Group Blog
 
All Blogs
 

ทีวีเป็นเหตุ

ข่าวค้างปี

ทีวีเป็นเหตุ

เทพารักษ์


ในยุคสมัยที่โทรทัศน์เมืองไทย มีให้ดูโดยไม่เสียเงินถึงหกช่อง ตลอดเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงนี้ ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อย่างไร เกิดขึ้นที่ส่วนไหนของโลก เราก็อาจจะได้รู้และได้เห็น ราวกับไปอยู่ในที่เกิดเหตุนั้นจริง ๆ อย่างละเอียดชัดเจน ไม่ต้องฟังเขาเล่าว่าเหมือนสมัยก่อน โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์ CNN ของสหรัฐอเมริกานั้น สามารถจะส่งข่าวและภาพให้คนทั้งโลกได้รู้เห็น เกือบจะเป็นนาทีแรกที่เหตุนั้นเกิดขึ้นทีเดียว

อย่างเช่นกรณีผู้ก่อการร้ายขับเครื่องบิน ชนตึกเวิลด์เทรด ในมหานครนิวยอร์ค เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ซึ่งผู้คนในกรุงเทพมหานครก็ได้เห็นภาพนั้น เกือบจะทันทีที่เครื่องบินเครื่องมุดเข้าไปในตึก และเห็นเหมือนกับดูด้วยตาตนเอง จนกระทั่งตึกที่สูงที่สุดในโลกทั้งสองหลัง ทรุดลงมากองกับพื้นดิน มีแต่ฝุ่นผงคละคลุ้งไปทั่วทั้งเมือง

รวมทั้งภาพการไล่ล่าหาตัวผู้ก่อเหตุ ของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร ในประเทศอาฟกานิสถาน หลังจากนั้นอีกนานเป็นเดือน ซึ่งก็ยังไม่ได้ตัวผู้ต้องสงสัยจนบัดนี้ และการก่อการร้ายทำนองนั้น ก็ยังเกิดขึ้นต่อไปอีก ทั้งในตะวันออกกลาง เรื่อยมาจนถึงอินโดนิเชีย และฟิลิปปินส์
หรือรายที่มีพวกขบถประมาณห้าสิบคน บุกเข้าไปยึดตัว
ประกันประมาณเจ็ดร้อยคน ในโรงละครกลางกรุงมอสโคว์ เมืองหลวงของประเทศรัสเซีย เอาไว้เป็นเวลาหลายวัน โดยขู่ว่าถ้าไม่ยินยอมตามคำเรียกร้อง จะระเบิดโรงละครทั้งโรงให้ตายกันหมด รวมทั้งพวกของตนเองด้วย ทางราชการจึงใช้แก๊สชนิดหนึ่งปล่อยเข้าไปทางช่องระบายความเย็น จนสลบเหมือดไปหมดทั้งคนดีคนร้าย แล้วจึงเข้าไปเคลียร์พื้นที่ ปรากฏว่าคนร้ายตายไปหลายสิบคน แต่ตัวประกันตายไปร้อยกว่าคน สงวนชีวิตผู้บริสุทธิ์ไว้ได้หลายร้อยคน

รวมทั้งเหตุที่เกิดในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นตึกถล่มที่โคราช ไฟไหม้โรงงานตุ๊กตาที่นครปฐม การยึดสถานทูตพม่าในกรุงเทพมหานคร หรือการจี้ผู้บัญชาการเรือนจำ และจับตัวประกันที่โรงพยาบาลราชบุรี ก็ตาม

เรื่องทั้งหมดนี้ผู้คนทั้งหลาย ก็จะได้เห็นเหตุการณ์ทางทีวีพร้อมกัน โดยไม่ต้องรออ่านหนังสือพิมพ์ ซึ่งบรรยายถูกบ้างผิดบ้างเหมือนแต่ก่อน และความจริงหนังสือพิมพ์เอง ก็รู้เห็นพร้อมกับคนอ่านเหมือนกัน

เรื่องอย่างนี้เมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีก่อน กว่าคนไทยจะได้รู้ก็คงจะผ่านไปหลายวัน อย่างข่าวธรรมดาข่าวหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครของเรานี้เอง ยังเสนอข่าวแตกต่างไปราวกับไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แค่พาดหัวก็ตื่นเต้นไปคนละแบบแล้ว

ฉบับสีเขียวว่า หนุ่มบ้าเลือดถูกแย่งดูทีวี ตะลุยฟันนายจ้าง

ฉบับสีชมพูฟ้าว่า ปล้ำดรัมเมเยอร์ ม.ธ.ขัดขืนควงขวานฟันเละทั้งบ้าน

ฉบับสีม่วงเหลืองว่า คนใช้ทีเด็ดรำขวานจาม น.ศ.สาวเผด็จสวาท

และฉบับสีแสดว่า บัณฑิตสาวนุ่งชุดนอนโป๊ดูทีวี ลูกจ้างปล้ำ พ่อขวาง หนุ่มหน้ามืดฟันทั้งบ้าน

ส่วนเนื้อข่าวนั้นพอจะประมวลได้โดยสรุปว่า เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ซึ่งเป็นวันเสาร์ ทางโรงพักชนะสงครามได้รับแจ้งจาก โรงพยาบาล ว่ามีคนบาดเจ็บเพราะถูกฟันด้วยขวาน อาการค่อนข้างมากรวมสามคน มารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นสารวัตรทั้งใหญ่น้อย ก็ได้รีบรุดมาดำเนินการสอบสวน ถึงการถูกฟันจากผู้เสียหาย เพื่อหาตัว คนร้ายรายนี้ เอามาดำเนินคดีตามกบิลเมืองต่อไป

ตัวบุคคลในข่าวก็มีอยู่ ๔ คนด้วยกัน

คนแรกคือผู้เสียหายชื่อ นางสาวจีระพันธ์ (นามสมมติ) อายุระหว่าง ๒๐ - ๒๒ ปี ซึ่งฉบับเขียวบอกว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ฉบับชมพูมีรายละเอียดเพิ่มเติมว่า เคยเป็นดรัมเมเยอร์ไม้หนึ่งของคณะเศรษฐศาสตร์ แต่ฉบับแสดแย้งว่าคณะพานิชย์ศาสตร์และการบัญชี ซึ่งได้สำเร็จปริญญามาใหม่เอี่ยม

เธอกำลังดูทีวีอยู่ในชุดนอน ฉบับแสดแจ้งว่าเป็นกางเกงขาสั้น ฉบับชมพูแถมว่ามีกระโปรงบาง ๆ สวมทับด้วย ได้ถูกนายวิชัย(นามสมมุติ) ลูกจ้างอายุ ๑๗ ปี ฉุดมือหรือไม่ก็จิกผม ลากเข้าห้องน้ำหวังทำมิดีมิร้าย เธอจึงร้องเรียกให้คนช่วย ลูกจ้างทีเด็ดจึงวิ่งไปฉวยขวานซึ่งวางขายอยู่หน้าร้าน เพราะที่เกิดเหตุเป็นร้านขายเครื่องเหล็ก ปรากฏว่าคว้ามาได้ตั้งสี่เล่ม แล้วก็ฟันหรือตี น.ส. จีระพันธ์ ที่ศีรษะหลายแผล แต่ที่แน่ ๆ ก็คือกกหูซ้าย เป็นบาดแผลฉกรรจ์เลือดไหลโกรก เพราะฉบับม่วงได้ยืนยันไว้

คนที่สองเป็นชายอายุระหว่าง ๖๐ - ๖๕ ปี ชื่อเป็นสำเนียงจีน คงจะฟังยากเขียนลำบากหน่อย เพราะฉบับเขียวเรียกนายพังโพ ฉบับชมพูเรียกนายผิงไน้ ฉบับม่วงเรียกนายพังโพ้ ฉบับแสดเรียกนายวันฟอ ซึ่งเป็นพ่อของ น.ส.จีระพันธ์

เมื่อได้ยินเสียงลูกสาวร้องให้ช่วยเหลือ ก็วิ่งลงมาจากชั้นบน และประจันหน้ากับขุนขวานเข้าอย่างจัง จึงเกิดการต่อสู้กันเป็นสามารถ ฉบับชมพูรายงานว่าใช้เท้าถีบ ฉบับม่วงว่ากระโดดเตะ ซึ่งก็คงเป็นอาการคล้าย ๆ กันเลยถูกฟันที่ขาเป็นแผลเหวอะหวะ ซึ่งฉบับแสดว่าเป็นแผลฉกรรจ์เส้นเลือดขาด และฉบับเขียวเพิ่มเติมว่า ห้อยร่องแร่งไปเลย

คนที่สามเป็นพี่สาวของ น.ส.จีระพันธ์ ชื่อ น.ส.ยุพา อายุเอาแน่ไม่ค่อยได้ ตกอยู่ระหว่าง ๒๒ - ๓๐ - ๓๓ ปี ซึ่งได้ยินเสียงต่อสู้กัน ก็วิ่งเข้ามาช่วยพ่อและน้องสาว จึงถูกมือขวานฟันเสียหัวแบะไปอีกคนหนึ่ง

ซึ่งฉบับม่วงยืนยันว่าสามแผลเลือดไหลโกรกตามเคย และฉบับแสดเพิ่มเติมว่ากระโหลกศีรษะแตก อาการสาหัสทีเดียว

ทั้งสามรายซึ่งตกเป็นเหยื่อคมขวานของลูกจ้างทีเด็ดรายนี้ มีแต่หนังสือพิมพ์ฉบับม่วงเพียงฉบับเดียวเท่านั้น ที่ติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิด จนสามารถให้รายละเอียดได้ว่า น.ส. จีระพันธ์ ต้องเย็บ ๑๕ เข็ม น.ส.ยุพา เย็บที่ศีรษะตั้ง ๔๕ เข็ม และบิดาที่มีชื่อเรียกยากนั้น ต้องเย็บทั้งที่แขนและที่ขาถึง ๔๐ เข็ม

ฝ่ายนายวิชัย (นามสมมุติ) ขุนขวานตัวการ หลังจากที่ได้ฟาดฟันนายจ้างทั้งสาม จนได้รับบาดเจ็บสาหัสบ้างไม่สาหัสบ้างทั่วหน้ากันดีแล้ว ก็ได้หลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นร้านขายเครื่องเหล็ก ริมถนนสามเสน แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร หายไปในความมืด แต่ก็ไปได้ไม่นานนัก คือ ประมาณสองชั่วโมงต่อมา ก็ถูกตำรวจจับกุมตัวได้พร้อมกับขวานคู่มือ

ซึ่งขณะที่ถูกจับนั้นฉบับเขียวเล่าว่ากำลังเดินอยู่ที่ปากตรอกพระสวัสดิ์ บางลำพูนั่นเอง แต่ฉบับแสดแย้งว่าหลบมุมอยู่ในซอยเดียวกัน ฉบับชมพูขยายความว่า นอนเอาผ้าพลาสติกคลุมอยู่ด้วย แต่ฉบับม่วงให้รายละเอียดว่าหลบซ่อมอยู่ในกองขยะ ไกลถึงซอยพระเจนโน่นเลยเชียวละ

เมื่อจับกุมมือขวานได้แล้ว ก็คงจะลงมือสอบสวนกันเป็นโกลาหล นายวิชัยจึงได้เปิดเผยกับ น.ส.พ.ฉบับเขียวว่า ตนนั่งดูทีวีอยู่ก่อน น.ส.จีระพันธ์เข้ามาดูบ้าง และจะเปลี่ยนช่องไปดูละคร จึงขอร้องให้ดูหนังจบเสียก่อน น.ส.จีระพันธ์ไม่ยอมซ้ำยังด่าแม่เสียด้วย เลยเกิดความแค้นวูบขึ้นมา วิ่งไปคว้าขวานมาฟันนายจ้างดังกล่าว

ซึ่งฉบับอื่นก็รายงานค่อนข้างจะตรงกัน ในสาระสำคัญ แต่กลับมาสารภาพกับฉบับแสดว่า ก่อนเกิดเหตุนั้นเขาเพิ่งกลับจากเที่ยวผู้หญิงที่บางขุนพรหม พอนั่งดูทีวีได้พักหนึ่ง น.ส.จีระพันธ์ก็เข้ามาดูในลักษณะที่นุ่งชุดบางและสั้น จนทำให้เหลืออดขึ้นมา เลยจิกผมเดินเข้าห้องน้ำ เตรียมทำมิดีมิงาม แต่ น.ส.จีระพันธ์ร้องให้คนช่วย เลยเกิดเรื่องราวบานปลายใหญ่โต ดังกล่าว

ซึ่งไม่ว่าสาเหตุจะเกิดขึ้นจากประการแรก หรือประการหลังก็ตาม ทีวีก็น่าจะเป็นตัวการสำคัญ ซึ่งผลที่สุดก็คงจะทำให้ขุนขวานหน้ามืดรายนี้ ได้รับโทษไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก

และเมื่อมาถึงวันนี้ก็คงจะกลับมาเป็นพลเมืองดีแล้ว เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๙ โน่น

ส่วนบุคคลในข่าวทั้งหมด ก็คงจะมีอายุมากขึ้นจนเกือบจะลืมเหตุร้ายเหล่านั้นหมดแล้ว นอกจากแผลเป็นที่ยังติดตัวอยู่ และน่าดีใจว่าในขณะที่โทรทัศน์ปัจจุบัน มีช่องมากกว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน แต่ก็ไม่มีเหตุแย่งกันดู จนเกิดเลือดตกยางออก เช่นข่าวที่ยกมาเล่านี้อีกเลย.

##############

นิตยสารโล่เงิน
สิงหาคม ๒๕๔๗

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๕ กันยายน ๒๕๔๘


Create Date : 28 สิงหาคม 2550
Last Update : 20 กันยายน 2550 9:32:28 น. 2 comments
Counter : 251 Pageviews. Add to





โชคดีที่เดี๋ยวนี้มีโทรทัศน์ทำให้การสื่อสารข่าวต่างฉับไวและเที่ยงตรงมากขึ้น แต่น่าเสียดายที่รายการดีๆที่ส่งเสริมสติปัญญาทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีน้อยเหลือเกิน

โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.242.19 วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:17:32:36 น.




อ้าว....คุณข้าวโพดออกความเห็นมาตั้งสองปีแล้วเพิ่งเห็นขออภัยด้วยครับ

โดย: เจียวต้าย วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:8:38:15 น.





 

Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2555 8:09:11 น.
Counter : 938 Pageviews.  

ทุกข์ซ้ำซ้อน

บันทึกของคนเดินเท้า

ทุกข์ซ้ำซ้อน

“เทพารักษ์”

ในยุคปัจจุบันข่าวพาดหัวบนหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน มีการประดิษฐ์ถ้อยคำให้สั้น กระทัดรัด และมีความหมายเฉพาะ จนบางทีผู้อ่านก็เดาไม่ถูกว่าเป็นเรื่องอะไร ถ้าไม่เปิดดูเนื้อข่าว ซึ่งอาจจะเป็นกลวิธียั่วยุให้ผู้ที่ยืนดูอยู่ อยากจะซื้อไปอ่านเนื้อเรื่องข้างในก็ได้

การกระทำเช่นนี้มีมานาน ตั้งแต่เริ่มมีหนังสือพิมพ์เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ข้อความนั้น ๆ ก็แตกต่างกันไปตามแต่ละยุค และสมัยที่นิยมกันในเวลานั้น ลองดูพาดหัวข่าวนี้ก็ได้

ปลดสปัสซั่มสาวแล้วเข้ากรง

ถ้ายังเดาไม่ออกก็ลองดูหัวรองว่า

สองหนุ่มปวดสะดือจนตัวโก่ง หาทางใช้แบ๊งค์เก๊ปลดสปัสซั่มจนได้เรื่อง

คราวนี้คงจะพอเข้าใจได้บ้างถ้ารู้ว่า สปัสซั่ม หมายถึงอะไร เอาละเรามาดูเนื้อข่าวกันดีกว่า

เมื่อเวลาประมาณ ๒๐ น.ของวันที่ ๑๘ สิงหาคม นายจั๊ว(นามสมมุติ) ทำงานอยู่โรงพิมพ์แห่งหนึ่งข้างวัดบพิตรพิมุข กับนายเซ้ง (นามสมมุติเหมือนกัน) ทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งแถวถนนเสือป่า ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกัน และยังเป็นโสดทั้งคู่

ตามวันเวลาดังกล่าวแล้ว สองหนุ่มลูกจีนชวนกันออกมาเที่ยวเตร่แถวสะพานเหล็ก เพื่อเลือกหาสาวหน้าแฉล้มร่วมทางไปสวรรค์ แต่เมื่อนำธนบัตรใบละ ๑๐๐ จ่ายให้นางแม่เล้าเจ้าสำนัก ก็ต้องรับกลับคืน เพราะอาเฮียขายของชำที่ไปขอแลกเป็นใบย่อย บอกว่าเก๊

สองหนุ่มขัดใจเพียรไปแลกแห่งอื่นอีก ก็ไม่ได้ผลสมประสงค์ เพราะใบละร้อยอันจะเป็นค่าผ่านทางขึ้นสวรรค์นั้น เก๊จริง ๆ สองคนก็ตระเวนไปอีก จนถึงสำนักของนางเติม (นามสมมุติ) และเมื่อใบละร้อยนั้นแลกเปลี่ยนไม่ได้อีก นายนายเซ้งเกิดอาการเกร็งจนหน้าตึงเป๋ง จึงควักใบละสิบจ่ายให้ (ตามราคา) แล้วจูงมือนางสม (นามสมมุติทั้งนั้น) เข้าห้อง โดยเพื่อนอีกคนหนึ่งนั่งงุ่นง่านรอคอยอยู่ เพราะมีเศษเงินเพียงเท่านั้น

ฝ่ายอาเสี่ยที่ถูกแลกใบละร้อย ทำนองเทียวไล้เทียวขื่อของสองหนุ่ม เกิดอาการสงสัย จึงไปกระซิบตำรวจยามที่เคยเป็นขาประจำน้ำชากาแฟ เมื่อโปลิศรู้ความกระนั้นแล้ว จึงรุดหน้าไปยังสำนักนางเติม เพราะรู้ความว่าเจ้าของแบ๊งค์เก๊กำลังสำราญอยู่ที่นั่น

พอไปถึงก็เป็นเวลาที่นายเซ้งออกมายืนหอบฮักอยู่ จึงเข้าตรวจค้นฐานสงสัย และได้แบ๊งค์ปลอมใบละ๑๐๐ บาทในตัวนายเซ้งอีกใบหนึ่ง โปลิศจึงรวบตัวสองหนุ่มไปโรงพักสำราญราษฎร์

เป็นอย่างไรบ้าง กับสำนวนเขียนข่าวแบบโบราณ เพราะข่าวนี้ได้มาจากหนังสือพิมพ์ ฉบับวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๔๙๓ แต่เพื่อความสมบูรณ์ของบันทึก จึงขอนำเนื้อความโปรยหัวข่าวมาสรุปในตอนท้ายนี้ด้วย เขาบรรเลงไว้ดังนี้

เจ้าหนุ่มรูปหล่อทั้งกำลัง”สด”อดเปรี้ยวหวานมันเค็มมาหลายเวลา ก็เกิดอาการ ”เกร็ง”ขนาดหนัก เพื่อระงับโรคปวดสะดือให้หายไปชั่วครั่งชั่วคราว จึงเตร่มาแสวงหาความสำราญด้วยนางโลมหน้าแฉล้ม แต่ขนบประเพณีแม่เล้านั้น มักจะถือเป็นหลักเกณฑ์ว่า ผิว์เจ้าหนุ่มหน้าใดจะเปิดประตูห้องสวรรค์ด้วยดรุณีใดแล้ว จะต้องจ่ายทรัพย์เป็นค่าล่วงหน้าก่อน ขืนปล่อยปละละเลยแล้วไซร้ หนุ่มมันเหยียบคั่นบรรไดสวรรค์แล้ว จะเล่นลูกไม้บิดพริ้ว

เจ้าหนุ่มซึ่งกำลังเกร็งควักใบละร้อยเหมือนจะอวดว่า “ฉันนี่แหละอาเสี่ย” แต่เมื่อแม่เล้าเอาไปขอแลกเพื่อจ่ายทอนกันไปตามกฎหมาย จึงรู้ว่าแบ๊งค์นั้นรัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ทำ หนุ่มมันก็รับคืน แต่อาการเกร็งไม่หายจึงต้องตระเวนไปแห่งอื่น เมื่อรู้ไปถึงตำรวจ จึงถูกลากไปนอนกรงขัง ฐานพยายามใช้แบ๊งค์เก๊

ข้อความนี้ ถ้านักข่าวที่สำเร็จด้านนิเทศก์ศาสตร์ ในสมัยปัจจุบันได้อ่าน จะเกิดความ รู้สึกอย่างไรหรือไม่ ก็ไม่ทราบ.

############




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2553    
Last Update : 16 มิถุนายน 2553 5:38:33 น.
Counter : 429 Pageviews.  

อะไรอยู่ในมะพร้าว

บันทึกของคนเดินเท้า

อะไรอยู่ในมะพร้าว

“เทพารักษ์”

ถ้าจะมีการทายเล่น ๆ ว่า อะไรเอ่ยอยู่ในลูกมะพร้าว ท่านผู้อ่านก็คงจะตอบได้อย่างง่ายดายว่า น้ำมะพร้าว หรือเนื้อมะพร้าว หรือจาวมะพร้าว เป็นแน่ แต่คำตอบนั้นใช่ว่าจะถูกต้องอย่างไม่ สามารถจะเถียงได้เพียงชุดเดียว เพราะอาจจะยังมีสิ่งอื่นที่อยู่ในลูกมะพร้าวอีกก็ได้ จะเล่าตัวอย่างให้อ่าน จากคดีโบราณนี้ก็ได้

เมื่อห้าสิบเจ็ดปีมาแล้ว ที่ศาลอาญา กรุงเทพมหานครสมัยที่ยังเป็นจังหวัดพระนคร ได้รับคำฟ้องจากอัยการว่า นางแก้ว (นามสมมุติ) เป็นชาวจังหวัดลำปาง ได้ถูกตำรวจจับที่สถานีรถไฟหัวลำโพง เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม เวลากลางคืน ด้วยข้อหาว่า มีฝิ่นสุก ๒๐๐๐ กรัม ราคา ๘๐๐๐ บาท และฝิ่นดิบ ๙๖๑๐ กรัม ราคา ๓๘๔๐๐ บาท รวมฝิ่นหนัก ๑๑๖๑๐ กรัม ราคา ๔๖๔๐๐ บาท ซึ่งมิใช่ฝิ่นของรัฐบาลไว้ในครอบครอง เหตุเกิดที่ถนนรองเมือง จังหวัดพระนคร อัยการได้ฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญาขอให้ลงโทษ

จำเลยได้ให้การต่อศาลว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับจำเลย ขณะที่หาบมะพร้าวสิบสองผลลงจากสถานีรถไฟหัวลำโพง ซึ่งมะพร้าวทั้งหมดมิใช่ของจำเลย แต่เป็นของชายคนหนึ่งได้จ้างด้วยเงินร้อยบาท ให้หาบขึ้นรถไฟที่สถานีบ้านปิน จะให้ไปลงที่สถานีเด่นไชย แต่ เมื่อรถไฟได้แล่นผ่านสถานีต่าง ๆ จำเลยก็ได้ถามชายผู้จ้างนั้นมาตลอดทางว่าจะลงที่ใด ชายผู้นั้นก็ว่ายังไม่ถึง จนกระทั่งมาถึงปลายทางที่สถานีหัวลำโพง จึงได้หาบมะพร้าวข้างละหกผล ลงจากรถไฟก็ถูกตำรวจจับไปสอบสวน และตั้งข้อหาดังกล่าว

มะพร้าวทั้งสิบสองผลนั้นไม่มีรอยผ่า แต่เขย่าดูก็รู้สึกว่าไม่มีน้ำ เจ้าหน้าที่จึงผ่าออกแล้วพบว่ามีฝิ่นบรรจุอยู่ในกระป๋องเล็ก ๆ ทุกลูก เป็นน้ำหนักดังที่ได้แจ้งในคำฟ้องนั้น แต่จำเลยได้ปฏิเสธว่าไม่ทราบเลยว่ามีฝิ่นบรรจุอยู่ในลูกมะพร้าว จำเลยได้รับเงินค่าจ้างร้อยบาท และได้ใช้ไปหมดแล้ว ส่วนชายผู้จ้างก็ไม่ได้พบกันอีกเลย จำเลยไม่มีพยานมีแต่ตัวคนเดียว ฝ่ายโจทก์นำพยานเข้าสืบสี่ปากรวมทั้งตำรวจซึ่งเป็นผู้จับกุมด้วย

ศาลอาญาออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีนี้ ในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ได้พร้อมกันพิพากษามีความว่า

ทางพิจารณาได้ความว่า เนื่องจากสายลับแจ้งต่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจว่า มีการนำฝิ่นใส่มะพร้าวเดินทางเข้ากรุงเทพ และคนนำมามักจะเปลี่ยนหน้ากันบ่อย ๆ และเป็นคนพื้นบ้านด้วย เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ศกนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบจึงไปคอยดักรอผู้โดยสารที่ลงจากรถไฟที่สถานีหัวลำโพง เมื่อรถไฟสายพิษณุโลกมาถึงราวสามทุ่ม จำเลยก็หาบมะพร้าวเปลือกแข็งร้อยเป็นพวงข้างละหกผล เดินออกมาจึงเข้าตรวจค้น แต่ผลมะพร้าวก็ปรากฏว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลย

แต่เจ้าหน้าที่ไม่หายสงสัย เนื่องจากจำเลยเป็นคนพื้นเมืองตรงกับที่สายลับบอกไว้ และการขนมะพร้าวจากเหนือลงใต้ไม่ค่อยมี จึงจับกุมตัวไว้พร้อมด้วยมะพร้าวทั้งสิบสองผลนั้น เมื่อสอบถามจำเลย ก็ว่าเป็นของผู้อื่นฝากมา จึงให้จำเลยชี้ตัวผู้ฝาก จำเลยมองหาอยู่นานก็ไม่พบ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพาจำเลยและของกลางไปถึงสถานีกองปราบ แล้วผ่าลูกมะพร้าวดู จึงพบฝิ่นรายนี้

จำเลยคงมีตัวจำเลยนำสืบประกอบคำให้การดังกล่าวแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความดังนี้

ศาลเห็นว่าไม่มีทางลงโทษจำเลยได้ เพราะแม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้จับกุม ซึ่งเป็นพยานโจทก์เองยังเกือบไม่เชื่อว่ามีฝิ่นอยู่ภายในลูกมะพร้าวนั้นได้ โดยภายนอกไม่มีอะไรที่จะทำให้สงสัยได้เลย เมื่อศาลตรวจดูก็รู้สึกว่าทำได้แนบเนียนเหลือเกิน คือแกะเปลือกออกโดยไม่มีรอย แล้วถึงกับทำกระป๋องแบนโค้งบรรจุน้ำมะพร้าว บัดกรีสนิทติดกับกะลามะพร้าวมาทุกผล

ฉะนั้นการที่จำเลยซึ่งเป็นหญิงพื้นบ้านเมืองลำปาง โง่เง่าและไม่รู้หนังสือ ยอมรับจ้างแบกมาก็โดยหวังค่าจ้างเท่านั้น อีกทั้งเมื่อผ่านประตูสถานีรถไฟออกมา อาการกิริยาก็เป็นปกติไม่มีพุธแต่ประการใด ดังนี้จึงน่าเชื่อว่า จำเลยไม่ทราบว่าจะมีฝิ่นในผลมะพร้าวนั้น

ข้อแก้ตัวของจำเลยฟังขึ้น จึงพร้อมกันพิพากษา ยกฟ้องโจทก์เสีย ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไป แต่ของกลางเป็นของผิดกฎหมายให้ริบเสีย

เรื่องก็จบลงด้วยโล่งอกของจำเลยไปด้วยดี แต่ยังสงสัยอยู่ว่าเมื่อจำเลยอยู่กรุงเทพหลายวัน และใช้เงินค่าจ้างหมดไปแล้ว จำเลยจะหาเงินที่ไหนเป็นค่ารถไฟกลับไปลำปางได้ เพราะข่าวไม่ได้บอกไว้

ส่วนวิธีการที่จะเอากระป๋องฝิ่นบรรจุเข้าไปในลูกมะพร้าวเปลือกแข็ง โดยไม่ให้มีร่องรอยนั้น จะได้ทำหรือฝึกสอนกันต่อมาอีกเท่าไรก็ไม่ทราบได้ เพราะการค้าขายฝิ่นได้เลิกรากันไปเป็นเวลานับสิบ ๆ ปีแล้ว มีแต่ยาเสพติดชนิดใหม่ ๆ ที่มีวิธีการพกพาได้หลายวิธี แต่ละวิธีก็ปฏิบัติได้ง่ายกว่ารายนี้มากนัก

เพราะคดีนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓ โน่น.


###########




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2553    
Last Update : 14 มิถุนายน 2553 18:49:50 น.
Counter : 1298 Pageviews.  

เรื่องของตัวเลข

สัพเพเหระ

เรื่องของตัวเลข

เจียวต้าย

คนไทยเรานี้เป็นโรคนิยมตัวเลขกันมาแต่สมัยไหนก็ไม่ทราบ อาจจะต่อมาจากสมัยที่เลิกหวย กอ ขอ เปลี่ยนเป็นลอตเตอรี่หรือสลากกินแบ่ง ก็ได้ เวลาฝันเคยเอามาตีความให้เป็นตัวอักษร ก็เปลี่ยนมาตีความให้เป็นตัวเลข เพื่อจะได้เอาไปแทงหวยทั้งใต้ดินและบนดิน หรือซื้อลอตเตอรี่ ส่วนจะถูกหรือไม่ถูกรางวัล มันเป็นเรื่องของดวงเท่านั้น

นอกจากเอาตัวเลขไปเสี่ยงโชคแล้ว ยังมีเรื่องแปลก ๆ ที่เกี่ยวกับตัวเลขอีกหลายประการ เช่นเลขทะเบียนรถยนต์ ซึ่งทางราชการออกให้แก่ผู้ที่นำรถยนต์มาจดทะเบียนเรียงไปตามลำดับ เริ่มตั้งแต่ใช้อักษรย่อของจังหวัดนำหน้า เช่น กรุงเทพมหานคร เดิมย่อ ก.ท. เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็น กทม. กระบี่ เป็น ก.บ. กำแพงเพชร เป็น ก.พ. หรือ ตาก เป็น ต.ก. ตรัง เป็น ต.ร. ตราด เป็น ต.ด. เป็นต้น แล้วก็มีตัวเลขตามสี่หลัก ตั้งแต่ ๐๐๐๑ ไปจนถึง ๙๙๙๙

ต่อมารถยนต์ในแต่ละจังหวัดมีมากกว่าหมื่นคัน จึงเปลี่ยนป้ายเลขทะเบียน โดยใช้ตัวอักษรไทย ประมาณสี่สิบตัว เริ่มตั้งแต่ ก.๐๐๐๑ ถึง ๙ ก.บ.๙๙๙๙ และให้ตัวย่อของจังหวัด เป็นชื่อเต็มทำให้ได้ป้ายทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็นสี่สิบหมื่นคัน

ต่อมา รถยนต์แต่ละจังหวัดได้เพิ่มมากขึ้น จนป้ายสี่สิบหมื่นหมายเลขไม่พอ จึงต้องหาวิธีต่อไป ด้วยการเพิ่มเลขเข้าไปหน้าตัวอักษร เริ่มตั้งแต่ ๑ ก ๐๐๐๑ ถึง ๙ ก ๙๙๙๙ กรุงเทพมหานคร ตัวอักษรเดียวทำป้ายได้ถึงสิบหมื่นป้าย เมื่อรวมตัวอักษรทั้งหมดประมาณสี่สิบตัว ก็จะได้ป้ายประมาณ สิบหมื่นคูณด้วยสี่สิบเท่ากับสี่ร้อยหมื่นหรือ สี่ล้านป้าย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เพียงพอแก่การเพิ่มอย่างรวดเร็วของรถยนต์ที่มาขึ้นทะเบียนในแต่ละจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดกรุงเทพมหานคร

ปัจจุบันจึงเป็นการใช้อักษรไทยสองตัวซ้อน เช่น ก ก ๐๐๐๑ ถึง ก ก ๙๙๙๙ เท่ากับหนึ่งหมื่นป้าย เมื่อ ถึง ก ฮ ก็จะเป็นสี่สิบหมื่น เท่ากับ สี่แสน ดังนั้นเมื่อถึง ฮ ฮ ๙๙๙๙ ก็เท่ากับสี่สิบหมื่นคูณด้วยสี่สิบ รวมทั้งสิ้นเป็นร้อยหกสิบหมื่น หรือสิบหกแสน หรือหนึ่งล้านหกแสนป้าย คราวนี้คงจะพอใช้ไปได้นานอีกหลายสิบปี

ต้องขออภัยท่านผู้อ่านที่มีรถยนต์ส่วนตัว และเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนป้ายเลขทะเบียน มาด้วยตนเอง ถ้ามีผิดพลาดคลาดเคลื่อนในการอ้างอิงครั้งนี้ เพราะผู้บันทึกไม่เคยมีรถยนต์ส่วนตัวเลย แม้ว่าอายุจะเลยครึ่งศตวรรษมาหลายปีแล้วก็ตาม เป็นการนั่งเทียนยกเมฆคำนวณเอาเอง เพื่อที่จะเล่าต่อไปถึงความสำคัญของตัวเลขเหล่านี้ ที่มีอิทธิพลต่อเจ้าของรถทั้งหลายอยู่ในปัจจุบัน

บางคราวมีข่าวลือแพร่สะพัดออกมาว่า ตัวเลขใดตัวหนึ่ง เป็นโทษแก่เจ้าของรถ สมมุติว่าเป็นเลขเจ็ด รถคันใดมีเลข ๗ ปนอยู่ก็ไม่สบายใจ ต้องเอาน้ำมันเครื่องหรืออะไรที่มันดำ ๆ มาป้ายให้มันเลือนไปเสีย เพราะถ้าลบออกก็จะเป็นการผิดกฎหมายการจราจร บางรายก็ไปให้พระอาจารย์เสกปัดเป่า แล้วเอาทองเปลวปิดตัวเลขนั้นเสียก็มี

บางคนก็ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ผู้ออกหมายเลขทะเบียน ให้หาเลขสวย ๆ ในความคิดของตนให้ แม้ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนดก็ยอม อย่างเช่นตรงกับ พ.ศ.เกิดของตน ๒๕๒๐ หรือ หมายเลขที่ลงท้ายด้วยเลขเก้า เช่น ๒๕๐๙ ,๒๕๙๙ ,หรือ ๒๙๙๙ เป็นต้น ส่วนเลขที่เหมือนกันหมดทั้งชุด เช่น ๙๙๙๙, ๘๘๘๘, ๗๗๗๗ นั้น ดูเหมือนเขาจะเก็บไว้สำหรับเจ้าของที่เป็นผู้ใหญ่ชนิดต้องมีรถตำรวจนำหน้าเท่านั้น

มาถึงสมัยนี้กรมทะเบียนเกิดหัวแหลม เลยเอาออกมาประมูลกันเสียเลย ใครอยากได้เลขเด็ดแบบนี้ ก็มาประมูลกันใครให้สูงก็เอาไป เป็นการเก็บเงินเข้าหลวงเพิ่มขึ้นเป็นกอบเป็นกำ ไม่ให้หกเรี่ยเสียราดไปโดยเปล่าประโยชน์ ก็ได้ข่าวว่ามีผู้สนใจไปประมูลกันมากเหมือนกัน

ตรงกันข้ามกับเลขสลากกินแบ่ง ที่ไม่ค่อยมีผู้ซื้อสนใจเลขที่ซ้ำ ๆ กันเลย จนกระทั่งระยะหลัง เลขท้ายสองตัวกับเลขท้ายสามตัว มักจะออกเลขคู่เลขตองกันบ่อยขึ้น จึงมีผู้ชอบซื้อใบที่เลขซ้ำ ๆ กันเพิ่มขึ้น แต่ถ้าซ้ำกันตั้งแต่สี่ตัวถึงเลขเดียวทั้งใบ ก็ยังไม่มีคนชอบ นอกจากจะหวังถูกเลขท้ายเท่านั้น เพราะดูเหมือนตั้งแต่เปิดการขายสลากกินแบ่งมาเกือบร้อยปี ก็ยังไม่เคยมีเลข ๑๑๑๑๑๑ หรือ ๒๒๒๒๒๒ ถูกรางวัลเลย แม้แต่ครั้งเดียว นอกจากเลขท้ายสามตัว หรือสองตัว

แต่ถ้าเป็นเลขที่เรียงลำดับกัน เช่น ๑๒๓๔๕๖ หรือ ๕๖๗๘๙๐ คงจะมีโอกาสถูกรางวัลได้มากกว่า

ครั้นเมื่อผมเข้ามาเล่นอินเตอร์เนตตอนต้นปี ๒๕๔๘ กระทู้แรกของผมก็ได้หมายเลข W3234699 จนถึงเดือนธันวาคม ผมก็เอาเรื่องมาแปะในถนนนักเขียนได้ประมาณสองร้อยกระทู้ เรื่องหลังสุดเมื่อ ๓๑ ธันวาคม ได้หมายเลข W3990647 ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร จนกระทั่งมาเจอกระทู้ของ คุณชมสิจ๊ะ ในห้องกระทู้นอกเรื่อง ชื่อ อยากเป็นเจ้าของกระทู้ล้านที่ ๔ กันไหมเอ่ย เมื่อ ๔ มกราคม ๒๕๔๙ เวลา ๑๗.๓๒ จึงได้สะดุดใจขึ้นมาว่า นี่กระทู้ของพันทิป กำลังจะถึงสี่ล้านกระทู้แล้วหรือ และกระทู้ที่สี่ล้านจะเป็นเรื่องอะไรของใครหนอ เพราะผมไม่สนใจที่จะไปแข่งขันกับเขาเพื่อให้ได้หมายเลขสวย ๆ อย่างนั้น จึงสนใจใคร่จะติดตามดูเท่านั้น

พอรุ่งขึ้นวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๙ ก็พบความคิดเห็นที่ ๑ ของคุณธามาดา บอกว่า มันสายไปเสียแล้ว

ผมจึงพยายามหากระทู้หมายเลขสี่ล้านอยู่สองวัน ด้วยความไม่สันทัดในการค้นหา จึงได้พบกระทู้ของ คุณNUTS กระทู้หมายเลข A3999994 เมื่อ ๕ มกราคม ๒๕๔๙ เวลา 01.49:08
รายงานว่ากระทู้ที่สี่ล้านเป็นของ คุณ Jengly หมายเลข F4000000 ชื่อ หลังห้องสยาม เมื่อ ๕ มกราคม ๒๕๔๙ เวลา 01.49:19

คือห่างจากกระทู้ของคุณนัท เพียง ๑๑ วินาทีเท่านั้น และที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ใน ๑๑ วินาทีนั้นเอง มีผู้แปะกระทู้ถึง ๖ กระทู้ เพื่อให้กระทู้ของตนได้หมายเลขที่สวยงามนั้น

ผมก็ไม่อาจทราบได้ว่า เมื่อกระทู้ของพันทิปถึงล้านที่สามนั้น จะมีคนสนใจแย่งชิงกันขนาดนี้หรือไม่ และกระทู้นั้นเป็นเรื่องอะไร มีสาระมากน้อยแค่ไหน

คุ้มค่ากับการที่ต้องเบียดเสียดกันตั้งกระทู้หรือไม่..แค่ไหน.


#########

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
มกราคม ๒๕๔๙




 

Create Date : 14 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 14 พฤษภาคม 2553 20:42:05 น.
Counter : 455 Pageviews.  

ความรักทำให้เดือดร้อน

สัพเพเหระ

ความรักทำให้เดือดร้อน

“ เทพารักษ์ “

หนังสือพิมพ์รายวันเมื่อ ๒๒ เมษายน ๒๕๒๑ พาดหัวตัวโตว่า ควงระเบิดปล้นธนาคาร แล้วก็เสนอข่าวต่อไปว่า

เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๒๑ เวลา ๑๕.๒๕ น. ได้มีชายคนหนึ่งใส่กางเกงยีนส์ สวมเสื้อขาวแขนยาวพับแขน ได้เดินเข้าไปในสำนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาพหลโยธินแขวงสามเสนใน เขตพญาไท ขณะนั้นพนักงานกำลังทำงานกันใกล้จะปิดอยู่แล้ว ชายคนดังกล่าวได้เดินดูโปสเตอร์การฝากเงินประเภทต่าง ๆ จนเข้าไปใกล้โต๊ะของผู้จัดการสาขาของธนาคาร จึงชักปืนและลูกระเบิดออกมาขู่ผู้จัดการ และประกาศให้พนักงานทุกคนอยู่ในความสงบ ไม่เช่นนั้นจะโยนระเบิดเดี๋ยวนี้

พนักงานที่อยู่ห่างออกไปบางส่วนก็ตื่นกลัว ได้พากันหลบหนีไปอยู่ในห้องน้ำ พอดีในขณะนั้น นางสาวเพ็ญ พนักงานเก็บเงินของสถานโบว์ลิ่งใกล้เคียง ซึ่งได้นำเงินแลกที่ธนาคารไว้ก่อนแล้ว ได้เดินเข้าไปในธนาคารเพื่อรับเงินที่แลกไว้ ได้เห็นเหตุการณ์ จึงวิ่งออกมาโทรศัพท์แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลบางซื่อทราบ

เจ้าหน้าที่และสารวัตรใหญ่จึงได้รีบรุดไปยังที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยอาวุธครบมือ คนร้ายเห็นดังนั้นจึงกระโดดเข้าล็อคคอผู้จัดการไว้ พร้อมกับประกาศห้ามทุกคนเข้าไปใกล้ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลบางซื่อได้รายงานไปยัง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และอธิบดีกรมตำรวจ แล้วนำกำลังไปรายล้อมที่เกิดเหตุเพิ่มขึ้นอย่างแน่นหนา เป็นจำนวนมาก

เมื่อคนร้ายเห็นว่ามีตำรวจเพิ่มมากขึ้นทุกที ก็มีการต่อรองกันขึ้น โดยคนร้ายบอกว่าที่มาทำการครั้งนี้ไม่คิดจะทำร้ายใคร เพียงแต่ต้องการเงินเท่านั้น แล้วคนร้ายก็ให้พนักงานหยิบเงินให้ แต่ไม่มีใครทำตาม คนร้ายจึงหยิบเอาเองจากตู้เซฟที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ โต๊ะผู้จัดการ แล้วต่อรองให้ตำรวจจัดรถมาให้พร้อมคนขับที่ไม่ใช่ตำรวจ และไม่มีวิทยุในรถ เพื่อเดินทางไปยังอำเภอบางมูลนาค และต้องเอา ผู้จัดการไปเป็นตัวประกันด้วย

ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จึงสั่งห้ามมิให้ทำอะไรคนร้าย และให้ตำรวจนำรถส่วนตัวมาเตรียมรับคนร้ายโดยแต่งตัวเป็นพลเรือน และให้ตำรวจนอกเครื่องแบบเตรียมจักรยานยนตร์ เพื่อติดตามคนร้ายไป ส่วนตำรวจผู้เชี่ยวชาญระเบิดและแม่นปืน ให้รอฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัด และขณะนั้น คนร้ายได้ถอดสลักระเบิดออก อีกมือหนึ่งถือปืนมองซ้ายมองขวาระมัดระวังตัวเพราะไม่ไว้ใจตำรวจอยู่ตลอดเวลา ส่วนภายนอกธนาคารก็มีประชาชนมามุงดูมากมายนับพันคนจนแน่นถนนไปหมด การจราจรในช่วงนั้นติดขัดเคลื่อนไหวไม่ได้เลย

คนร้ายรายนี้อายุประมาณ ๒๕ ปี ผิวเนื้อดำแดง ตัดผมรองทรง ถือระเบิดมือแบบ เอ็ม.๒๖ อีกมือถือปืนพกอัตโนมัติแบบแมกกาซีน ในขณะที่กำลังต่อรองกันอยู่นั้น ทางตำรวจเกรงว่าคนร้ายจะรู้ว่าตำรวจกำลังวางแผน จึงพยายามพูดถ่วงเวลาไว้ โดยผู้บัญชาการตำรวจนครบาลขอไปเป็นตัวประกันด้วย ซึ่งคนร้ายก็ไม่ขัดข้อง ขณะนั้นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์ ก็เดินทางมาถึงและขอร้องเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า อย่าให้มีการยิงกันขึ้นมาเลย คนร้ายต้องการเงินเท่าไรก็ให้เขาไป ขอเพียงให้พนักงานธนาคารปลอดภัยเท่านั้นเป็นพอ

กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจตรึงอยู่จนถึงเวลา ๑๗.๓๐ น. จึงได้นำข้าวห่อพร้อมด้วยโอเลี้ยงสองถุง ซึ่งใส่ยาสลบอย่างแรง เอาไปให้คนร้าย แต่ปรากฏว่าคนร้ายปฏิเสธ ไม่ยอมกินอาหารและน้ำแม้แต่จิบเดียว จากนั้นอธิบดีกรมตำรวจได้ให้นายตำรวจอดีตตำรวจตระเวนชายแดน ผู้เชี่ยวชาญด้านระเบิดและแม่นปืน แต่งตัวพลเรือนเข้าไปดูลาดเลา และวิถีกระสุนที่จะได้ยิงคนร้ายโดยทุกคนไม่เป็นอันตราย แต่ดูแล้วไม่มีทางทำได้ จึงเข้าไปคอยหาจังหวะในห้องที่คนร้ายกำลังต่อรองกับตำรวจอยู่

จนเวลา ๑๘.๐๐ น.เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้พนักงานที่เข้าไปหลบอยู่ในห้องน้ำใต้บันไดออกมาข้างนอกให้หมด ต่อมาได้มีรถพยาบาลและรถของมูลนิธิร่วมกตัญญู แล่นมาจอดคอยหน้าธนาคารที่เกิดเหตุ พอถึงเวลา ๑๘.๓๐ น. ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว พร้อมกับมีเสียงปืนดังตามติดมา ทุกคนที่อยู่ภายนอกห้องล้มตัวลงนอนหลบลงกับพื้น พอสิ้นเสียงแล้วนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่จึงเข้าไปในห้อง ปรากฏว่าพบศพคนร้ายนอนตายอยู่ โดยไม่มีผู้ใดในห้องนั้นได้รับบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว

นายตำรวจผู้พิชิตคนร้ายได้เปิดเผยว่า เมื่อตนเห็นคนร้ายเผลอตัวพูดว่า สนุกดีที่มีตำรวจมารายล้อม ตนจึงกระโดดเข้าแย่งลูกระเบิดจากมือคนร้าย ซึ่งได้ถอดสลักแล้ว คนร้ายจึงทิ้งระเบิดลงกับพื้นเพื่อให้ระเบิด แต่ด้วยความชำนาญ ตนจึงผลักผู้จัดการธนาคารให้ล้มลง แล้วหยิบลูกระเบิดโยนเข้าไปในซอกบันไดมุมห้องเพียงเสี้ยววินาทีเดียว ลูกระเบิดจึงระเบิดขึ้นโดยไม่ถูกผู้ใด เมื่อคนร้ายเห็นว่าเสียทีตำรวจแล้ว จึงใช้ปืนพกในมือจ่อขมับขวายิงตัวตาย

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ชันสูตรศพคนร้าย ปรากฏว่าสิ้นใจตายแล้ว เหนือกกหูขวามีรอยกระสุนเป็นแผลเหวอะหวะ ข้าง ๆ ศพมีปืนคอลท์สเปเชี่ยนขนาด .๒๒ ออโตเมติคตกอยู่และมีปลอกกระสุน ๑ ปลอก ส่วนผู้จัดการธนาคารนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ประการใด เมื่อหายตกตลึงแล้วก็วิ่งออกมาข้างนอกห้องพบภรรยาซึ่งรออยู่ จึงโผเข้าไปกอดกัน แล้วก็พากันกลับบ้านไป

เจ้าหน้าที่ค้นในตัวศพคนร้าย ก็พบจดหมายเขียนด้วยกระดาษสีฟ้ามีความว่า คุณตำรวจที่รัก ไม่ต้องตื่นเต้นกับการตายของผม ช่วยเผาผมด้วย และได้พบกระดาษอีกแผ่นหนึ่งเขียนศีลห้าและศีลแปดไว้ นอกนั้นไม่ปรากฏว่าในตัวคนร้ายมีอะไรอีกเลย แม้แต่ชื่อ เจ้าหน้าที่จึงไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่ที่ไหน แต่ในขณะที่พูดต่อรองกันนั้น คนร้ายได้บอกว่าอดีตเคยเป็นเสมียนอำเภอบางมูลนาค จังหวัดพิจิตร เจ้าหน้าที่จึงติดต่อไปทางอำเภอดังกล่าว แล้วให้มูลนิธิร่วมกตัญญู นำศพคนร้ายส่งโรงพยาบาลตำรวจ ดำเนินการต่อไป

ต่อมาเมื่อ ๒๓ เมษายน เวลา ๐๘.๓๐ น. นางเจือ อายุ ๕๐ ปี กับนายสุข อายุ ๒๔ ปี ได้เดินทางจากจังหวัดอุทัยธานี เข้าพบสารวัตรสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ เพื่อขอรับศพคนร้ายปล้นธนาคารเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณี โดยแสดงตัวว่าเป็นมารดาและพี่ชายของคนร้าย ซึ่งมีชื่อว่า นายชิต (นามสมมุติ) อายุ ๒๒ ปี บ้านอยู่ตำบลห้วยรอง อำเภอหนองขาหยั่ง จังหวัดอุทัยธานี และนางเจือได้เปิดเผยว่า ผู้ตายเป็นบุตรคนที่สาม ในจำนวนหกคน ซึ่งมีอาชีพเป็นครูสี่คน รวมทั้งผู้ตายด้วย และบอกว่าปืนที่ใช้ยิงนั้นเป็นของบิดา พี่ชายได้กล่าวว่าน้องชายที่ตายนั้นเป็นคนใจเด็ดเดี่ยวมาก ต่อสู้ชีวิตด้วยลำแข้งของตนเองมาตลอด และเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่ง ถึงแม้ว่าทางบ้านจะยากจน ถ้าผู้ตายขอยืมเงินจากทางบ้านแล้ว ก็จะพยายามหามาใช้คืนจนหมดสิ้น และเป็นคนพูดจริงทำจริง และคิดอยู่แล้วว่านิองชายจะต้องทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะระยะหลังนี้ดูเป็นคนเคร่งขรึม มีอารมณ์หงุดหงิด

ส่วนสาเหตุนั้นเกิดจากผู้ตายได้ไปติดพันนางสาวจันทร์ (นามสมมุติ) ซึ่งเพิ่งเรียนจบจากโรงเรียนผู้ใหญ่ และกำลังเรียนพิมพ์ดีดอยู่ที่จังหวัดอุทัยธานี โดยเพิ่งรักชอบพอกันได้ ๓-๔ เดือน ต่อมาฝ่ายหญิงบอกว่าได้ตั้งครรภ์กับผู้ตาย เพื่อนของผู้ตายก็แนะนำให้ทำแท้งออก แต่เมื่อผู้ตายพาแฟนสาวไปหาหมอเพื่อทำแท้ง ปรากฏว่านายแพทย์ไม่สามารถทำได้ เพราะได้ตั้งครรภ์ถึงเจ็ดเดือนแล้ว ทำให้ผู้ตายกลัดกลุ้มอย่างหนัก เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกของตน

ต่อมานางสาวจันทร์ได้มาหามารดาผู้ตายที่บ้าน พร้อมกับแจ้งว่าต้องการให้ผู้ตายรับเลี้ยง ผู้ตายก็ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะจัดการเรื่องราวให้เป็นที่เรียบร้อย โดยไปตกลงกับผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิง และได้เขียนจดหมายมาบอกมารดาว่า ต้องการใช้เงินสามพันเพราะมีความจำเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ได้บอกว่าจะเอาไปทำอะไร ซึ่งทางบ้านก็เตรียมเงินไว้ให้ แต่ผู้ตายก็ไม่ได้กลับบาบ้าน จนกระทั่งได้กลายเป็นโจรปล้นธนาคารไป

แต่วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ มารดาและพี่ชายจึงไม่สามารถรับศพผู้ตายไปจัดการได้ รุ่งขึ้นวันที่ ๒๔ เมษายน นายสุ อายุ๕๔ ปี ซึ่งเป็นบิดาของผู้ตาย ได้มาขอรับศพบุตรชายไปทำการ ฌาปนกิจที่จังหวัดอุทัยธานี และได้เปิดเผยว่า ปืนที่บุตรชายใช้ก่อคดีนั้นเป็นปืนของตนเอง ซึ่งเก็บไว้อย่างมิดชิด และไม่ทราบว่าผู้ตายมาเอาไปตั้งแต่เมื่อไร และเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายนตนได้รับจดหมายจากบุรุษไปรษณีย์ ซึ่งเป็นของผู้ตาย เขียนมาบอกว่าขอลาพ่อแม่พี่น้องและญาติเพื่อตัดปัญหา เพราะ ตัวเองก่อปัญหาไว้มาก ไม่ต้องเป็นห่วงถือว่าชาตินี้ทำบุญกันมาแค่นี้ และได้ตัดสินใจแล้วว่าจะฆ่าตัวตาย แต่ในจดหมายมิได้กล่าวถึงเรื่องผู้หญิงแต่อย่างใด นายสุได้เล่าไปร่ำไห้ไปว่า นึกไม่ถึงว่าลูกจะต้องคิดมากอย่างนี้ เรื่องนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่น่ามาฆ่าตัวตาย และบังเอิญได้รับจดหมายช้าไปหน่อย หากได้รับก่อนเกิดเหตุก็ยังพอที่จะห้ามปรามทัน และตลอดเวลา๒๐ ปีที่ผ่านมา ตนเองยังดูบุตรชายคนนี้ไม่ออก บางทีก็ขรึม บางทีก็เป็นคนน่ารัก แต่เป็นคนเอาจริงเอาจัง แล้วนายสุก็ได้รับศพบุตรชายไปบำเพ็ญกุศลที่จังหวัดอุทัยธานี สมดังเจตนา

เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องของความรักความใคร่ ที่มีอยู่ดาดดื่นในสังคมทั่วไป ไม่น่าจะต้องวิตกหวั่นไหวจนถึงกับฆ่าตัวตายเลย ข้อสำคัญคือเมื่อตั้งใจจะ ปลิดชีวิตตนเองแล้ว เหตุใดจึงมาก่อให้เกิดความวุ่นวาย กับผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องรู้เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ทั้งเจ้าพนักงานธนาคารและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตลอดจนบรรดาไทยมุงทั้งหลาย เคราะห์ดีที่ไม่ได้ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายลง

ซึ่งต้องยกย่องความกล้าหาญ และไหวพริบของนายตำรวจที่ปฏิบัติการอย่างถูกต้องและรวดเร็วฉับพลันนั้น เป็นอย่างยิ่ง .

#########




 

Create Date : 14 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 14 พฤษภาคม 2553 15:54:36 น.
Counter : 475 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.