Group Blog
 
All Blogs
 

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๒๐) คนว่ายาก (๒)

เรื่องเล่าของคนวัยทอง

คนว่ายาก (๒)



และแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง

ใน พ.ศ.๒๕๕๗ ผมไปผ่าตัดตาข้างขวา พอใช้อ่านหนังสือได้ดีขึ้น ผมจึงเรียบเรียงสามก๊กเป็นคำกลอนให้อีกสามชุด หลังจากนั้นก็หมดความสามารถที่จะเขียนเรื่องต่าง ๆ ได้อีก และโรคที่มาเยือนในครั้งหลังนี้ ก็คือโรคกรดไหลย้อน มีอาการแสบร้อนคอเมื่อหิว จุกลิ้นปี่เมื่ออิ่ม และบางทีกินข้าวคาปากก็ติดคอกลืนไม่ลง

มียากินอยู่ประจำ แต่ถ้าเผลอก็เป็นถ้าเป็นตามร้านอาหาร ผมก็แก้ด้วยการกินเบียร์ ซึ่งมันได้ผลชะงัด หายทันใจ ผมจึงต้องกินเบียร์ประจำทุกมื้อที่กินอาหาร ทั้ง ๆ ที่หยุดกินคนเดียวมาได้พอสมควร

พ.ศ.๒๕๕๘ อาการกรดไหลย้อนกลายเป็นอาการของคนติดเหล้า ที่ผมเห็นในอดีต ซึ้งรักษาด้วยแอลกอฮอล์ ผมไม่อยากทำแต่ไม่มีอะไรมาบำบัดมัน ไม่กินมันก็ไม่สบาย ผมจำต้องกินแต่พอรักษาความปั่นป่วนมวนไส้ พอให้มีความสุขในชีวิตบั้นปลายบ้าง

ผมคิดว่าคนที่กินเหล้าอย่างสาหัสมาตั้งแต่หนุ่มนั้น มีชีวิตยืนยาวมาถึง ๘๖ ปี ก็นับว่ามีบุญอย่างยิ่งแล้ว แม้ไม่อยากอยู่ต่อไปอีก แต่ก็ต้องทนไปตามกรรมครับ.

แล้วอยู่มาวันหนึ่งในเดือนมีนาคม ผมไปตั้งวงกับเพื่อนตอนปลายเดือนที่ร้านอาหาร ใกล้บ้านผม ปลายสวนอ้อยซอย ๕ ติดกับถนนราชวิถี เพราะเพ่ื่อนไม่อยากให้ผมเดินทางไกล พอตอนบ่ายผมปวดท้องหนัก ผมก็ขอตัวไปเข้าห้องสุขา แต่ผมสังหรณ์ใจอย่างไรไม่ทราบ จึงเดินเลยมาเข้าส้วมที่บ้าน

พอถ่ายเสร็จลุกขึ้นดูก่อนจะล้างก้น ก็เห็นว่าในโถส้วมมีสีแดงไปด้วยเลือด สด ๆ ก็รุ็ูชตากรรมของตนเองแล้ว จึงเดินเข้าห้องทำงานว่าจะหาคนไปบอกเพื่อนที่ร้านว่าจะไปโรงพยาบาล แต่เวียนหัวจนกลัวจะล้มจึงต่อย ๆ นั่งลงและค่อย ๆ นอนหงายลงบนพ้นห้อง ก็พอดีลูกชายเข้ามาเจอ จึงให้เขาโทรศัพท์ไปบอกเพื่อน แล้วรีบพาพ่อไปโรงพยาบาลมิชชั่น เข้าห้องฉุกเฉิน

คืนแรกต้องนอน ไอ.ซี.ยู.สวนท้องแล้วก็ไปส่งกล้องลงไปถ่ายรูปในกระเพาะอาหาร แล้วก็นอนรักษาตัวอยู่ ๕ วัน จึงได้กลับบ้าน

เมื่อผมเห็นภาพแผลในกระเพาะอาหาร ๓-๔ แผลแล้ว ผมก็ตัดสินใจได้ว่า ถึงเวลาที่จะต้องงดแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาดแล้ว

ไม่รู้ว่าจะช้าเกินไปหรือเปล่าด้วยซ้ำ.



#########




 

Create Date : 04 สิงหาคม 2559    
Last Update : 14 เมษายน 2560 12:25:52 น.
Counter : 1000 Pageviews.  

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๙) ถนนนักอ่าน

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๙)

ถนนนักอ่าน

เพทาย

ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาเปิดคลับใหม่ ในห้องสมุดของพันทิปซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้เข้ามาเล่นเนตกันอย่างแพร่หลายหรอก เพียงแต่อยากจะเล่าถึงตนเอง แทนคนเขียนหนังสือทั่ว ๆ ไปว่า สิ่งที่นักเขียนทุกคนต้องการเป็นสิ่งแรก คือคนอ่าน เราไม่ได้เขียนให้แมลงสาปหรือปลวกอ่าน เราต้องการคนอ่านจริง ๆ ในห้องต่าง ๆ ของ พันทิป.คอม.คาเฟ ก็จะมีแต่ผู้ตั้งกระทู้ และผู้แสดงความคิดเห็น อาจจะเป็นการเห็นด้วย หรือเป็นการโต้แย้ง หรือเป็นการเสนอข้อมูล ที่ผู้ตั้งกระทู้ยังไม่รู้ก็ได้

แต่ในถนนนักเขียน เมื่อได้ตั้งกระทู้ในหมวด นิยาย เรื่องสั้น บทกวี ความเรียง และบทประพันธ์อื่น ๆ แล้ว ก็จะมีการติชมส่งเสริมแนะนำ หรือพูดคุยล้อเล่น ต่อเนื่องกันไปตามอารมณ์ของผู้อ่าน ซึ่งผู้อ่านในที่นี้ก็มีอีกประเภทหนึ่งที่แปลกกว่าห้องอื่น ๆ คืออ่านอย่างเดียว ไม่ออกความเห็น อ่านแล้วก็แล้วกันไป หรืออ่านแล้วก็ลงชื่อว่าอ่านแล้วนะ หรือทำเครื่องหมายสัญลักษณ์ให้ผู้เขียนรู้ว่ามาเยี่ยมเยียนแล้วจ้ะ ทำนองนี้ก็มี

ดังนั้นกระทู้แต่ละเรื่องจึงมีผู้เข้ามาอ่านมากน้อยไม่เท่ากัน แล้วแต่รสนิยมของผู้อ่านแต่ละท่าน และมีผู้เขียนหลายท่านเข้ามาแล้ว เห็นว่าไม่ค่อยมีผู้เข้ามาลงชื่ออ่าน ก็เลยหายหน้าค่าชื่อไปเลย ก็มีไม่น้อย นอกจากผู้ที่มีความอดทนสูงอย่างผม จึงจะยืนหยัดอยู่ได้

เมื่อสมัยที่ผมเริ่มเขียนหนังสือส่งไปให้หนังสือพิมพ์หรือวารสารต่าง ๆ ทั้งรายเดือน รายสัปดาห์ รายปักษ์ รายทศ รายลอตเตอรี่ และรายวัน นั้น ผมไม่มีโอกาสรู้เลยว่า บรรณาธิการหรือผู้บริหารสำนักพิมพ์นั้น ๆ อ่านเรื่องของผมหรือไม่ หรือว่าได้รับแล้วก็โยนลงตะกร้าไปเลย ผมจะต้องคอยติดตามไปสังเกตการณ์ตามแผงหนังสือที่ใกล้บ้านหรือที่ทำงานอยู่ ทุกคาบที่หนังสือเหล่านั้นวางตลาด บางทีก็ต้องตระเวนไปหลายแห่ง เพื่อแอบพลิกหนังสือเล่มนั้น อีกแห่งพลิกเล่มนี้ อีกแห่งพลิกเล่มโน้น เพราะถ้ายืนพลิกที่เดียวหลาย ๆ เล่ม ก็คงโดนไล่ตะเพิดเป็นแน่ ไม่ซื้อหนังสือเขาเลยได้แต่พลิกอย่างเดียว

ถ้าเจอเล่มไหนลงเรื่องของเราก็ดีอกดีใจ รีบซื้อกลับไปบ้านอ่านเสียสามสี่เที่ยวให้สบายใจ แล้วก็ปั่นเรื่องใหม่ส่งไปให้อีก ด้วยความหวังว่าเขาจะลงให้อีก แต่ถ้าพลิกแล้วพลิกเล่าไม่เจอเรื่องของเราเป็นเดือน ก็ไม่กล้าส่งไปให้ที่นั้นอีก ต้องเร่หาเจ้าใหม่ต่อไป

ดังนั้นเมื่อมาเจอเอาสนามใหญ่ของพันทิป ที่เราจะเขียนเรื่องอะไรส่งไปให้เขาก็ลงให้ทุกครั้งไม่จำกัดประเภท ไม่จำกัดความสั้นยาว ไม่จำกัดแนวไม่ว่า จะรักเศร้าเคล้าน้ำตา บู๊โลดโผนโจนทะยาน เรื่องผีสางนางไม้ เรื่องนอกโลกและนอกจักรวาล หรือเพ้อฝันเหมือนคนเป็นโรคประสาท ก็ได้ทั้งสิ้น ผมจึงมีความสุขมาก และคิดว่าอายุคงจะยืนยาวไปได้อีกนาน เพราะเวลานี้ผมก็ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง เว้นแต่การเขียนหนังสือ

เมื่อก่อนหน้าที่จะมาเจอถนนนักเขียนของห้องสมุดพันทิปนี้ ผมก็โหยหาผู้อ่านเป็นอย่างยิ่ง แม้จะมีโอกาสได้ลงพิมพ์ในวารสารรายต่าง ๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอ ก็ไม่มีทางทราบได้เลยว่าผู้อ่านเหล่านั้นมีความรู้สึกต่อเรื่องของเราอย่างไรบ้าง ผมจึงเอาเรื่องเหล่านั้นมารวมเล่ม โดยใช้ถ่ายสำเนาด้วยกระดาษเอสี่หนาประมาณสามสิบถึงสี่สิบหน้า แล้วก็ส่งไปให้ผู้ที่เคารพนับถือรักใคร่สนิทสนมกัน ทั้งในทางส่วนตัวและที่ทำงาน ในวาระขึ้นปีใหม่บ้าง วันเกิดของผู้รับบ้าง หรือวันเกิดของผู้เขียนบ้าง ทุกปี ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับพอสมควร โดยทางโทรศัพท์หรือบัตร ส.ค.ส.หรือการพูดคุยเมื่อเจอกันบ้าง

แต่หลาย ๆ คน เมื่อถามถึงหนังสือของผมที่ส่งไปให้ ว่าอ่านแล้วหรือยัง ก็มักจะได้คำตอบว่า อ่านไปบ้างแล้ว หรือกำลังจะอ่าน แต่ที่ทำให้หัวใจห่อเหี่ยวก็คือคำตอบที่ว่า ขอโทษทียังไม่มีเวลาว่างจะอ่านเลย ผมก็สงสัยว่าท่านทำอะไรหนักหนาในวันหนึ่ง ๆ หรือท่านเอาหนังสือของผมไปวางไว้ที่ไหนจนหาไม่เจอก็ไม่รู้ แต่ถ้ามีผู้ตอบว่าอ่านแล้ว สนุกมาก หรือสามารถยกเอาบางเรื่องมาย้ำว่าชอบตรงไหน ผมก็อิ่มอกอิ่มใจมีความสุขไปหลายวันทีเดียว

แต่ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นน้องของเพื่อนคนหนึ่งที่สนิทกันมากของผม เขาชื่นชมเรื่องของผมอย่างมากมาย จนมีความศรัทธาที่จะให้ผมดำเนินการทำหนังสือที่ระลึกงานฌาปนกิจศพบิดาของเขา ซึ่งก็เป็นที่เคารพนับถือของผมมาตั้งแต่ผมยังเด็ก เขายินดีออกเงินค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น แบบไม่จำกัด แล้วแต่ผมจะเห็นสมควร ผมก็แย้งว่าผมไม่เคยเขียนเรื่องที่เป็นสาระหรือวิชาการ หรือเรื่องแทรกธรรมะที่น่าจะเอาไปพิมพ์เป็นหนังสืองานศพได้ เขาก็ยืนยันว่าเอาเรื่องที่ผมเขียนมาแล้วนั่นแหละ เลือกเอาที่มันขำขันหรือขบขันหรือหรรษา มารวมเข้าด้วยกันก็สิ้นเรื่อง ผมยิ่งค้านใหญ่ว่ามันจะไม่ผิดธรรมเนียมของหนังสืองานศพไปหรือ เขาบอกไม่เป็นไรเขาเป็นเจ้าภาพ ใครมันจะว่าก็ให้ไปว่าเขาเอง ผมไม่เกี่ยว

ผมจึงมีกำลังใจที่จะทำหนังสือเล่มนี้ให้ดีที่สุด เพราะเจ้าภาพจะต้องลงทุนเป็นจำนวนหมื่น ๆ ผมก็ลงมือคัดเลือกเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจได้เก้าเรื่อง เอาบทธรรมะของท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม ซึ่งเป็นอุปัชฌาย์ของเจ้าภาพนำหน้าไว้ก่อน แถมกลอนแฝง ธรรมมะอีกสองบท รวมเป็นเล่มขนาด ๑๖ หน้ายก หนา ๗๒ หน้า โดยไม่มีประวัติของผู้วายชนม์และรายชื่อบุตรธิดาหลานเหลน รวมทั้งคำไว้อาลัยของญาติมิตรที่สนิทสนมกับครอบครัวนี้ แต่อย่างใด ซึ่งนับว่าเป็นการแหวกขนบธรรมเนียมประเพณี ของหนังสือที่ระลึกงานศพ อย่างกล้าหาญทีเดียว

หนังสือเล่มนี้ได้จัดทำเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๐ ให้ชื่อไว้ที่หน้าปกว่า ใครลิขิต และในปัจจุบันที่ผมชอบเข้าไปอ่านหนังสืองานศพในหอสมุดแห่งชาติอยู่อย่างสม่ำเสมอ ก็ยังไม่เคยเจอหนังสืองานศพเล่มใดที่คล้ายคลึงกับหนังสือที่ผมทำให้เพื่อนรุ่นน้องคนนี้เลย จึงถือโอกาสนำเอาสารบัญมาลงให้ดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งท่านผู้อ่านในที่นี้ก็คงจะเคยได้อ่านมาบ้างแล้วคือ

ผ้หญิงในสามก๊กสามก๊ก......................”เล่าเซี่ยงชุน”

ชีวิตเศร้าของนางผีเสื้อ.........................ฑ มณฑา

ผู้ชนะสิบทิศของพม่า...........................พ.สมานคุรุกรรม

เหตุเกิดที่พระบรมรูปทรงม้า...................”วชิรพักตร์”

เพื่อนเก่า............................................”เพทาย”

กรรมเก่า.............................................”เพทาย”

คนใจบุญ.............................................”เพทาย”

กรรมของนก........................................”เทพารักษ์”

ฆาตกรรมซ่อนเงื่อน................................”เทพารักษ์”

หลังจากเสร็จงานศพรายนั้นแล้ว ภายหลังผมก็ได้ถามเจ้าภาพว่ามีเสียงสะท้อนกลับมาจากผู้รับบ้างหรือไม่ เขาบอกว่าไม่มีเลย ผมก็พยายามทำความเข้าใจว่า คงไม่มีใครกล่าวหาว่าทำหนังสือแปลก มากกว่าที่จะไม่มีใครอ่านหรอกนะ

หลังจากที่น้องคนนี้เกษียณอายุมาได้หลายปี เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้พบกันอีกในงานฌาปนกิจศพพี่ชายของเขาซึ่งเป็นเพื่อนของผมเอง ที่วัดเครือวัลย์ ได้คุยกันอยู่นานเขาต่อว่าที่ผมไม่ได้ส่งหนังสือประจำปีของผมให้อ่านเลย ยังทำอยู่หรือเปล่า ผมก็บอกว่าทำมาตลอดทุกปี ตัวเขาได้รับถึงปีไหนแล้ว จะได้ส่งเล่มใหม่ไปให้ เขาก็บอกว่าได้รับเล่มสุดท้ายคือ ชีวิตที่พอเพียง พ.ศ.๒๕๔๕ ผมก็ขอโทษว่าทำที่อยู่ของเขาหายไป จึงลืมที่จะส่งมาให้ แล้วผมก็รวบรวมหนังสือดังกล่าว ส่งให้เขาจนถึงเล่มปีปัจจุบัน

เพื่อนรุ่นน้องคนนี้นับได้ว่าเป็นนักอ่านที่ดีที่สุดของผม เพราะเขาสามารถเล่าเรื่อง ต่าง ๆ ของผมที่ได้อ่านแล้ว ให้ผมฟังได้อย่างทุกต้องโดยไม่ตกหล่นในรายละเอียดเลย ผมถามเขาว่าเอาเวลาที่ไหนมาอ่านหนังสือ เขาก็ตอบว่า

“ ผมชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กแล้ว เดี๋ยวนี้เลิกทำงานแล้วมีเวลาว่างมาก ก็ยิ่งอ่านใหญ่เลย แต่ผมชอบเรื่องของพี่มากนะครับ อ่านแล้วสบายใจดี อ่านตอนไหนน่ะเหรอ ขอโทษนะพี่.....”

เขายกมือไหว้ผม

“ผมอ่านตอนนั่งส้วมเช้า ๆ น่ะครับ มันปลอดโปร่งดี “

###########

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๙




Create Date : 05 ธันวาคม 2550
Last Update : 5 ธันวาคม 2550 19:54:21 น.

Counter : Pageviews. 10 comments

Add to







ความเห็นของเพื่อนนักอ่าน ที่ได้รับ
เมื่อลงพิมพ์ในถนนนักเขียน


กร๊าก เวลาอ่านที่ว่านี่ เป็นเวลาที่ดีที่สุดจริงๆ ด้วยครับ ของผมมีอีกเวลานึง คือเวลาก่อนนอน
กางหนังสือบนอก เปิดโป๊ะไฟหัวเตียง เป็นอันเรียบร้อย
แต่การอ่านงานเขียนบนเว็บนี่ มันก็ยุ่งยากกว่านะครับ
จะแบกน้องคอมไปห้องน้ำหรือห้องนอนด้วยมันก็กระไร
ตั้งมานั่งอ่านหลังขดหลังแข็งประการเดียว อุๆๆ
จากคุณ : คุณพีทคุง (พิธันดร) - [ 16 พ.ย. 49 07:37:11 ]

ปกติอ่านก่อนนอนเหมือนกันค่ะ ไม่อ่านอะไรแล้วนอนไม่หลับ
แต่ถ้าอ่านในพันทิปนี่เปิดคอมแล้วก็อ่านได้เรื่อยๆ (แอบอู้งาน)
ส่วนมากไม่ค่อยเป็นเงา อ่านก็ลงชื่อ
หลังๆอ่านได้น้อยลงค่ะ จำกัดทั้งเวลาและสภาพสายตา อ่านผ่านจอนานๆไม่ค่อยได้
แต่ก็ติดที่จะอ่านบนพื้นหลังสีน้ำเงินๆนี่จังเลยค่ะ
^ ^ คนอ่านก็ดีใจนะคะถ้าคนเขียนทักทาย
จากคุณ : จริง - [ 16 พ.ย. 49 09:22:29 ]

พี่เจียวต้าย
เข้าใจในความรู้สึกมาก ๆ ค่ะ
จากคุณ : ทิวลิปสีน้ำเงิน - [ 16 พ.ย. 49 11:53:23 ]

เหมือนผมเลยแฮะ ผมก็ชอบนั่งอ่านหนังสือ นิยายต่างๆ ในห้องน้ำอ่ะ สบายดีอ่ะคับ แล้วก็อ่านอ่านอีกที ก่อนนอนอ่ะ เพราะว่าผมเป็นคนนอนหลับยาก ก็เลยอ่านหนังสือก่อนนอน ประมาณชั่วโมงนึง ก็ได้ที่แล้วครับ
จากคุณ : กริชครับผม - [ 16 พ.ย. 49 12:24:04 ]

มาอารมณ์เดียวกับ จขกท เลยค่ะ ต้องคอยพลิกดูว่า เขาลงเรื่องของเราแล้วหรือยัง
ถ้าลงก็รีบซื้อเลย ทั้งๆ ที่รู้ว่า เดี๋ยวเขาก็ส่งมาให้ฉบับหนึ่ง แต่ก็อดไม่ได้ค่ะ อยากได้เร็วๆ อ่ะ
ในห้องน้ำ ต้องมีที่วางหนังสือของทั้งครอบครัวค่ะ :O
ส่วนก่อนนอนนั้น เว้นแต่จะหมดแรงจริงๆ ก็ต้องขออ่านบ้าง บางที ก็เลยไปถึงตีสามตีสี่ หลับตอนที่คนอื่นกำลังจะตื่น เช้ามา ตาเป็นแพนด้าเลยค่ะ อิ อิ
จากคุณ : 'ณวรา' - [ 16 พ.ย. 49 18:13:37 A:203.113.33.9 X: TicketID:105137 ]
สวัสดี ขอรับ
แหะ แหะ ขอรับ กระป๋ม มาบอกว่า อ่านนะ ขอรับ อ่านมันไปเรื่อย ๆ มีอะไรก็อ่าน ขอรับ
โดยเฉพาะหนังสืองานศพ ที่ถือเป็นแหล่งค้นคว้าข้อมูลที่ดีมากที่สุดแหล่งหนึ่ง
แหะ แหะ ขอรับ แวะมาอ่านและลงชื่อสวัสดี ขอรับ
ปล. รอเวลาชักชวนตั้งวงดื่มน้ำสีอำพัน ขอรับ อิอิ
จากคุณ : นายทิวา - [ 16 พ.ย. 49 23:18:54 ]

อ่านแล้วรู้สึกปลื้มแทนคุณเจียวต้าย ที่มีนักอ่านที่ติดตามงานเขียนมายาวนาน
ความภูมิใจของนักเขียนก็คือมีคนอ่านงานแม้ว่าจะเป็นคนๆเดียวก็ตาม
จะอ่านที่ไหนไม่สำคัญเลยหากเขาอ่านงานของเรา
จากคุณ : wayo - [ 17 พ.ย. 49 00:54:54 ]

อยู่เมืองไทยอ่านแต่นิยายอังกฤษ ตอนนี้อยู่เมืองนอก เหงาทีก้อเปิดพันทิพที เปนแฟนๆนักเขียนหลายท่านอยู่ในมุมมืด เปนเพื่อนแก้เหงาที่ดีที่สุดทีเดียวเลยค่ะ (ไปๆมาๆจะให้เวลากับการอ่านพันทิพมากกว่าเวลาเรียนซะแล้ว) ติดตามอยู่ตลอดนะคะ
จากคุณ Jessie (เจสซี่ ลุคยัง) - [ 17 พ.ย. 49 02:26:06 ]

คุณณวราลงเรื่องแปล หลังๆ นานๆ มาที
เห็นสารบัญแล้ว อยากอ่านฆาตกรรมซ่อนเงื่อน
จากคุณ : scottie - [ 17 พ.ย. 49 11:14:40 ]

สวัสดีครับคุณอาเจียวต้าย
เข้ามายอมรับว่าเป็นคนนึงที่เคยอ่านในถนนฯ แล้วไม่ออกความคิดเห็นใด ๆ
จริง ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะแสดงความคิดเห็นอะไร อ่านบางเรื่องก็สนุก น่าติดตาม
แต่คงเป็นเพราะอ่านจบแล้ว ก็จบ ไม่รู้จะแสดงความคิดอะไรออกมา
(หัวกลวงมากเลยครับ)
แต่ช่วงหลังมานี่ ก็พยายามออกจากหลืบที่หลบ จากนักอ่านเงา ก็เปิดเผยตัวบ้างแล้วครับ
จากคุณ : โก้ (เซโก้4) - [ 17 พ.ย. 49 11:51:56 ]


หนูอ่านเรื่องไหน ก็ส่งยิ้มให้กำลังใจคะ เข้าใจด้วยว่าทุกท่านอยากมีคนให้กำลังใจ
(อิอิ.. ตัวเอง ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน)
ส่วนหนังสือแจกในงานศพ เคยอ่านอยู่เล่มหนึ่ง
(จำไม่ได้แล้วว่าของใคร) มีธรรมะให้แง่คิดมุมมองมากมาย ช่วยทำให้จิตใจตอนนั้นสว่างมาก
ปล. แต่อ่านที่คอมพ์มาก ๆ สายตาและร่างกายพาลจะล้าได้ง่าย จึงต้องหมั่นออกกำลังกายซำเมอ
จากคุณ : สัมผัสรักในใจเรา - [ 17 พ.ย. 49 20:21:07 ]

ก็อ่านตอนเข้าห้องน้ำตอนเช้านั่นแหละค่ะ...พี่สาวยังเคยแซวว่า ถ้าไม่มีหนังสืออ่านเนี่ยแกจะ...ออกมั้ย...อีกทีก็ก่อนนอนอะค่ะ...หรือไม่ช่วงว่างๆ
จากคุณ : ชานมผสมเหล้า (พายุสีเงิน) - [ 17 พ.ย. 49 20:29:50 ]

ตัวเองก็มีปัญหาเรื่องการอ่าน ค่ะ ทุกวันนี้เข้าห้องน้ำนาน ก็เพราะอ่านหนังสือ นี่ละ
คนเขียน เขียนทำไม ถ้าไม่ต้องการขอให้มีคนอ่าน แต่ก่อนเขียนแล้ว ก็บีบบังคับให้คนมาอ่าน
แก แก อ่านของฉันหน่อยเถอะ มาตอนนี้ดีใจจังที่มีเวบบอร์ด มีเวบไซด์ของตัวเอง เลยลงให้คนมาอ่าน
....ดีใจทุกครั้งที่เห็นคนเข้ามาอ่าน มีความสุข อยากเขียนต่อ เมื่อเห็นคนมาลงชื่อว่าได้อ่าน
แค่อักษรไม่กี่ตัวที่คนอ่านคีย์ทิ้งในช่องความเห็น "สนุกดี"
แค่นั้นละค่ะ....สวรรค์ของคนอยากเขียนงาน.....
จากคุณ : โตมิโต กูโชว์ดะ - [ 17 พ.ย. 49 22:22:38 ]

สวัสดีครับ คุณเจียวต้าย
ไม่ได้เข้ามานาน บ้านช่องห้องหอเรียบร้อยแล้ว ก็จะเข้ามาบ่อยขึ้นหละนะ กำลังเตรียมว่าจะเอาอะไรมาลงดี เรื่องสั้นหรือเรื่องยาว ที่แน่ๆตอนนี้มีคำถามครับ...
ที่เล่าถึงวัดเครือวัลย์ อขากรู้ว่าอยู่จังหวัดอะไร ผมคุ้นๆนะ แหะๆ พระท่านดังง่ะ ถ้าชลบุรีก็...ใช่เลย!
จากคุณ : พรพชร - [ 17 พ.ย. 49 23:41:29 ]

ถ้านัทตี้อ่านแล้วจะลงชื่อนะ แหย่บ้าง วิจารณ์บ้าง ถกเถียงบ้างเพราะถือว่าเป็นการขอบคุณคนเขียนที่อุตส่าห์เอามาลงให้อ่านกันฟรี ๆ
แต่ที่ดีใจสุด ๆ ตอนนี้คือ อ่านคห.แล้วมีพวกร่วมอุดมการณ์เดียวกันหลายคน เรื่องการอ่านหนังสือในห้องสุขาเนี่ย สุขารมย์จริง ๆ นะจะบอกให้
ที่บ้าน เมื่อหลายปีมาแล้วนะ คงเพราะสามีรำคาญที่นัทตี้นั่งนานและวันละหลายรอบหรือเปล่าไม่รู้ เขาจ้างช่างมาทำให้นัทตี้เป็นส่วนตัวที่ชั้นใต้ดิน เขาเรียกเสียหรูว่าห้องผู้จัดการ
เพราะเวลาโทรศัพท์ของนัทตี้มา เขาต้องเดินถือมายื่นส่งให้ถึงที่ นัทตี้ก็เอากาแฟใส่หม้อ(ใส่แก้วมันน้อยค่ะขี้เกียจเดิน ก็เล่นหม้อหนึ่งลิตรมีด้ามจับ ได้เยอะดี)และบุหรี่
เข้าไปนั่งจุ้ยอยู่ในนั้นได้เป็นชั่วโมงเลย นานกว่าเก่า
เมื่อต้นปีนี้เพิ่มมาอีกอย่างคือเอาโต๊ะตัวเตี้ยไปตั้ง หิ้วโน๊ตบุ๊ค(เขาซื้อให้เอง นัทตี้ไม่ได้บอกให้ซื้อนะ)
เข้าไปนั่งอ่านอะไรเล่นอยู่ในนั้นแหละ(ถ้าไม่อ่านหนังสือนะ) แทบไม่ได้เจอหน้ากันเลย
นอกจากเวลาทานอาหาร
เขาทำให้เอง ซื้อให้เองแล้วเขาก็โวยวายเอง หาว่านัทตี้แปลกคน บ่นเล็ก ๆ ว่าวัน ๆ ไม่เห็นหน้า
เขาต้องเดินลงมาดูบ่อย ๆ ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เขาบ่นสาธยายว่าห้องนอนว่างอีกสามห้อง
ในบ้านก็มีที่เยอะแยะไม่ไปนั่งดันมานั่งในส้วม
ตอนนี้เขาจะไม่เดินมากวน มาดูบ่อยเหมือนแต่ก่อนแล้ว ถ้าต้องการจะคุยอะไรกับนัทตี้
ก็ส่งเอ็มเอสเอ็นมา เหอ เหอ ดีค่ะ ช๊อบชอบ
จากคุณ : NATTI นัทตี้ - [ 18 พ.ย. 49 06:47:09 ]

ดีครับ เข้ามาเปิดอ่าน กำลังคิดว่าเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเรื่องสั้น คิดว่าคงเป็นทั้งสองอย่าง
จากคุณ : จุฑา เชื้อณัฐ - [ 18 พ.ย. 49 12:58:19 A:221.128.110.194 X: TicketID:130222 ]

ขอโทษทีค่ะ หายหน้าหายตาไปนาน เพิ่งจะได้เข้ามาก็วันนี้เอง เห็นกระทู้คุณเจียว
ต้องเข้ามาร่วมถนนนักอ่านซะแล้ว
สำหรับดิฉันเองเป็นสมาชิกถนนนักเขียนคนหนึ่งจะดีใจมาก ถ้ามีใครเข้ามาอ่าน
แล้วให้คำติชมอย่างคุณเจียวว่า แต่ถ้าเข้ามาทักทาย นิดหน่อย ดิฉันก็ยังดีใจว่าอย่างน้อยยังเข้ามาเยี่ยมกัน
สำหรับดิฉัน นับถือคุณเจียวต้ายเป็นอย่างมากบนเส้นทางนักเขียน คือยืนหยัดบนเส้นทางนักเขียน
ของตนเองมาตลอด แล้วยังน้ำใจงาม ที่ส่งรวมเรื่องสั้นมาให้ที่บ้านด้วย...ดีใจมากเลยค่ะ..
อ่านแล้วรู้เลยว่าคุณเจียวมีเมตตาต่อสัตว์โลกขนาดไหน (โดยเฉพาะน้องแมว)
และได้ไขความสงสัยด้วยว่า ทำไมถึงเป็น "เจียวต้าย" ...ยังติดตามนะคะ
จากคุณ : มิสซิสอาร์โนลด์ - [ 18 พ.ย. 49 13:34:42 ]

เป็นอีกคนที่อ่านแต่ระยะหลังทนไม่ได้ต้องสมัครสมาชิกเพื่อมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายรวมถึงอื่นๆด้วย คิดว่าความคิดเราน่าจะมีประโยชน์ต่อนักเขียนบ้าง
ปล.คือว่าเพิ่งเข้ามาอ่านในถนนฯนี้ได้ไม่นานแต่รู้สึกว่าอยากจะเข้ามาอ่านทุกๆวันต่อไป
จากคุณ : CPMZ - [ 18 พ.ย. 49 23:25:18 ]

มาอ่านบ้างเป็นครั้งคราตามแต่จะหนีนายมาเล่นเนตได้ นิยายของคุณเจียวต้ายไม่ค่อยได้อ่านค่ะ
แต่ชอบอ่านเรื่องสั้นหรืองานประพันธ์อื่นๆของคนเขียนค่ะ เหมือนมาพูดคุย ตรงใจ
และเปิดประเด็นใหม่ๆ โดยเฉพาะประเด็นถนนนักอ่านนี้ เเปลกดีค่ะ
เพราะปกติจะเห็นมีแต่ความในใจนักเขียนกันทั้งนั้น
โดยส่วนตัวก็จะตามอ่านนิยายหลายเรื่อง ของคนเขียนเดิมๆที่เราอ่านและประทับใจ ส่วนจะแสดงความเห็นหรือไม่ ก็เเล้วแต่เวลาที่มี ซึ่งก็เข้าใจว่าคนเขียนก็พยายามหลอกล่อทุกวิถีทางเพื่อให้คนอ่านเขียนอะไรบ้างจะได้รู้ว่ามีคนติดตามมากน้อยแค่ไหน เพราะเป็นกำลังใจที่สำคัญของคนเขียน หลายคนเป็นนักอ่านเพียงอย่างเดียวแต่ขยันให้กำลังใจคนเขียน จนบางครั้งตัวเองยังจำชื่อได้มากกว่านักเขียนก็มี ซึ่งเป็นการดีสำหรับคนเขียนนะคะ ที่มีคนอ่านเจ้าประจำอย่างนี้ อย่างเช่นคุณสก๊อตตี้ ต้องขอชื่นชมว่าเป็นคนอ่านนิยายและคอมเม้นท์บ่อยมาก จนบางครั้งเคยเข้าไปอ่านนิยายใหม่ ยังแอบดูก่อนว่ามีคุณสก็อตตี้มาเม้นท์ไว้ยัง เป็นการรับประกันว่าเรื่องนี้ต้องมีดีแน่
เขียนไปเขียนมาถ้าจะยาวไปหน่อย ขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ
จากคุณ : ต้นหอม (ต้นหอมไข่เจียว) - [ 20 พ.ย. 49 14:17:12 ]

โอ้ ผมหายไปซะนานเลย ขอกลับมาสมัครเป็นนักอ่านสมัครเล่นด้วยคนนะครับ
จากคุณ : จัยวาริน - [ 4 ธ.ค. 49 14:34:57 ]

เหมือนเคยอ่าน ฆาตกรซ่อนเงื่อนค่ะ แต่ก็ไม่แน่ใจ.. นาน ๆ แจมจะได้มาอ่านที
สวัสดีคุณเจียวต้ายค่ะ
จากคุณ : สีน้ำฟ้า - [ 15 ธ.ค. 49 00:02:06 ]

ชื่อกระทู้น่าสนมาก ถนนนักอ่าน ผมอ่านจนจบนะครับ แต่ไม่รู้จะแสดงความเห็นอะไร
ก็เลยฝากข้อความบอกไว้ครับ ตอนท้ายตลกดีครับ
จากคุณ : ดำรงเฮฮา - [ 11 ม.ค. 50 15:38:25 ]

คุณเจียวต้าย
แอบเข้าไปอ่านหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ค่อยกล้าแสดงตัวค่ะ รู้ว่านิสัยไม่ดี แต่บางครั้งการอ่านหนังสือจากคอมพ์ ก็เสียสายตา เป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบอ่านหนังสืองานศพค่ะ เดาว่าคุณเจียวต้านคงเป็นผู้อาวุโสแล้ว ดิฉันเองเพิ่งเริ่มเขียนงานได้จบ เมื่อไม่นานมานี้ ก่อนหน้านี้ ไม่เคยเขียนอะไรจบเป็นเรื่องเป็นราวเลย ส่งลงได้ก็แค่นิตยสารประจำหน่วยงาน ไม่มีฟีดเบคอะไรกลับมา ไม่รู้ว่ามีใครอ่านเรื่องของเราหรือเปล่าด้วยซ้ำ จริงๆ ค่ะ คงามสุขของคนเขียนหนังสือขอแค่...รู้ว่า มีคนอ่านเรื่องของเราก็ดีใจแล้ว
จากคุณ : ป้าพุ่ม (พุ่มพราว) - [ 30 ม.ค. 50 15:05:54 ]

โมโมมาช้าสุดเลยมั้งคะเนี๋ย สมัยก่อนมาอ่านนิยาย เรื่องสั้นในถนนนักเขียนบ่อยๆเลยค่ะ แต่พอใกล้จะเรียนจบก็ต้องฟิตหน่อยค่ะ(ลุ้นเกียรนิยมอยู่ค่ะ ช่วยเชียร์ให้ได้ด้วยนะคะ สาธุ สาธุ สาธุ!!!!) เลยทำให้ไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาอ่านอีก แล้วก็เคยเป็นนักเขียนกับเขาเหมือนกัน ตอนนั้นจำได้ว่าว่างเมื่อไหร่ต้องรีบเข้ามาเปิดคอมดูว่ามีใครเข้ามาเม้นเรื่องเราหรือเปล่า ถ้ามีก็ดีใจมาก แล้วแค่คนอ่านบอกจะติดตามตอนต่อไป แค่นั้นก็นั่งปั่นงานเขียนทั้งคืน หนังสงหนังสือเรียนช่างมันแล้วค่ะ
แอบบอกคุณลุงเจียวต้ายค่ะว่า อ่านงานเขียนของคุณลุงบ่อยเหมือนกัน แต่เม้นไม่ค่อยบ่อยเลยค่ะ ขอโทดด้วยนะค้า สัญญาค่ะสัญญาว่าครั้งต่อไปจาเข้ามาสวัสดีบ่อยๆนะคะ
จากคุณ : โมโมกะ (โมโมกะ) - [ 27 ก.พ. 50 21:01:44 ]

#############




โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 ธันวาคม 2550 เวลา:19:57:40 น.







สำหรับตัวเอง..ต้องจัดสรรเวลา เพราะเวลา อืม..ก็เท่าคนอื่นมี
แต่ตัวเองนั่งหน้าจอนานไม่ได้ค่ะ ด้วยหลายสาเหตุ(เช่น แย่งกันใช้เครื่อง มีงานอื่นต้องทำ ฯ)

หน้าจอ มักอ่านข่าว และหาข้อมูลที่ต้องการ
อ่าน..ส่วนใหญ่จึง จากเล่ม และ นสพ...คือ จากกระดาษ ค่ะ

นอนอ่าน ไม่นานจะหลับ ง่วงดีพิลึก จึงอ่านได้ไม่เยอะนัก

นั่งอ่านในห้องส้วม ต้องรีบ ๆ อ่านได้แต่นสพ.คอลัมน์ไม่ยาว
นั่งอ่านอยู่นานทนกลิ่น(ตัวเอง)ไม่ไหว เหม็นออก ห้องน้ำทันสมัยก็เถอะ สิ่งที่ขับออกมานะ มันเหม็นนะเออ

ก็เลยคุยด้วย ซะเลย

ป.ล.รักเขียน ต้องเขียนไม่่หยุด นะคะ เป็นทักษะที่ต้องฝึก ตัวเองก็เคยรักจะเขียน แต่ขี้เกียจครอบงำมากมาย..จอด ค่ะ





โดย: samranjai IP: 218.186.8.13 วันที่: 23 มกราคม 2551 เวลา:12:40:55 น.







ถ้าคุณสำราญใจต้องการจะอ่านสบาย ๆ
ก็เชิญที่บล็อกนี้แหละ
อ่านวันละเรื่องได้เป็นปีเลยนะครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 24 มกราคม 2551 เวลา:7:25:52 น.







ตามมาอ่านเหมือนเดิม รู้สึกเหมือนฟังคุณตาเล่าเรื่องให้ฟัง เอ๊แก่ไปป่าวเนี่ย



โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.227.70 วันที่: 1 มีนาคม 2551 เวลา:17:17:24 น.







ผู้อ่านหลายท่านให้เกียรติผมเป็นปู่

เพิ่งมีคุณข้าวโพดนี่แหละ ที่จะให้ผมเป็น ตา ครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 1 มีนาคม 2551 เวลา:18:32:16 น.







ส่วนผมอาศัยอ่านเวลา นั่งดูทีวี หรือเวลาที่อยากเปลี่ยนบรรยายกาศการทำงานครับ

ผมมีข้อสงสัยอีกแล้วครับ
"รวมเป็นเล่มขนาด ๑๖ หน้ายก หนา ๗๒ หน้า "

คำว่า 16 หน้ายก แปลว่าอะไรครับ

72 หน้า นี่คงเป็นจำนวนหน้าใช่ไหมครับ



โดย: พี่แต้ วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:21:48:31 น.







เป็นคำถามที่ผู้(อยาก)เป็นนักเขียนควรสนใจครับ

กระดาษที่ใช้พิมพ์หนังสือมีขนาดมาตรฐานคือหนึ่งแผ่นหนังสือพิมพ์ เรียกว่าหนึ่งยก

เมื่อพับครึ่ง ก็เป็นสี่หน้ายก

เมื่อพับอีกครึ่ง ก็เป็นแปดหน้ายก
ขนาดจะเท่ากับหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์
เช่น สกุลไทย หรือ สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์

พับอีกครึ่งหนึ่ง จึงเป็นสิบหกหน้ายก
เท่ากับหนังสือประเภทพ็อกเก็ตบุคส์

สรุปว่ากระดาษหนึ่งยก จะพิมพ์ได้กี่หน้า ก็เรียกอย่างนั้นครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:10:06:23 น.







ขอบคุณครับ ได้ความรู้แล้ว



โดย: พี่แต้ วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:12:29:23 น.







เข้ามาขอบคุณที่เขียนเรื่องต่างๆให้อ่านมากมายค่ะ



โดย: river (ริเวอร์ ) วันที่: 28 สิงหาคม 2551 เวลา:17:52:42 น.







เพิ่งมาเห็นชื่อคุณเมื่อเวลาล่วงเลยมาเกือบสองปีแล้ว
ขออภัยอย่างแรงครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:6:29:27 น.






 

Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2553 19:07:38 น.
Counter : 732 Pageviews.  

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๘) ทำบุญผิดที่

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๘)

ทำบุญผิดที่

“ เพทาย “

ผมเดินฝ่าลมหนาวละลอกแรกของปี มาตามช่องทางแคบสำหรับคนเดิน ของโรงพยาบาลกลาง ซึ่งพัดสวนมาจากทิศเหนืออย่างแรง จนผมเผ้ายุ่งเหยิงและต้องเดินขืนตัวไว้ให้ตรงทาง แม้จะไม่รู้สึกหนาวเพราะเป็นเวลาสายมากและแดดจ้าแล้ว แต่ก็เย็นสบายดี

ขณะนั้นผมนึกถึงเนื้อเพลงที่ว่า ทำบุญทำทานกันไว้เถิดเกิดเป็นคน ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่ ซึ่งมาจากเพลงพระราชนิพนธ์ แสงเทียน แล้วก็เหมือนจะแว่วเสียงอันอ่อนนุ่มหวานซึ้งของ สุนทราภรณ์ หรือครูเอื้อขึ้นมาทีเดียว เพราะผมเพิ่งเสร็จจากการทำบุญมาหยก ๆ แต่ก็เกือบจะได้บาปเสียแล้ว

จำได้ว่าผมเริ่มจะสนใจในคำสอนของพุทธศาสนา และไปทำบุญที่วัดอย่างจริงจัง เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ อายุประมาณ ๕๑ ปีนี่เอง เพราะเพื่อนที่เป็นหมอดูสมัครเล่นทำนายว่าผมน่าจะตายตอนอายุ ๕๐ ปี แต่ไม่ยักตายทั้ง ๆ ที่เกือบจะเป็นโรคตับแข็งอยู่แล้ว ผมศึกษาธรรมะจากหนังสือของพระอาจารย์ชื่อดังหลายสำนัก ตั้งแต่นั้นมาจนถึงเกษียณอายุราชการ จึงตั้งใจจะไปวัดที่มีชื่อเสียงของ ปากเกร็ดนนทบุรี และรักษาศีลห้าทุกวันอาทิตย์ แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะยังมีมารมาชักชวนให้ไขว้เขวอยู่บ่อย ๆ

จนกระทั่งอายุเข้าเจ็ดสิบจึงสามารถจะปฏิบัติได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ เป็นเวลาสองสามปีมาแล้ว ผมจะไปถึงวัดในตอนเช้าประมาณเก้าโมง เริ่มสวดมนต์แปลจากหนังสือสวดมนต์ของ สวนโมกขพลาราม ถึงเก้าโมงครึ่งก็ฟังบรรยายธรรมะจากหลวงพ่อเจ้าอาวาส จบแล้วสิบโมงครึ่งก็ตักบาตรพระภิกษุสงฆ์ ที่นั่งเรียงรายอยู่บนแท่นหินโค้งรอบลานไผ่ ถึงเวลาเพลพระสงฆ์ก็ให้สมาทานศีลห้า เมื่ออุบาสกอุบาสิกากล่าวถวายสังฆทานแล้ว ขณะที่พระฉันภัตตาหาร ก็มีการสวดมนต์แปลอีกสองสามบท พระฉันเสร็จก็อนุโมทนาเป็นภาษาไทยนิดหน่อย แล้วก็ให้พรเป็นภาษาบาลีให้เรากรวดน้ำ เป็นอันเสร็จสิ้นรายการเพียงแค่นี้ ผมก็กลับบ้านหรือเข้าหอสมุดแห่งชาติ รักษาศีลไว้ไม่ให้ด่างพร้อยจนตลอดวันหนึ่งคืนหนึ่ง

ในระหว่างเวลาที่ผ่านมาก็ได้บริจาคเงินทำบุญที่วัด และบริจาคให้มูลนิธิที่เกี่ยวกับเด็กหลายแห่งอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน แต่พอถึงปัจจุบันการไปรษณีย์แห่งประเทศไทย เปลี่ยนเป็นบริษัท มีการขึ้นราคาค่าส่งธนาณัติ จึงต้องรวมเงินที่จะบริจาคทุกแห่งเป็นก้อนเดียว แล้วส่งให้เดือนละแห่งเดียว และเปลี่ยนมูลนิธิไปทุกเดือนจนตลอดปี แทน

แล้วนึกอย่างไรขึ้นมาก็ไม่ทราบ เกิดอยากจะบริจาคเงินทำบุญให้แก่มูลนิธิของคนจีนในประเทศไทยบ้าง ผมก็นึกถึงมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง เพราะทราบว่าช่วยเหลือคนยากจนมากมายหลายอย่าง ตั้งแต่เกิดแก่ไปจนเจ็บและตาย เป็นการให้บริการโดยไม่คิดเงินแต่ประการใด โดยเฉพาะการบริจาคเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและโลงศพ สำหรับช่วยเหลือศพที่ไม่มีญาติ ซึ่งมีคนศรัทธาบริจาคกันมากมาย ทุกวันตลอดทั้งปี

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อสมัยที่ผมยังรับราชการอยู่ ผู้บังคับบัญชาของผมคนหนึ่ง เกือบจะต้องเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน แต่เผอิญภรรยาเป็นพยาบาลจึงรีบพาไปถึงมือหมอได้ทันเวลา เมื่อรอดมาได้แล้วก็อยากจะทำบุญซื้อโลงศพเพื่อต่ออายุ ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งแห่งนี้ จึงชวนผมไปเป็นเพื่อน ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยไปเลยรู้แต่เพียงว่าอยู่ใกล้กับวัดใหม่ยายแฟง ซึ่งมีชื่อจริงว่าอย่างไรก็ไม่รู้อีก

เจ้านายผมท่านขับรถไปจอดที่ตรอกอะไรก็ไม่ทราบ แล้วก็พากันเดินถามชาวบ้านร้านตลาดไปจนถึง ผมจำได้ว่าภายในสถานที่แห่งนี้ เต็มไปด้วยชาวจีนหรือชาวไทยเชื้อสายจีน เป็นอาแปะ อาก๋ง อาอึ๊ม อาอี๊ หรืออาซิ๊ม เกือบทั้งหมด ทุกคนจุดธูปจุดเทียนควันคลุ้งไปทั่วบริเวณ เมื่อเจ้านายได้บริจาคเงินตามความตั้งใจแล้วก็พากันกลับ ผมก็จำเส้นทางไม่ได้เลย และก็ไม่ได้สนใจที่จะไปอีก รู้แต่ว่าเจ้านายของผมคนนี้ ได้รับราชการอยู่จนเกษียณอายุ ไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วยร้ายแรงอย่างคราวนั้นอีกเลย

จนถึงวันที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ช่วงปลายเดือนหลังออกพรรษาแล้ว ผมกลับจากไปทำบุญฟังธรรมสมาทานศีลที่วัดแล้ว ก็ต่อรถปรับอากาศ สาย ๔๙ ที่เลี้ยวตรงสี่แยกบางขุนพรหม ผ่านสี่แยกถนนราชดำเนิน นางเลิ้ง ไปทางวัดพระพิเรนทร์ สี่แยกวรจักร ผมถามคนขายตั๋วว่าผมจะไปป่อเต็กตึ๊งต้องลงป้ายไหน เขาบอกให้ลงเยาวราช แล้วเดินเข้าตรอกไปอีกไกลพอสมควร เมื่อรถเลี้ยวเข้าถนนเจริญกรุงแล้วผ่านสี่แยกเสือป่า วัดมังกรกมลาวาสไม่นานนัก กระเป๋าก็บอกให้ลงที่ป้าย เลยซอย ๒๑ ไปหน่อยแล้วให้เดินย้อนไปเข้าซอยนั้น

เมื่อผมลงจากรถเดินย้อนไปตามที่เขาบอก ก็เห็นว่าป้ายซอย ๒๑ นั้น เดิมชื่อตรอกอิศรานุภาพ สองข้างทางในตรอกเป็นร้านขายของหลายชนิด มีทั้งอาหารคาวหวาน พืชผักผลไม้อย่างเช่นลูกพลับ สาลี่ เห็ดหอม และอื่น ๆ ทั้งสดและแห้งที่มาจากเมืองจีน ขนมที่ส่วนมากใช้ในการไหว้เจ้าของขบเคี้ยวเช่นเม็ดกวยจี๊ ชาชงชื่อต่าง ๆ กระดาษเงินกระดาษทอง ธูปเทียนและบรรดาข้าวของเครื่องใช้ เช่น ถ้วยโถโอชาม ที่เกี่ยวกับการไหว้เจ้าของคนจีน

เมื่อเดินไปจนสุดซอยก็พบถนนเล็ก ๆ ชื่อ ถนนยมราชสุขุม ตัดผ่านเป็นทางแยก ผมมองดูซ้ายขวาหาทิศทาง แล้วก็ตัดสินใจเดินข้ามถนนตรงไปตามทางเท้า ที่มองเห็นยอดแหลม ๆ ของเจดีย์และหลังคาโบสถ์หรือวิหารวัดไทย ปรากฏว่าเป็นวัดคณิกาผล หรือวัดใหม่ยายแฟง อยู่ตรงข้ามกับสถานีตำรวจพลับพลาไชยนั่นเอง ผมจึงแน่ใจว่ามาถูกทางแล้ว

ตลอดเส้นทางที่เดินผ่านไปจากวัดใหม่ยายแฟง จนถึงมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งนั้น สองข้างเรียงรายไปด้วยขอทานทั้งชายหญิง ผมจึงสำรวจเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกง แยกเอาเหรียญหนึ่งบาทมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ เตรียมบริจาคทาน ซึ่งผมทำมาเป็นประจำ ไม่ว่าจะไปที่ไหน เมื่อเห็นคนขอทานผมจะไม่ปฏิเสธ ต้องควักเงินให้ไปทุกครั้ง ทุกรายจนกว่าเหรียญบาทจะหมด

เมื่อหลายปีมาแล้วผมให้คนละบาทเดียว ต่อมาเห็นว่าค่าครองชีพสูงขึ้นหลายเท่า ผมจึงเพิ่มให้เป็น สองบาทบ้าง สามบาทบ้างแล้วแต่โอกาส บางครั้งมีแต่เหรียญห้าบาท ก็ตัดใจให้ไปแต่ไม่บ่อยครั้งนัก แม้เมื่อมีข่าวทางโทรทัศน์ว่า ขอทานส่วนใหญ่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน และบ้างก็ว่ามีผู้ควบคุมทำเป็นแก๊งขอทาน ผมก็ไม่สนใจ เพราะไม่ว่าชาติใดภาษาใดก็กินข้าวเหมือนกัน และผมบริจาคทานเพื่อขจัดกิเลสของตนเองให้เบาบางลงเท่านั้น

กลุ่มแรกที่ผ่านนั่งอยู่ใกล้กันสามคน เป็นชายหนึ่งหญิงสอง ต่อไปชายนั่งพิงอยู่ที่หน้าประตูวัด ส่วนหญิงอยู่ตรงกันข้าม ต่อไปเป็นชายดูเหมือนจะมีแผลแดง ๆ ที่หน้าแข้ง แล้วก็มีหญิงชราผมขาว ถัดไปเป็นชายอ้วนสวมเสื้อขาวนุ่งผ้าโจงกระเบนขาวห้อยลูกประคำเป็นสาย ท่าทางเหมือนนักพรต ตรงหน้ามีขันน้ำพานรองเป็นสีทอง สุดท้ายบนผิวจราจรหน้าประตูเข้ามูลนิธิพอดี ทางซ้ายเป็นชายไทยแท้แต่งกายด้วยชุดม่อฮ่อม ทางขวาดูเหมือนมีเชื้อสายจีนนั่งบนรถเข็น ผมก็ควักกระเป๋าให้ไปทุกคน แล้วก็ก้าวเท้าเข้าประตูไป สำรวจดูในกระเป๋าก็เหลือเหรียญบาทอยู่อีกสามอัน

ภายในบริเวณด้านนอกเป็นลานกว้าง แต่มีหลังคาสังกะสีแทรกพลาสติกใสคลุมอยู่ ผู้คนเป็นจำนวนมากต่างก็จุดธูปจุดเทียน วางพวงลาลัย เผากระดาษ และเติมน้ำมันตะเกียงอยู่ทั่วบริเวณ ซึ่งเครื่องใช้ในการบูชาเหล่านี้ ก็เหมือนกับที่วางขายเรียงรายอยู่ภายนอก แต่ข้างในนี้มีป้ายบอกไว้ว่า บริจาคตามศรัทธา คือไม่ต้องซื้อหยิบของทุกอย่างที่ต้องการเอาไปได้เลย แล้วจะบริจาคเท่าไรหรือไม่ก็ตามแต่ใจ มีมากให้มากมีน้อยให้น้อย ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ ผมสังเกตดูรอบ ๆ ตัวก็พบว่าผู้ที่มาทำบุญไหว้เจ้าเดี๋ยวนี้ อายุน้อยกว่าที่ผมเคยเห็นเมื่อยี่สิบปีก่อน คงจะเป็นเชื้อจีนรุ่นที่สองหรือสามแล้ว

เมื่อก้าวผ่านเข้าไปห้องที่สอง ซึ่งมีลักษณะเหมือนวิหารของวัดไทย สองข้างชิดผนังซ้ายขวาเป็นห้องรับบริจาคเงิน ซึ่งมีลูกกรงเหล็กกั้นระหว่างผู้บริจาคกับเจ้าหน้าที่ ตอนบนเหนือลูกกรง ขึ้นไปมีป้ายแจ้งรายการที่จะบริจาคให้เห็นชัดเจนว่า

ข้าวสาร ถุงละ ๕๐ บาท
โลงศพ ๖๐๐ บาท
ผ้าดิบ ผืนละ ๕๐ บาท

ตรงกลางตั้งโต๊ะสำหรับวางของไหว้ โดยไม่มีที่ปักธูปเทียน เพราะให้ปักข้างนอกแล้ว ลึกเข้าไปในวิหารมีรูปของเทพารักษ์สามองค์ เรียงจากซ้ายคือ พระโพธิสัตว์มหาภาพ (ยมทูต) องค์ขวาพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (พระแม่กวนอิม) องค์กลางไม่มีป้าย ถามเจ้าหน้าที่บอกว่าหลวงปู่ไต้ฮงกง ถ้าหันหลังกลับจะเจออีกองค์คือพระเวทโพธิสัตว์

ผมกลับออกมาเพื่อจะบริจาคเงิน แลเห็นทางด้านซ้ายเมื่อขาเข้า ไม่มีคนไปยืนมุงกันเหมือนข้างขวา จึงเร่เข้าไปยื่นธนบัตรใบละร้อยบาทให้เจ้าหน้าที่หลังลูกกรง ซึ่งเป็นผู้เฒ่าเล่านั้ง พร้อมกับบัตรประจำตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องถามชื่อแซ่ให้ลำบาก แกรับไปดูแล้วก็ส่งคืนให้พร้อมกับยื่นสมุด ใบเสร็จรับเงินลอดใต้ลูกกรงมาให้เขียนเอง ไม่ทราบว่าสายตาไม่ดีหรืออ่านหนังสือไทยไม่ออก

ผมเขียนชื่อและจำนวนที่จะบริจาค แล้วจึงเห็นว่า ใบเสร็จนั้นเป็นของ ศาลเจ้าไต้ฮงกง ไม่ใช่ป่อเต็กตึ๊ง

ผมจึงหวนกลับมาเข้าคิวทางด้านตรงข้าม ส่งธนบัตรพร้อมกับบัตรประจำตัวให้ เจ้าหน้าที่ไปเหมือนเดิม คราวนี้เจ้าหน้าที่เขียนให้เรียบร้อยด้วยอักษรตัวโตลายมืองดงาม ผมรับมาตรวจดูจึงเพิ่งจะทราบว่า เป็นใบเสร็จของ มูลนิธิฮั่วเคี้ยวป่อเต็กเซี่ยงตึ๊ง และมีคำอธิบายด้านล่างว่า

เพื่อส่งเสริมในการบำเพ็ญสาธารณกุศล เก็บศพไม่มีญาติ การศึกษา ตั้งโรงพยาบาล และช่วยการสังคมสงเคราะห์ ฯลฯ ขอให้อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก โปรดดลบันดาลให้ท่านผู้มีกุศลจิต จงประสบแต่ความสุขสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล เทอญ

ล่างสุดนอกจากประทับตรายี่ห้อของ ประธานกรรมการ เหรัญญิก ผู้จัดการ และผู้รับเงินแล้ว มีข้อความที่สำคัญที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรภาษาจีนและไทยสีแดงว่า

ใบรับนี้หักภาษีเงินได้ ตามมาตรา ๔๗(๗) แห่งประมวลรัษฎากรได้ (ลำดับที่ ๘๗)

ผมเดินออกมาจากวิหารมาด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ ที่ได้ทำบุญสมความปรารถนา ก่อนจะถึงประตูออกก็เห็นหญิงชราทั้งหน้าตาและการแต่งกาย นุ่งผ้าถุงสวมเสื้อแบบไทยแท้คนหนึ่ง นั่งยอง ๆ พนมมือหลับตาอยู่

ผมรีบล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบเหรียญบาทที่เหลือเดินรี่เข้าไปหา แต่หญิงชราผู้นั้นไม่ได้แบมือรับอย่างปกติ ก็พอดีมีหญิงกลางคนซึ่งขายนกปล่อย นั่งเก้าอี้อยู่ใกล้ ๆ ตะโกนมาด้วยเสียงกราดเกรี้ยวว่า

"เขาไหว้พระไม่ได้ขอเงิน"

ทั้งผมและหญิงชราผู้พนมมือ ตกใจเกือบพร้อม ๆ กัน ผมรีบก้มตัวลงพนมมือไหว้และบอกขอประทานโทษครับ แล้วก็รีบจ้ำออกประตูมาทันที

ผมเดินเลาะตามถนนเจ้าคำรพ มาโผล่ถนนเสือป่า เลี้ยวออกทางโรงพยาบาลกลางอย่างที่ว่า พลางก็นึกถึงเหตุการณ์ ที่ทำให้หน้าแตกเหวอะหวะเมื่อกี้ อยู่ในใจ

เกือบไปแล้วไหมล่ะ เกือบจะทำบุญได้บาปเสียแล้ว.

#########

วารสารข่าวทหารอากาศ
กรกฎา ๒๕๔๙











Create Date : 02 ธันวาคม 2550
Last Update : 2 ธันวาคม 2550 10:17:54 น.

Counter : 149 Pageviews. 4 comments

Add to







ชอบไปทำบุญโรงศพเหมือนกัน ได้กลับเมืองไทยเมื่อไหร่ จะตะเวนทำบุญไปทั่ว แต่อยู่ต่างประเทศก้อจะโอนตังส์ให้แ่ม่ไปทำบุญให้ทุกเดือน รู้สึำกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก



โดย: ข้าวโพด IP: 202.123.145.203 วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:9:38:24 น.







ดีครับ
ทำบุญให้สม่ำเสมอ เท่าที่มีโอกาส และความสามารถ

ผมนั้นเพิ่งมาทำจริงจังเมื่อหลังเกษียณอายุนี่เองครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:19:25:25 น.







ความตั้งใจจะทำบุญให้กับทุกคน
เลยหน้าแตกไปบ้าง

ไม่เป็นไรครับ

แค่อ่านความตั้งใจที่คุณอาจะไปบริจาคเงินให้กับมูลนิธิปอเต็กตึ้ง
ก็อิ่มบุญอย่างประหลาดแล้วครับ สาธุ



โดย: พี่แต้ วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:21:14:16 น.







ทำบุญกับพระสงฆ์แล้ว ก็ทำบุญให้กับโรงเรียนเด็ก
ต่อมาก็ทำบุญให้กับมูลนิธิบ้าง หลาย ๆ แห่งครับ
หมุนเวียนกันไปตลอดปีครับ

ผมว่าคงได้บุญพอ ๆ กับคนที่ทำที่ละหมื่นนะครับ.

(ไม่ต้องขอโทษแล้วครับ พันทิปเขาประหยัดอะไรก็ไม่ทราบครับ.)



โดย: เจียวต้าย วันที่: 27 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:39:16 น.






 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2553 19:09:14 น.
Counter : 725 Pageviews.  

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๗) เรื่องที่ต้องตัดสินใจ

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๗)

เรื่องที่ต้องตัดสินใจ

“ เพทาย “

“ กินเข้าไปเถอะเพื่อน เหล้าน่ะ ตายแล้วไม่มีใครใส่บาตรให้กินหรอก “

วาทะอันเป็นความจริงนี้ ผมได้ยินจากปากของเพื่อน ต่อหน้าแม่โขงชุดใหญ่ ในร้านแผงลอยเวิ้งหลังกระทรวงกลาโหม เมื่อสี่สิบปีที่แล้ว

ผมกินเหล้าเป็นมาตั้งแต่อายุได้สิบหกปี กินเรื่อยมาอย่างสม่ำเสมอ ไม่เกี่ยงว่าฝนจะตกแดดจะออก ข้างขึ้นข้างแรม วันเวลาและสถานที่ เว้นแต่ในโบสถ์เท่านั้น ไม่เกี่ยงว่าเป็นเหล้าอะไร ตั้งแต่แม่โขง กวางทอง เซี่ยงชุน ข้าวเหนียวแดง เหล้าโรง ๒๘ ดีกรี จนถึงเหล้าพื้นบ้าน ประเภทน้ำขาว กระแช่ อุ และเหล้าต้มเอง ซึ่งเมื่อเทลงบนพื้นกระดานแล้วเอาไม้ขีดจุด มันจะลุกเป็นแสงเรืองสีเขียวน่าดู ขอให้มีน้ำเย็นตบตูดเป็นพอ

ผมกินเหล้ามาจนอายุสี่สิบเศษ หลังจากที่เพื่อนผู้กล่าวประโยคข้างต้น ตายไปนานหลายปีแล้ว ผมก็ต้องมานอนให้หมอตรวจตับ ซึ่งโตกว่าขนาดมาตรฐาน หมอบอกว่า

“ เลิกกินเหล้าได้แล้ว ถ้ายังไม่อยากตาย “

ครั้งนั้นเป็นครั้งแรก ที่ผมต้องคิดว่าจะตัดสินใจอย่างไร ระหว่างคำพูดของเพื่อน กับคำพูดของหมอ แล้วผมก็ตัดสินใจเลิกกินเหล้า แต่กินเบียร์เติมโซดามาจนถึงบัดนี้

เพื่อนหลายคนที่เคยกินเหล้าด้วยกันมา ต่างก็ทยอยตายไปทีละคน ด้วยโรคต่าง ๆ นา ๆ เพื่อนบางคนที่ชอบพูดว่า “ กินก็ตายไม่กินก็ตาย “ นั้น ในที่สุดก็ตาย

ส่วนคนที่มีชีวิตยืนยาวอยู่จนถึงวันนี้ บางคนเลิกกินเหล้าแล้วก็ไปบวช หรือเข้าวัดทำสมาธิ วิปัสสนา กรรมฐาน หลายคนเลิกกินเพราะป่วย ด้วยโรคที่ขัดขวางต่อการกิน เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดเกินเกณฑ์ โรคหัวใจ ทั้งที่ผ่าตัดแล้วและยังไม่ผ่า คนที่ยังกินอยู่และยังไม่มีโรคร้ายนั้น เหลืออยู่น้อยเต็มที

ตั้งแต่เกษียณอายุราชการแล้ว ผมก็ไปตรวจโรคทุกสามเดือนที่คลีนิคผู้สูงอายุ ของโรงพยาบาลทหาร ก็ได้ยาประเภทวิตามิน ยาแก้โรคกระดูก ยาแก้โรคกะเพาะ มากินอยู่เป็นประจำ ไม่มีโรคที่จะทำให้ตายได้ง่าย จึงต้องคอยระวังตัวเวลาเดินทางไปไหนต่อไหน ทั้งในกรุงและต่างจังหวัด เพราะไม่แน่ใจว่าจะตายด้วยอุบัติเหตุ อันเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนได้สูงที่สุดหรือไม่

อยู่มาถึงเมื่อสามสี่เดือนก่อน หมอเจ้าประจำสั่งเจาะเลือดไปตรวจซ้ำ สองสามครั้ง แล้วบอกว่าตับท่านแย่เต็มทีแล้ว ผมไม่ทราบว่าหมอดูจากผลเลือดตัวไหน ท่านก็เอาปากกาวงตรงตัว GAMMA - GT ซึ่งมีเกณฑ์ 7 - 50 แต่ของผมขึ้นไปถึง 196 หมอก็สงสัยว่าเป็นได้อย่างไรเหล้าก็ไม่กิน ผมจึงสารภาพว่าผมกินเบียร์ หมอก็บอกว่า เลิกได้แล้ว

เมื่อสองสามปีก่อน ก็มีผู้หวังดีหลายท่าน แนะนำให้ลดการดื่มแอลกอฮอล์ลงบ้าง อายุจะได้ยืนนาน เพื่อนคนหนึ่งในอดีตเคยเป็นนายแพทย์ระดับ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรัฐ ก็เตือนด้วยความหวังดีว่า กินเข้าไปทำไมแอลกอฮอล์น่ะ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงห้ามไว้ในศีลข้อห้า ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ เราไม่ควรที่จะดื้อดึงต่อ คำสอนของท่าน

ผมก็น้อมรับฟังไว้ด้วยความเคารพ แต่กิเลสมันก็เถียงแทนว่ากินด้วยความอยาก เช่นเดียวกับคนที่กินน้ำชา กาแฟ และน้ำโคลา หรือเครื่องดื่มบำรุงกำลังทั้งขวดและกระป๋อง นั่นแหละ

ผมจึงคิดเข้าข้างกิเลสว่า คนเราเกิดมาจากกรรม มันอยู่ได้ด้วยกรรม และตายด้วยกรรม เมื่อถึงเวลามันจะตายก็ต้องตาย ไม่ว่าจะกินหรือไม่กินอะไร จะอายุเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีข้อจำกัดขัดข้องใดใด

แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ตื่นเช้าขึ้นมาผมก็รู้สึกว่าร่างกายผิดปกติ พอกินข้าวเช้าแล้วก็มีอาการเหมือนจะเป็นลม ผมก็กินยาหอมที่ใช้เป็นประจำ แล้วก็นั่งรอดูผล เพราะผมเคยเป็นโรคที่มองเห็นบ้านหมุนไปรอบ ๆ ตัว เมื่อไปตรวจหมอบอกว่าน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่คราวนี้ไม่ใช่ และก็ไม่มีอาการอะไรมากไปกว่านั้น ผมจึงออกจากบ้านเพื่อไปยื่นเรื่องราว ขอรับค่ารักษาพยาบาลของ แม่บ้าน ที่กระทรวง แต่ด้วยความไม่ประมาท จึงชวนลูกชายคนโตไปเป็นเพื่อนด้วย

ผมเดินไปขึ้นรถเมล์หน้าวชิรพยาบาล และลงรถเมล์ที่สนามหลวง แล้วเดินผ่านศาลหลักเมืองไปถึงแผนกเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ ด้วยความรู้สึกว่าการเดินไม่เป็นปกติ การทรงตัวไม่ดีนัก แต่ก็สามารถยื่นเรื่องราวจนได้รับบัตรนัดรับเงินเรียบร้อย ขากลับเห็นแดดมันจัดจ้านักตัวเองก็ไม่ค่อยสบาย จึงเรียกรถแท็กซี่กลับบ้าน

พอรถแท็กซี่จอดที่ปากซอยหลังบ้าน ผมเปิดประตูรถก้าวลงก็ใจหายวูบ เพราะเข่าอ่อนยวบ ดูเหมือนเท้าจะยืนไม่ติดดิน ก็นึกรู้ทันทีว่าเป็นอาการของโรคที่เกี่ยวกับสมองแน่ จึงบอกลูกชายสั่งคนขับ ให้พาไปส่งที่โรงพยาบาลของมูลนิธิแห่งหนึ่ง แถวแยกยมราชทันที

ผมพยายามเดินในโรงพยาบาล โดยไม่ให้ลูกชายประคอง เพราะต้องการจะสังเกตอาการของตนเอง ก็ปรากฏว่าแขนและขาขวาอ่อนเปลี้ยไม่ค่อยมีแรง แต่ยังเดินได้

หมอถามอาการและตรวจดูร่างกายภายนอกแล้ว สันนิษฐานว่าเส้นโลหิตในสมองตีบ แต่ต้องการจะรู้สาเหตุจึงให้มาเจาะเลือดตรวจ ในวันรุ่งขึ้น ส่วนวันนี้ได้ยามากินบรรเทาไปก่อน

ผมกลับมาถึงบ้านด้วยความหดหู่ในใจ ผมเคยเห็นคนที่เป็นโรคที่มีอาการอย่างนี้มาแล้วหลายคนในชีวิต บางคนล้มลงแล้วก็เป็นอัมพาตไปครึ่งซีก อยู่ได้เพียงครึ่งวันก็ตาย บางคนที่เป็นน้อยกว่านั้น ก็ยังอยู่โดยใช้แขนและขาข้างขวาไม่ได้ต้องนั่งรถเข็น หรืออย่างดีก็ถือไม้เท้าก้าวเดินไปไหนมาไหนด้วยความลำบาก และมีบางคนที่เดินโขยกเขยกแต่สามารถทำงานเบา ในสำนักงานได้ต่อไป การรักษาก็เป็นการทำกายภาพบำบัด ซึ่งอาจจะมีอาการดีขึ้นบ้าง แต่ผมไม่เคยพบว่าจะมีคนไหนกลับฟื้นคืนเป็นคนปกติดังเดิมได้เลย
วันรุ่งขึ้นผมทดสอบตนเอง ด้วยการหยิบจับสิ่งของ ปรากฏว่ามือขวาไม่มีแรง จับปากกาเขียนหนังสือหรือเซ็นชื่อไม่เป็นตัว เวลาเดินขาขวาแกว่งไม่มั่นคง แม้จะยังพอเดินได้แต่ไม่มีแรงก้าวขึ้นบันได พูดเสียงไม่ค่อยชัด ลิ้นชาเหมือนเวลาหมอฉีดยาจะถอนฟัน ผมรู้ว่ากรรมมาถึงตัวแล้ว จึงไม่ได้วิตกจนเกินเหตุ การรักษาก็คงต้องเป็นไปตามระบบของแพทย์ แต่ผมจะต้องยอมรับกับตัวเองว่า ถ้าโชคดีก็คงจะไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ผมคงจะอยู่กับสภาพที่ไม่สามารถจะเดินได้ไกล ไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำได้เหมือนเดิม และจะต้องใช้มือซ้ายพิมพ์คอมพิวเตอร์ เมื่อเวลาที่จะเขียนหนังสือต่อไป

แล้วผมก็ออกจากบ้านไปโรงพยาบาลแต่เช้า คราวนี้แม่บ้านไปช่วยดูแลด้วย เมื่อเจาะเลือดส่งตรวจแล้ว รอชั่วโมงเดียวก็เอาผลไปให้หมอวิเคราะห์ได้ หมอดูแล้วบอกว่าไม่มีสาเหตุจากความดันสูง น้ำตาล และไขมันสูง จึงสั่งให้เอ็กซเรย์สมองด้วยคอมพิวเตอร์ ผมก็ขอร้องหมอขอให้ไปทำที่โรงพยาบาลรัฐ จะได้เบิกเงินค่าเอ็กซเรย์ได้ หมอก็เห็นใจไม่ขัดข้อง ผมจึงมาที่วชิรพยาบาล ซึ่งมีเพื่อนสนิทของลูกชายคนเล็ก เป็นหมอช่วยจัดการให้เรียบร้อยภายในวันนั้นเอง

วันต่อมาจึงเอาผลเอ็กซเรย์ไปให้หมอ ที่โรงพยาบาลเดิม หมอตรวจดูฟิล์มซึ่งถ่ายภาพศรีษะของเรา เป็นภาพตัดตามขวางเหมือนฝานมะนาวเป็นแว่น รวมสิบเก้าภาพ หมอบอกว่าห่างกันภาพละ ๔ ม.ม. ปรากฏว่าหาร่องรอยที่จะเป็นสาเหตุของโรคไม่ได้ สรุปว่าอาจมีเส้นโลหิตตีบเล็กน้อย แอบซ่อนอยู่ตรงช่วงที่เว้น ๔ ม.ม.นั้นเอง จึงมีอาการปรากฏออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็ได้ยามากินอีกเจ็ดวัน และไม่ต้องนอนโรงพยาบาล หรือทำกายภาพบำบัดอย่างที่คาดไว้

ทุกเช้าเมื่อตื่นนอนแล้ว ผมจะต้องหยิบปากกามาบันทึกเหตุการณ์ ที่ผ่านมา เพราะกลัวจะลืม และเพื่อทดสอบการทำงานของนิ้วมือด้วย ผมห่วงมือขวามาก เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผมเขียนเรื่องราว เป็นงานอดิเรกและอาชีพเสริมมาหลายสิบปีแล้ว ถ้ามือพิการผมคงเหงาแย่เลย แต่ผลปรากฏว่าเขียนตัวหนังสือได้ดีขึ้นทุกวัน จนสามารถเซ็นชื่อได้เกือบเหมือนเดิม

เดี๋ยวนี้ผมเดิน และเขียนหนังสือ หรือพิมพ์คอมพิวเตอร์ได้เป็นปกติ เสียงพูดก็ชัดเจนเหมือนเดิมแล้ว คงเหลือแต่อาการอ่อนเพลีย และเหนื่อยง่าย เหมือนคนฟื้นไข้ทั่วไป ซึ่งนับว่าโชคดีมาก เมื่อแรกนั้นคิดว่า อาการป่วยจะต้องเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ปากเบี้ยว แขนขายกไม่ขึ้น ต้องถือไม้เท้าสี่แฉก หรือนั่งรถเข็น แต่ตรงกันข้ามจากจุดเริ่มต้นค่อย ๆ ดีขึ้นทุกวัน จนหายกลับคืนเป็นปกติได้ ภายในอาทิตย์เดียว

ผู้ที่คุ้นเคยหลายท่านต่างก็บอกว่า นี่เป็นการเตือนไม่ให้ประมาท ทางที่ดีควรจะเลิกการดื่มเสีย

ผมก็รับฟังด้วยความเคารพเช่นเคย ผมสวดมนต์กราบหมอนขอบคุณทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกท่านที่ช่วยให้ผมป่วยเพียงแค่ตัวอย่างเท่านั้น ไม่หนักหนาสาหัสเหมือนที่คิด หรือเหมือนบางคนที่โชคร้ายกว่านี้ แต่ผมจะต้องเลิกดื่มโดยเด็ดขาดเชียวหรือ ผมถามใจตนเองด้วยความอาลัยอาวรณ์เป็นอย่างยิ่ง

ผมมีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์มากว่าห้าสิบปีแล้ว ผมจะต้องตัดสินใจอีกครั้ง ในรอบยี่สิบแปดปี เป็นครั้งที่สองของชีวิต

ผมเคยกินเบียร์ เป็นเครื่องดื่มประจำ ทั้งมื้อกลางวัน และเย็น บางทีก็แถมมื้อเช้าด้วย เมื่อการป่วยได้ผ่านไปเจ็ดวัน จนเกือบเป็นปกติแล้ว ผมก็ซื้อเบียร์กระป๋องมาสองกระป๋อง แล้วผมก็ลองค่อย ๆ กินกับอาหารกลางวัน เพื่อจะดูผลว่าจะเกิดอาการจากแอลกอฮอล์อย่างไร และจะเป็นผลให้อาการป่วยเลวลงหรือไม่ และทำซ้ำอีกในเย็นวันเดียวกัน ปรากฏว่าไม่มีผลดีหรือเสียหายเกิดขึ้นเลย ไม่มีอะไรผิดปกติในทางใดเลย

จิตส่วนที่เป็นกิเลสหรือฝ่ายชั่วในกายผม ก็ตื่นเต้นดีใจว่าไม่มีผลเสียต่ออาการป่วย ก็กินเบียร์ต่อไปได้ แต่ส่วนที่เป็นฝ่ายดีค้านว่า เมื่อกินแล้วไม่มีผลเสียหรือผลดี กินหรือไม่กินก็เหมือนกัน แล้วกินมันเข้าไปทำไม จิตทั้งสองฝ่ายของผม โต้เถียงกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง ผมคิดไม่ตกว่า ควรจะเชื่อฝ่ายไหนดี

และอีกไม่ช้าไม่นาน ก็คงถึงเวลาที่ผมจะต้องตัดสินใจให้ได้…….ในที่สุด.

#########

วารสารข่าวทหารอากาศ
มิถุนายน ๒๕๔๘

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๒๒ ธันวาคม ๒๕๔๙



Create Date : 25 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2550 6:23:31 น.

Counter : 170 Pageviews. 8 comments

Add to







คุณแม่มีอาการอุจจาระเป็นโลหิตแดงไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไรพอจะทราบไหมค่ะเพราะแม่ชอบดื่มเบียร์มาก



โดย: ฐิดารัตน์ พฤกษ์วิวัฒนากุล IP: 125.26.247.59 วันที่: 14 มกราคม 2551 เวลา:13:28:24 น.







รู้สึำกเป็นห่วงคุณเจียวต้ายมากๆ ไม่รู้ตอนนี้สุขภาพดีขึ้นมากรึยัง



โดย: ข้าวโพด IP: 202.123.145.203 วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:10:13:20 น.







ลืมถาม ตกลงตัดสินใจว่างัยค้าบ



โดย: ข้าวโพด IP: 202.123.145.203 วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:10:14:11 น.







โอย...ผมจะบ้าตาย...ปล่อยคำถามของคุณฐิดารัตน์
ค้างอยู่เกือบสองเดือน

แต่ตอนนี้คุณแม่คงไปหาหมอและรักษาเรียบร้อยแล้วนะครับ

ผมก็เคยเป็นโรคนี้ หมอบอกว่า ๘๐% เป็นริดสีดวงทวาร ที่เหลืออาจเป็นโรคภายในกระเพาะลำไส้ครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:19:36:34 น.







ขอบคุณคุณข้าวโพด
ปัจจุบันผมคงมีโรคภัยที่ไม่หนักหนา อยู่เป็นปกติครับ

และยังดื่มเบียร์เติมโซดาอยู่ทุกวันครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:19:39:04 น.







อิอิอิ ดื่มเบียร์ได้แสดงว่ายังแข็งแรงอยู่ รสชาตเบียร์ผสมโซดาคงจะจืดแต่ซ่าส์นะ



โดย: ข้าวโพด IP: 202.123.145.203 วันที่: 6 มีนาคม 2551 เวลา:8:26:56 น.







ทำใจยาก ดื่มมานาน ก็คงเหมือนเพื่อนข้างกายคนหนึ่ง

อย่างไรก็ขอให้คุณอาแข็งแรง

อยู่เขียนเรื่องสั้นให้อ่านกันไปนาน ๆ นะครับ



โดย: พี่แต้ วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:22:01:48 น.







เบียร์เติมโซดา ก็เหมือนไลท์เบียร์สองขวด แต่ราคาถูกว่าครับ คุณข้าวโพด

ขอบคุณคุณพี่แต้ ผมดื่มเพื่อสุขภาพครับ
เดี๋ยวนี้เขียนน้อยลง แต่มีเรื่องเก่า ๆ เยอะครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:10:10:19 น.






 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2553 19:09:52 น.
Counter : 576 Pageviews.  

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๖) เรื่องของความไม่รู้

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๖)

เรื่องของความไม่รู้

" เพทาย "


ในสมัยที่ผมรับราชทหารกองประจำการ ที่เรียกว่าทหารเกณฑ์นั้น ผมเป็นเหล่าทหารราบ ซึ่งมีการฝึกทั้งปี เริ่มด้วยการฝึกเบื้องต้น ฝึกการใช้อาวุธ การฝึกภาคสนาม เป็นหมู่ หมวด และกองร้อย

พอการฝึกเบื้องต้นแปดสัปดาห์จบลงแล้ว ก็ถึงคราวต้องฝึกเรื่องยิงปืนด้วย กระสุนซ้อมยิง และกระสุนจริงเสียที สมัยนั้นต้องไปที่สนามยิงปืนเขาอีโต้ จังหวัดปราจีนบุรี ไปกางเต๊นท์อยู่บนเขาแถววัดเนินดินแดง กองบังคับการตั้งอยู่บนศาลาใหญ่ พวกลูกแถวต้องนอนในเต๊นท์บุคคล คู่กันหลังละสองคน เป็นการฝึกภาคสนามไปในตัว

ผมก็จับคู่กับเพื่อนชาวพระโขนงคนหนึ่ง นิสัยดีมาก พื้นที่แห่งนั้นเคยมีทหารหน่วยอื่น มาพักยิงปืนอยู่ก่อนแล้วหลายหน่วย พื้นดินจึงเต็มไปด้วยร่องรอยของการขุดเป็นหลุมเป็นแอ่ง เราก็กางเต๊นท์ทับลงไปบนพื้นดินที่ขรุขระนั้น เอาผ้าใบปูรองนอนเอาเป้หนุนหัว ทนเจ็บหลังไหล่อยู่ครึ่งคืน พอถึงกลางดึกฝนดันตกลงมาอย่างหนัก ทีแรกก็คิดว่าเย็นสบายดี สักพักก็รู้สึกว่ามีลูกคลื่น วิ่งผ่านใต้ผ้าปูที่นอน พอลุกขึ้นนั่ง น้ำก็บ่าเข้ามาในเต๊นท์เก็บข้าวของไม่ทัน เครื่องกระป๋องที่กักตุนเอาไว้ กลิ้งหลุน ๆ ตามน้ำไปหมด เหลือแต่เป้กับผ้ารองนอน ต้องวิ่งไปรวมกันอยู่ตามโคนต้นไม้ใหญ่ เอาผ้าปูนอนคลุมหัว ตกลงทหารทั้งหมดต่างก็วิ่งหนีฝนที่กระหน่ำลงมา จนกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง พอฝนหายเป่านกหวีดเรียกรวมได้ครบแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะนอนที่ไหนดี เพราะพื้นดินเฉอะแฉะไปหมด ต้องนั่งสัปหงกจนถึงเช้า เลยยิงปืนไม่เข้าเป้าไปตาม ๆ กัน

กลับจากการฝึกยิงปืนครั้งนั้นแล้ว ผมกับเพื่อนชาวพระโขนงก็คบหาสนิทสนมกันมากขึ้น เวลากินข้าวซึ่งในสมัยนั้นหมวดสูทกรรมหุงข้าวให้อย่างเดียว กับข้าวต้องซื้อจากแม่ค้าที่ทำมาขาย ชาวพระโขนงที่เป็นอิสลาม มักจะไม่ค่อยซื้อกับข้าว แต่จะกินกับน้ำพริก ซึ่งอัดใส่ขวดมาจากบ้านเป็นประจำ แต่เพื่อนของผมคนนี้ไม่ได้เป็นอิสลาม จึงซื้อกับข้าวคนละอย่างมากินรวมกันได้สบาย

เพื่อนอีกคนหนึ่งเป็นชาวอำเภอสัมพันธวงศ์ มีเชื้อสายจีน เขาอ่านหนังสือไทย ไม่ออกเลย ได้ความว่าเมื่อเด็ก ๆ เรียนโรงเรียนจีน แล้วก็ไม่สนใจภาษาไทย พอโตขึ้นก็ลืมหมด ผมต้องเป็นครูสอนให้เขาหัดอ่านหนังสือไทยในเวลาว่าง จนพอจะอ่านหนังสือพิมพ์ได้บ้าง ก็พอดีผมแยกไปเข้านักเรียนนายสิบ แล้วไม่เจอกันอีกเลย

ส่วนอีกคนหนึ่งนามสกุลใหญ่มาก ญาติสกุลเดียวกับเขาหลายคน ได้ร่วมกันก่อตั้งสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบก ช่องเจ็ด เขาเป็นคนมีเงินมาก ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ซึ่งตรงกันข้ามกับผม ซึ่งกินแต่เบี้ยเลี้ยงเงินเดือนที่ได้รับจ่าย อย่างกระเบียดกระเสียนเต็มที จนเมื่อเขาและผมได้รับการคัดเลือก ให้เป็นครูฝึกทหารใหม่รุ่นถัดไป จึงได้สนิทสนมกันมากขึ้น เมื่อเวลาพักการฝึกประจำชั่วโมง ผมไม่มีเงินก็นั่งคุยอยู่กับทหารใหม่ในแถว กินแต่น้ำแช่น้ำแข็งที่เขาใส่ถังมาเลี้ยงทหาร เพื่อนคนนี้ก็เข้าไปนั่งในเพิงขายกาแฟ ใกล้กับสนามฝึกในวังสวนสุนันทา เขาก็มักชวนผมไปกินกาแฟกับเขาเสมอ จนผมกระดาก แต่ก็ยอมให้เขาออกค่าโอเลี้ยงหลายครั้ง

ต่อมาเขาก็สมัครเข้าเป็นนักเรียนนายสิบเหล่าเดียวกับผมรุ่นถัดไป ผมจึงกลับเป็น ครูฝึกเขาอีก ช่วงหลังของการรับราชการนั้น เขาอยู่ทางกองบัญชาการทหารสูงสุด ได้พบกันไม่กี่ครั้งก็เห็นกินเหล้ายังกับน้ำประปา แต่ถึงขณะนั้นเขาก็เกษียณอายุราชการในยศ พันเอก

หลังจากการฝึกยิงปืนแล้ว ก็เป็นการฝึกวิธีรบ เราฝึกกันในสนามหญ้าสูงท่วมหัว ใกล้ชิดติดกับกองร้อยของเราเอง พื้นที่นั้นก็คือหอประชุมกองทัพบกในปัจจุบัน ฝึกการแปรขบวน การหมอบคลานเข้ายึดพื้นที่จนหญ้าราบลงเกือบหมด ครั้งสุดท้ายของผม ก็คือการวิ่งเข้ายึดที่หมาย ต้องติดดาบปลายปืนเล็กยาวรุ่น ๖๖ หนักหลายกิโล วิ่งเข้าหาข้าศึกในระยะ ๑๐๐ เมตร ทีละหมู่ ๑๒ คน ผมเฉียงอาวุธวิ่งไปได้ไม่เท่าไร ก็ล้มตัวลงนอนกลิ้งตามแบบฝึก แต่ลุกไม่ขึ้น เพราะปวดไข่จนน้ำตาแทบเล็ด ทีแรกครูฝึกนึกว่าผมทำมารยา จึงเอาเท้าสะกิดให้ผมลุกขึ้นวิ่ง ต่อไป แต่ผมถึงกับทิ้งปืนนอนกุมไข่ดิ้นพราด ๆ จึงถูกพาไปหาหมอ ผมนอนอยู่ที่เสนารักษ์ตั้งหลายชั่วโมง แต่ทำอย่างไรก็ไม่หายปวด จนต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

ได้ความว่าผมเป็นโรคไส้เลื่อนมาแต่กำเนิด เป็นความพิการอย่างหนึ่ง คือระหว่างช่องท้องกับถุงอัณฑะ โดยปกติจะมีช่องว่างและมีพังผืดบาง ๆ ที่มีรูเล็ก ๆ กั้นอยู่ แต่ของผมรูมันค่อนข้างกว้าง เมื่อโตขึ้นลำไส้เล็กก็สามารถเลื่อน ผ่านรูนั้นลงไปในถุงอัณฑะได้ รูนั้นก็กว้างขึ้นทุกที จนเมื่อเดินหรือยืนนาน ๆ ลำไส้จะลงมากองเป็นก้อนโต ถ้าเอามือบีบดันก็กลับคืนที่เดิมได้ แต่ไม่นานก็ลงมาอีก นอกจากเวลานอนลำไส้กลับไปอยู่ในที่ทางของมันแล้ว เราก็สบายเหมือนไม่เป็นอะไร

แต่คราวนี้ฝึกหนักเป็นเวลานาน มันก็ลงมามากเป็นก้อนใหญ่ แล้วกลับคืนที่ไม่ได้ ช่องว่างที่ผนังเป็นเหมือนยางยืดก็บีบรัดเอาไว้ จึงทำให้ปวดมาก และมากขึ้นจนถึงกับอาเจียน ผู้หมวดจึงสั่งให้ขอรถเอาไปส่งโรงพยาบาลของทหารบกทันที

โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในยุคนั้นเพิ่งจะเริ่มขยายกิจการให้ทันสมัย นายแพทย์สั่งให้เอาผมเข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉิน เพราะถ้าปล่อยไว้นาน โลหิตลงไปเลี้ยงลำไส้ที่ถูกรัดไว้ไม่ได้ก็จะเน่า และมีหวังตายได้ ทั้ง ๆ ที่โรคนี้เป็นเรื่องเล็ก ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะผ่าอะไรและตัดอะไร แต่ก็ปลงแล้วว่าขอให้หายปวดเถิดจะตัดทิ้งเสียทั้งพวงก็ยอม

แต่ปรากฏว่าผ่าไปนิดเดียวไม่ถึงคืบ โดยไม่ได้วางยาสลบ นายแพทย์ซึ่งจำได้ว่าเป็นพันตรี ให้ผมนอนตะแคงกอดหมอนไว้ที่หน้าอก แล้วงอหัวเข่ามาอัดไว้ ทำให้หลังงอเป็นกุ้ง แล้วก็ฉีดยาเข้าไขสันหลัง ระหว่างที่แทงเข็มเข้าไป และควานหาจุดที่เหมาะสม มันทั้งเจ็บทั้งเสียวจนมืออ่อนตีนอ่อนไปหมด จากนั้นก็ชาตั้งแต่สะดือลงไปจนถึงปลายนิ้วเท้า หมอถามว่าชาหรือยัง ผมก็บอกไปตามความรู้สึก จนชาเรียบร้อยแล้ว จึงเอาผ้ามาปิดตาผมไว้ มือทั้งสองข้างถูกมัดไว้กับเตียงผ่าตัด และดูเหมือนจะมีการให้น้ำเกลือด้วย

ผมทราบทีหลังว่าหมอผ่าตรงโคนขาขวาเหนือลูกอัณฑะ เปิดออก ดึงลำไส้ขึ้นมาให้อยู่ที่เดิม แล้วเย็บช่องพังผืดนั้นให้ปิดสนิท แล้วจึงเย็บแผลภายนอก โดยที่ผมรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา หมอพยายามชวนผมคุยโดยซักถามประวัติส่วนตัว ผมก็ตอบไปเรื่อย พอถึงตอนสำคัญท่านถามว่าเจ็บไหม ผมก็บอกตามตรงว่าไม่รู้สึกเจ็บ แต่เสียวหน่อย ๆ บางครั้งหมอเอาเครื่องมือวาง เลยสะดือผมขึ้นมาก็รู้สึกว่าเป็นโลหะเย็น ๆ

ใช้เวลาผ่าตัดประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เสร็จ พยาบาลเข็นจากห้องผ่าตัดไปขึ้นเตียงนอนของผมที่หมวดอะไรก็ไม่ทราบ สมัยนั้นที่พักของคนไข้เป็นเรือนไม้ยาว ๆ เรียงรายไปตามแนวรั้วของโรงพยาบาลด้านถนนราชวิถีแถว ๆ ที่เป็นธนาคารทหารไทยเดี๋ยวนี้ มีด้วยกันหลายโรง เรียกเป็นหมวด ๑ หมวด ๒ หมวด ๓ ตามลำดับ

ถึงเตียงนอนใหม่ ๆ ยายังไม่หายชาก็รู้สึกสบายดี ผงกหัวดูปลายเท้าเห็นมันเกยกันอยู่ไม่เรียบร้อย จะเอาลงพยายามเท่าไรก็ไม่สำเร็จเพราะมันไม่รับคำสั่ง แต่พอยาชาหมดฤทธิ์ มันเจ็บปวดที่แผลอย่าบอกใครเชียว เหมือนใครเอามีดโกนมาผ่า แล้วทิ้งคาไว้อย่างนั้น

สมัยนี้เมื่อผ่าตัดที่ใดหมอก็เอาผ้าก๊อสโปะแผลไว้ แล้วปิดด้วยเทปเหนียวไม่ให้อากาศเข้า กินยาตามเวลา ๗ วันจึงจะเปิดดูแผล สมัยก่อนไม่มียากินดี ๆ ต้องเปิดผ้าก๊อสทำความสะอาดแผลทุกเช้า และฉีดยาปฏิชีวนะเข้ากล้ามทุก ๖ ชั่วโมงจนแขนซ้ายขวาระบม ต้องเปลี่ยนเป็นฉีดที่สะโพกซ้ายขวา แล้วก็ย้ายกลับมาที่แขนอีก ๗ วันโดนเข้าไป ๒๘ เข็ม พลิกข้างไหนก็ไม่ได้เจ็บก้นเจ็บแขนไปหมด

พอตัดไหมที่เย็บภายนอกแล้วหมอก็ให้กลับกองร้อย ให้นายสิบเสนารักษ์ทำความสะอาดแผลทุกเช้า เกิดแผลไม่หายเป็นหนองตรงกลาง เพราะมีไหมที่เย็บแผลข้างในโผล่ยื่นออกมานิดหนึ่ง ต้องเอากรรไกรขุดลงไปตัดให้ต่ำกว่ารอยแผล แล้วรักษาต่ออีกหลายวันกว่าแผลจะปิดสนิท และแผลเป็นเลยกว้างกว่าธรรมดา แต่ดีที่ไม่มีใครเห็น

เมื่อหายจากการผ่าตัดในครั้งนั้นแล้ว ผมก็ได้รับการคัดเลือกให้เป็นครูทหารใหม่ผลัดต่อไป พอดีทางราชการรับสมัครทหารเกณฑ์ปีที่ ๒ เข้าเป็นนักเรียนนายสิบ ผมจึงขออนุญาตผู้หมวด ขอไปสมัครเรียน ท่านก็เซ็นค้ำประกันให้ แล้วสั่งว่าให้เลือกเหล่าทหารราบ พอผมไปถึงที่รับสมัคร เขากลับมีให้เลือกเพียง ๓ เหล่าเท่านั้น คือ ทหารปืนใหญ่ ทหารสื่อสาร และทหาร เสนารักษ์

ผมเห็นว่าผมไม่ถูกกับเข็มฉีดยามาแต่ไหนแต่ไร และไม่ชอบพยาบาลคนเจ็บป่วยจึงไม่เลือกเสนารักษ์ และผมเพิ่งหายจากการผ่าตัด ปืนใหญ่นั้นคงหนักน่าดู ขืนไปแบกหามหรือลากเข็นมันเข้า เกิดแผลปริออกมาก็จะยุ่งกันอีก จึงเลือกทหารสื่อสาร ซึ่งอาจจะมีความรู้วิชาวิทยุหรือโทรศัพท์ออกมาหากินนอกเวลาได้บ้าง โดยไม่ได้กลับไปบอกผู้หมวดที่กองร้อยเลย แต่ก็ไม่เคยลืมพระคุณท่าน เพียงแต่นึกชื่อท่านไม่ออกเท่านั้น

หลังจากสำเร็จหลักสูตรนักเรียนนายสิบทหารสื่อสารแล้ว ผมจึงได้ทำมาหากิน เป็นทหารสื่อสาร ตั้งแต่เป็นนายสิบ จนได้เลื่อนเป็นนายทหาร มาสามสิบกว่าปี โดยไม่มีวิชาความรู้ในด้านวิทยุหรือโทรศัพท์เลยแม้แต่น้อย เพราะต้องทำงานเกี่ยวกับธุรการ หรือสารบรรณ ที่ใช้แต่ดินสอ ปากกา เครื่องพิมพ์ดีด จนถึงคอมพิวเตอร์เท่านั้น

แต่ยังโชคดีที่มีวิชาถ่ายภาพติดตัวมา ตั้งแต่ก่อนเป็นทหาร จึงถูกส่งตัวไปเป็นพนักงานกล้องโทรทัศน์ ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่องเจ็ดขาวดำ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๓ ถัดจากที่แต่งตั้ง พันเอก ถาวร ช่วยประสิทธิ์ เป็นหัวหน้าฝ่ายจัดรายการ เพียงปีเดียว ผมทำงานหนักอยู่สิบสองปี โรคไส้เลื่อนก็กลับเป็นอีกข้างหนึ่ง ทนไม่ไหวต้องขอลากลับมาทำงานหลักที่กรมเพียงด้านเดียว

ขณะนั้นสงครามอินโดจีนกำลังเสียเปรียบ คอมมิวนิสต์ตีเมืองไซ่ง่อนกับเมืองพนมเปญแตก และประกาศว่าจะมากินข้าวกลางวันที่สนามหลวง ผมกลัวว่าจะวิ่งไม่ไหว จึงไปผ่าตัดอีกครั้ง ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเจ้าเก่า คราวนี้นอนอยู่ไม่กี่วันก็หายดี แต่เป็นเพราะบารมีของ พระสยามเทวาธิราช และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา จึงไม่มีใครเยี่ยมกรายเข้ามาได้ดังที่ว่านั้นเลย

หลังจากนั้นอีกไม่กี่ปี ก็ได้รับการแต่งตั้งให้กลับไป เป็นรองหัวหน้าฝ่ายกำลังพล สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่องห้า(สี) เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๙ ขณะที่มียศร้อยเอก จึงเป็นผู้บริหารที่มีอาวุโสน้อยที่สุด คราวนี้ทำอยู่อีกสิบหกปี

จนถึง พ.ศ.๒๕๓๕ ผมจึงได้เกษียณอายุราชการ พร้อมกันทั้งสองด้าน ในยศที่สูงสุดเท่าที่พลทหารจะสามารถเป็นได้ และมีบำนาญเหลือเฟือ

ข้อที่สำคัญมากก็คือ ผมไม่ทราบว่าโรคไส้เลื่อน ที่เป็นมาแต่กำเนิดนั้น เขายกเว้นไม่ต้องเกณฑ์เป็นทหาร

ผมจึงได้ดีมาถึงขนาดนี้ ก็เพราะความไม่รู้นี่เอง.

##########

นิตยสารทหารปืนใหญ่
เมษายน ๒๕๔๘








 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2553 19:10:29 น.
Counter : 703 Pageviews.  

1  2  3  4  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.