้ แล้วก็เคลื่อนเข้าล้อมค่ายของท่องกวนไว้ทั้งสี่ทิศ

เมื่อซ้องกั๋งกับท่องกวนมาพบกัน ต่อหน้ากองทัพของทั้งสองฝ่าย ท่องกวนก็ข่มขวัญว่า

".....เหตุไฉนมืงเป็นกบฎต่อแผ่นดิน บัดนี้พระเจ้าซ้องฮุยจงมอบอาญาสิทธิ์ ให้กูมาตัดศรีษะตัวมืงและพวกพ้องเสียให้สิ้น ถ้ารักชีวิตอยู่แล้วจงเร่งลงจากม้าวางอาวุธ เข้ามาคำนับเสียโดยดี จะยกโทษให้....."

ซ้องกั๋งตอบว่า

"....ซึ่งเราออกมาตั้งอยู่ในเขาเนียซัวเปาะ ก็มิได้เบียดเบียนแก่ผู้ใด จำใจมาอยู่เพราะเกลียดชังพวกมืงซึ่งเป็นคนกังฉิน อย่าพูดยกตัวอวดอ้างไม่ต้องการ ถ้าจะให้เห็นว่าใครดีแล้ว จงออกมารบกันเถิด....."

กองทัพของทั้งสองฝ่ายก็เข้ารบกันเป็นสามารถ แต่ไม่นานค่ายท่องกวนก็แตก ต้องถอยไปตั้งหลักประมาณสามสิบลี้ พวกเขาเนียซัวเปาะตามตีอีกหลายครั้ง ทั้งบนบกและในน้ำ ท่องกวนต้องเสียทหารเอกไปแปดคน ถูกจับเป็นเชลยหนึ่งคนคือ หองมุ้ย

ส่วนทหารเลวนั้นเหลืออยู่เพียงสามหมื่น ต้องรีบหนีไปโดยไม่แวะเมืองจีจิวเพราะละอายแก่เจ้าเมือง ตรงกลับไปตังเกียเมืองหลวงเลย

เมื่อเสร็จการรบแล้ว ซ้องกั๋งจึงนำตัวหองมุ้ยมาแก้มัด แล้วเชิญให้นั่งในที่อันสมควร แล้วว่า

".....ตัวเรามาตั้งกองอยู่ในเขาเนียซัวเปาะนี้ จะได้คิดตั้งตัวเอาราชสมบัติ และเป็นโจรเที่ยวตีปล้นเอาทรัพย์สิ่งของผู้ใดนั้นหามิได้ เราคิดตั้งใจว่าจะเข้าไปทำราชการฉลองคุณพระเจ้าแผ่นดินมิได้ขาด เมื่อมีหนังสือรับสั่งให้เราเข้าไป ก็คงจะยอมตามรับสั่ง แต่ข้าหลวงนั้นทำอาการเย่อหยิ่งข่มขู่เราด้วยอำนาจ ทหารทั้งปวงมีความเจ็บแค้นจะพากันฆ่าเสีย เราสู้ป้องกันห้ามปรามไว้ไม่ให้ทำ เพราะกลัวคำคนนินทาว่าเป็นคนทรยศ และซึ่งกองทัพยกมาทำร้ายเราครั้งนี้ ก็เพราะขุนนางพวกกังฉินทูลยุยง ตัวเรามิสู้ก็จำสู้ อุปมาเหมือนเพลิงไหม้ศรีษะ ธรรมดาว่าคนเพลิงติดขึ้นบนศรีษะแล้ว ก็ย่อมจะขวนขวายให้เพลิงนั้นพ้นจากศรีษะด้วยความร้อน ซึ่งเราจับท่านได้ครั้งนี้ เราไม่ทำอันตรายแก่ท่าน เพราะตัวของท่านเป็นข้าราชการ อยู่ในพระเจ้าซ้องฮุยจง เราจึงได้นับถือ....."

หองมุ้ยก็มีความยินดี จึงบอกว่า

".....เดิมข้าพเจ้าได้ยินขุนนางและราษฎรในเมืองหลวงและหัวเมือง กล่าวโทษท่านว่าเป็นโจรเที่ยวตีปล้นบ้านเมือง และราษฎรจะชิงเอาราชสมบัติ คำคนกล่าวร้ายนั้นมากคำสรรเสริญนั้นน้อยนัก ข้าพเจ้าก็เป็นคนหูเบาหลงเชื่อ บัดนี้ได้ยินถ้อยคำและเห็นน้ำใจท่าน ไม่สมกับความนินทาเลย...."

ซ้องกั๋งก็ว่า

".....ขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองตังเกียนั้น เป็นกังฉินสักร้อยส่วน ที่เป็นคนตั้งอยู่ในสุจริตสักส่วนเดียว และคนกังฉินที่เป็นพาลนั้น ย่อมประกอบด้วยความอิจฉา ถ้าเห็นว่าผู้ใดตั้งอยู่ในสัตย์สุจริต และหมั่นประพฤติการควรประพฤติแล้ว ก็กล่าวคำนินทาต่าง ๆ การเป็นเช่นนี้ ความนินทาจึงมากกว่าสรรเสริญ....."

ว่าแล้วก็จัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยง หองมุ้ยพักอยู่กับซ้องกั๋งอีกสามวันแล้วก็ขอลากลับ ซ้องกั๋งก็สั่งเสียให้ช่วยกราบทูลฮ่องเต้ตามความจริงด้วย

ทางฝ่ายท่องกวน เมื่อกลับไปถึงเมืองตังเกียแล้ว ก็ไปหา กอกิว หรือที่มีตำแหน่งเป็น กอไทอวยขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร เล่าเรื่องที่แตกทัพให้ฟัง เมื่อปรึกษากันอยู่ หองมุ้ยก็กลับมาถึง เล่าเรื่องที่ซ้องกั๋งปล่อยตัวมาทุกประการ กอกิว กับ ชัวเกีย จึงพาท่องกวนเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซ้องฮุยจงในวันรุ่งขึ้น

ท่องกวนกราบทูลว่า ยกทัพไปครั้งนี้เป็นฤดูแล้ง น้ำในหนองบึงงวดลง มีรสเปรี้ยวเฝื่อน คนในกองทัพอาบกินจึงเป็นโรคตายเพราะผิดน้ำ ชัวเกียกับกอกิวก็ช่วยสนับสนุน และกอกิวก็ขออาสายกทัพไปปราบพวกเขาเนียซัวเปาะอีกครั้ง คราวนี้จะยกไปทั้งทัพบกทัพเรือ

พระเจ้าซ้องฮุยจง จึงพระราชทานกระบี่อาญาสิทธิ์ ให้กอกิวเป็นแม่ทัพ

กอกิวก็เบิกเงินในท้องพระคลังไปสามสิบหาบ และมีคำสั่งให้หัวเมืองต่าง ๆ ต่อเรือรบจำนวนสองร้อยลำ ให้ได้ในหกสิบวัน แล้วเกณฑ์ทหารจากหัวเมืองที่อยู่ใกล้เขาเนียซัวเปาะถึงสิบหัวเมือง เป็นจำนวนสิบหมื่น อีกสองเมืองเป็นทหารเรือจำนวนหมื่นห้าพัน แล้วยกไปบรรจบกันที่เมืองจีจิวตามกำหนด

กอกิวก็เลือกเอาทหารของตนหมื่นห้าพัน และจัดนางมโหรีกับคนขับร้องที่รูปงามเสียงไพเราะไปด้วยสามสิบเศษ ให้นั่งรถไปอย่างสบาย แล้วก็ยกพลไปยังเมืองจีจิว เตรียมทำสงครามกับฝ่ายกองโจรเขาเนียซัวเปาะ ให้แตกหักไป

ซ้องกั๋งก็ปรึกษากับโงวหยงว่า

".....กอกิวยกมาครั้งนี้มีทหารถึงสิบสี่สิบห้าหมื่น ทหารของเราสิน้อยกว่า จะต่อสู้เขาได้หรือ...."

โงวหยงจึงว่า

".....ลักษณะการจะทำศึกสงคราม ก็ต้องอาศัยความเพียรและสติปัญญาเป็นประมาณ ถ้าหาปัญญามิได้แล้ว ถึงจะมีทหารสักเท่าใด ก็ย่อมจะปราชัยแก่ผู้มีปัญญาเป็นแท้ ท่านไม่รู้หรือ เมื่อครั้งแผ่นดินสามก๊ก เล่าปี่มีทหารสามพัน โจโฉยกกองทัพมาหลายสิบหมื่น ถึงกระนั้นขงเบ้งก็ยังคิดกลอุบาย เอาชัยชนะให้โจโฉแตกไปได้ และกองทัพของเรานี้ มีทหารมากกว่าเล่าปี่สองสามส่วน จะคิดเอาชนะกอกิว ไม่ได้หรือ....."

แล้วโงวหยงก็จัดทัพเรือให้ อวนเซียวยี อวนเซียวเหงา อวนเซียวชิด สามพี่น้องผู้ชำนาญทางน้ำ คุมกองทัพเรือ แล้วซ้องกั๋งก็ยกข้ามน้ำไปตั้งค่ายประจันหน้ากับทหารหลวง

ทั้งสองฝ่ายรบกันอยู่หลายวัน กอกิวก็เรียกกองทัพเรือ ให้เข้าตีทางด้านหลังของค่ายซ้องกั๋ง แต่ถูกทัพเรือของเนียซัวเปาะ ทำลายหมดทั้งกองทัพ แล้วกองทัพบกของซ้องกั๋งก็เข้าตีค่ายของกอกิวแตก ต้องถอยกลับไปเมืองจีจิว และต่อเรือรบขึ้นใหม่อีก

ซ้องกั๋งยกกองทัพตามมาถึงเมืองจีจิว แม้จะไม่สามารถตีเมืองจีจิวได้ แต่ในการรบก็จับตัว ฮั่นซุนป๊อ และ ตันซิหยง นายทหารเอกของกอกิวได้ ซ้องกั๋งก็เกลี้ยกล่อมเช่นเดียวกับหองมุ้ย แล้วส่งตัวกลับไปเมืองจีจิว

กอกิวก็สั่งให้ประหารชีวิตนายทหารทั้งสอง แต่นายทหารทั้งหลายได้ขอโทษไว้ กอกิวจึงถอดออกจากตำแหน่ง และขับไล่ออกไปจากกองทัพ ทั้งสองจึงกลับมาที่เมืองตังเกีย เข้าไปหาขุนนางตงฉิน เล่าเรื่องซ้องกั๋งตั้งใจสามิภักดิ์ให้ฟัง ขุนนางตงฉิน จึงพากันไปเฝ้าพระเจ้าซ้องฮุยจง และกราบทูลข้อความให้ทรงทราบทุกประการ กับขอให้มีหนังสือรับสั่ง ให้ข้าหลวง ไปว่ากล่าวซ้องกั๋งแต่โดยดีอีกครั้ง

พระเจ้าซ้องฮุยจงก็ทรงโปรดให้มีหนังสือให้ บุ้นฮวนเจียง ถือไปเมืองจีจิว

ฝ่ายกอกิวให้ชาวเมืองต่อเรือรบใหญ่น้อย ได้ถึงสองพันห้าร้อยลำเสร็จ และฝึกทหารเรือเรียบร้อยแล้ว ก็ตรึงให้เรือติดกันเป็นคู่ ๆ ยกเป็นทัพหน้าเข้าตีพวกเขาเนียซัวเปาะ แล้วตนเองก็ยกทัพบกตามไป แต่ทัพเรือของกอกิวก็ถูกอุบายของโงวหยงเผาเสียทั้งกองทัพ เช่นเดียวกับที่ ขงเบ้ง เคยทำกับ โจโฉ กองทัพบกก็ถูกดักซุ่มโจมตีจนแตกพ่าย นายทหารเอกถูกจับไปตัดศรีษะ อีกสองคน ต้องกลับมาพักฟื้นอยู่ในเมืองจีจิวอีกครั้ง.

##########

นิตยสารโล่เงิน
กรกฎาคม ๒๕๔๒

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๒๓ สิงหาคม ๒๕๔๙




 

Create Date : 18 มกราคม 2551    
Last Update : 18 มกราคม 2551 7:02:36 น.
Counter : 472 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.