Group Blog
 
All Blogs
 

ชุดที่ ๓ ลิมชอง....อัศวินผู้อาภัพ (ตอนที่ ๒)

ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ

ชุดที่ ๓ ลิมชอง.....อัศวินผู้อาภัพ

ตอนที่ ๒ ไม่ถึงที่ตายยังไม่วายวุ่น

"เล่าเซี่ยงชุน "

ลิมชอง กับผู้คุมสองคนคือ ตังเทียว และ สิปา พากันเดินทางมาจนถึงเมืองชองจิว ก็ได้ข่าวว่ามีชายผู้หนึ่งชื่อ ชาจิน เป็นผู้มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ฝีมือก็เข้มแข็ง ใจโอบอ้อมอารีชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก และเป็นเชื้อสายของ พระเจ้าชาซิจงฮ่องเต้ ครั้งแผ่นดินก่อน ต่อมา พระเจ้าเตี้ยคังเอี๋ยน ได้พระราชทานสิทธิพิเศษ ให้แก่บุตรหลานของพระเจ้าชาซิจงสืบทอดมาจนถึงชาจิน ไม่ให้ต้องโทษทัณฑ์ทุกประการ เจ้าของโรงสุราก็แนะนำให้ลิมชองไปขอความช่วยเหลือ

ลิมชองกับผู้คุมทั้งสองก็พากันไปที่บ้านของชาจิน แต่ไม่พบเพราะออกไปเที่ยวล่าสัตว์ในป่า ไม่ทราบว่าจะกลับเมื่อใด ทั้งสามก็ไม่รอ เดินทางต่อไปอีกประมาณสามลี้ เห็นชายผู้หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่งดงาม อายุประมาณสามสิบเศษ ขี่ม้ามาท่ามกลางไพร่พล จึงหยุดยืนดูอยู่ ชายผู้นั้นชักม้าเข้ามาใกล้แล้วถามว่า คนต้องโทษมาจากเมืองไหน ชื่อแซ่อะไร

ลิมชองก็แนะนำตัวแล้วเล่าความที่ กอไทอวยใส่ความ จนต้องโทษเนรเทศมาถึงเมืองนี้ ได้ข่าวว่าท่านชาจินมีจิตเมตตาต่อคนโทษจึงมารออยู่ ชายผู้นั้นก็ลงจากหลังม้าบอกว่าตนเองคือชาจิน และขอเชิญลิมชองกลับไปที่บ้าน แล้วสั่งคนใช้ให้จัดการแต่งโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดูลิมชองและผู้คุมทั้งสอง คนใช้จัดแต่เพียงเล็กน้อยราคาประมาณสองหมื่นอีแปะ เช่นเดียวกับคนโทษอื่น ๆ ที่เคยผ่านมา

ชาจินก็สั่งให้จัดใหม่ให้สมเกียรติของลิมชอง ซึ่งเคยเป็นครูทหารอยู่ที่เมืองหลวง

ขณะนั้น อังกาซือ ครูเพลงอาวุธประจำบ้านชาจิน กลับจากธุระเข้ามาถึง ชาจินก็จัดโต๊ะให้อีกโต๊ะหนึ่ง ลิมชองเห็นว่าเป็นผู้อาวุโสอยู่ในบ้านนี้จึงลุกขึ้นไปคำนับ อังกาซือเห็นว่าเป็นคนโทษก็ไม่รับคำนับ ชาจินจึงแนะนำลิมชองให้อังกาซือรู้จักชื่อแซ่ และฝีมือ ลิมชองก็คำนับอีก อังกาซือบอกว่าอย่าคำนับเราเลยลุกขึ้นเสียเถิด
ลิมชองก็กลับไปนั่งที่ของตน

ชาจินชวนอังกาซือให้ย้ายมานั่งโต๊ะเดียวกัน อังกาซือลุกมานั่งข้างชาจิน แล้วถามตรง ๆ ว่า ท่านจัดหาโต๊ะสุราอาหารอย่างดีมาเลี้ยงดูคนโทษนี้มีเหตุผลประการใด ชาจินก็โกรธที่พูดดูถูกลิมชอง จึงว่าท่านไม่รู้จักอะไรเลย ลิมชองไม่เหมือนคนทั้งปวง เขาเป็นครูทหารใหญ่ จึงได้คำนับเลี้ยงดูกันตามธรรมเนียม

อังกาซือก็ว่าท่านเป็นผู้สนใจเพลงอาวุธ พอใครมาอวดอ้างว่า เป็นครูทหารรู้จักเพลงอาวุธก็เชื่อ บางคนอาจมาหลอกกินและเอาเงินทองไปเท่านั้น อย่าได้เชื่อง่ายนัก ชาจินก็ว่า

"......คนทุกวันนี้จนแล้วกลับมั่งมีทรัพย์สินก็ถมไป เกิดเป็นชายอย่าได้หมิ่นชาย ท่านเห็นลิมชองเป็นคนโทษ ก็มาดูถูกหาควรไม่....."

อังกาซือจึงว่าถ้าได้ทดลองฝีมือ แล้วสามารถเอาชนะตนได้ก็จะเลิกดูถูก ลิมชองเกรงใจเจ้าของบ้านจึงปฏิเสธ แต่อังกาซือคิดว่ากลัว จึงเร่งเร้าให้ทดลองกันหน่อย ชาจินอยากจะดูฝีมือลิมชอง จึงอนุญาตให้ออกไปกลางสนามเดือนสว่าง

ลิมชองเอากระบองของผู้คุม ออกไปสู้กับอังกาซือได้สี่ห้าเพลงก็ร้องว่าขอยอมแพ้แล้ว ชาจินถามว่าเพิ่งลงมือทำไมจะยอมแพ้ ลิมชองก็ว่าจะต่อสู้ทั้ง ๆ ที่ติดขื่อคาอยู่อย่างนี้ มันก็ต้องแพ้วันยังค่ำ

ชาจินก็ว่าลืมไปไม่ทันคิด จึงเอาเงินให้ผู้คุมสิบตำลึง ขอให้ไขขื่อคาออกสักครู่ โดยตนเองรับประกันว่าไม่หนี ผู้คุมเห็นชาจินเป็นผู้มีหลักฐานดี ก็ไขเอาคาออกจากคอลิมชอง ชาจินก็วางเงินรางวัลไว้ยี่สิบห้าตำลึง ผู้ใดชนะให้รับรางวัลไป คราวนี้ลิมชองจับกระบองเข้าสู้รบกับอังกาซือ ซึ่งถือกระบองเหมือนกัน ยังไม่ทันถึงเพลงลิมชองก็ตีถูกขาอังกาซือล้มลง ได้รับความอับอายต้องก้มหน้าเดินออกจากบ้านชาจินไป
ชาจินก็ชวนให้ทั้งผู้คุมและลิมชอง อยู่คุยกันจนสว่างคาตา

รุ่งเช้าชาจินก็เขียนหนังสือสองฉบับ ถึงเจ้าเมืองฉบับหนึ่ง ถึงขุนนางผู้กำกับคุกอีกฉบับหนึ่ง ฝากฝังให้ช่วยดูแลลิมชองด้วย แล้วก็ให้เงินรางวัลแก่ลิมชองยี่สิบห้าตำลึง ให้ผู้คุมห้าตำลึง ผู้คุมทั้งสองก็เอาคาใส่คอลิมชอง พากันเดินไปอีกครึ่งวันจนถึงบ้านเจ้าเมืองชองจิว ผู้คุมนำหนังสือส่งตัวนักโทษให้เจ้าเมืองรับไว้ แล้วรับหนังสือตอบกลับไปเมืองตังเกีย เจ้าเมืองก็ส่งตัวลิมชองเข้าคุกไป

พวกคนโทษเก่าก็มาต้อนรับลิมชอง แล้วแนะนำว่าผู้กำกับคุกกับผู้คุมใหญ่ ใจคอโหดร้าย จะเอาแต่เงินทองอย่างเดียว ถ้ามีเงินให้คนละห้าตำลึงจึงจะอยู่สบาย ถ้าไม่มีให้ก็ต้องเฆี่ยนร้อยทีแล้วเอาไปจำขังไว้ในหลุม ลิมชองก็รับฟังอยู่ พอผู้คุมใหญ่มาสอบถามหา ลิมชองก็เอาเงินให้ไปห้าตำลึง ผู้คุมยินดีถามว่าเงินนี้รวมถึงผู้กำกับคุกด้วยหรือ ลิมชองจึงมอบเงินอีกสิบตำลึงกับหนังสือของชาจิน ให้ช่วยนำไปให้ผู้กำกับคุก ผู้คุมก็พูดว่าจะช่วยเหลือไม่ให้ถูกเฆี่ยน

ลิมชองก็ขอบคุณผู้คุมและคิดในใจว่า

"…….คนทุกวันนี้ มีทรัพย์ก็ไม่ตาย ถ้าไม่มีเงินให้ ชีวิตก็คงตายในคุกนี้เอง…"

ฝ่ายผู้คุมก็แอบยักยอกเงินเสียห้าตำลึง แล้วเอาหนังสือกับเงินห้าตำลึงไปให้ผู้กำกับคุก เมื่ออ่านหนังสือที่ชาจินฝากฝังแล้ว ก็ช่วยลดหย่อนให้ลิมชองไม่ต้องถูกโบยอ้างว่ายังป่วยอยู่

ผู้คุมจึงแนะนำว่าเวลานี้ไม่มีผู้รักษาศาลเจ้าของคุก สมควรให้ลิมชองไปรักษาศาลเจ้า ถึงเวลาก็จุดธูปไหว้เจ้า และกวาดศาลให้เตียนเท่านั้นเอง ผู้คุมก็พูดเอาบุญคุณว่า

"....ท่านดูผู้อื่นเถิด ทำงานยังค่ำซ้ำกลางคืนก็ขังคุกไว้ งานในคุกนี้ถ้าผู้ใดได้ไปรักษาศาลก็จัดเป็นอย่างสบาย ถึงท่านเสียเงินให้เรา ก็มีความสุขมากกว่าคนทั้งปวง..."

ลิมชองก็ว่า

".....ท่านช่วยข้าพเจ้าครั้งนี้ บุญคุณหนักหนา ถ้าสืบไปภายหน้า ข้าพเจ้าจะสนองคุณท่าน....."

พอไปถึงศาลลิมชองก็ส่งเงินให้ผู้คุมอีกสามตำลึง ขอให้ถอดคาออกเสีย รับรองว่าจะไม่หลบหนีไปไหน ผู้คุมก็จัดการให้ ลิมชองก็เป็นสุขสบายอยู่ที่ศาลเจ้า จะไปเที่ยวไหนก็ได้ อยู่มาได้ห้าสิบวันเข้าฤดูหนาว ชาจินก็ส่งเสื้อกางเกงมาให้ลิมชองใส่กันหนาวด้วย

วันหนึ่งลิมชองว่าง ก็ออกมาเดินเล่นอยู่หน้าศาลเจ้า ได้พบกับ เซียวยี่ เดิมเป็นลูกจ้างโรงขายสุราอยู่ที่เมืองหลวง ต่อมาได้ลักเงินเจ้าของโรงสุรา แต่ถูกจับได้จะถูกส่งตัวไปลงโทษ ลิมชองก็ช่วยออกเงินใช้หนี้ให้จึงพ้นโทษ เมื่อขอลาเดินทางไปหาพี่น้อง ลิมชองก็ให้เงินติดตัวไปอีก จึงถามว่ามาทำอะไรอยู่ที่เมืองชองจิวนี้

เซียวยี่ก็คุกเข่าลงคำนับเล่าว่า ไปหาญาติพี่น้องไม่พบ ก็เลยทำมาหากินเป็นลูกจ้างโรงเตี๊ยมอยู่ในเมืองนี้ บังเอิญเถ้าแก่ชอบใจการทำงาน มีจิตเมตตายกบุตรสาวให้เป็นภรรยา อยู่กินด้วยกันมา จนบิดามารดาของภรรยาตายไปหมด จึงทำการค้าขายเลี้ยงตัวมาสองคนกับ ภรรยาจนถึงบัดนี้ ไม่เคยลืมคุณที่ได้รับอุปการะมาแต่หนหลัง

ลิมชองก็เล่าเรื่องที่ตนต้องโทษจนถูกเนรเทศมาอยู่เมืองนี้ เซียวยี่ก็พาลิมชองไปที่บ้าน แล้วให้ภรรยาออกมาคำนับผู้มีคุณ ตั้งแต่นั้นมาลิมชองกับเซียวยี่ ก็ไปมาหาสู่กันเป็นประจำมิได้ขาด

อยู่มาวันหนึ่งตอนเช้า เซียวยี่จัดของหน้าร้านอยู่ เห็นชายสองคนเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม คนหนึ่งแต่งกายเป็นขุนนางฝ่ายทหาร อีกคนเดินหลังเหมือนคนรับใช้ เซียวยี่ก็ต้อนรับจัดโต๊ะให้ ขุนนางนั้นก็เอาเงินให้เซียวยี่ตำลึงหนึ่ง ให้ไปเชิญผู้กำกับคุกและผู้คุมใหญ่ มาคุยกันที่โรงเตี๊ยม เซียวยี่ได้ยินออกชื่อกอไทอวยก็อยากรู้เรื่อง

แต่พอเข้าไปใกล้ ขุนนางนั้นบอกว่าไม่ต้องคอยรับใช้ ถ้าอยากได้สิ่งใดจะเรียกเอา เพราะต้องการจะพูดความลับกัน เซียวยี่จึงให้ภรรยาแอบฟังอยู่ที่ห้องข้าง ๆ คนทั้งสี่พูดจาตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็แยกกันไป

พอลิมชองมาหาอย่างเคย เซียวยี่ก็เล่าให้ฟังว่า มีคนเมืองหลวงสองคนมาหาผู้กำกับคุกและผู้คุมใหญ่ปรึกษาความลับกันอยู่ ให้ภรรยาแอบฟังก็ไม่ค่อยจะได้ยิน เห็นแต่คนที่มาจากเมืองหลวง ส่งถุงกับหนังสือให้ผู้กำกับคุกและผู้คุมใหญ่ไป ผู้คุมพูดว่าตกพนักงานข้าพเจ้าทั้งสองคน คงตายในเงื้อมมือ ท่านอย่าวิตกเลย

ลิมชองไต่ถามถึงรูปร่างลักษณะแล้วก็รู้ว่า คนหน้าขาวที่เป็นขุนนางคือเล็กเคียม เพื่อนทรยศของตนเอง อีกคนหนึ่งหน้าแดงตัวเตี้ย คือฮูอันคนใช้ของกอไทอวยแน่ เซียวยี่ก็เตือนให้ลิมชองระวังตัว ลิมชองจึงลาไปซื้อกระบี่เหมาะมือแล้วเที่ยวตามหาคู่อาฆาตทั้งสอง แต่ตามหาอยู่ห้าวันก็ไม่พบ

พอถึงวันที่หก ผู้กำกับคุกก็เรียกตัวลิมชองเข้าไปหา แล้วให้ไปรักษาโรงหญ้าแห้งและฉางถั่วสำหรับเลี้ยงม้าและลา เพราะเห็นว่าดีกว่าอยู่ที่ศาลเจ้า ลิมชองก็มาปรึกษากับเซียวยี่ถึงเรื่องนี้ เซียวยี่ก็บอกว่า

"....ซึ่งจะไปรักษาโรงฟางฉางถั่วต่าง ๆ นั้นดีดอก ผลประโยชน์ก็มีบ้าง แต่ท่านจะไปอยู่ที่นั้นไกลกับข้าพเจ้าทางประมาณสิบห้าลี้เศษ ถ้าท่านไปแล้วจงมาหาข้าพเจ้าบ้าง การงานสิ่งใดท่านอุตส่าห์ตริตรองระวังตัวเถิด..."

ลิมชองก็เก็บข้าวของ ให้ผู้คุมพาไปถึงโรงฟางฉางถั่ว ซึ่งมีกำแพงล้อมรอบ เจอผู้เฒ่านั่งผิงไฟอยู่หน้าโรงฟางผู้หนึ่ง เพราะเป็นฤดูหนาวลมพัดแรง ลิมชองก็รับหน้าที่จากผู้เฒ่านั้น ซึ่งเปลี่ยนไปเฝ้ารักษาศาลเจ้าแทน ผู้เฒ่าจึงบอกกับลิมชองว่า เปลือกน้ำเต้าแห้งที่แขวนอยู่นั้น สำหรับใส่สุรา ถ้าจะเสพสุราให้เอาน้ำเต้านี้ไปซื้อ เจ้าของโรงสุราจำได้ก็จะให้สุรามากกว่าปกติ โรงสุรานี้ก็อยู่ไม่ไกล ประมาณสองสามลี้

เมื่อผู้เฒ่ากับผู้คุมกลับไป และจัดแจงที่อยู่เรียบร้อยแล้ว ลิมชองก็เอาทวนคู่มือคอนน้ำเต้าว่าจะไปซื้อสุราอาหารมากินแก้หนาว ไม่ช้านักก็ถึงโรงสุรา เข้าไปคุยกับเจ้าของโรงพักหนึ่ง แล้วซื้อสุรากับเสบียงกลับมาโรงฟาง

เมื่อถึงเวลาเย็นใกล้ค่ำมีลมหนาวพัดกระหน่ำ ทำเอาหลังคาโรงเปิดเปิงฝาพังไปเป็นแถบ ลิมชองกลัวไฟในเตาจะลุกไหม้ก็เดินไปดูแล ปรากฎว่าไฟดับหมดแล้ว จึงหาของมาปิดเตาไว้ ไม่ให้หมอกน้ำค้างลงให้เตาเปียก เพราะพื้นโรงที่จะอาศัยก็เปียกชื้นไปทั่ว นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อขาไปโรงสุรา ผ่านศาลเจ้าแห่งหนึ่งระยะทางประมาณครึ่งลี้ จึงเหน็บกระบี่หอบห่อผ้าคอนทวนไปอาศัยนอนในศาลเจ้าซึ่งไม่มีคนเฝ้า แล้วปิดประตูเอาศิลาทับไว้ภายในเปิดไม่ออก

ลิมชองก็เข้าไปคำนับที่หน้าศาลเจ้าแล้วก็ปัดกวาดที่นอน เอาเสื้อกางเกงปูพื้น คว้าน้ำเต้าสุรามารินกินกับเสบียงที่จ่ายมาเมื่อเย็น

จนถึงห้าทุ่มได้ยินเสียงไฟไหม้ปะทุปึงปัง จึงลุกขึ้นดูตามช่องหน้าต่างศาล เห็นไฟไหม้โพลงอยู่ที่โรงฟางฉางถั่วก็ตกใจ จะเปิดประตูออกไปดับไฟ บังเอิญได้ยินเสียงคนเดินพูดกันเข้ามาที่ศาล จึงปิดประคูเอาศิลาทับไว้อย่างเดิม คนที่มาเปิดประตูไม่ได้ ก็ยืนพูดกันอยู่ข้างนอก ลิมชองเงี่ยหูฟังได้ยินพูดกันว่า

".....ซึ่งอุบายคิดฆ่าลิมชองนี้ท่านเห็นดีหรือไม่....."

อีกคนพูดว่า

"...ท่านผู้กำกับและผู้คุมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน คิดความอันนี้ถ้าไปถึงตังเกียเมืองหลวง ข้าพเจ้าจะเสนอความชอบของท่าน แก่กอไทอวย ว่าท่านทั้งสองมีใจช่วยจริง ๆ ขอให้ เลื่อนยศศักดิ์ใหญ่ขึ้นไป ซึ่ง เตียกาเถา พ่อตาของลิมชองนั้นเห็นจะขัดขืนไม่ได้..."

คนหนึ่งพูดว่า

".....ได้ให้คนไปหาเตียกาเถาเป็นหลายครั้ง บอกว่า ลิมชองบุตรเขยตาย ขอบุตรสาวที่เป็นภรรยาลิมชองให้กับกอเงไหลเถิด เตียกาเถาไม่ยอมให้ กอเงไหลกลับป่วยหนักลง กอไทอวยบิดากอเงไหลจึงให้มาปรึกษากับท่าน คิดฆ่า ลิมชองเสีย การอันนี้ก็สำเร็จความปรารถนาแล้ว..."

คนหนึ่งก็พูดอีกว่า

"....เมื่อเราเข้าเอาไฟจุดหญ้าฟางขึ้นทั้งสี่ทิศ ไฟติดพร้อมกันจะหนีไปข้างไหนพ้น..."

คนหนึ่งก็เสริมว่า

"...จะเป็นหรือตายก็จะได้เห็นกันในเช้าวันนี้..."

คนหนึ่งก็ว่า

"....ถึงจะไม่ตายในไฟหนีออกมาได้ ไฟไหม้ของหลวงเสียหายเป็นอันมาก โทษนั้นก็ถึงตาย....."

อีกคนหนึ่งว่า

"....เราคอยดูก่อน ถ้าไฟโทรมแล้ว ก็จะเก็บกระดูก ลิมชอง สักสองสามอันห่อผ้าไปให้กอไทอวยกับกอเงไหลดู กอไทอวยคงจะชมว่าเราทำการสิ่งใด ก็มีสลักสำคัญ….."

ลิมชองฟังคนทั้งสามพูดโต้ตอบกัน ก็จำเสียงได้ว่าเป็น เล็กเคียม ฮูอัน และผู้คุม จึงยกศิลาออก จับทวนเข้าไปกั้นผู้คุมที่จะวิ่งหนีไว้ เล็กเคียมตกใจยืนนิ่งตลึงอยู่ ฮูอันวิ่งหนีไปได้ประมาณสิบก้าว ลิมชองไล่ทันเอาทวนแทงตายไป แล้วหันกลับมาตีด้วยทวน ถูกอีกสองคนล้มลง ลิมชองเอาเท้าเหยียบไว้ ชักกระบี่ออกมาเงื้อง่า และถามเล็กเคียมว่า

"..เรากับเจ้ารักใคร่กันเป็นหนักหนาไม่มีข้อสาเหตุสิ่งใดเลย เจ้ามาคิดฆ่าเราด้วยเหตุผลอันใด เจ้าจงลองดูกระบี่ของเราจะคมหรือไม่..."

พูดแล้วก็ฟันเล็กเคียมคอขาดกระเด็นไป ผู้คุมดิ้นจะหนีลิมชองก็เอาเท้าเหยียบไว้แล้วว่า

"....เจ้าจงมารับคมกระบี่ของเราให้ดีเถิด อย่าดิ้นรนไปเลย..."

แล้วฟันคอผู้คุมฉับเดียวขาดใจไปอีกคน ลิมชองเอาศรีษะทั้งสามมาวางไว้บนโต๊ะหน้าศาล และดื่มสุราในน้ำเต้าจนหมด จากนั้นก็ฉวยทวนกับห่อผ้า ออกจากศาลเจ้า เดินไปทางทิศตะวันตก

เดินมาได้สี่ห้าลี้ สวนกับชาวบ้านถือถังน้ำจะไปช่วยดับไฟ ก็บอกว่าจะรีบไปแจ้งแก่ขุนนางกำกับคุก แล้วจะกลับมา ท่านทั้งหลายช่วยกันดับไฟโดยเร็วด้วยเถิด

แล้วลิมชองก็เดินเข้าไปในป่า เจอบ้านพักหลายหลังถูกลมพัดชำรุดโหว่แหว่ง มีแสงไฟลอดออกมา ข้างในมีผู้เฒ่ากับชายห้าหกคนนั่งผิงไฟอยู่ จึงเข้าไปขออาศัยผิงไฟ พอให้เสื้อกางเกงที่เปียกชื้นค่อยแห้ง คลายหนาว ก็อยากจะกินสุราต่อ จึงขอซื้อจากคนพวกนั้น เขาก็บอกว่ามีไว้กินเองไม่ได้ทำขาย

ลิมชองก็อ้อนวอนขอกินแก้หนาว ผู้เฒ่าก็ว่า

"...อย่าพูดมากไปเลย เราให้ผิงไฟแล้วยังจะกินสุราด้วยหรือ เจ้าอย่าดื้อดึง เด็กเหล่านี้มันจะทุบตีเอา...."

ลิมชองก็เกิดโทสะเอาทวนคุ้ยถ่านไฟกระเด็นถูกหน้าผู้เฒ่า คนหนุ่มทั้งหมดจึงลุกขึ้นช่วยกันทุบตีลิมชอง แต่สู้ฝีมือลิมชองไม่ได้แตกกระจายหนีไป ลิมชองก็เข้าไปรินสุราเอามากินจนหมดเกลี้ยง เลยเมาหนักเดินโซเซออกไปนอนกลิ้งอยู่ใต้ต้นไม้

กลุ่มคนที่หนีไปก็พาพวกพ้องย้อนกลับมาอีกหลายคน จึงช่วยกันจับลิมชองมัดติดไว้กับเสาโรงที่พัก แล้วรุมกันทุบตีเป็นการใหญ่.

##########

วารสารกองพลทหารม้าที่ ๑
กันยายน ๒๕๓๙

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๒๑ เมษายน ๒๕๔๙




 

Create Date : 01 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2550 6:50:00 น.
Counter : 445 Pageviews.  

ชุดที่ ๓ ลิมชอง....อัศวินผู้อาภัพ (ตอนที่ ๑)

ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ

ชุดที่ ๓ ลิมชอง.....อัศวินผู้อาภัพ

ตอนที่ ๑ เพื่อนชั่วนายชัง

" เล่าเซี่ยงชุน "

ยังมีพี่น้องชุมโจรเขาเนียซัวเปาะอีกผู้หนึ่ง ชื่อ ลิมชอง เดิมเป็นครูฝึกทหารอยู่ที่ ตังเกียเมืองหลวง อยู่ใต้บังคับบัญชาของ กอไทอวย ผู้ว่าราชการฝ่ายทหารซึ่ง พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ โปรดปรานมาก แต่เป็นพวกขุนนางกังฉินไม่ซื่อตรง ผู้ใดมีฝีมือก็ไม่ยกย่องอุปถัมภ์ค้ำชู กลั่นแกล้งกดขี่ให้ได้รับความลำบาก

วันหนึ่งลิมชองพาภรรยากับคนใช้ไปไหว้เจ้าที่ศาลตังงักตีเปียว พอผ่านสวนผักของวัดไต้เซียงก๊กยี่ นอกประตูซวนจอหมง เห็นหลวงจีนผู้หนึ่งกำลังรำเพลงอาวุธให้ลูกน้องดูอยู่ ด้วยจิตใจที่รักผู้มีฝีมือตามนิสัยทหาร จึงให้ภรรยากับคนใช้เดินล่วงหน้าไปก่อน ตนเองหยุดยืนดูหลวงจีนร่ายรำเพลงอาวุธจนจบ

จึงได้ทำความรู้จักกับหลวงจีนองค์นั้น ชื่อ ลูตีซิม เดิมเป็นนายทหารอยู่ที่เมืองเอียนอันฮู้ แล้วมาช่วยราชการอยู่ที่เมืองอุยจิว เห็นเขาข่มเหงกันทนไม่ได้เลยฆ่าคนตาย ต้องหนีไปบวชเป็นหลวงจีน อยู่ที่วัดเงาไทซัว ต่อมาย้ายมาอยู่ที่วัดไต้เซียงก๊กยี่ มีหน้าที่ดูแลรักษาสวนผัก ไม่ค่อยจะมีอะไรจะทำ จึงลุกขึ้นรำเพลงอาวุธให้ลิ่วล้อชมฝีมือเป็นขวัญตา

ขณะที่กำลังเสพสุราสนทนากันอยู่นั้น คนใช้ของลิมชองก็วิ่งมาบอกว่า มีคนรังแกภรรยาที่ศาลเจ้า ลิมชองจึงขอลาหลวงจีนลูตีซิม รีบไปศาลเจ้ากับคนใช้

ปรากฎว่ามีชายประมาณสิบคนกั้นกางภรรยาของลิมชองไว้ แล้วพูดจาแทะโลม ลิมชองปราดเข้าไปกระชากบ่าชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม เงื้อมือจะฟาดให้หน้าหงาย พอจำได้ว่าที่แท้คือลูกเลี้ยงของกอไทอวยเจ้านายของตนเอง ชื่อ กอเงไหล จึงยั้งมือไว้

เมื่อกอเงไหลรู้ว่าผู้หญิงคนที่ตนเกาะแกะนั้นเป็นภรรยาลิมชอง ก็เลิกเย้าแหย่ และพรรคพวกก็ช่วยกันขอโทษแทน แล้วพากันเดินกลับไป

ลิมชองจึงพาภรรยากับคนใช้ จะกลับบ้าน พอดีสวนทางกับหลวงจีนลูตีซิม ก็ถามว่าหลวงพี่มาทำไม ลูตีซิมบอกว่าพาพวกพ้องจะมาช่วยปราบอันธพาล ที่รังแกภรรยาลิมชอง ซึ่งลิมชองก็ขอบคุณและซาบซึ้งในน้ำใจของหลวงจีน แต่คนเกเรนั้นเป็นบุตรของผู้บังคับบัญชา จึงไม่เอาเรื่องราวแต่อย่างใด หลวงจีนก็ลากลับไปวัด

อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนสนิทของลิมชองชื่อ เล็กเคียม มาชวนไปเสพสุรา พูดคุยกันเล่นให้สบายใจ ภรรยาของลิมชองเตือนว่า อย่าเสพสุราให้มึนเมานัก จงรีบกลับบ้านแต่วันอย่าอยู่ให้ถึงมืดค่ำ ลิมชองก็รับคำ เล็กเคียมพาไปนั่งเสพสุราอาหารกันที่โรงเตี๊ยม ลิมชองก็ปรับทุกข์ให้เพื่อนฟังถึงเรื่องราวของตนว่า

"......เกิดมาเป็นชายชาติทหาร สติปัญญาฝีมือก็เข้มแข็ง เข้ามาสามิภักดิ์ทำราชการ ไม่พบนายที่ดี มาพบแต่คนไพร่ เป็นขุนนางไม่รู้จักผิดชอบประการใด มาอยู่ในบังคับนายเช่นนี้จึงไม่มีความสบาย."

เล็กเคียมซักถามเรื่องราว ลิมชองก็ขยายความเรื่องกอเงไหลบุตรเลี้ยงของ กอไทอวยข่มเหงภรรยาของตนให้ฟังโดยซื่อ ไม่รู้ว่าเล็กเคียมนั้นเป็นพวกกอเงไหล ทั้งสองเสพสุราได้เจ็ดแปดถ้วย ลิมชองก็ลุกจากโต๊ะออกมาเข้าห้องน้ำ ก็พบคนใช้หญิงวิ่งมาบอกว่า

"...ท่านออกมาจากบ้านสักครู่ ก็มีชายคนหนึ่งมาที่บ้าน บอกกับภรรยาท่านว่าตัวท่านเป็นลมสลบไป ให้ภรรยาท่านไปแก้ไขโดยเร็ว ภรรยาท่านตกใจฝากบ้านไว้กับนางเฮงโป่ แล้วก็ไปกับข้าพเจ้าด้วยกัน ชายนั้นพาไปบ้านผู้ใดข้าพเจ้าไม่รู้จักบอกว่าท่านอยู่บนเหลา ภรรยาท่านกับข้าพเจ้าขึ้นไปก็ไม่พบท่าน มีแต่เครื่องโต๊ะจัดวางไว้

ครั้นภรรยาท่านกับข้าพเจ้าจะลงมา ก็เห็นชายหนุ่มคนที่ไปหยอกภรรยาท่านที่ศาลเจ้าวันก่อนนั้น เดินออกมาจากห้องเหลา เรียกภรรยาท่านให้นั่งพูดกันก่อน ข้าพเจ้าเห็นดังนั้น ก็ลงจากเหลามาจะไปตามท่าน ได้ยินเสียงภรรยาท่านร้องว่า ฆ่าคนตายแล้วให้ช่วยด้วย
ข้าพเจ้าวิ่งไปเที่ยวหาท่านก็ไม่พบ จีนแสขายยาบอกว่า ท่านมากินโต๊ะเสพสุราอยู่ที่โรงเตี๊ยมนี้ ข้าพเจ้าจึงวิ่งมาตามท่าน จงไปโดยเร็วเถิด....."

ลิมชองวิ่งตามคนใช้ไปบ้านที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นบ้านของเล็กเคียม ขึ้นไปบนเล่าเต๊งมีห้องปิดประตูอยู่ ได้ยินเสียงภรรยาร้องว่า บ้านเมืองก็เรียบร้อยดีเหตุไฉนไปหลอกเอาลูกเมียเขามาข่มขี่ขังไว้เช่นนี้ และมีเสียงผู้ชายอ้อนวอนว่าเจ้าจงเมตตาเถิด จะให้ตายเสียแล้วหรือ

ลิมชองก็เรียกให้ภรรยาเปิดประตู พอประตูเปิดออก ลิมชองถลันเข้าไปในห้อง กอเงไหลก็เปิดหน้าต่างกระโดดข้ามกำแพงหนีไป

ลิมชองถามภรรยาได้ความว่า ยังไม่ทันจะเสียทีแก่ชายชั่วนั้น ลิมชองก็เอากระบองทุบตีข้าวของในห้องนั้น จนแตกยับเยินด้วยความโมโห แล้วจึงพาภรรยากลับมาบ้าน เชื่อว่า เล็กเคียมสมรู้ร่วมคิดด้วยอย่างแน่นอน จึงฉวยกระบี่ตรงไปที่โรงเตี๊ยม จะฆ่าเล็กเคียมเสีย แต่ไม่พบ

ไปคอยดักอยู่ที่บ้านเล็กเคียมจนดึกดื่นก็ไม่กลับมา ภรรยาก็ห้ามไว้ว่า เมื่อเขาทำไมเราไม่ได้แล้วก็ช่างเขาเถิด ลิมชองก็อาฆาตด้วยความแค้นว่า

"....เล็กเคียมกับเราก็รักใคร่เหมือนพี่น้องกัน หาควรจะมาล่อลวงไม่ เรามีใจเจ็บแค้นนัก จะฆ่าเสียให้ได้...."

ปรากฎว่าเล็กเคียมซึ่งล่อลวงให้ลิมชองไปกินเลี้ยง ได้หนีไปอาศัยบ้านกอเงไหลไม่ยอมกลับมาบ้านของตน กอเงไหลก็ตรอมใจป่วยลงตั้งแต่วันนั้นมา เล็กเคียมกับ ฮูอัน คนสนิทของกอเงไหล จึงคบคิดกันจะกำจัดลิมชองเสียให้ได้ เพื่อเอาใจนาย

ฝ่ายหลวงจีนลูตีซิมได้ทราบข่าวก็มาเยี่ยมลิมชอง และชวนไปเสพสุราดับความทุกข์อยู่เนือง ๆ วันหนึ่งมีชายผู้หนึ่งถือกระบี่ชั้นดีมาเที่ยวเร่ขาย ลิมชองสนใจจึงปรึกษากับหลวงจีน ลูตีซิมว่าดีนักจงซื้อไว้เถิด ลิมชองถามราคา เจ้าของกระบี่บอกราคาสามพันตำลึง แล้วลดลงเหลือสองพันตำลึง แล้วก็ลดลงอีกเหลือพันห้าร้อยตำลึง ลิมชองต่อจนได้เพียงพันตำลึงจึงตกลง

เมื่อแยกจากหลวงจีนกลับมาบ้านแล้ว ก็เอากระบี่มากวัดแกว่งดูด้วยความพอใจ

วันรุ่งขึ้นเล็กเคียมกับฮูอันใช้ให้ขุนนางหน้าใหม่สองนาย มาตามลิมชอง บอกว่า กอไทอวยได้ข่าวว่าซื้อกระบี่ใหม่ อยากจะให้เอาไปเปรียบเทียบ กับของกอไทอวยที่มีอยู่เดิม

ลิมชองไม่สงสัยก็ถือกระบี่เดินตามขุนนางทั้งสอง ไปถึงบ้านกอไทอวย แต่กลับถูกปล่อยให้รออยู่ที่หน้าหอแปะโฮวตึง ซึ่งเป็นที่พักชั้นในของกอไทอวย ลิมชองคอยอยู่เป็นเวลานานไม่เห็นมีใครออกมาต้อนรับ ก็เดินเลยเข้าไปในหอเจอหน้ากอไทอวย ลิมชองวางกระบี่ลงคำนับ

กอไทอวยถามว่ามาทำไม ลิมชองก็ว่ามีขุนนางไปตามมา ว่ากอไทอวยต้องการจะดูกระบี่จึงเอามาให้ดู กอไทอวยบอกว่าไม่เคยใช้ให้ใครไปหา และกล่าวโทษว่า

"...เจ้าอย่าแก้ไขไปเลย เรารู้มาหลายวันว่าเจ้าจะคิดฆ่าเรา จึงได้ถือกระบี่เข้ามาจนหน้าหอข้างใน มีความผิดมาก...."

แล้วก็เรียกให้ทหารมาจับตัวลิมชองไปฆ่าเสีย

ลิมชองร้องว่าเป็นการแกล้งใส่ความกัน เพราะมีคนของกอไทอวยไปตามให้มาพบ จึงได้มา กอไทอวยว่าผู้ใดไปเรียกมา ชื่อเสียงใด ลิมชองก็บอกว่าเป็นคนหน้าใหม่ไม่รู้จักชื่อ กอไทอวยเห็นว่าหลักฐานไม่พอเพียง จึงให้นำตัวไปส่ง ไคฮองฮู้ ซึ่งเป็นขุนนางชำระความตัดสินลงโทษ

ลิมชองยืนยันว่าตนเองรู้ขนบธรรมเนียมดีว่า จะถืออาวุธเข้าไปหาผู้บังคับบัญชาถึงที่ข้างในไม่ได้ แต่กอไทฮวยใช้ให้คนไปตามมา และให้ยืนคอยอยู่ เพื่อจะเอากระบี่มาเปรียบเทียบกัน คงเป็นการวางอุบาย เพราะบุตรเลี้ยงได้มีเรื่องราวกับภรรยาของตนที่ศาลเจ้า เมื่อหลายวันก่อน

ไคฮองฮู้มีความเมตตาลิมชองแต่จะตัดสินไปตามข้อเท็จจริง ก็กลัวกอไทอวยจะโกรธ จึงแนะให้ เตียกาเถา พ่อตา และภรรยาลิมชองไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อ ซึงเตง ขุนนางชำระความตำแหน่งที่สูง ขึ้นไป ซึ่งเป็นคนซื่อสัตย์ไม่เห็นแก่ทรัพย์ของผู้ใด ชำระความสิ่งใดก็ว่าไปตามตรงเป็นยุติธรรม

ซึงเตงไม่กลัวอำนาจของกอไทอวย จึงตัดสินยกการประหารชีวิต ให้ลงโทษเฆี่ยนยี่สิบที แล้วเนรเทศไปต่างเมือง เจ้าหน้าที่ก็เอาตัวลิมชองไปเฆี่ยน แล้วสักหน้าเอาคาหนักเจ็ดชั่งครึ่งมาใส่คอ ให้ ตังเทียว กับ สิปา เป็นผู้คุมนำตัวไปส่งที่เมืองชองจิว

ขณะที่ออกจากศาลเดินผ่านบ้าน เตียกาเถาพ่อตาของลิมชองก็เชิญผู้คุมทั้งสองนั่งพักที่โรงสุราก่อน แล้วก็ จัดโต๊ะมาเลี้ยงผู้คุม กับเอาเงินให้ผู้คุมเพื่อขอฝากฝังลิมชองด้วย ลิมชองจึงบอกกับพ่อตาว่า

".....เดิมท่านรักใคร่ข้าพเจ้า จึงได้ยกบุตรหญิงให้เป็นภรรยา อยู่กินด้วยกันมาได้ สามปี มิได้ผิดปากวิวาทกัน ซึ่งตัวข้าพเจ้าครั้งนี้เขาข่มเหงกดขี่ ทำให้ต้องเนรเทศไปเมืองไกล จะเป็นตายประการใดก็ไม่แจ้ง ข้าพเจ้าคิดว่าบุตรหญิงของท่าน จะได้ความลำบากทุกข์ทนต่อไป กอเงไหลก็จะมารบกวนให้ได้ความเดือดร้อนต่าง ๆ บุตรหญิงของท่านก็จะมีความน้อยใจ ข้าพเจ้า จะทำหนังสือหย่าให้ จะได้มีผัวเสีย อย่าเป็นห่วงถึงข้าพเจ้าเลย....."

เตียกาเถาก็ว่า

"....เจ้าพูดอะไรเช่นนั้นไม่ถูกเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็มีเคราะห์ร้าย มิใช่เจ้าไปหาความมาเมื่อไร ก็ย่อมรู้อยู่ทั้งสิ้น ความเรื่องนี้เขากดขี่ข่มเหงเอา ซึ่งภรรยาของเจ้านั้นอย่าได้วิตก บิดาจะรับเอาไปอยู่บ้าน เงินทองที่ซื้อกินนั้นก็มีอยู่พอเลี้ยงกัน บิดาจะเลี้ยงไว้กว่าเจ้าจะสิ้นโทษกลับมา ครั้งนี้เป็นกรรมของเจ้าแล้ว จงก้มหน้าไปก่อนเถิด ถ้าเจ้าแผ่นดินโปรดยกโทษเสียเมื่อไร ก็จะได้มาอยู่กินด้วยกัน......"

ลิมชองยืนยันว่าขอให้ยอมทำหนังสือหย่าเถิด ภรรยาจะได้มีความสุขสืบไป เพื่อนบ้านที่ฟังอยู่ด้วยก็สงสารเห็นใจลิมชอง และรับรองว่าภรรยาลิมชองคงจะไม่มีผัวใหม่ ลิมชองก็ว่าจะให้เขาได้ความทุกข์ต่อไปนั้นไม่ควร เตียกาเถาจำต้องยินยอมให้ลิมชองทำหนังสือหย่าตามความประสงค์ ภรรยาลิมชองก็ร้องไห้เสียใจเป็นอันมาก

แล้วตียเกาเถาก็ไปเก็บของจากที่อยู่ของ ลิมชองมาไว้ที่บ้านของตน

ผู้คุมทั้งสองก็เอาลิมชองไปฝากไว้ที่คุกก่อน แล้วไปเตรียมเสื้อผ้ากับตุนเสบียงอาหารเพื่อเดินทาง เล็กเคียมก็ใช้ให้เจ้าของโรงสุรา ไปตามผู้คุมจากบ้านมาพบ และมอบทองคำให้คนละห้าตำลึง ผู้คุมถามว่าให้ทำไม เล็กเคียมก็บอกว่า

"....ท่านไม่รู้หรือ ลิมชองกับกอไทอวยเป็นคู่พยาบาทกัน กอไทอวยนั้นใช้ให้เราเอาทองคำหนักห้าตำลึงมาให้ท่านทั้งสอง ซึ่งจะคุมตัวลิมชองไปเนรเทศนั้น ไม่ต้องไปไกล ฆ่าเสียที่ใกล้ ๆ ก็ได้ แต่ท่านจงเชือดเอาหนังสือที่สักหน้าลิมชองมาเป็นสำคัญก็แล้วกัน ถ้านายท่านจะว่ากล่าวประการใด กอไทอวยแก้ไขเองท่านอย่าวิตก ถ้าสำเร็จความกลับมา กอไทอวยจะสมนาคุณท่านอีก....."

ตังเทียวและสิปาก็รับทองมาแบ่งกันและยืนยันว่า

"...ท่านอย่าวิตก ข้าพเจ้าจะคุมตัวลิมชองไปฆ่าเสีย ถ้าช้าก็ห้าวันถ้าเร็วก็สองวันสำเร็จ....."

จากนั้นผู้คุมก็เบิกตัวลิมชองออกจากคุก เดินทางจากเมืองตังเกียไปได้สามสิบลี้ก็ค่ำ จึงเข้าไปพักที่โรงเตี๊ยมตามทาง ลิมชองนั้นถูกเฆี่ยนแล้วต้องเดินทาง ก็ไม่สบายเดินไม่ใคร่ได้

พอเข้าที่พักสองผู้คุมกลัวลิมชองจะหนี จึงออกอุบายจะเอาน้ำมาล้างเท้าให้ลิมชอง แต่เป็นน้ำเดือด ลิมชองถูกน้ำร้อนลวกเท้าก็พองเจ็บปวดมาก รุ่งเช้าจึงเดินทางต่อไปไม่ไหว ตังเทียวก็หาซื้อรองเท้ามาให้ใส่ ค่อยเดินกระย่องกระแย่งไปได้อีกสี่ห้าลี้ เท้าที่พองก็แตกโลหิตไหล พอดีเข้าเขตป่าเอียตือหลิมมีต้นไม้หนาแน่น จึงพากันหยุดพักใต้ต้นไม้

ผู้คุมทั้งสองก็แกล้งบอกว่าจะนอนพักแต่กลัวลิมชองจะหนี จึงเอาโซ่ร้อยมือเท้าลิมชองไว้กับต้นไม้ แล้วคว้ากระบองเตรียมจะฆ่าเสีย โดยบอกว่า

".....มิใช่เราทั้งสองคนจะฆ่าท่าน เมื่อวันจะมานั้นกอไทอวยใช้ให้เล็กเคียมมาสั่งกับเราว่า ให้พาท่านมาฆ่าเสียที่ป่านี้ ซึ่งท่านจะเดินไปอีกไม่ได้สักกี่วันก็คงจะตายไหน ๆ วันนี้เป็นวันตายของท่านแล้ว ตายเสียเถิดเราจะได้กลับไปบอกข่าวให้กอไทอวยทราบโดยเร็ว ท่านอย่า โกรธแค้นว่าเราสองคนนี้ มาทุบตีท่านให้ตายเลย....."

ลิมชองได้ฟังก็น้ำตาไหล ขอร้องว่า

"....ท่านทั้งสองกับข้าพเจ้าก็ไม่ได้วิวาทอาฆาตจองเวรกัน ท่านจงช่วยเอาชีวิตไว้ด้วย ถ้าไม่ตายคงรู้จักบุญคุณของท่านทั้งสองได้ช่วยชีวิตเราไว้ ท่านอย่าได้ทำอันตรายกับเราเลย....."

สิปาก็ว่าไม่ได้ต้องฆ่าเสียจึงจะพ้นความผิด แต่พอจะลงมือเข้าจริง หลวงจีนลูตีซิมก็โผล่ออกมาจากโคนต้นไม้ เข้าป้องกันลิมชองไว้ได้ สองผู้คุมก็ตกตลึงจังงังอยู่ ลูตีซิมจะฆ่าเสีย ลิมชองก็ห้ามไว้ ว่าเขาทำตามคำสั่งผู้เป็นนาย ไม่ทำก็ไม่ได้

ลูตีซิมจึงแก้โซ่ออกจากมือเท้า แล้วเล่าให้ฟังว่าตนบังเอิญได้ยินเล็กเคียมคิดอ่านกับผู้คุมที่โรงสุรา จึงตามมาคอยช่วยเหลือแล้วจะปล่อยเอาไว้ทำไม ควรจะฆ่าเสียทั้งสองคน ลิมชองก็ขอบคุณที่มาช่วยแต่อย่าฆ่าผู้คุมทั้งสองนี้เลย

ลูตีซิมจึงบังคับให้ผู้คุมช่วยกันประคองลิมชอง เดินทางต่อไปอีกประมาณห้าลี้ มีโรงขายสุราก็แวะเข้าไปซื้อสุราอาหารให้ลิมชองกิน เสร็จแล้วก็พากันเดินทางไปอีกสิบเจ็ดวัน ตลอดเวลาลูตีซิมก็บังคับให้ผู้คุมทั้งสอง คอยรับใช้ทั้งเวลากินเวลานอน

จนใกล้จะถึงเมืองชองจิว มีบ้านช่องผู้คนมากหลวงจีนลูตีซิมจึงขอลากลับ โดยมอบเงินให้กับลิมชองเอาไว้ใช้สิบตำลึง และให้ผู้คุมสองคนอีกสามตำลึง กับคาดโทษไว้ว่า ถ้าลิมชองเป็นอะไรไป จะตามฆ่าเสียให้จงได้ แล้วก็เอาไม้เท้าเหล็กฟาดต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ขาดสองท่อน แล้วว่าถ้าเจ้าทำอันตรายน้องเรา เจ้าสองคนก็จะเหมือนกับต้นไม้นี้ ลิมชองก็ว่า

"....ซึ่งพี่มาช่วยชีวิตน้องไว้ครั้งนี้ พระคุณเป็นที่สุด ถึงตัวน้องตาย ก็หาลืมพระคุณไม่ ถ้าพี่กลับไปจงบอกกับบิดาภรรยาด้วยเถิด ว่าพี่มาช่วยชีวิตน้องไว้จนถึงเมืองชองจิว...."

แล้วหลวงจีนลูตีซิมก็ลาจากไป.

##########

วารสารกองพลทหารม้าที่ ๑
พฤษภาคม ๒๕๓๙

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๒๑ เมษายน ๒๕๔๙




 

Create Date : 31 ตุลาคม 2550    
Last Update : 31 ตุลาคม 2550 10:49:05 น.
Counter : 488 Pageviews.  

ชุดที่ ๒ ลูตีซิม.....หลวงจีนจอมสุรา (ตอนที่ ๓)

ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ

ชุดที่ ๒ ลูตีซิม.....หลวงจีนจอมสุรา

ตอนที่ ๓ พลังร้ายแต่ใจจริง

" เล่าเซี่ยงชุน "

หลวงจีนลูตีซิม ซึ่งผ่านการผจญภัยที่วัดร้างเมืองปักเกีย และแยกทางกับซือจิน เพื่อนเก่าแล้ว ก็แบกง้าวคอนห่อสมบัติถือไม้เท้าเหล็ก เดินทางต่อไปได้อีกประมาณแปดเก้าวัน ก็ถึงเมืองตังเกียซึ่งเป็นเมืองหลวง มีความเจริญรุ่งเรืองบ้านช่องร้านค้ามากมาย ลูตีซิมเที่ยวถามชาวบ้านเรื่อยไปว่าวัดไต้เซียงก๊กยี่อยู่ทางไหน ชาวบ้านก็ชี้ให้ว่าอยู่ทางสะพานจิวเกี๋ย เป็นวัดที่ใหญ่โต งดงามมาก พอลูตีซิมเข้าไปในวัดก็พบหลวงจีนซึ่งทำหน้าที่ต้อนรับเชิญเข้าไปข้างใน

ลูตีซิมเอาหนังสือฝากฝังของ หลวงจีนตีจิน เจ้าอาวาสวัดเงาไทซัวออกมาส่งให้ หลวงจีนผู้ต้อนรับก็บอกให้วางอาวุธไว้ก่อน แล้วจุดธูปเทียนให้ถือรออยู่สักครู่ หลวงจีนเชงเซียนซือ เจ้าอาวาสจึงออกมาพบ ลูตีซิมก็คุกเข่าลงคำนับ ท่านก็โอภาปราศรัยว่าเพิ่งเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย จงไปหาอาหารกินเสียก่อน แล้วสั่งให้ศิษย์พาไปที่โรงอาหาร เจ้าอาวาสก็ปรึกษากับศิษย์วัดทั้งหลายว่า

".......หลวงจีนตีจิน อาจารย์เอาไว้ไม่ได้ จึงเสือกไสมาให้เรา ในหนังสือมีมาว่าให้เอาเป็นธุระจงมาก ถ้าหลวงจีนลูตีซิมมาทำวุ่นวายขึ้น ก็จะพากันลำบาก ครั้นจะไม่รับไว้ท่านอาจารย์วัดเขาเงาไทซัวก็จะแค้นเคืองว่าไม่มีกตัญญูต่อท่าน ถ้าเรารับไว้หลวงจีนลูตีซิมทำการทุจริตต่าง ๆขึ้น เราจะทำประการใด....."

เหล่าศิษย์ทั้งหลายก็ปรารภว่า ดูหน้าตาหลวงจีนลูตีซิมไม่ใช่คนดี ถ้าให้อยู่ในวัดนี้ก็คงจะเกิดเรื่องเข้าสักวันหนึ่ง หลวงจีนอาวุโสองค์หนึ่งจึงได้แนะนำว่า ควรจะให้ไปเฝ้าสวนผักของวัดที่นอกประตูชวนจอหมง แทนหลวงจีนผู้เฒ่าที่ได้เฝ้าอยู่เดิม เพราะว่ากล่าวผู้ใดไม่ได้ ปล่อยให้ทหารและราษฎรที่เดินทางไปมา เก็บผักในสวน หรือปล่อยโคกระบือเข้าไปกินผักอยู่เนือง ๆ หลวงจีนลูตีซิมมีฝีมือเข้มแข็งดุร้าย คงจะป้องกันคนพาล และจัดการกับโคกระบือที่บุกรุก เข้ามาเหยียบย่ำทำลายสวนผักได้ดี
หลวงจีนเชงเซียนซือกับลูกวัดทั้งหลายก็เห็นด้วย

หลวงจีนเจ้าอาวาสวัดไต้เซียงก๊กยี่จึงมอบหมายให้ลูตีซิมเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลสวนผักของวัด ที่นอกประตูชวนจอหมง และให้เก็บผักมาส่งวันละสิบหาบอย่าให้ขาด ส่วนที่เหลือนอกนั้นจะเอาไปขาย หรือทำอะไรเป็นส่วนตัวก็ได้ ลูตีซิมก็แย้งว่า

"...ท่านอาจารย์วัดเขาเงาไทซัว ให้ข้าพเจ้ามาหาท่าน ปรารถนาจะได้เป็นขุนนาง ว่ากล่าวราชการฝ่ายหลวงจีนสืบไปภายหน้า ชื่อเสียงจะได้ปรากฎกับเขาบ้าง ท่านจะให้ข้าพเจ้าไปว่ากล่าวสวนผัก เป็นคนลับชื่อเสียงนั้น ข้าพเจ้าไม่ยอมไป...."

เจ้าอาวาสก็บอกว่า ยังไม่ได้ทำความชอบสิ่งใด มาถึงจะเป็นขุนนางว่าราชการใหญ่โตนั้นไม่ได้ หลวงจีนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ต้อนรับก็ช่วยอธิบายเพิ่มเติมว่า ตัวท่านเองเมื่อมาอยู่ใหม่ ๆ ก็ต้องทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วจึงเลื่อนขึ้นมาทีละขั้น จนเป็นเจ้าหน้าที่ต้อนรับได้ ขุนนางที่อยู่ในวัดนี้มีตำแหน่งเป็นลำดับกัน อย่างลูตีซิมก็เป็นขุนนางพนักงานผัก ถ้าได้ทำกิจการให้ดีมีผลประโยชน์ก็ค่อยเลื่อนไป อาจได้เป็นถึงผู้สำเร็จราชการวัดนี้ก็ได้ อย่าวิตกไปนักเลย ลูตีซิมก็หลงคารม ยินยอมไปรักษาสวนผักตามคำสั่งของเจ้าอาวาส

พอวันรุ่งขึ้น ลูตีซิมไปรายงานตัวต่อหลวงจีนชราผู้รักษาสวนผักคนเก่า แล้วก็รักษาหน้าที่นั้นแทน ในบริเวณใกล้เคียงนั้นมีอันธพาลสองคนคือ เตียซา กับ ลีสี และสมัครพรรคพวกอีกประมาณสามสิบคน เที่ยวตีชิงวิ่งราวฉกลักของชาวบ้านอยู่เนือง ๆ ตั้งก๊วนซ่องสุมอยู่ที่ศาลเจ้า ใกล้สวนผักของวัดใต้เซียงก๊กยี่ ได้สมคบกันลักผักในสวนไปขาย เอาเงินมาเลี้ยงชีวิตอยู่ทุกวัน

หลวงจีนคนเก่าว่ากล่าวห้ามปรามก็ไม่ฟัง พอรู้ข่าวว่าได้หลวงจีนคนใหม่มาอยู่แทน ก็คิดจะกำจัดเสีย จึงพาพรรคพวกมาคุยด้วย ถ้าเผลอก็จะได้จับโยนลงบ่อน้ำเสียเลย

แต่ลูตีซิมรู้ทันคอยระวังตัวอยู่ พอเห็นพวกอันธพาลห้อมล้อมเข้ามาใกล้ เตียซากับลีสีก็เข้ามากอดลูตีซิมไว้คนละข้าง ทำทีอ่อนน้อมสนิทสนม ลูตีซิมก็เลยถีบทั้งสองตกลงไปในบ่อขึ้นไม่ได้ พรรคพวกตกใจจะพากันวิ่งหนี

ลูตีซิมก็ร้องตวาดว่า ใครหนีแล้วจับได้จะโยนลงบ่อทุกคน พวกนั้นเลยยืนนิ่งอยู่กับที่ ตัวนายสองคนที่หล่นลงไปในบ่อก็ร้องขอความช่วยเหลือ ลูตีซิมจึงให้ลูกน้องเหล่านั้นช่วยฉุดขึ้นมาจากบ่อ แล้วไต่ถามเรื่องราว

ทั้งหมดก็สารภาพว่า ได้ทำการลักเอาผักในสวนไปขายเป็นประจำ โดยไม่เกรงกลัวหลวงจีนชราคนเก่า แต่สำหรับท่านที่มาใหม่มีฝีมือเข้มแข็งนัก จึงขอยอมเป็นลิ่วล้อให้ใช้สอยไม่คิดร้ายอีกต่อไป

ลูตีซิมจึงรับเอาไว้เป็นพรรคพวก และเล่าความหลังให้ฟังว่าได้เคยเป็นทหารอยู่ที่เมืองเอียนอันฮู้ แล้วเกิดคดีฆ่าคนตายที่เมืองอุยจิว จึงได้บวชเป็นหลวงจีนและสำทับว่า

".....ก็พวกเจ้าสามสิบคนเท่านี้ ที่ไหนจะสู้เราได้ แต่ทหารตั้งพันตั้งหมื่นก็ยัง ปราชัยล้มตายแตกหนีไปสิ้น เจ้าไม่ได้ข่าวเขาเล่า ลือชื่อเสียงเราบ้างหรือ....."

สองอันธพาลกับพวกพ้องก็กลัวเกรงลูตีซิมยิ่งนัก ชวนกันไปซื้อหาหมูเป็ดไก่กับสุราอย่างดี เอามาเลี้ยงต้อนรับ ทั้งหมดก็ตั้งวงสุราอยู่ในสวนผักนั้นเอง

ในบริเวณนั้นมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาครึ้ม ก็มีนกกามาทำรังอาศัยอยู่มาก ต่างก็ส่งเสียงร้อง เซ็งแซ่อยู่ พวกของเตียซาถือว่าเป็นลางไม่ดี ก็ร้องขึ้นว่าโพยภัยสิ่งใดขอให้สูญหายไป

ลูตีซิมถามว่ามีเหตุผลอันใด เจ้าคนร้องก็บอกว่านกการ้องเซ็งแซ่ โบราณว่าจะมีเหตุให้ทุ่มเถียงกัน ลูตีซิมก็ว่าถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นไปไล่นกทำลายรังเสีย มันจะได้หยุดร้อง พวกเหล่านั้นก็ขึ้นต้นไม้ไม่ได้เพราะลำต้นใหญ่มาก ลูตีซิมก็ว่าแค่รังนกกาก็ทำลายไม่ได้ ว่าแล้วก็ใช้พละกำลังถอนต้นไม้ขึ้นจากดินวางให้นอนลง นกกาก็แตกตื่นตกใจบินหนีไปหมด

กลุ่มอันธพาลทั้งหลายก็สรรเสริญว่าลูตีซิมนี้มีกำลังหนักหนา เห็นจะเป็นดาวบนฟ้าลงมาเกิด ลูตีซิมเลยคุยต่อไปว่าเจ้าเหล่านี้ยังไม่เห็นฝีมือเรา แล้วก็สั่งให้ลิ่วล้อไปเอาไม้เท้าเหล็กมาจะรำเพลงอาวุธให้ดู พวกนั้นยกไม้เท้าไม่ขึ้น ลูตีซิมก็หัวเราะว่าไม้เท้าของเรานี้หนักเพียงหกสิบชั่งเท่านั้นเอง ว่าแล้วก็เอาไม้เท้ามารำเพลงอาวุธอวดแก่พวกพ้อง จนอ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน

ขณะที่หลวงจีนลูตีซิมกำลังรำเพลงอาวุธอวดลูกน้องอยู่นั้น มีชายคนหนึ่งแวะมายืนดูอยู่ด้วยแล้วชมว่า หลวงจีนองค์นี้ฝีมือเข้มแข็งยากที่ใครจะสู้ได้ ลูตีซิมก็หยุดรำวางไม้เท้าถามว่าท่านเป็นใคร ลูกน้องก็ตอบแทนว่าเป็นครูฝึกทหารถึงแปดสิบหมื่น อยู่ในเมืองหลวงนี้ มีชื่อว่า ลิมชอง ลูตีซิมจึงเชิญนั่งแล้วโอภาปราศรัยไต่ถามกันและกัน

ลูตีซิมเล่าประวัติของตนที่แล้วมาให้ฟังโดยตลอด แล้วบอกว่าเคยได้ยินชื่อเสียงบิดาลิมชองอยู่ ทั้งคู่ก็สนทนากันอย่างสนิทสนม ลิมชองบอกว่าวันนี้พาภรรยากับคนใช้มาไหว้เจ้าที่ศาลใกล้แถวนี้ แต่ให้ภรรยากับคนใช้เดินไปก่อน เพราะอยากจะชมฝีมือท่าน เดี๋ยวจึงจะตามไป

พอดีคนใช้วิ่งกลับมาบอกว่า ภรรยาของลิมชองมีเรื่องราวกับคนที่ศาลเจ้า ลิมชองจึงลาลูตีซิมรีบไปที่ศาลเจ้าตังงักตี

ลูตีซิมก็ฉวยไม้เท้านำพวกพ้องตามไปถึงที่เกิดเหตุ พบลิมชองกับภรรยา ถามว่าจะไปไหนกัน ก็บอกว่าจะมาช่วยปราบคนพาลเกเรให้ ลิมชองก็ขอร้องว่าไม่อยากให้มีเรื่องราวใหญ่โต เพราะคนที่มาหยอกเย้าภรรยานั้น คือ กอเงไหล บุตรเลี้ยงของ กอกิว ขุนนางนายทหารใหญ่ที่กอไทอวย ผู้บัญชาการทหารทั้งปวงของเมืองตังเกีย โดยไม่รู้ว่าเป็นภรรยาของตน บัดนี้เข้าใจกันแล้ว ลูตีซิมจึงพาพรรคพวกกลับสวนผักของตน

ตั้งแต่นั้นมาลูตีซิมกับลิมชองก็คบหาสมาคมกัน เป็นที่รักใคร่สนิทสนม กินโต๊ะสุราอาหารกันทุกวันมิได้ขาด วันหนึ่งขณะกลับจากเสพสุราจะกลับบ้าน มีคนขายกระบี่เข้ามาถามว่า มีกระบี่วิเศษอยู่เล่มหนึ่งจะขายให้ ลิมชองสนใจก็ขอดูแล้วส่งให้ลูตีซิมช่วยดูด้วย ลูตีซิมก็ว่าเป็นของดีจงซื้อไว้เถิด ลิมชองถามว่าราคาเท่าใด คนขายบอกว่าสามพันตำลึง แล้วก็ลดให้เหลือสองพันตำลึง ลิมชองต่อจนเหลือเพียงพันตำลึง จึงตกลงซื้อไว้แล้วก็แยกทางกันกลับบ้าน

ต่อมาไม่นานลูตีซิมได้ข่าวว่า ลิมชองถูกกอไทอวยกลั่นแกล้ง กล่าวหาว่าถือกระบี่เข้าไปในที่พำนักของตนเพื่อจะทำร้าย จึงเอาตัวไปจำคุก แล้วเนรเทศไปอยู่เมืองชองจิว ก็คิดจะช่วยเหลือ จึงมาดักอยู่ตามทางที่จะต้องผ่าน พอผู้คุมสองนายพาตัวลิมชองเดินทางผ่านมาถึงที่เปลี่ยว เตรียมจะฆ่าลิมชองเสีย เพราะได้รับค่าจ้างจากนายทหารคนสนิทของกอไทอวย ลูตีซิม ก็ออกจากที่ซุ่มมาขัดขวางไว้ แล้วร้องตวาดว่า

"……แกล้งพาน้องเรามาฆ่าดังนี้ ชีวิตเจ้าทั้งสองไม่ได้กลับคืนแล้ว....."

ลูตีซิมเงื้อไม้เท้าจะฟาดกระบาลเสีย ผู้คุมทั้งสองกำลังตกตลึง ลิมชองก็ร้องห้ามไว้ว่าทั้งสองคนนี้ไม่มีความผิดอันใด เพียงแต่ต้องทำตามที่กอไทอวยสั่งมาเท่านั้น ลูตีซิมจึงแก้โซ่ที่มือและเท้าลิมชองออกพยุงให้นั่งพัก แล้วเล่าว่า

".....วันที่น้องซื้อกระบี่แล้วจากกันมา ได้ยินข่าวว่าต้องโทษ ไม่รู้ที่จะแก้ไขประการใด ครั้นแจ้งว่าเขาจะเนรเทศไปเมืองชองจิวก็ไปหาน้องที่ไคฮองฮู้ก็ไม่พบ ได้ข่าวว่าน้องอยู่ในคุกพี่ก็เที่ยวสืบข่าวไป เห็นชายที่ขายสุราไปเรียกผู้คุมสองคนนี้มาที่โรงสุรา พี่มีความวิตกถึงน้อง กลัวเขาจะคิดอุบายฆ่าเสีย จึงได้ไปแอบฟังที่โรงเตี๊ยม ได้ยินขุนนางนั้นกับผู้คุมสองคนคิดอ่านจะฆ่าน้องให้ตายเสียตามทาง ในขณะนั้นพี่คิดจะฆ่าผู้คุมทั้งสองนี้เสีย เห็นผู้คนมากกลัวจะเกิดความจึงไม่ได้ทำ สู้อดใจไว้ จะช่วยน้องในขณะนั้นไม่ได้ ครั้นแจ้งความถี่ถ้วนแล้ว พี่ออกจากโรงเตี๊ยมรีบมาคอยท่าช่วยน้อง กับ จะฆ่าผู้คุมสองคนเสีย ซึ่งผู้คุมทั้งสองพาน้องมาถึงป่าจะฆ่า พี่จึงออกมาช่วยไว้ เราฆ่าสองคนนี้เสียเถิดหรือ....."

ลิมชองก็ขอบคุณแล้วขอร้องว่าอย่าฆ่าเลย เขาคิดร้ายเพราะนายสั่ง ลูตีซิมจึงให้ผู้คุมทั้งสองพยุงลิมชองซึ่งเท้าพองเดินลำบาก ออกเดินทางพ้นจากป่าไปประมาณห้าลี้ ก็แวะพักที่โรงขายสุรา หาสุราอาหารกิน ผู้คุมอยากจะรู้จักชื่อเอาไว้ฟ้องนายก็ถามดู ลูตีซิมก็ว่า

"....เจ้ามาถามชื่อเราทำไม ซึ่งกอไทอวยนั้น มีคนกลัวมากเราหากลัวไม่ ถ้าแม้นเราได้พบปะกอไทอวยที่ไหนจะทุบเสียให้ตาย ให้สมกับทำข่มเหงน้องเรา ถึงตัวเจ้าทั้งสองก็ทำให้ดี ถ้าทีหลังทำกับน้องเราอีก ชีวิตเจ้าทั้งสองก็ไม่พ้นมือเรา....."

ผู้คุมทั้งสองก็ไม่กล้าตอแยต่อไปอีก เมื่ออิ่มหนำดีแล้ว ลูตีซิมก็พาทั้งหมดเดินทางต่อไป ลิมชองถามว่าพี่จะไปไหนด้วยหรือ ลูตีซิมตอบว่า

"....ฆ่าคนต้องให้เห็นโลหิตคิดจะช่วยก็ต้องช่วยให้ตลอด พี่มาช่วยน้องแล้วจะต้องไปส่งให้ถึงเมืองชองจิว…….."

แล้วก็เดินทางไปอีกสิบเจ็ดวัน จึงถึงชานเมืองชองจิว มีบ้านเรือนผู้คนแน่นหนาไม่เป็นป่าเปลี่ยวเหมือนที่ผ่านมา ลูตีซิมก็จะขอแยกทางกลับ จึงมอบเงินไว้ให้ลิมชองสิบตำลึง และ ให้ผู้คุมทั้งสองสามตำลึง กำชับให้พาตัวลิมชองไปส่งให้เรียบร้อย แล้วก็แสดงกำลังเอาไม้เท้าเหล็กหวดกับต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ขาดเป็นสองท่อนเหมือนฟันด้วยมีด แถมท้ายว่าถ้าเจ้าทำอันตรายน้องเรา ตัวเจ้าสองคนก็คงเหมือนต้นไม้นี้ แล้วก็ลาลิมชองกลับไปเมืองตังเกีย

ต่อมากอไทอวยรู้เรื่องจากผู้คุมทั้งสองที่กลับมาแล้ว ก็สั่งให้คนไปเที่ยวหาตัวลูตีซิม มาลงโทษ ลูตีซิมจึงหนีออกจากสวนผักของวัดไต้เซียงก๊กยี่เดินทางไปถึงเมืองเชงจิว ขณะที่พักเสพสุราอยู่ที่โรงแห่งหนึ่งถูกภรรยาเจ้าของโรงสุราชื่อ ซึงยีเหนีย เอายาเบื่อใส่สุราให้กินจนสลบไป นางจึงมัดไว้และริบเอาเงินทองไปหมด แล้วจะได้ฆ่าเสีย แต่ยังเคราะห์ดีสามีของนางชื่อ เตียเชง เกิดถูกชตาจึงห้ามภรรยาไว้

เมื่อแก้ไขฟื้นขึ้นไต่ถามชื่อแซ่แล้วก็พูดจาสาบานเป็นพี่น้องกัน ทั้งสองผัวเมียเป็นผู้มีฝีมือเข้มแข็ง จึงได้พักอาศัยอยู่ด้วยสี่ห้าวัน แล้วก็เดินทางต่อมาถึงวัดเขายีเลงซัว ตั้งใจจะขอพักอาศัยอยู่ด้วย แต่หลวงจีนหัวหน้าวัดไม่ยอมรับ จึงเกิดสู้รบกันขึ้น หัวหน้าวัดสู้ไม่ได้ โดนลูตีซิม เหยียบอกไว้จะฆ่าเสีย แต่พวกลูกวัดเข้ามาช่วยแก้ไขทัน แล้วก็พากันเข้าไปอยู่ข้างในปิดประตูเสีย
แน่นหนา

ลูตีซิมพังเข้าไปไม่ได้ จึงถอยออกมานั่งพักอยู่ที่โคนต้นไม้

ลูตีซิมพักอยู่จนมืดค่ำลง ก็มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา หน้าตามีลายแปลกประหลาด จึงคว้าง้าวรอท่าอยู่ ชายผู้นั้นไม่ผ่านเลยไปแต่กลับถามว่าหลวงจีนนี้มาแต่ไหน ลูตีซิมจึงควงง้าวเข้าฟัน ชายผู้นั้นเอากระบี่รับไว้ได้ แล้วทั้งสองสู้รบกันไปถึงห้าสิบเพลงไม่เพลี่ยงพล้ำ ลูตีซิมจึงขอพักรบ แล้วถามชื่อแซ่กัน ชายผู้นั้นบอกว่าชื่อ เอียจี้ เดิมเป็นขุนนางอยู่ที่เมืองหลวง ต้องหาว่าฆ่าคนตายจึงถูกสักหน้า แล้วเดินทางมาจะขออาศัยที่วัดเขายีเลงซัวเหมือนกัน แต่พอขึ้นไปเห็นวัดปิดประตูเงียบไม่มีใครต้อนรับ จึงเดินทางต่อมาถึงที่นี่

หลวงจีนลูตีซิมกับเอียจี้ต่างก็ถูกอัธยาศรัยนอนคุยกันจนถึงเช้า จึงพากันเข้าไปในหมู่บ้านหาเพื่อนของเอียจี้ชื่อ เชาเจง เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยม

วันรุ่งขึ้นเอียจี้กับเชาเจงก็ออกอุบาย จับหลวงจีนลูตีซิมมัดไว้แน่นหนา แล้วพาตัวขึ้นไปบนวัดยีเลงซัว แจ้งว่าจับตัวลูตีซิมได้แล้วจะนำมาให้ลงโทษ หลวงจีนซึ่งเป็นไต้อ๋องหัวหน้าวัดชื่อ เตงเหลง จึงให้ลูกวัดเปิดประตูสามชั้น ออกมารับตัวลูตีซิม กับเอียจี้และเชาเจงเข้าไปข้างใน เมื่อไปยืนอยู่ต่อหน้าที่ประชุม เตงเหลงก็สั่งให้เอาตัวไปฆ่าเสีย

เอียจี้กับเชาเจงจึงแก้มัดลูตีซิมแล้วส่งง้าวให้ ลูตีซิมกับเพื่อนทั้งสองก็เข้าตีตลุยฆ่าฟันพวกลูกวัดแตกกระจายไป หลวงจีนเตงเหลงจะวิ่งหนี ลูตีซิมก็กระโดดเข้าฟันศรีษะผ่าขาดตลอดถึงอกแบะออกเป็นสองซีกดับชีพไป พวกหลวงจีนลิ่วล้อถูกฆ่าตายไปประมาณสามสิบคน ที่เหลือก็ยอมสามิภักดิ์ด้วยถึงห้าร้อยหกร้อยคน

เอียจี้กับหลวงจีนลูตีซิมก็เข้ายึดครองวัดเสีย จัดการปกครองเหมือนอย่างเดิม แล้วก็จัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงต้อนรับหัวหน้าใหม่ เสร็จแล้วเชาเจงก็ขอลาไปประกอบอาชีพตามเดิม

ลูตีซิมหลวงจีนจอมสุรา กับเอียจี้ก็อยู่เป็นสุขสบายดี บนเขายีเลงซัว แล้วแปลงวัดให้เป็นซ่องโจร มีชื่อเสียงต่อมาอีกเป็นเวลานาน กว่าจะได้เข้าไปร่วมขบวนการโจรเขาเนียซัวเปาะในภายหลัง.

#################

นิตยสารโล่เงิน
มิถุนายน ๒๕๓๙

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๑๙ เมษายน ๒๕๔๙




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2550    
Last Update : 29 ตุลาคม 2550 9:30:19 น.
Counter : 560 Pageviews.  

ชุดที่ ๒ ลูตีซิม...หลวงจีนจอมสุรา (ตอนที่ ๒)

ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ

ลูตีซิม.....หลวงจีนจอมสุรา

ตอนที่ ๒ ผู้พิทักษ์ความยุติธรรม

เล่าเซี่ยงชุน

ลูตัด ในเพศของ หลวงจีนลูตีซิม ซึ่งถูกสมภารขอร้อง ให้ออกจากวัดเขาเงาไทซัวแขวงเมืองใต้จิวเพราะละเมิดศีลข้อห้า ก็แบกง้าวห้อยห่อบริขารถือไม้เท้าเหล็ก ดุ่มเดินทางไปอย่างโดดเดี่ยว ประมาณครึ่งเดือนเศษ โดยไม่ยอมแวะเข้าพักอาศัยตามวัดที่ได้ผ่านมา คงเลือกพักอยู่ตามโรงเตี๊ยมที่พบเจอในเวลาเย็นค่ำเท่านั้น

จนวันหนึ่งเดินชมป่าเขาลำเนาไพรเพลินไปจนเกือบค่ำ พ้นระยะทางที่จะมีโรงเตี๊ยม เข้าไปถึงหมู่บ้านกอฮวยชวน เห็นมีแสงไฟสว่างไสว ผู้คนคึกคักสับสน จึงเดินเข้าไปหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ชายเจ้าของบ้านก็ออกมาถามว่าหลวงจีนจะเดินทางไปข้างไหน ลูตีซิมก็บอกว่าได้เดินทางมาไกลเกินระยะแล้ว จะขออาศัยพักนอนสักคืนหนึ่ง พรุ่งนี้เช้าจะลาไป เจ้าของบ้านก็ไม่ยินดีต้อนรับ เพราะกำลังมีเรื่องวุ่นวายอยู่

ลูตีซิมจะขอพักให้ได้ พอดีมีผู้เฒ่าเดินมาถามไถ่จนรู้เรื่องราวแล้ว ก็เชิญเข้าข้างในแล้วแนะนำตัวว่าชื่อ เล่าไทก๋ง หลวงจีนลูตีซิมจึงบอกชื่อแซ่ตนเองและวัดที่บวช เล่าไทก๋งก็ยินดีต้อนรับถามว่าฉันของสดคาวหรือฉันเจ

ลูตีซิมรีบบอกว่าของสดคาวและสุรานั้นเป็นของโปรดนัก เล่าไทก๋งก็สั่งจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดูเต็มที่ และให้พักอาศัยค้างคืน แต่มีข้อแม้ว่าเวลาค่ำคืนนี้ใครเขาเอะอะอื้ออึงกันก็อย่าโผล่ออกมาดู ให้นอนอยู่แต่ในห้อง

ลูตีซิมสงสัยว่าเหตุใดจึงต้องเป็นเช่นนั้น เล่าไทก๋งก็บอกว่าจะมีงานแต่งงานบุตรสาว แต่ด้วยความไม่เต็มใจ เพราะเจ้าบ่าวเป็นนายโจรอยู่ที่เขาถอฮวยซัว มีลิ่วล้อประมาณห้าหกร้อยคน วันหนึ่งมาปล้นที่ตำบลนี้ นายโจรที่สองเห็นบุตรสาวของเล่าไทก๋งก็ชอบใจ ขอแต่งงานด้วย โดยเอาทองหนักยี่สิบตำลึงกับแพรม้วนหนึ่งเป็นสินสอด ถ้าไม่ยอมก็จะฆ่าเสีย เล่าไทก๋ง จึงจำใจต้องยอมรับ

ลูตีซิมบอกว่าอย่าวิตกเลย ถ้านายโจรมาเข้าพิธีแต่งงาน ตนจะช่วยพูดจาว่ากล่าวให้เลิกงานนี้เสีย เล่าไทก๋งเกรงว่าพวกโจรดุร้ายใจทมิฬ จะทำอันตรายแก่หลวงจีน แต่ลูตีซิมก็ว่ามีวิชาจากอาจารย์ พอคุ้มตัวได้ไม่คิดกลัว ขอให้พาบุตรสาวไปแอบไว้ห้องอื่นก่อน จะขอรับหน้านายโจรเอง

เล่าไทก๋งก็คาดคั้นว่าอย่าพูดเล่น ถ้าพลาดพลั้งไปก็จะเป็นอันตรายกันไปหมดทั้งตระกูล ลูตีซิมจึงสัญญาว่าไม่เป็นไร ถึงแม้เสียทีก็จะพาครอบครัวเล่าไทก๋งหนีไปให้พ้นภัยเอง ว่าแล้วก็เข้าไปนอนอยู่ในมุ้งห้องเจ้าสาว เอาไม้เท้ากับง้าววางไว้ข้างเตียง เล่าไทก๋งก็พาบุตรสาวไปซ่อนตัวที่ห้องอื่น แล้วจึงให้บ่าวไพร่จัดการต้อนรับนายโจรให้เป็นปกติ

พอค่ำลงนายโจรที่สองก็ขี่ม้าพาไพร่พล ประโคมเครื่องดนตรีฆ้องกลองมาถึงบ้านเจ้าสาว เล่าไทก๋งออกไปคำนับต้อนรับ แล้วพาเข้าไปนั่งหน้าโต๊ะบูชา ให้คนใช้จัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงเจ้าบ่าวก่อน นายโจรกินอาหารพอเป็นพิธีแล้วก็ถามหาเจ้าสาวว่าอยู่ไหนไม่เห็นออกมา เล่าไทก๋งก็ว่าบุตรสาวเป็นคนขี้อายจึงแอบคอยอยู่แต่ในห้อง แล้วพาเจ้าบ่าวไปถึงห้องเจ้าสาว ส่วนตนเองรีบหลบหน้าไป

นายโจรเข้าไปในห้องแลเห็นไม่ชัดเพราะมืดไม่มีแสงไฟ จึงเดินคลำไปเปิดมุ้งเจ้าสาว ว่ายังไม่ทันไรหลับเสียแล้ว ไม่ออกไปคอยต้อนรับด้วย ลูตีซิมก็กอดเอาตัวนายโจรเข้าไว้ พอจะร้องก็ทุบพลั่กเข้าให้ นายโจรล้มลงหน้าเตียง ลูตีซิมกระโดดออกจากมุ้งเอาเท้าเหยียบหน้าอกไว้ ตะคอกว่า

"...เจ้ามาเที่ยวข่มเหงกดขี่เอาตามอำเภอใจ ถือดีอย่างไร ไม่กลัวความตายหรือ.."

นายโจรก็ร้องเรียกให้พรรคพวกช่วย ลูตีซิมก็ฉวยไม้เท้าเข้าสู้รบกับพวกโจร จนเจ็บตัวไปตาม ๆ กัน รวมทั้งนายโจรด้วย ต้องล่าถอยไป โดยอาฆาตไว้ว่าคราวหน้าคงจะได้เห็นฝีมือกัน

เล่าไทก๋งตกใจจนตัวสั่นร้องว่าท่านมาทำกรรมให้ข้าพเจ้าแล้ว ลูตีซิมก็ปลอบว่าอย่าวิตกทุกข์ร้อนไปเลย ตนเป็นนายทหารเก่าแอบมาบวชหนีคดีความอยู่ นายโจรจะยกพลมาสักเท่าไร ตนคนเดียวก็สู้ได้ ว่าแล้วก็เอาง้าวที่พวกคนใช้ยกไม่ขึ้น มารำเพลงอาวุธให้ดูฝีมือเป็นตัวอย่าง เล่าไทก๋งจึงค่อยคลายใจ ขอให้ช่วยชีวิตไว้ด้วย ลูตีซิมก็บอกว่า

".....เราเมาสุรายิ่งมีกำลังมาก ท่านจงจัดสุรามากินให้เมา เราจะช่วยให้พ้นภัยจงได้....."

เล่าไทก๋งจึงสั่งจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงหลวงจีน แล้วก็นั่งคอยพวกโจรอยู่

คืนนั้นเองนายโจรที่หนึ่งรู้เรื่อง ก็ให้นายโจรที่สองพักรักษาตัว แล้วก็คว้าทวนขึ้นม้าพาลิ่วล้อมาถึงบ้านของเล่าไทก๋ง ร้องถามหาหลวงจีนคนเก่งให้ออกมาลองฝีมือกัน ลูตีซิมก็ควงง้าวคู่มือเข้าฟาดกับนายโจรที่หนึ่งทันที

นายโจรรับไว้ได้ก็สงสัยว่าจะเคยรู้จักกันมาก่อน จึงถามชื่อแซ่ หลวงจีนก็บอกความจริงให้ฟัง นายโจรกลับหัวเราะลงจากหลังม้า วางทวน เข้าไปคำนับ เรียกหลวงพี่จำน้องไม่ได้หรือ ลูตีซิมเพ่งพินิจดูหน้า แล้วจำได้ว่าคือ ลีตง ซึ่งเคยพบกันที่โรงเตี๊ยมเมืองอุยจิวนั่นเอง จึงชวนกันเข้าไปในบ้าน

เล่าไทก๋งก็ยิ่งตกใจที่หลวงจีนกลับเป็นพวกโจรไปเสียอีก คราวนี้คงจะแย่กว่าเก่า ลูตีซิมก็เรียกผู้เฒ่ามาบอกว่า อย่าวิตกไปเลยนายโจรนี้เป็นพวกพ้องกัน แล้วก็เล่าความหลัง ให้ลีตงฟังโดยละเอียด

ลีตงก็เล่าบ้างว่า เมื่อแยกกันที่โรงเตี๊ยมแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นได้ข่าวว่าแต้โต๋วถูกฆ่าตาย เจ้าเมืองอุยจิวกำลังให้ทหารเที่ยวจับตัวผู้ร้ายอยู่ ตนอยากจะปรึกษากับซือจิน แต่หาตัวไม่พบ จึงเก็บเครื่องยาที่ค้าขายใส่หีบหนีมา พอถึงเขาถอฮวยซัว จิวทอง นายโจรที่สองคุมพลดักเรียกค่าผ่านทาง จึงได้ต่อสู้กัน จิวทองสู้ไม่ได้จึงยกให้เป็นไต้อ๋องปกครองพวกโจรบนเขานี้ ลูตีซิมจึงว่า

"....เราจากกันมาช้านานหนักหนา และจิวทอง ซึ่งเป็นเซียวปาอ๋องนั้น พี่ไม่รู้จักจึงได้ทุบตี เจ้าจงไปห้ามเสีย อย่าให้วุ่นวายความเรื่อง บุตรสาวเล่าไทก๋งต่อไป ด้วยเล่าไทก๋งมีบุตรหญิงคนเดียว ตัวก็แก่แล้วหมายจะพึ่งบุตร เจ้ามาทำให้เขาได้ความเดือดร้อนนี้ไม่ควร....."

เล่าไทก๋งก็ดีใจ รีบจัดโต๊ะมาเลี้ยงกันอีกรอบหนึ่ง แล้วเอาทองคำกับผ้าแพรของหมั้นมาคืนให้ลีตง ซึ่งลีตงก็รับว่าจะจัดการให้เป็นที่เรียบร้อย

พอรุ่งสว่างลีตงก็สั่งให้พวกโจรจัดเกี้ยวมารับลูตีซิมและเล่าไทก๋ง ขึ้นไปยังสำนักโจรบนเขาถอฮวยซัว แล้วให้จิวทองออกมาคำนับทำความรู้จักลูตีซิม พร้อมทั้งได้เล่าประวัติให้ฟัง

จิวทองก็สดุ้งคิดว่า ลูตัดคนนี้มีฝีมือเข้มแข็งชื่อเสียงก็ปรากฎ นี่หากว่าบุญของเราจึงได้รอดชีวิตอยู่ ถ้าหลวงจีนลูตีซิมตีเราตายจะว่ากล่าวกระไรได้ จึงคำนับขอโทษ ลูตีซิมรับคำนับแล้วบอกว่า

".....เราไม่ใช่ผู้อื่น เหมือนพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ซึ่งความเรื่องเล่าไทก๋งนั้น เราขอเสียเถิด อย่าได้ไปวุ่นวายเลย...ซึ่งภรรยานั้นนานไปคงจะหาได้ เจ้าจะยอมหรือไม่ประการใด...."

จิวทองรับว่าจะไม่ไปรบกวนอีกแล้ว ลูตีซิมก็ย้ำว่า

".....เกิดเป็นชายชาติทหาร พูดจาสิ่งใดออกไปแล้วอย่าได้กลับถ้อยคืนคำ...."

จิวทองจึงหยิบลูกเกาทัณฑ์มาหักเป็นสองท่อน สาบานว่าถ้าไม่ทำเหมือนปากพูด ให้ตัวขาดเป็นสองท่อนอย่างลูกเกาทัณฑ์นี้เถิด เล่าไทก๋งก็ดีใจคุกเข่าลงคำนับลูตีซิมและนายโจรทั้งสอง ขอลากลับบ้านไป ส่วนลูตีซิมคงค้างอยู่กับนายโจรบนเขา

ลูตีซิมพักอยู่กับนายโจรได้ประมาณสิบวัน ก็จะขอลาเดินทางต่อ ทั้งสองนายโจรขอร้องให้อยู่ ก็บอกว่าไม่ได้เพราะได้บวชเป็นหลวงจีนแล้ว ลีตงก็ว่าถ้าพรุ่งนี้ไปเที่ยวตีปล้นได้เงินทองมาแล้ว จะมอบให้เอาไปใช้สอยระหว่างเดินทางด้วย

ลูตีซิมก็คิดว่าสองคนนี้ใจแคบ เงินทองข้าวของมีมากมายไม่ให้ จำเพาะจะต้องไปปล้นได้จึงจะให้ แต่ก็ไม่พูดว่ากระไร

รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งสองนายโจรเลี้ยงดูกันแล้วก็ออกไปทำงานเช่นเคย ทิ้งให้ลูตีซิมอยู่คนเดียว ก็คิดเคืองอยู่ในใจ จึงเรียกคนรับใช้สองคนมาจับมัด เอาผ้าจุกปากไว้ แล้วก็เอาเครื่องตั้งโต๊ะที่ทำด้วยเงิน หลายสิ่งหลายอย่าง มาทุบให้แบนแล้วใส่ห่อผ้า ออกจากสำนักโจรไปทางหลังเขาซึ่งเป็นผาชัน แล้วเอาห่อผ้ากับไม้เท้าผูกติดกัน กลิ้งลงไปก่อน แล้วจัดเครื่องแต่งตัวให้รัดกุมนั่งถัดลงไป จนถึงตีนเขาก็ฉวยห่อผ้ากับอาวุธคู่มือเดินทางต่อ โดยไม่สนใจว่าสองโจรจะเคียดแค้นหรือคิดอย่างไร

ลูตีซิมเดินทางต่อไปได้อีกสิบลี้เศษ ก็อ่อนระโหยโรยแรงลงด้วยความหิว บ้านเรือนผู้คนระหว่างทางก็ไม่มี พอดีได้ยินเสียงระฆังของวัด ก็เดินไปตามเสียงจนถึงวัดซึ่งเกือบจะร้าง มีหลวงจีนแก่ ๆ สี่ห้าองค์นั่งเจ่าจุกอยู่ ก็เข้าไปหาหวังจะอาศัยขออาหารกินบ้าง

หลวงจีนเหล่านั้นกลับบอกว่า ที่มาแอบอยู่นั้น ก็ด้วยความกลัว หลวงจีนซุยเตาเสง กับเตาหยินชื่อ คูเซียวอิด ซึ่งมายึดครองวัดนี้ทำเป็นสำนักโจร เที่ยวแย่งชิงเอาภรรยาและบุตรสาวของราษฎรชาวบ้าน มากักขังไว้ที่หลังวัด ผู้ใดไม่ยอมก็ฆ่าฟันตายหมด หลวงจีนที่วัดนี้ก็ถูกไล่ออกไปหมดสิ้น พวกที่เหลืออยู่นี้เป็นคนแก่ไม่มีเรี่ยวแรงจะไปไหนจึงแอบซ่อนตัว ต้องอดข้าวมาตั้งสามวันแล้ว

ลูตีซิมว่าเหตุไฉนจึงไม่มีใครไปฟ้องร้องกับเจ้าหน้าที่ให้จัดการ หลวงจีนชราก็บอกว่าไม่มีหัวหน้านำ และหนทางก็ไกล ทั้งทหารของหัวเมืองก็คงจะสู้ฝีมือหลวงจีน กับเตาหยินอันธพาลคู่นี้ไม่ได้

ลูตีซิมจึงเข้าไปถึงห้องข้างใน เห็นซุยเตาเสงกับคูเซียวอิดนั่งกินอาหาร อยู่กับหญิงสาวผู้หนึ่ง จึงถามไถ่เรื่องราวต่างๆ ที่หลวงจีนชราเล่าให้ฟัง ซุยเตาเสงก็แก้ตัวว่า หลวงจีนวัดนี้เป็นนักเลงเล่นการพนันเสพสุราทำความชั่วต่าง ๆ แล้วไล่สมภารเจ้าวัดไปเสีย เอาเงินทองของวัดมาใช้จนหมด ไร่นาของวัดก็ขายกินเกลี้ยง ตนเองเข้ามาจะช่วยบำรุงวัดให้เหมือนเดิม

ลูตีซิมก็ถามว่าแล้วหญิงสาวคนนี้คือใคร เหตุใดจึงมานั่งเสพสุราอยู่ด้วยกัน ซุยเตาเสงว่าหญิงนี้เป็นบุตรของ เฮงอิวกิม เป็นเศรษฐีให้เงินบำรุงวัดไว้มาก ต่อมายากจนลงแล้วตายไปญาติพี่น้องไม่มี สามีก็ป่วยหากินไม่ได้ต้องนอนอดข้าวอยู่ จึงมาขอยืมข้าวเอาไปต้มกิน ตนจึงเรียกให้อยู่กินโต๊ะกันก่อน แล้วจะให้ข้าวสารไปบ้าน

ลูตีซิมชักจะเชื่อถือ ต้องกลับออกมาถามหลวงจีนผู้เฒ่าทั้งห้าใหม่ พวกหลวงจีนเหล่านั้นก็ยืนยันตามเดิม ลูตีซิมจึงกลับเข้าไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่เจอใครประตูห้องก็ปิด จึงถีบประตูพังบุกเข้าไป ซุยเตาเสงกับคูเซียวอิดก็จับอาวุธ เข้าสู้รบกับลูตีซิมได้สิบเพลง ลูตีซิมหิวข้าวหมดแรง จึงต้องถอยออกจากวัดไป

ครั้นออกมาไกลแล้วก็นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ด้วยความอ่อนเพลีย นึกได้ว่าลืม ห่อผ้าข้าวของทิ้งไว้ในวัดคิดจะกลับเข้าไปเอาก็กลัวโดนอันธพาลรุมอีก ครั้นจะเดินทางไปตัวเปล่าก็ไม่มีเงินทองจะซื้อกินตามทาง ลุกขึ้นเดินคิดกลับไปกลับมา ก็เห็นชายผู้หนึ่งซุ่มอยู่โคนต้นไม้ ถุยน้ำลายใส่แล้วก็เดินหนีไปให้ตาม

ลูตีซิมกะว่าจะตามไปแย่งชิงเอาเข้าของเสื้อผ้าไปแลกสุราอาหารกิน จึงเดินตามไป

แต่เมื่อชายคนนั้นหันกลับมาสู้ถึงสามสิบเพลง ก็ยังเอาชนะไม่ได้ กลับร้องถามชื่อแซ่ ลูตีซิมชักยัวะบอกให้รบกันไปถึงสองร้อยเพลงก่อนจึงค่อยรู้ แล้วก็ฟาดฟันกันต่อไปอีกยี่สิบเพลงจนหมดแรงชายคนนั้นก็ขอพักรบ

ลูตีซิมจึงบอกว่าเดิมชื่อลูตัด แต่บัดนี้บวชเป็นหลวงจีนเปลี่ยนชื่อเป็นลูตีซิม ชายคนนั้นก็วางกระบี่คำนับว่า ท่านจำ ซือจิน ไม่ได้หรือ ลูตีซิมก็ระลึกได้ว่าเคยสนทนาปราศรัยกันที่เมืองอุยจิว พร้อมกับลีตงซึ่งเดิมเคยเป็นครูของซือจินมาก่อน

ซือจินก็เล่าว่าพอรู้เรื่องที่แต้โต๋วตายก็หนีออกจากเมืองไปหาอาจารย์ เฮงจิน ที่เมืองเอียนอันฮู้ก็ไม่พบ จึงกลับมาอยู่ที่เมืองปักเกีย ไม่ช้านานเงินทองก็หมด ต้องท่องเที่ยวอยู่ในป่าหากินจี้ปล้นไปวัน ๆ

ลูตีซิมก็เล่าเรื่องตั้งแต่หนีออกจากเมืองอุยจิว จนได้บวชแล้วถูกขับออกจากวัด มาเจอซุยเตาเสงและคูเซียวอิดในวันนี้ แต่สู้ไม่ได้เพราะหมดแรงข้าวต้ม

ซือจินจึงแบ่งอาหารให้กินพอประทังชีวิต แล้วก็ชวนกันย้อนกลับไปที่วัดของอันธพาลทั้งสองอีกครั้ง

คราวนี้ลูตีซิมกับซือจิน ช่วยกันปราบซุยเตาเสงและคูเซียวอิด จนนอนเป็นศพไปทั้งคู่ แล้วก็คิดจะช่วยผู้ที่ถูกรังแกให้หลุดพ้นไป แต่ก็ผิดหวังเพราะหลวงจีนชราเหล่านั้น เมื่อเห็นว่าลูตีซิมพ่ายแพ้ไปในครั้งแรก กลัวจะถูกทำร้ายเลยผูกคอตายหมดทั้งห้าองค์ ครั้นเข้าไปดูหลังวัดที่กักขังลูกเมียของชาวบ้าน ก็ปรากฎว่าบ้างก็ผูกคอตายบ้างก็โดดบ่อตายไม่มีเหลือเลย

ทั้งสองค้นดูทุกห้องก็ไม่มีผู้คน เหลือแต่ห่อผ้าวางอยู่บนโต๊ะสามห่อ แก้ออกดูเห็นมีเงินทองข้าวของอย่างดี จึงแบ่งกันไป แล้วหาอาหารสุรามากินกันเป็นที่อิ่มหนำสำราญ สุดท้ายปรึกษากันว่า วัดนี้ร้างแล้วไม่มีผู้ดูแลรักษา ทิ้งไว้ก็จะเป็นที่อาศัยของโจรผู้ร้ายต่อไป จึงจัดการเผาเสียวอดไปสิ้น แล้วก็ร่ำลาแยกกันไปคนละทาง

ซือจินนั้นขอกลับไปอาศัยโจรที่เคยเป็นเพื่อนกันที่เขาเซียวฮัวซัว ลูตีซิมก็จะเดินทางต่อไปจนกว่าจะถึงวัดใต้เซียงก๊กยี่ ที่เมืองตังเกีย ถ้ามีเหตุการณ์สิ่งใดก็ให้ติดต่อส่งข่าวแก่กันได้.

##########

นิตยสารโล่เงิน
พฤษภาคม ๒๕๓๙

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๑๗ เมษายน ๒๕๔๙




 

Create Date : 28 ตุลาคม 2550    
Last Update : 28 ตุลาคม 2550 6:44:36 น.
Counter : 776 Pageviews.  

ชุดที่ ๒ ลูตีซิม...หลวงจีนจอมสุรา (ตอนที่ ๑)

ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ

ลูตีซิม.....หลวงจีนจอมสุรา

ตอนที่ ๑ สุราพาให้เกิดทุกข์

เล่าเซี่ยงชุน

ลูตีซิม ซึ่งเป็นผู้หนึ่งในกระบวนพี่น้องกลุ่มโจรเขาเนียซัวเปาะนั้น เดิมชื่อ ลูตัด เป็นนายทหารรับราชการอยู่กับ เกงเลียดเซียงก๋ง เจ้าเมืองเอียนอันฮู้ เป็นผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ มีฝีมือเข้มแข็ง แต่ค่อนข้างโง่เขลาไม่มีสติปัญญา ในเวลานั้นได้โอนมารับราชการอยู่กับ เกงเลียดฮู้ บุตรของเกงเลียดเซียงก๋ง ผู้บัญชาการทหารเมืองอุยจิว ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน

วันหนึ่งได้พบกับ ซือจิน ลูกชายของอดีตนายอำเภอซือเกซึงแขวงเมืองฮัวอิมกุ้ย มา ตามหาอาจารย์ชื่อ เฮงจิน ซึ่งเคยเป็นครูทหารอยู่ที่เมืองตังเกีย แต่ถูกเจ้านายกลั่นแกล้ง จึงต้องหนีมาหลบซ่อนตัวอยู่ ลูตัดก็แนะนำว่าเฮงจินไปอาศัยอยู่กับเกงเลียดเซียงก๋ง ที่เมืองเอียนอันฮู้ มิได้อยู่ที่เมืองอุยจิวนี้ ระหว่างที่ชวนกันไปหาที่นั่งคุยต่อก็ได้พบกับ ลีตง ครูอีกคนหนึ่งของซือจิน กำลังเร่ขายกอเอี๊ยะดำอยู่ จึงชักชวนกันไปเสพสุราอาหารที่ร้านในตลาด

ขณะที่กำลังคุยถูกคอในฐานะที่รู้เรื่องเพลงอาวุธยุทธวิธีพอกัน ลูตัดก็สนใจพ่อลูกที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งกำลังร้องไห้ปรับทุกข์กันอยู่ จึงเรียกเข้ามาซักถามความเป็นไป

หญิงสาวก็เล่าว่าตนผู้เป็นบุตรชื่อ ซุยเหลียน บิดาชื่อ กิมโล้ เดิมเป็นชาวตังเกียซึ่งเป็นเมืองหลวง สามคนพ่อแม่ลูกเดินทางมาหาญาติที่เมืองอุยจิว แต่ไม่เจอเพราะเขาย้ายไปอยู่เมืองนำเกียเสียแล้ว ก็พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมนี้ มารดาได้ป่วยตายลง เหลือแต่เพียงสองคนพ่อลูก ไม่มีเงินทองเลี้ยงชีวิต จึงได้รู้จักกับ แต้โต๋ว พ่อค้าขายหมูมั่งมีเงินทองรับจะอุปการะ โดยให้ซุยเหลียนไปเป็นภรรยาน้อยจะให้สินสอดสามพันตำลึง บิดาก็ยินยอม แต่ไปอยู่กินเป็นภรรยาถึงสองเดือนเศษแล้ว บิดาก็ยังไม่ได้ รับเงินที่ว่านั้น และตัวภรรยาหลวงก็กดขี่ข่มเหง เฆี่ยนตีให้เอาเงินสามพันตำลึงมาคืนอีกด้วย ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้รับมา เงินที่จะหาซื้ออาหารเลี้ยงชีวิต ให้ตลอดเช้าถึงเย็นก็ยังไม่มีเลย จึงต้องอาศัยร้องเพลง ขอทานไปตามโรงสุราต่าง ๆ เงินที่ได้ไปส่วนใหญ่ก็เป็นค่าเช่าโรงเตี๊ยม

และสองวันที่ผ่านมาก็ไม่มีผู้ใดบริจาคเงินให้เลย ต้องอดหิวอยู่ทั้งพ่อลูก ทางโรงเตี๊ยมก็เร่งรัดจะเอาเงินค่าเช่าให้ได้ จึงร้องไห้ปรับทุกข์กันด้วยเหตุนี้

ลูตัดได้ฟังก็สงสารสองพ่อลูก จึงควักเงินออกมาจะช่วยเหลือ แต่บังเอิญมีอยู่เพียงห้าตำลึงเห็นว่าน้อยนัก จึงออกปากยืมเงินซือจินเพื่อนใหม่อีกสิบตำลึง ว่าพรุ่งนี้จะใช้คืนให้ แล้วก็มอบเงินสิบห้าตำลึงให้สองพ่อลูก จัดหาเสบียงอาหารเดินทางต่อไปได้ตามสบาย ไม่ต้องเกรงกลัวภัยอันตรายจากผู้ใด แล้วทั้งสามก็แยกย้ายกันไป

โดยลูตัดก็รับรองกับเจ้าของโรงสุราว่า พรุ่งนี้จะนำเงินมาชำระค่าสุราอาหาร ที่กินกันในวันนี้เช่นกัน

พอรุ่งเช้าลูตัดก็ไปดูแลสองคนพ่อลูกให้ออกเดินทางไป แต่เจ้าของโรงเตี๊ยมไม่ยอม ลูตัดถามว่าสองคนนี้ติดค้างเงินค่าเช่าค่ากินอยู่เท่าไร เจ้าของโรงเตี๊ยมบอกว่าให้เรียบร้อยแล้ว ลูตัดถามว่าถ้าอย่างนั้นจะมาขัดขวางเขาไว้ทำไม เจ้าของโรงเตี๊ยมบอกว่าแต้โต๋วสั่งให้ควบคุมตัวไว้จนกว่าจะได้เงินสามพันตำลึงคืน

ลูตัดก็รับอีกว่าจะใช้เงินจำนวนนั้นให้เอง เจ้าของโรงเตี๊ยมไม่เชื่อ ลูตัดก็ตบปากจนล้มคว่ำลงไป พอลุกขึ้นได้ก็วิ่งเข้าไปหลบในโรงเตี๊ยม ไม่ยอมโผล่หน้าออกมาอีกเลย

ลูตัดให้สองพ่อลูกออกเดินทางไป โดยตนเองคอยคุมเชิงอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมนั้น จน กิมโล้กับซุยเหลียนลับสายตาไปแล้ว จึงตรงไปที่ร้านขายหมูของแต้โต๋ว ใกล้สะพานจอหงวนเกี๋ย แต้โต๋วออกมาต้อนรับไต่ถามว่าต้องการอะไร

ลูตัดบอกว่าตัวนายทหารใหญ่ให้มาเอาเนื้อหมูสิบชั่ง หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไม่ให้มีมันติดเลย แต้โต๋วก็สั่งลูกน้องให้จัดการ ลูตัดบอกไม่ได้เจ้าของต้องทำเอง แต้โต๋วจึงลงมือแล่หมูเอง พอเสร็จแล้วห่อส่งให้ ลูตัดก็ว่าเอามันหมูอีกสิบชั่งไม่ให้มีเนื้อติดเลยหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เหมือนกัน แต้โต๋วชักจะยัวะขึ้นมาหน่อย ๆ แต่ก็ยอมทำให้ พอห่อเสร็จลูตัดก็บอกว่าเอากระดูกอ่อนอีกสิบชั่ง ไม่ให้ติดเนื้อติดมันเลย แต้โต๋วโกรธเต็มที่ด้วยรู้ว่าถูกแกล้ง

ลูตัดเลยเอาหัวหมูทุ่มหัวแต้โต๋วเข้าให้ แต้โต๋วก็เงื้อมีดหมูจะฟัน แต่ลูตัดคว้าข้อมือได้ลากออกมานอกร้าน แล้ว
ถีบคว่ำลงบนถนน ร้องตวาดว่า

"....เจ้าฆ่าหมูขายมั่งมีเงิน ก็ยกย่องตัวเองให้เรียกเป็นคุณเป็นท่าน เที่ยวข่มเหงกดขี่เอาบุตรสาวกิมโล้มาเป็นภรรยาน้อย เงินทองก็ไม่ให้เขา ภรรยาใหญ่ของเจ้าเฆี่ยนตีจนยับเยิน แล้วยังจะเอาตัวไปเร่งเงิน นางซุยเหลียน กับบิดาเขาเป็นหนี้เงินทองสิ่งใดของเจ้า เห็นว่าเขาพลัดบ้านเมืองมา ญาติพี่น้องไม่มีก็ข่มเหงเอาตามอำเภอใจ....."

ว่าแล้วก็ถีบเข้าให้อีกทีหนึ่ง แต้โต๋วก็ร้องให้ชาวบ้านช่วย แต่ไม่มีใครกล้าช่วย รวมทั้งลูกจ้างทั้งหลายและเจ้าของโรงเตี๊ยม ที่วิ่งมาถึงเพื่อจะบอกเรื่องราวด้วย ลูตัดก็กระทืบซ้ำอย่างหนักเข้าให้อีกหลายที และสำทับว่าคอยดูพรุ่งนี้เช้าได้เห็นกัน แล้วก็เดินกลับบ้านไป

บุตรภรรยาของแต้โต๋ว ต่างช่วยกันแก้ไขเท่าไรก็ไม่ฟื้น เพราะแต้โต๋วขาดใจตายเสียแล้ว จึงไปร้องเรียนต่อเจ้าเมืองอุยจิว เจ้าเมืองก็นำความไปแจ้งต่อเกงเลียดฮู้ผู้บังคับบัญชาของลูตัด เกงเลียดฮู้ก็บ่ายเบี่ยงว่าให้จับตัวมาให้ได้ แล้วจะแจ้งไปยังบิดาของตนที่เมืองเอียนอันฮู้ก่อน จะได้ลงโทษตามกฎข้อบังคับต่อไป

เจ้าเมืองอุยจิวก็ให้เจ้าพนักงานนำทหารยี่สิบคนไปจับตัวลูตัดที่บ้าน แต่ไม่พบเพราะลูตัดได้หอบข้าวของ ออกเดินทางไปจากเมืองตั้งแต่ดึกแล้ว เจ้าเมืองจึงสั่งให้วาดรูปลูตัดตั้งสินบนนำจับเป็นเงินพันตำลึง ส่งไปทุกหัวเมืองใกล้เคียง

ฝ่ายลูตัดเดินทางออกจากเมืองอุยจิวรอนแรมมาได้เดือนเศษก็ถึงตำบล งันมึงกุ้ยแขวงเมืองใต้จิว ขณะที่เดินผ่านไปตามถนนเห็นร้านค้าขายของต่าง ๆ มากมาย มีผู้คนยืนมุงดูอะไรเป็นหมู่ก็เข้าไปดูบ้าง แต่ตนเองอ่านหนังสือไม่ออก

มีชายคนหนึ่งอ่านขึ้นดัง ๆ ว่า มีประกาศจับลูตัดนายทหารเมืองอุยจิวค่าตัวพันตำลึง

ลูตัดก็สะดุ้งรีบเดินหนีออกมา จนเจอกับกิมโล้ ซึ่งเข้ามากอดด้วยความดีใจ และจูงมือออกไปให้พ้นผู้คน แล้วบอกว่าช่างกล้าหาญนัก เจ้าเมืองใต้จิวปิดประกาศจะจับตัวท่านส่งให้เมืองอุยจิว ซึ่งท่านมีคุณยิ่งนั้นไม่เคยลืมเลย ลูตัดก็ถามว่าจะพาบุตรสาวกลับไปเมืองตังเกีย แล้วทำไมมาอยู่ที่นี่เล่า

กิมโล้บอกว่าบังเอิญมาเจอพวกพ้องอยู่ที่เมืองนี้ เลยได้พักอาศัยกับเขา และเพื่อนคนนี้ก็ชักนำบุตรสาวให้มีผัวเป็นเศรษฐีชื่อ เตียอวนเงย จึงได้ตั้งรกรากอยู่ที่เมืองนี้เสียเลย

ลูตัดก็แสดงความยินดีด้วย ที่มีความสุขสบายดีแล้ว ส่วนตนเองนั้นไปตีแต้โต๋วถึงตาย จึงต้องหลบหนีคดีอาญามา กิมโล้ก็ชวนไปที่บ้านและแนะนำให้รู้จักกับเศรษฐีเตียอวนเงย ว่าเป็นผู้มีพระคุณ ได้ช่วยเหลือตามที่เคยเล่าให้ฟังแล้ว

เตียอวนเงยคำนับแล้วว่า มีคุณแก่บิดาภรรยาก็เหมือนมีคุณแก่ตน จึงจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดูอย่างดีและให้ลูตัดค้างอยู่ที่บ้าน

พอรุ่งเช้าเตียอวนเงยก็พาลูตัดไปที่บ้านใหญ่ตำบลชิดโปชวน แนะนำให้ภรรยาหลวงคำนับรู้จักกันไว้ ลูตัดจึงได้พักอยู่ที่บ้านนี้อีกเจ็ดแปดวัน กิมโล้ก็มาบอกว่ามีคนรู้ว่าลูตัดมาพักอยู่เมืองนี้ อาจมีคนมาจับตัวได้ เตียอวนเงยจึงรีบหาช่องทางที่จะช่วยไม่ให้ลูตัดถูกจับกุม โดยนำไปฝากไว้ที่วัดเขาเงาไทซัว ซึ่งปู่และบิดาของเตียอวนเงย ได้สร้างไว้แต่โบราณ เป็นวัดใหญ่มีหลวงจีนร่วมเจ็ดแปดร้อยองค์

เตียอวนเงยก็ขอร้องให้ หลวงจีนตีจิน เจ้าอาวาสบวชให้ลูตัด โดยจะรับอุปถัมภ์เงินทองทุกอย่าง

เจ้าอาวาสนึกรู้ว่าน่าจะเป็นคนต้องคดีหลบหนีมา แต่เกรงใจเศรษฐีผู้อุปถัมภ์วัดมาถึงสามชั่วคน จึงยอมรับบวชให้แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า ลูตีซิม กฎหมายของเมืองจีนในสมัยนั้น คนที่ต้องโทษถึงตายถ้าหนีไปบวชได้ ก็เป็นอันพ้นโทษพ้นภัยทั้งสิ้น

หลวงจีนลูตีซิมจึงอยู่ถือศีลกินเจ ศึกษาพระธรรมคำสอนจากเจ้าอาวาส อย่างสุขสบายไม่เดือดร้อนต่อไป

ครั้นอยู่วัดมาได้ห้าเดือนเศษ หลวงจีนลูตีซิมก็ไม่ค่อยจะกินเส้นกับหลวงจีนองค์อื่น ๆ นัก เพราะถูกกล่าวหาว่า ดีแต่กินแล้วก็นอนไม่ค่อยท่องบ่นสวดมนต์ เหมือนอย่างหลวงจีนทั้งหลาย แต่ลูตีซิมก็ไม่ฟังเสียงมีการทุ่มเถียงทะเลาะกันอยู่เสมอ พอหลวงจีนพากันไปฟ้องเจ้าอาวาส ก็เข้าข้างลูตีซิมเพราะเกรงใจเศรษฐีเตียอวนเงย ลูตีซิมเลยไม่ยอมเกรงกลัวผู้ใดในวัด

วันหนึ่งมีคนขายสุรามาหยุดพักหาบอยู่หน้าวัด ลูตีซิมซึ่งอดอยากปากแห้งมานานก็จะขอซื้อสุรา ผู้ขายบอกว่าที่วัดนี้เจ้าอาวาสห้ามไม่ให้หลวงจีนเสพสุรา ขายได้แต่ชาวบ้านเท่านั้น ลูตีซิมเคี่ยวเข็นจะเอาให้ได้ คนขายก็ยกหาบวิ่งหนี

ลูตีซิมตามไปยึดไม้คานไว้และถีบล้มคะมำไป จากนั้นก็เปิดถังสุราออกกินจนหมดถัง แล้วให้ไปเอาเงินที่วัดในวันพรุ่งนี้ คนขายกลัวเจ้าอาวาสจะโกรธ รีบยกหาบใส่บ่าหนีไปโดยไม่เอาเรื่องด้วย

ลูตีซิมชักเมาก็เดินเข้าไปในวัด ศิษย์ที่รักษาประตูห้ามว่าอย่าเข้าไปเลย เจ้าอาวาสประกาศไว้ไม่ให้หลวงจีนเสพสุรา ผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องถูกเฆี่ยนสี่สิบที แล้วไล่ออกจากวัด ลูตีซิมไม่ฟังจะเข้าไปให้ได้ คนเฝ้าประตูจึงไปตามศิษย์อื่น ๆ ถือกระบองมาห้าม เห็นไม่เชื่อฟังก็รุมกันตี

ลูตีซิม แย่งกระบองมาต่อสู้ ตีเอาเด็กวัดเจ็บป่วยไปหลายคน ต่างก็พากันไปฟ้องเจ้าอาวาส แต่เมื่อเห็นลูตีซิมเมามากพูดด้วยก็คงไม่รู้เรื่อง เจ้าอาวาสจึงให้ช่วยกันพยุงไปนอนเสีย ลูกศิษย์ทั้งหลายจึงคิดว่าหลวงจีนเจ้าอาวาสเกรงใจเศรษฐีผู้อุปถัมภ์วัด จนเสียระเบียบของวัดหมด

พอรุ่งเช้าเจ้าอาวาสเรียกลูตีซิมมาอบรมว่า เมื่อมาบวชก็สั่งสอนให้เล่าเรียนถือศีลแปด เหตุไฉนจึงไปเสพสุราเมามาทุบตีศิษย์วัดให้เจ็บป่วย แต่เพราะเห็นแก่เตียอวนเงย จึงยังไม่ไล่ออกจากวัด ลูตีซิมรับสารภาพว่าผิดไปแล้ว อย่าถือโทษเลย ตั้งแต่นี้สืบต่อไป จะไม่ทำเช่นนี้อีก

อาจารย์จึงภาคทัณฑ์ไว้ว่า ถ้าคราวหน้าขืนเสพสุราอีก จะไล่ออกจากวัดโดยไม่มีข้อแม้

ลูตีซิมอยู่ในวัดโดยประพฤติตัวเรียบร้อยมาได้อีกห้าเดือนเศษ ก็ออกไปเดินเล่นนอกวัด ผ่านตลาดก็เที่ยวหาโรงตีเหล็กจนเจอ เข้าไปถามว่ามีเหล็กอย่างดีหรือไม่ ช่างถามว่าจะให้ทำสิ่งใดหรือ ลูตีซิมก็ว่าจ้างให้ทำง้าวเล่มหนึ่งกับไม้เท้าอันหนึ่ง ไม้เท้านั้นจะให้หนักเท่าใดก็ได้ แต่ง้าวนั้นให้หนักร้อยชั่ง ช่างจึงแย้งว่า

"......ร้อยชั่งนั้นหนักนัก กลัวว่าท่านจะใช้ไม่ได้ แต่ กวนก๋ง ครั้งแผ่นดินสามก๊ก ก็ใช้ง้าวหนักแปดสิบเอ็ดชั่งเท่านั้น....."

ลูตีซิมก็ย้อนว่า

"......กวนก๋งกับเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ใช้ง้าวหนักร้อยชั่งไม่ได้หรือ....."

ช่างเหล็กกลัวว่าจะยกไม่ไหว ต่อรองให้เหลือห้าสิบชั่ง ลูตีซิมก็ยืนยันให้ทำง้าวหนักเท่ากับง้าวประจำตัวของ กวนอู ทหารเสือสมัยสามก๊กให้ได้ ส่วนไม้เท้านั้นหนักหกสิบชั่งก็พอ ช่างคิดราคาแค่ห้าตำลึง ลูตีซิมก็ตกลง

ออกจากร้านช่างเหล็ก ลูตีซิมก็เที่ยวเดินหาร้านสุราด้วยความอยาก แต่ไม่มีใครขายให้เช่นเคย จึงออกมาถึงท้ายตลาด แล้วอ้างว่าเดินทางมาจากเมืองอื่น จึงมีคนยอมขาย ลูตีซิมเข้าไปนั่งในร้านกินสุราไปหลายสิบชาม แกล้มเนื้อสุนัขต้มเปื่อยหมดไปสองตัว จึงคิดเงินแล้วเดินโซเซกลับมานั่งพักที่ศาลาหน้าวัด

นึกคึกขึ้นมาจึงลุกขึ้นรำท่าเพลงอาวุธต่าง ๆ ที่ไม่ได้ฝึกซ้อมมานาน ยิ่งเมายิ่งออกฤทธิ์มาก ผลักเอาเสาค้ำหลังคาหักพังลง ศิษย์ในวัดออกมาดูเห็นหลวงจีนขี้เมาเจ้าเก่าก็ปิดประตูวัดเสีย

ลูตีซิมเห็นตุ๊กตาจีนก่อด้วยอิฐปูน ถือกระบองยืนอยู่หน้าประตู ก็ฉวยไม้มาตีจนแตกหักไปอีกสองตัว แล้วประกาศว่า ถ้าไม่เปิดประตูจะเอาไฟเผาวัดเสีย ลูกศิษย์จึงต้องยอมเปิดประตูให้เข้า

ลูตีซิมเดินเข้าไปในโบสถ์ ด้วยความเมาก็ชนเครื่องบูชาหน้าพระพุทธรูป แตกหักเสียหายหมด ศิษย์วัดรวบรวมกำลังได้ถึงสามร้อยคน ถืออาวุธเข้ากลุ้มรุมจะจับตัว ลูตีซิมก็ฉวยขาโต๊ะบูชาพระกวัดแกว่ง สู้รบกับศิษย์วัดจนแตกกระจายไปหมด

จนรู้ถึงหลวงจีนตีจินเจ้าอาวาส ต้องเข้ามาระงับเหตุ ลูตีซิมจึงวางขาโต๊ะลงคุกเข่าคำนับอาจารย์

คราวนี้เจ้าอาวาสไม่ยกโทษให้ ได้เขียนหนังสือไปแจ้งให้เตียอวนเงยรู้เรื่อง ท่านเศรษฐีก็รับว่าจะชดใช้ค่าเสียหายให้ทั้งสิ้น และที่จะขับไล่ลูตีซิมออกจากวัดก็ไม่ขัดข้อง เจ้าอาวาสจึงบอกว่า

".....เจ้าทำวุ่นวายขึ้นหลายครั้ง ข้าวของหักพังเสียไปมาก ศิษย์ทั้งปวงเขาแค้นเคืองนัก เจ้าอยู่ที่นี่เห็นจะไม่ได้ เรายังมีศิษย์อีกคนหนึ่ง ไปเป็นอาจารย์อยู่วัดไต้เสียงก๊กยี่ ที่เมืองหลวงตังเกีย ชื่อ หลวงจีนเชงเซียนซือ เราจะมีหนังสือให้เจ้าไปอาศัยอยู่กับเขา....."

ลูตีซิมว่าแล้วแต่ท่านจะเมตตา เจ้าอาวาสก็ให้หนังสือแนะนำตัว และให้เงินไว้สิบตำลึง เพื่อใช้จ่ายในการเดินทาง หลวงจีนลูตีซิม ก็คำนับรับหนังสือกับเงิน ออกจากวัดเขาเงาไทซัวไปเอาไม้เท้ากับง้าวที่ตลาด แล้วก็แบกอาวุธประจำกายเดินทาง ดั้นด้นไปเมืองตังเกีย ตามกรรมของตนโดยไม่รู้อนาคต.

##########

นิตยสารโล่เงิน
เมษายน ๒๕๓๙

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๑๕ เมษายน ๒๕๔๙




 

Create Date : 27 ตุลาคม 2550    
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2553 19:40:20 น.
Counter : 733 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.