Group Blog
 
All Blogs
 

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๕) คนใจงาม

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๕)

คนใจงาม

เพทาย

โทรทัศน์ในบ้านเรา มีรายการหนึ่งซึ่งได้รับการสนับสนุน จากบริษัทเครื่องดื่มชูกำลังชื่อดัง ให้ชื่อรายการว่า ลูกผู้ชายตัวจริง เสนอเรื่องราวของผู้บำเพ็ญความดี ด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือแสดงน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แก่ผู้ที่อ่อนแอ หรือได้รับความลำบากกว่า

อย่างที่ผมเคยเห็นในวันหนึ่ง แท็กซี่คันหนึ่งจอดอยู่ริมถนนตรงลาดเชิงสะพาน หัวช้าง ด้านที่มาจากศูนย์การค้าสยาม เปิดไฟท้ายทั้งคู่แว่บ ๆ และเปิดกระโปรงหน้าขึ้น ส่วนคนขับหรือโชเฟอร์ลงไปยืนเกาศรีษะแกรก ๆ อยู่ข้างหน้าหม้อรถ แสดงว่าเครื่องเสียแน่นอน มีชายฉกรรจ์ประมาณสี่ห้าคน เดินสวนทางมาจากบนสะพาน ทั้งหมดแต่งตัวเรียบร้อยสวมเสื้อเชิร์ตผูกเน็คไทเกือบทุกคน คนหนึ่งในจำนวนนั้นตะโกนถามคนขับว่าเป็นอะไร เขาก็บอกว่าสตาร์ทไม่ติด

เขาผู้นั้นจึงพยักหน้าบอกเพื่อนว่าช่วยกันหน่อย แล้วก็พากันลงจากทางเท้าเดินเข้าไปที่รถ คนขับดีใจรีบปิดฝากระโปรงรถ แล้วกระโดดขึ้นนั่งประจำที่ แม้ว่าคนหนึ่งในจำนวนนั้นจะรำพึงออกมาดัง ๆ ว่า เข็นขึ้นสะพานนะเนี่ย แต่เขาก็ใช้แรงทั้งหมดดันท้ายรถจนเครื่องยนต์ติด คนขับไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร ก็ได้แต่โบกมือและก้มศรีษะให้กลุ่มสุภาพบุรุษ ที่เป็นลูกผู้ชายตัวจริงกลุ่มนั้น แล้วรถก็แล่นข้ามสะพานไป

ครั้งหนึ่งผมไปที่หมู่บ้านสุขสรรพ์ แถวบางบัว เพื่อไปดูการแสดงละครเวทีของลูกชาย ซึ่งแสดงในโรงละครชุมชนของหมู่บ้านนั้น ความที่ผมเพิ่งไปแถวนั้นเป็นครั้งแรก เมื่อนั่งรถ มอร์เตอร์ไซค์รับจ้างเข้าไป เลี้ยวแล้วเลี้ยวอีกจึงดูไกลมาก

เมื่อถึงที่หมายแล้ว ก็ถามเขาว่าเวลากลับ จะมีรถแท็กซี่หรือรถมอร์เตอร์ไซค์ ผ่านมาบ่อยไหม เขาบอกว่าต้องเดินย้อนออกไปถึงแยกเล็ก ๆ ที่ผ่านมา ก็จะมีรถรับจ้างทั้งสองชนิด ผ่านไปมาจำนวนพอสมควรที่จะเรียกใช้บริการได้

ขณะนั้นยังมีเวลาอีกนานที่การแสดงจะเริ่มขึ้น ผมก็เดินออกจากหมู่บ้าน ย้อนทางมาตามที่เขาบอก เพราะผมไม่แน่ใจว่าเมื่อถึงเวลากลับประมาณสามทุ่ม ผมจะออกมาถูกทางหรือเปล่า ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นใกล้ค่ำแต่ยังไม่มืด ผมยืนมองตรงทางแยกที่เขาบอก ดูทางขวาซึ่งจะไปออกบางบัวที่เก่า และทางซ้ายซึ่งไม่รู้ว่าไปถึงไหน พยายามสังเกตจดจำภูมิประเทศ ที่อยู่ในสายตา จะได้ไม่หลงในเวลามืดค่ำ

ทันใดนั้นก็มีมอร์เตอร์ไซค์คันหนึ่งไม่มีผู้โดยสาร วิ่งถลาเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม เข้ามาจอดอยู่ตรงหน้าถามว่าลุงจะไปไหน ผมก็บอกว่ายังไม่ไปหรอก แต่ยืนสังเกตว่าขากลับจะไปทางไหนเท่านั้น

เขาก็บอกว่าก็ผมมาส่งลุงเมื่อกี้ไง นึกว่าจะกลับก็เลยมารับ ความจริงผมจำเขาไม่ได้เลย เพราะซ้อนท้ายเขามาไม่ได้ดูหน้าซึ่งอยู่ในหมวกกันน็อค เขาบอกว่าได้ถ้าออกไปทางตรงข้ามกับที่เข้ามาจากบางบัว ก็จะโผล่ถนนวิภาวดีรังสิต เป็นซอย ๕๘ ใกล้กว่าทางบางบัวมาก

ผมก็ขอบคุณและว่า เมื่อถึงเวลากลับจะไปทางที่เขาบอกให้ และขอบคุณในความหวังดีของเขา ด้วยใจจริงอีกครั้งหนึ่ง

ผมต้องการจะรอเวลา เพื่อกลับเข้าไปดูการแสดง ซึ่งจะเริ่มประมาณหนึ่งทุ่ม จึงข้ามไปยังร้านขายของชำ ที่มีหมู่โต๊ะเก้าอี้ซีเมนต์ตั้งอยู่ริมสุด ขออาศัยนั่งพักสักครู่ เจ้าของร้านเป็นหญิงวัยกลางคนก็ไม่ว่าอะไร ผมจึงสั่งเบียร์กระป๋อง แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะนั้น

เมื่อเธอเอาของโปรดของผมมาให้ ก็ขอน้ำแข็งแห้งแก้วหนึ่ง เธอบอกว่าไม่ได้ขายนอกจากน้ำแข็งหลอดที่เป็นถุง ผมก็แสดงอาการผิดหวัง แล้วก็จำใจจะต้องดูดเบียร์ที่ไม่ค่อยเย็นนั้น

สักครู่เธอก็เดินกลับมาหาผม พร้อมกับน้ำแข็งป่นหนึ่งแก้ว เธอบอกว่าเทน้ำละลายก้นแก้วทิ้งเสียก่อน เพราะเอาแก้วตักมาจากในกระติกของเธอเอง ผมรีบควักเงินชำระค่าเบียร์ และขอให้เธอคิดค่าน้ำแข็งด้วย เธอก็ไม่ยอม

ผมจึงดื่มเบียร์ชื่อดังแก้วนั้นด้วยความชื่นใจ ในน้ำแข็งที่ละลายเย็นเจี๊ยบ และด้วยน้ำใจเอื้ออารีของเธอผู้นั้น อย่างมีความสุข

ผมจึงได้ว่า รายการโทรทัศน์ที่โฆษณาเครื่องดื่มชูกำลังนั้น ไม่น่าจะตั้งชื่อว่า ลูกผู้ชายตัวจริง เพราะแม้แต่ผู้หญิงก็มีน้ำใจเหมือนกัน ถ้าคิดไม่ออกจะเอาชื่อเรื่องนี้ไปตั้ง ก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์แต่ประการใด

คนใจงาม ไงครับ.

#############

วารสารข่าวทหารอากาศ
มกราคม ๒๕๔๘

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๑๙ มกราคม ๒๕๔๘




Create Date : 22 สิงหาคม 2550
Last Update : 9 มีนาคม 2551 10:32:01 น.

Counter : Pageviews. 7 comments

Add to







อ่านอีกครั้งแล้วอมยิ้ม

คนจิตใจดี ๆ ต้องพบเจอแต่คนจิตใจดี ๆ ค่ะ



โดย: Jannyfer วันที่: 22 สิงหาคม 2550 เวลา:11:46:18 น.







ได้เห็นชื่อคุณJannyfer แล้วดีใจมากครับ
ยังอ่านเรื่องของเจียวต้ายอยู่อีกหรือครับ.



โดย: เจียวต้าย (เจียวต้าย ) วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:18:37:53 น.







ชื่นนนนนน....ใจ



โดย: วา (ส้มแกง ) วันที่: 26 สิงหาคม 2550 เวลา:12:06:57 น.







เหมือนดังที่ผมตอบไว้ในเรื่องก่อน
ผมมัวแต่ไปเปิดดูหน้า สังสรรค์สนทนาครับ
เลยเข้ามาดูในนี้ช้าไปหน่อยครับ
ขอบคุณมากครับ.



โดย: เจียวต้าย (เจียวต้าย ) วันที่: 17 กันยายน 2550 เวลา:9:55:02 น.







ตามมาลงชื่อว่าอ่านเรื่องนี้แล้ว คิคิคิ



โดย: ข้าวโพด IP: 202.123.145.203 วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:11:18:00 น.







กินเบียร์ชืด ๆ คงขื่นคอน่าดู

ได้น้ำแข็งเข้าไปทำให้เย็นสดชื่นน่าดื่มขึ้นเยอะนะครับ



โดย: พี่แต้ วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:14:39:12 น.







คนคอเบียร์แท้ ๆ เขาไม่ชอบเติมน้ำแข็งหรอกครับ
ผมมันคนคออ่อน ต้องเติมทั้งน้ำแข็งทั้งโซดาครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 19 มิถุนายน 2551 เวลา:20:19:25 น.






 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2553 19:11:29 น.
Counter : 479 Pageviews.  

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๔) คนวัยทอง

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๔)

คนวัยทอง

“ เพทาย “

คนที่มีอายุเลยเจ็ดสิบปีขึ้นไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะเรียกว่า ผู้สูงอายุ ผู้อาวุโส ผู้ชรา ผู้เฒ่าหรือให้ไพเราะเสนาะหู อย่างเช่นคนวัยทอง แต่ความจริงก็คือคนแก่นั่นเอง บางทีก็กลายเป็นตาแก่หรือไอ้แก่ไปเลย แล้วแต่ฐานะและการวางตัวของแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน

ผมเองก็อยู่ในจำนวนนั้นด้วยเหมือนกัน ใครเรียกลุงก็เห็นเป็นธรรมดา บางทีก็เป็นลุงใหญ่ แม่ค้าหมูปิ้งเรียกพ่อแก่ แต่คนหนุ่มที่ขอค่ารถไปสถานีขนส่งสายอีสาน เพื่อขึ้นรถบัสกลับบ้าน เรียกคุณพ่อก็มี คนขายสลากกินแบ่งบางคนเรียกคุณตา และคนเรียกก็เป็นสาวค่อนข้างสวยเสียด้วย เล่นเอาต้องเจียมเนื้อเจียมตัวลงเป็นอันมาก

วันนี้ผมตื่นแต่เช้าเพื่อจะไปเจาะเลือด ตามคำสั่งหมอที่คลีนิกผู้สูงอายุ ซึ่งได้ตรวจรักษากันอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่เริ่มเกษียณอายุราชการ เมื่อสิบปีก่อน หมอนัดครั้งละสองเดือนบ้าง สามเดือนบ้าง เว้นแต่เมื่อตรวจแล้วมีอะไรน่าสงสัย ก็ต้องไปถี่หน่อย การไปเจาะเลือดต้องอดทั้งอาหารและน้ำ ตั้งแต่เวลาสองทุ่ม ถ้าไปสายแล้วกว่าจะเจาะเสร็จได้กินข้าว ก็หิวตาลายไปเลย

เมื่อออกจากบ้านไปถึงป้ายรถเมล์แล้ว ขณะคลำหาเศษเหรียญค่ารถ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าไม่ได้เอาบัตรรับบำนาญมาด้วย จึงต้องเดินกลับเข้าบ้านใหม่ บัตรนี้มีความสำคัญยิ่ง เพราะใช้เป็นหลักฐานให้เจ้าหน้าที่ เขียนใบเบิกค่ารักษาพยาบาล โดยไม่ต้องจ่ายเงินสดแล้วเอาไปเบิกเองที่กระทรวง เมื่อเข้าห้องส่วนตัวเพื่อหยิบบัตร จึงได้เห็นว่าเมื่อออกไปนั้นยังไม่ได้ปิดพัดลม ก็เป็นการดีเหมือนกันที่กลับมาเอาบัตร จึงได้ปิดพัดลม เพราะทิ้งไว้ก็เปลืองไฟเปล่า ๆ

การที่ทำอะไรไม่เรียบร้อยทำนองนี้ ผมเป็นมานานแล้ว เช่นเข้าห้องน้ำเปิดไฟฟ้าไว้ เสร็จธุระแล้วก็ไม่ได้ปิด หรือเปิดเตาแก๊สอุ่นอาหารแล้วไม่อยู่ในครัว หรือไปรับโทรศัพท์คุยเพลิน หม้อแกงส่งกลิ่นเหม็นไหม้ไปทั่วบ้าน จึงจะรู้สึก เรื่องไม่ได้ปิดแก๊สนี่เป็นอันตรายมากกว่าไฟฟ้า เพราะแก๊สให้ความร้อนสูง เมื่อเผาหม้อแกงแห้งจนทะลุไปแล้ว อาจเลยไปเผาสิ่งที่อยู่ใกล้ต่อไป จนบ้านกลายเป็นถ่านหรือขี้เถ้าไปหมดทั้งหลังก็ได้

ผมกลับมาที่ป้ายรถเมล์อีกครั้ง แต่ขณะนั้นยังไม่มีรถที่ต้องการจะขึ้นผ่านมา และถนนสายนี้ก็มีรถเมล์ผ่านเพียงสายเดียวเท่านั้น จึงลงนั่งที่ม้าหินในศาลาพักผู้โดยสาร ล้วงกระเป๋าเงินหยิบธนบัตรใบละยี่สิบบาทใส่กระเป๋าเสื้อ เตรียมไว้ให้ค่าโดยสาร แล้วก็คอยอย่างใจเย็นพร้อมกับคนอื่นที่ทยอยกันมานั่งบ้างยืนบ้าง มากขึ้นทุกที

ตามปกติผมจะหาเรื่องออกจากบ้านเกือบทุกวัน ตั้งแต่เลิกรับราชการ แรก ๆ ก็ขึ้นรถเมล์รถไฟไปเที่ยวเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ กรุงเทพ ต่อมาก็ลดลงเพียงแค่สุดสายรถเมล์เรือเมล์ ที่แล่น ออกไปแถวชานเมือง ครั้นอายุมากขึ้นเรี่ยวแรงลดถอยลง ขึ้นลงรถเมล์ไม่ค่อยทันใจคนขับ ลงเรือก็กลัวจะโดดพลาดจากเรือหรือท่าลงไปในน้ำ เลยไม่ค่อยได้ไปไกลจากหมู่บ้าน นอกจากมีธุระที่ จำเป็น เพราะรอบหมู่บ้านของผมมีทั้ง ตลาดสด โรงพยาบาล วัด และร้านค้าแบบบริการยี่สิบสี่ชั่วโมง รวมทั้งตู้เงินด่วน และสาขาย่อยของธนาคารหลายโรง ซึ่งเดินไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น หมอท่านแนะนำว่าให้ออกกำลังด้วยการเดิน อย่างน้อยวันละสองกิโลเมตร หรือไม่น้อยกว่าสามสิบนาที ผมก็เลยใช้วิธีเดินไปใช้บริการเหล่านั้น ทั้งไปทั้งกลับ

เมื่อก่อนวานซืนนี้ผมก็ไปถอนเงินที่สาขาของธนาคารของทหาร ที่ผมบังเอิญเป็น ผู้ถือหุ้นอยู่ด้วย ปรากฎว่าแผ่นลงรายการในสมุดเต็ม จะต้องไปเปลี่ยนที่สาขาเจ้าของสมุด ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ อยู่ที่ถนนพหลโยธิน ใกล้แยกลาดพร้าว เมื่อวานนี้จึงขึ้นรถเมล์ไปที่สาขานั้น แต่บังเอิญเป็นวันสิ้นเดือน มีผู้มาเบิกเงินเดือนมากมาย ผมได้บัตรคิวลำดับที่สี่ร้อยกว่า ขณะที่กำลังเรียกลำดับที่สองร้อยกว่าเท่านั้น พอดีเป็นเวลาอาหารกลางวัน จึงออกไปหาก๋วยเตี๋ยวกินให้อิ่มท้องเสียก่อน จะได้ไม่เป็นลมเป็นแล้งให้ผู้อื่นเดือดร้อน แม้กระนั้นเมื่อกลับมา ก็ยังเรียกแค่สามร้อยกว่า พอจะเขียนเบิกเงินให้เจ้าหน้าที่ช่วยเปลี่ยนสมุดใหม่ ก็พบว่าสมุดเล่มนั้นเป็นสมุดฝากของสาขาพหลโยธิน ซึ่งอยู่ใกล้มาทางสนามเป้า และสมุดยังไม่เต็ม ต้องกลับบ้านเสียเวลาไปเปล่า ๆ หนึ่งวัน เพราะความไม่รอบคอบ

ผมเคยมีเรื่องหยิบของผิด หรือหาของไม่เจอเป็นประจำ แล้วก็ฝึกทำใจไม่ให้หงุดหงิด พอวันหลังไปหาของสิ่งอื่น ก็มักจะเจอเจ้าสิ่งนั้นจนได้ เวลาออกจากบ้านไปไหน บางทีต้องกลับไปกลับมาถึงสองสามครั้ง เพราะลืมสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่เสมอ ถึงกับต้องจดรายการว่าจะไปที่ไหนก่อนหลัง เพื่อจะได้ไปตามลำดับไม่ต้องย้อนไปย้อนมา แต่บางทีก็หากระดาษที่จดบันทึกไม่เจอเหมือนกัน

ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย อยู่นานจนกระทั่ง มีรถโดยสารขนาดเล็กร่วมบริการ แล่นฉวัดเฉวียนเข้ามาจอดป้าย ผู้คนที่รออยู่เป็นจำนวนมากก็กรูกันเข้าไป พยายามเบียดเสียดขึ้น บันไดรถ แต่ก็ไปได้ไม่กี่คน เพราะคนบนรถก็แน่นอยู่แล้ว สำหรับผมไม่สนใจเพราะแย่งกับเขาไม่ไหว และไม่ชอบขึ้นรถเมล์เล็กที่มีความรู้สึกเหมือนว่า รถคันนั้นเป็นรถส่วนตัวของเขา ผู้โดยสารเป็นเพียงผู้ขออาศัยเขาไปด้วยเท่านั้น

พอรถเล็กออกจากป้าย ก็มีรถขนาดใหญ่สีครีมแดง แล่นเข้ามาจอด แม้จะมีคนโดยสารยืนเต็ม แต่ก็ยังพอยัดเยียดขึ้นไปได้อีกจนหมด เมื่อรถเคลื่อนตัวผมก็ก้าวแทรกไปทางด้านหน้ามือขวาจับราว มือซ้ายหิ้วถุงผ้าสีน้ำตาลบรรจุสัมภาระกระจุกกระจิกจนโป่ง พอดีรถเลี้ยวขวาค่อนข้างเร็วตัวผมจึงโยกไปทางซ้าย มือขวาหลุดจากราว แต่ดีที่คนแน่นจึงไม่ล้มลงไปกับพื้น ทันใดนั้นก็มีคนยื่นมือมาฉุดแขนผมไว้ ผู้นั้นเป็นหญิงสาวในชุดทำงานเรียบร้อย และน่ารักด้วย เธอลุกขึ้นจากที่นั่งข้างหน้าต่างขวาซึ่งเป็นเก้าอี้เดี่ยว แล้วดึงให้ผมนั่งลงแทน ก่อนที่จะมีใครอีกมากมายเข้ามานั่งเสียก่อน ผมยิ้มและกล่าวขอบคุณเธอด้วยความสำนึกจากใจจริง แต่เธอก็ไม่ได้ลงป้ายถัดไปอย่างที่ผมคิด เธอเจตนาสละที่นั่งให้ผมด้วยความเมตตานั่นเอง พอดีเหลือบไปเห็นตัวหนังสือตรงที่นั่งนั้นเขียนไว้ว่า ที่นั่งสำรองสำหรับคนชราและคนพิการ ผมจึงพอจะเข้าใจ

กระเป๋าหญิง หรือที่เรียกกันติดปากว่ากระปี๋ เดินแทรกเข้ามาเก็บค่าโดยสาร ผมจึงล้วงกระเป๋ากางเกงกำเงินเหรียญออกมานับ ปรากฎว่าเป็นเหรียญห้าสิบสตางค์และเหรียญสลึงทั้งนั้น ซึ่งก็ได้รับทอนมาจากรถประจำทางนั่นเอง ผมจึงนับรวมให้ได้ตามราคา แล้วก็เงยหน้าขึ้นจะยื่นสตางค์ให้ แต่กระปี๋คนนั้นคงจะขี้เกียจยืนรอ จึงเดินไปเก็บเงินคนอื่นเสียแล้ว ผมต้องคอยอยู่จนเธอเดินกลับมา เมื่อผู้โดยสารค่อยว่าง เพราะลงไปแล้วสองสามป้าย แต่เธอมองดูมือผมแล้วก็ผ่านเลยไป ไม่ทราบว่าเธอสงสารว่าผมจะหมดตัว หรือรำคาญที่จะรับเอาเศษเหรียญ ซึ่งพยายามยัดเยียดทอนให้ผู้โดยสารอื่นไปแล้ว กลับมาใส่กระบอกไว้อีกก็ไม่ทราบ ถ้าเหรียญที่น่าสงสารเหล่านี้ ใช้เป็นค่าโดยสารรถเมล์ก็ไม่ได้แล้ว ผมจะเอาไปใช้ที่ใดได้อีก เพราะแม้แต่ซื้อลูกอม ก็ยังไม่ได้เลย

ผมจึงเอาเหรียญเหล่านั้นใส่ลงในกระเป๋าเสื้อ แล้วมือของผมก็กระทบกับธนบัตร ที่เตรียมไว้สำหรับให้ค่าโดยสาร เมื่อก่อนที่จะขึ้นรถ แต่กลับลืมเสียได้ ทำให้ทุ่นเงินค่ารถไป โดยไม่เจตนา

ผมลงจากรถโดยสารเมื่อถึงโรงพยาบาล ห้องสำหรับเจาะเลือดอยู่บนชั้นสอง ถ้าเดินจากตึกเก่า แต่เป็นชั้นหนึ่งของตึกใหม่ เขามีบริการรับบัตรคิวด้วยเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เช่นเดียวกับกิจการที่เจริญแล้วทุกแห่ง แต่วันนี้ปิดป้ายบอกว่าเครื่องเสีย จึงต้องรับบัตรกระดาษแข็งเขียนหมายเลขอย่างเดิม คำว่าคิวนี้เป็นภาษาต่างประเทศ ซึ่งกลายมาเป็นคำไทยแล้วอย่างสมบูรณ์ เพราะไม่รู้ว่าจะแปลอย่างไรให้กระทัดรัดเท่านี้ เหมือนคำว่าเคอร์ฟิวเช่นกัน ถ้าพูดเป็นภาษาไทยกว่าจะเข้าใจความก็จะเสียเวลาไปไม่น้อยทีเดียว

ผมได้หมายเลขที่ห่างกว่าเลขที่เขากำลังเรียก ประมาณห้าสิบคน จึงหาที่นั่งรอแล้วก็งัดเอาหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คส์ สำหรับคนมีระดับปานกลาง ไม่สูงไม่ต่ำอย่างผม มาอ่านฆ่าเวลา กว่าครึ่งชั่วโมงจึงถึงคิวของผม เมื่อส่งใบนัดให้เจ้าหน้าที่เขาก็บอกว่า นัดวันจันทร์หน้า ทำไมมาวันจันทร์นี้ ผมก็ขอโทษที่จำวันผิด แต่ไหน ๆ ก็อดข้าวมาแล้ว ขอเจาะเสียวันนี้เลย เจ้าหน้าที่ก็อนุโลมให้ คงจะเห็นแก่ความอาวุโสทั้งอายุและยศก็ได้

ผมก็ขอบคุณแล้วก็รอการดำเนินกรรมวิธีเจาะเลือด ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็เรียกผู้รับบริการด้วยเครื่องอิเล็กทรอนิกส์เช่นกัน เป็นเสียงของสตรีเรียกหมายเลขที่เราได้คิวมาให้เข้าไปนั่งที่โต๊ะหมายเลขเท่าไร ตามลำดับ แต่เมื่อวันนี้เครื่องจ่ายบัตรคิวเสีย จึงไม่มีการเรียกทางเครื่องขยายเสียง ผู้ป่วยจึงต้องจ้องหาโอกาสเอาเอง ใครอยู่ใกล้โต๊ะไหนก็คอยระวัง พอคนที่นั่งอยู่ก่อนลุกขึ้น ก็รีบเข้าไปนั่งให้เร็วกว่าคนอื่น

ผมรออยู่ไม่นานก็มีที่ว่าง พอที่จะไม่ต้องไปแย่งกับใคร เดี๋ยวนี้การดูดเลือดใส่หลอดก็เป็นวิธีใหม่ คือเขาเอาเข็มแทงเข้าไปให้ตรงเส้นเลือดที่ข้อพับ แขนใดแขนหนึ่งในจำนวนสองแขนของเราแล้ว ก็ถอดเอากระบอกออกปล่อยเข็มให้คาไว้ แล้วก็เอากระบอกใหม่ใส่เข้าไปแทน เลือดก็ไหลผ่านเข็มเข้าไปในกระบอกนั้นเอง โดยไม่ต้องมีลูกสูบ เมื่อเต็มกระบอกแล้วถ้าไม่พอก็ถอดกระบอกเก่าออก เอากระบอกใหม่ใส่เข้าไปแทน ผมไม่กล้ามองเข็มจึงไม่รู้ว่าเลือดมันไหลเข้ากระบอกได้อย่างไร เขาดูดเอาเลือดของผม ใส่หลอดยาวขนาดนิ้วชี้ ไปตั้งสี่หลอด เสร็จแล้วจึงได้ไปกินข้าวเช้ากับต้มเลือดหมู ทดแทนเลือดที่ถูกดูดออกไป อาการตาลายจึงค่อยทุเลาลง

ผมเอาหลักฐานการคิดเงินค่าเจาะเลือด มาให้เจ้าหน้าที่เขียนใบเบิก เพื่อจะได้ไม่ต้องไปเบิกเองที่กระทรวง นั่งรออยู่เพียงครู่เดียว เจ้าหน้าที่ก็เรียกไปเซ็นชื่อในใบเบิกสองชื่อ แล้วก็ถามว่าเป็นโรคอะไร ผมต้องเสียเวลาคิดว่า โรคประจำตัวของผมก็คือกระเพาะอาหารไม่ปกติ ท้องผูกบ้างท้องเสียบ้าง สลับกันไป และกระดูกคอข้อที่สี่หรือห้า กดทับเส้นประสาท ทำให้ปวดเมื่อยหัวไหล่และต้นคอเป็นประจำ กับนิ้วเท้าข้างขวาชาไปสี่นิ้ว แต่ที่หมอสั่งเจาะเลือดครั้งนี้ ก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับโรคทั้งสาม คงจะเป็นการตรวจสุขภาพทั่วไปเมื่อครบรอบปีมากกว่า ผมมัวแต่คิดอยู่ เจ้าหน้าที่คงจะขี้เกียจรอ จึงตัดบทว่าไม่เป็นไรเธอจะเขียนให้เอง

เมื่อเสร็จเรื่องแล้ว ผมก็ออกมานั่งรอรถเมล์ที่ศาลาพักผู้โดยสาร ที่หน้าโรงพยาบาล และนั่งอยู่ตั้งนานก็นึกไม่ออกว่า จะขึ้นรถเมล์สายไหนดี เพราะหากระดาษที่จดไม่พบ ว่าต่อจากนี้จะไปทำอะไรที่ไหน ก่อนที่จะกลับบ้าน

ผมนึกได้ราง ๆ ว่า หมอเคยบอกว่าคนที่มีความจำสั้น ซึ่งเป็นอาการของคนสูงอายุ แบบที่ผมเป็นอยู่นี้ เขาเรียกชื่อคล้ายนักมวย หรือชื่อห้างสรรพสินค้า อะไรทำนองนั้น

แต่ที่จำได้แม่น และเข้าใจง่ายที่สุด ก็คือโรคที่เจ้าหน้าที่หญิงเขียนให้ผมในใบเบิกค่ารักษาพยาบาล เมื่อกี้นี้ เธอเขียนว่า โรคสมองเสื่อม.

###########

วารสารข่าวทหารอากาศ
ตุลาคม ๒๕๔๗

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๖ มีนาคม ๒๕๕๐



Create Date : 25 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2550 9:09:53 น.

Counter : 176 Pageviews. 6 comments

Add to







เข้ามาลงชื่อ อ่าน ค่ะ..

เห็นภาพตามตัวอักษร ที่ติดตามอ่านไปเรื่อย ๆ..
เขียนได้เห็นภาพ ค่ะ



โดย: samranjai IP: 218.186.8.13 วันที่: 23 มกราคม 2551 เวลา:12:24:35 น.







คนที่ล่วงเข้าวัยปลายแล้วก็มักจะเป็นเช่นนี้แหละครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 24 มกราคม 2551 เวลา:7:28:09 น.







รักษาสุขภาพด้วยนะค้าบ อ้อไม่ใช่โรคสมองเสื่อมหรอกคุณเจียวต้ายน่ะ เค้าเรียกว่าโรคชอลระลึกอดีตเพราะจำเรื่องปัจจุบันไม่ค่อยไ้ด้ อิอิอิ



โดย: ข้าวโพด IP: 202.123.145.203 วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:10:03:02 น.







ความจริงผมเป็นโรคขี้ลืมมาตั้งแต่เด็ก
เคยถูกตีเรื่องยางลบ ดินสอ ไม้บรรทัดหาย อยู่เสมอ

พอแก่ตัวลงความลืมเพราะสองเสื่อมก็เพิ่มขึ้นมาอีก
เดี๋ยวนี้ออกจากบ้าน ต้องย้อนกลับมาถึงสองสามหน
เพราะของประจำตัวไม่ครบครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:19:32:19 น.







พยาบาลลงชื่อโรคให้เองเลย

เรื่องลืมอาจเป็นได้กับทุกคน

ถ้ามีเรื่องให้ทำหลายเรื่องในวันเดียว

ผมก็เป็นเหมือนกันครับ




โดย: พี่แต้ วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:21:50:51 น.







ขนาดผมจดใส่กระดาษเอาไว้ดูว่าจะทำอะไรก่อนหลัง
ก็ยีงลืมหยิบออกมาดูครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 27 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:48:38 น.






 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2553 19:12:10 น.
Counter : 493 Pageviews.  

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๓) ผู้มี(แต่)น้ำใจ

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๓)

ผู้มี(แต่)น้ำใจ

“ เพทาย “

ผมเป็นคนค่อนข้างจะโชคดี ที่ได้รับความเอื้อเฟื้อ จากผู้มีน้ำใจอันดีงาม อยู่บ่อย ครั้งในชีวิต อย่างเช่นการโดยสารรถประจำทางนั้น จะมีผู้ลุกให้นั่งอยู่เสมอ ตั้งแต่ยังเพิ่งจะเริ่มแก่ จนถึงแก่มากอย่างเดี๋ยวนี้ ผู้มีน้ำใจเหล่านั้น มีทั้งผู้ชายผู้หญิง เด็กชายและเด็กหญิง ถ้ายืนโหนราวอยู่ด้วยกัน และมีที่นั่งว่าง เธอเหล่านั้นจะพยักหน้า ให้ผมนั่งก่อนเป็นประจำ แรก ๆ ผมก็ปฏิเสธว่าไม่เป็นไรบ้าง เดี๋ยวจะลงบ้าง

แต่ระยะหลังก็ยินดีที่จะรับความเอื้อเฟื้อนั้น เพราะสังขารร่วงโรยลงเป็นอันดับสี่ ของผู้ที่ควรได้รับความเอื้อเฟื้อ ถัดจากเด็ก สตรี คนพิการ นั่นเอง

สำหรับผมเองนั้น ก็ได้พยายามแสดงน้ำใจและเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น เท่าที่สามารถทำได้เสมอ เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจที่ผมเคยได้รับ นอกจากการให้ทานแก่ผู้ที่ขอ ทุกประเภท โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ แม้จะเป็นจำนวนเล็กน้อยก็ตาม และให้ทุกครั้งที่พบเห็น นอกจากเศษเหรียญจะหมดกระเป๋าเสียก่อนแล้ว

วันหนึ่งผมไปเดินอยู่ที่ใต้สถานีรถไฟฟ้าสาทร ติดกับสะพานตากสิน ผ่านวนิพกสองราย คนหนึ่งเป่าแคนอีกคนหนึ่งถือไมโครโฟนแต่ยังไม่ได้ร้อง จึงไม่รู้ว่าจะเป็นเพลงอะไร แต่ทั้งสองตาบอดทั้งคู่ ผมก็ใส่กระบอกให้ไปคนละสองบาท

เมื่อเดินต่อมาอีกหน่อยก็พบหญิงชรา นั่งอยู่ข้างทางเท้าเหมือนกับนั่งพักเหนื่อย แต่พอผมเดินจะผ่านหน้า แกก็ยกมือขึ้นพนมพึมพำว่าอะไรไม่ทันได้ยิน ผมก็ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเหรียญออกมาทั้งหมด เป็นเหรียญบาทสามอัน ใส่ลงในฝ่ามือทั้งคู่นั้น แล้วก็เดินเลยไปโดยไม่รอฟังคำอวยชัยให้พรที่ตามมาข้างหลัง

ผมแวะที่ร้านก๋วยเตี๋ยวว่าจะรองท้องสักชาม เพราะเป็นเวลาบ่ายมากแล้ว เมื่อถามหาน้ำดื่มที่มีดีกรี เถ้าแก่บอกว่าไม่มีจึงเดินไปที่ทางเท้าฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีรถเข็นเครื่องดื่มนานาชนิด จอดขายหลายคัน ผมส่งแบ๊งค์ร้อยขอซื้อเบียร์กระป๋องหนึ่งในราคายี่สิบสามบาท ให้เด็กสาวคนขาย ซึ่งในสายตาของผมเห็นว่าสวย ตามประสาคนชอบของขม

เมื่อรับถุงเบียร์และเงินทอนแล้วผมก็เดินกลับมายืนอยู่ริมทางเท้ารอถนนว่าง เอาเศษเหรียญใส่กระเป๋ากางเกง แล้วก็คลี่ธนบัตรในมือซึ่งเป็นใบละยี่สิบบาทสามใบ คิดทบทวนว่าเด็กคนขายทอนให้ครบหรือเปล่า ก็พอดีเธอผู้นั้นตามมาถามว่าเมื่อกี้ทอนขาดไปสิบบาทใช่ไหม ผมก็ยังไม่หายงงและตอบไม่ได้ เธอจึงส่งเหรียญสิบบาทใส่มือผม แล้วก็เดินกลับไปโดยไม่รอคำขอบคุณของผม

เมื่อผมกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้ว ล้วงหาเงินค่าน้ำแข็งเปล่า ผมจึงรู้ว่ามีเหรียญสิบบาทอยู่สองเหรียญ ผมรีบย้อนกลับมาหาเธอผู้ขาย แล้วคืนเหรียญสิบบาทนั้นให้เธอ และบอกว่าเธอทอนเกิน คราวนี้เธอกลับขอบคุณด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้ผมต้องซื้อเบียร์อีกหนึ่งกระป๋อง ตุนไว้ในย่าม เพื่อตอบแทนน้ำใจของเธอ

อีกวันหนึ่งที่วงเวียนใหญ่ฝั่งธนบุรี ผมพบชายร่างสูงคนหนึ่ง อายุคงจะไม่เกิน ๔๐ ปี แต่หน้าแก่เพราะหนวดเครายาวรกระเกะระกะ และผมฟูเป็นกระเซิงเหมือนไม่ได้เคยหวีมาตลอดชีวิต เขานุ่งกางเกงขาสั้นกระดำกระด่าง ดูมอมแมม เหมือนกับไปนอนอยู่ตามทางเท้ามา เพราะเสื้อก็มีความสกปรกพอกัน จนแทบจะไม่รู้ว่าเดิมเคยเป็นสีอะไร เขาถือถุงน้ำแข็งใส่น้ำชา เดินเข้ามาในร้านก๋วยเตี๋ยวใกล้สะพานลอย เมื่อนั่งลงที่โต๊ะแรกใกล้ประตูร้าน และหาที่แขวนถุงน้ำแข็งได้แล้ว ก็หันไปหาเด็กผู้บริการของร้าน ที่เข้ามายืนเมียงมองอยู่ใกล้ ๆ แล้วสั่งก๋วยเตี๋ยวน้ำด้วยเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน เมื่อเห็นเด็กคนนั้นยังไม่ถอยออกไปจัดการตามสั่ง ก็ควักกระเป๋ากางเกงหยิบเงินซึ่งเป็นเหรียญทั้งหมดออกมาให้ เด็กจึงเดินไปสั่งก๋วยเตี๋ยว เมื่อได้ของตามที่ต้องการแล้ว เขาก็ลงมือกินอย่างละเมียดละไม ไม่ได้รีบร้อน

ผมมองเห็นเหตุการณ์นั้นตั้งแต่ต้น เมื่อเสร็จธุระในการกินก๋วยเตี๋ยวของผม และชำระเงินแล้ว ขณะที่จะเดินผ่านชายผู้นั้นก่อนออกจากร้าน ผมก็ก้มหน้าลงไปกระซิบว่า ผมขอออกเงินค่าก๋วยเตี๋ยวชามนี้จะได้ไหมครับ ชายขะมุกขะมอมผู้นั้นสั่นศรีษะ ผมจึงถามย้ำอีกว่าไม่ต้องหรือครับ คราวนี้เขาพยักหน้า ผมจึงเดินออกจากร้านไปด้วยความผิดหวัง เขาคงจะเลิกงานแล้ว

เรื่องของความอยากจะแสดงน้ำใจ แต่ไม่สำเร็จนี้ผมเคยเจอหลายครั้ง อย่างคราวหนึ่งผมจะนั่งเรือข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยา จากท่าพระจันทร์ไปยังท่าวังหลัง แต่ผมลงไปที่ท่าไม่ทันเรือที่รออยู่ได้ออกไปอย่างหวุดหวิด ผมไม่กล้ากระโดดตามเพราะเจียมสังขาร คงยืนรออยู่บนโป๊ะซึ่งไหวโยกเยกนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เรือลำใหม่ก็เข้ามาจอดอีก คราวนี้ผมคอยให้ผู้คนขึ้นจนหมดแล้วก็ลงไปนั่งรอในเรืออย่างสบาย สักพักหนึ่งพอเรือขยับจะเคลื่อนออกจากท่า ก็มีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ สองคนวิ่งลงมาตามสะพานที่ทอดอยู่กับโป๊ะ คนโตอายุประมาสักหกเจ็ดขวบ โดดลงเรือซึ่งกำลังห่างออกจากท่าอย่างว่องไว ส่วนคนเล็กที่ตามหลังอายุคงประมาณสักห้าหกขวบ ต้องหยุดชะงักไม่กล้าโดดตาม คงยืนมองเรือที่แล่นห่างออกไปด้วยสายตาละห้อย เกือบจะร้องไห้ ผมก็พลอยโล่งอกไปด้วย เพราะไม่แน่ว่าถ้าผลีผลามโดดตามเรือ เธอจะปลอดภัยหรือหล่นลงไปในน้ำกันแน่

เมื่อเรือแล่นมาจอดที่ท่าวังหลัง ผมก็ก้าวจากเรือขึ้นบนท่า พร้อมกับผู้โดยสารทั้งหมด แล้วก็เดินไปตามสะพานที่ทอดขึ้นจากโป๊ะ บังเอิญเด็กหญิงคนโตเดินมาใกล้ผม ด้วยความเป็นห่วงเด็กหญิงคนเล็ก จึงถามเธอว่าหนูไม่ลงเรือกลับไปรับน้องที่ฝั่งโน้นหรือ เธอตอบโดยไม่หันมามองหน้าผมว่า เดี๋ยวมันก็มาได้เองหรอกลุ้ง ผมเลยเลิกห่วง

อีกคราวหนึ่งผมนั่งรถเมล์สายสามสิบแปด จากซอยอโศกจะมาที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ระหว่างทางผ่านสถาบันชั้นอุดมศึกษา มีนักศึกษาหญิงขึ้นมาหลายคน ทุกคนได้นั่งหมดแล้ว เหลืออยู่คนหนึ่ง เข้ามายืนอยู่ตรงหน้าผม ซึ่งนั่งด้านข้างของกระโปรงเครื่องยนต์ มือของเธอผู้นั้นเอื้อมจับราวอย่างหมิ่นเหม่ เพราะเสื้อที่เธอสวมใส่อยู่นั้นคงจะผิดเบอร์ จึงคับและสั้นเต็มที ผมขยับตัวให้มีที่ว่าง แต่ก็ยังแคบเกินไปกว่าที่เธอจะนั่งลง จึงต้องยืนอย่างไม่มั่นคงต่อมาอีกสองป้าย ผู้ที่นั่งติดสองข้างของผม เป็นชายหนุ่มกว่าผมมาก ก็เมินมองไปเสียทางอื่น

ผมทนดูภาพที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ จึงตัดสินใจลงที่ป้ายถัดไป เพื่อให้เธอได้นั่ง แล้วผมก็รอขึ้นรถเบอร์เดียวกันอีก ซึ่งรออยู่ไม่นานนักก็มา คันนี้มีที่ว่างผมก็ได้นั่งอีก แต่พอผ่าน สี่แยกมักกะสัน มีเด็กนักเรียนมัธยมขึ้นมาเต็มคันรถ ทั้งหญิงและชาย ส่วนใหญ่ต้องยืน เลยไม่รู้จะทำยังไง ต้องทนมองเด็กยืนกันเต็มทั้งคันรถอยู่อีกนาน กว่าจะถึงที่หมาย

ผมลงจากรถเมล์ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แล้วก็เดินขึ้นสะพานลอยที่ทอดยาวเหยียด มาลงบันไดที่หน้าโรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งเป็นที่จอดรถประจำทางทุกสายที่จะผ่านไปทางบ้านผม ในไม่ช้าผมก็ได้ขึ้นรถสีค่อนข้างขาวสายหนึ่ง ซึ่งแล่นมาจากต้นทางแถวแยกรัชโยธินในถนนพหลโยธิน รถคันนี้มีผู้โดยสารเต็มที่นั่งและยืน แต่มีผู้ลุกขึ้นให้ผมได้นั่ง บนม้ายาวที่อยู่ด้านซ้ายของคนขับ ใกล้กับหญิงสาววัยเลยรุ่นคนหนึ่ง ที่อุ้มลูกน้อยอยู่ในวงแขน ทารกนั้นยังเล็กมากอายุคงไม่กี่เดือน ท่าทางที่อุ้มนั้นดูเก้งก้างไม่ทะมัดทะแมง คงจะเป็นคุณแม่หัดใหม่ ข้างกายของเธอมีถุงย่ามใบเล็กที่ใส่ของกระจุกกระจิก เกี่ยวกับเด็กอ่อน และมีขวดนมซุกอยู่ด้วย รถคันนี้แล่นไปค่อนข้างเร็ว ด้วยฝีมือและฝีเท้าอันเชี่ยวชาญของคนขับ จึงทำให้ผู้โดยสารหัวสั่นหัวคลอนมาตลอดระยะทาง

จนทารกน้อยตกใจตื่น และทำท่าจะร้องโยเยขึ้น ผู้เป็นแม่หันรีหันขวางแล้วก็ขยับตัวจะหยิบขวดนมในถุง ก็บังเอิญให้ถุงหล่นจากที่นั่งลงไปบนพื้น สิ่งของหลายชิ้นกลิ้งออกมากองบนพื้นรถ เธอเลยหมดปัญญาที่จะก้มลงไปจัดการได้ด้วยตนเอง เพราะลูกน้อยยังอยู่ในอ้อมแขน ผมจึงต้องก้มลงหยิบของเหล่านั้นใส่ถุง และส่งขวดนมให้เธอซึ่งพอดีกับหนูน้อยได้ส่งเสียงร้องขึ้น เธอรับไปใส่ปากให้ลูก และยิ้มขอบคุณ ผมจึงเอาถุงนั้นวางลงบนตักของผมเอง เพื่อป้องกันไม่ให้มันหล่นลงไปอีก

ผมมองดูสองแม่ลูกด้วยความรู้สึกสงสาร ในความลำบากนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจถามว่าเธอจะไปไหน ก็ได้คำตอบว่าจะไปโรงพยาบาลวขิระ ถามต่อว่าลูกป่วยเป็นอะไร เธอบอกว่าพาไปฉีดยาป้องกันโรคของเด็ก ตามหมอสั่ง ผมไม่กล้าถามว่าทำไมพ่อของเด็กไม่มาด้วย เหมือนอย่างที่ผมเคยเห็นพ่อแม่หัดใหม่ ซึ่งกำลังเห่อลูกคนแรก เขาทำกันเป็นปกติ แต่ถามว่าทำไมไม่ขึ้นรถแท็กซี่ พาลูกกระเตงมาคนเดียวแบบนี้ลำบากแย่ ทั้งแม่ทั้งลูก เธอตอบเบา ๆ ว่าไม่มีเงิน

ผมสะดุดใจกึกเพราะไม่ได้คิดถึงข้อนี้ พอดีรถจอดป้ายหน้าธนาคารที่เลยสี่แยก ซังฮี้ไปหน่อย เธอก็ลุกขึ้นจะลง ผมจึงถือถุงตามลงไปด้วย เธอจะต้องเดินย้อนกลับไปโรงพยาบาลซึ่งยังอยู่อีกไกลพอสมควร ผมอยากจะตามไปช่วยเหลือเธอ แต่ก็สองจิตสองใจ จึงส่งถุงคืนให้เธอรับไปด้วยปลายนิ้ว และกล่าวคำขอบคุณ ก่อนที่จะเดินไปตามทางของเธอ

ผมรีบหันเข้าหาตู้เอทีเอ็มที่ตั้งอยู่หน้าธนาคารนั้น กดเอาเงินออกมาสองร้อยบาท แล้วก็รีบเดินจ้ำตามแม่ลูกอ่อนนั้นไป คราวนี้เธอจะมีค่ารถแท็กซี่กลับบ้านละ ผมนึกในใจ แต่เธอข้ามถนนไปไกลแล้ว ผมยังต้องติดไฟแดงอยู่อีกนาน ตามธรรมเนียมของสี่แยกนี้ เพราะมีรถเลี้ยวขึ้นสะพานกรุงธนมากมายตลอดเวลา จนเธอเดินหายไปจากสายตา

เมื่อผมไปถึงโรงพยาบาลนั้น ก็เห็นแต่ผู้คนที่มาใช้บริการ คลาคล่ำไปหมด มีแต่คนเดินผ่านไปมาจนตาลาย ผมเดินไปมาตามหน้าห้องต่าง ๆ หลายตลบ ก็ไม่พบเธอผู้นั้นเลย เพราะผมไม่ได้ถามว่าเธอจะไปหาหมอที่ห้องไหน และข้อสำคัญคือผมก็ไม่แน่ใจว่าจะจำเธอได้ เพราะเมื่อนั่งอยู่บนรถเมล์ เธอไม่ได้หันหน้ามาทางผมเลย

ผมเดินกลับเข้าบ้านด้วยความเสียดาย ที่ไม่ได้ช่วยเหลือเธอตามความตั้งใจ แต่ก็ต้องปลงว่า คงไม่ใช่ความผิดของผมที่ไม่ช่วยเธอเสียตั้งแต่ทีแรก เพราะผมมีแต่เศษเหรียญในกระเป๋าเพียงไม่กี่อัน

ผมจึงได้แต่ส่งใจไปช่วยเธอ เท่านั้น.

#########

วารสารข่าวทหารอากาศ
สิงหาคม ๒๕๔๗

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๑๘ มกราคม ๒๕๔๘





Create Date : 21 สิงหาคม 2550
Last Update : 28 กันยายน 2550 6:47:32 น.

Counter : 10 Pageviews. 9 comments

Add to







อ่านเรื่องของคุณแล้วรู้สึกดีจริงๆ



โดย: cc__47 IP: 124.120.1.155 วันที่: 5 ตุลาคม 2550 เวลา:8:14:40 น.







ขอบคุณที่กรุณามาเยี่ยม แล้วรู้สึกดีดีครับ
วันหลังมาอีกนะครับ.



โดย: เจียวต้าย (เจียวต้าย ) วันที่: 5 ตุลาคม 2550 เวลา:12:48:51 น.







พอดีไปเม้นเรื่องที่แล้วไม่ได้ เลยตัดมาแปะที่นี่แทนค้าบ
จริงๆแล้วน้ำใจไม่ได้มีแต่คนไทยเท่านั้น อย่างซีเชลล์ที่โพดเคยไปอยู่ภูมิประเทศเป็นทะเลกับภูเขา แล้วเค้ามีมะม่วงเยอะมาก พวกเราก้อชอบเดินขึ้นเขาเก็บมะม่วงตามข้างทางมาตำส้มตำกินกัน เก็บกันจนแถบนั้นไม่มีมะม่วงแล้ว เผอิญผ่านไปที่บ้านหลังนึง มีลุงคนนึงนั่งอยู่หน้าบ้าน แกกวักมือเรียกให้เข้าไปเก็บที่ต้นหน้าบ้านแก เราก้อเก็บแล้วก้อถามแกว่าคิดราคาเท่าไหร่ แกไม่เอาตังส์ แต่บอกให้มาเก็บได้ทุกวันจนกว่าจะหมดต้น หลังจากนั้นถ้าโพดกะเพื่อนไปบ้านแกก้อจะเอาขนมไทยที่ทำเองไปฝากแกทุกครั้ง วันจะกลับเมืองไทยไปลาแก แกร้องไห้บอกว่าแล้วใครจะมาเก็บมะม่วงที่บ้านแกอีก



โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.242.19 วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:15:13:16 น.







โพดเคยนั่งรถเมล์เห็นผู้หญิงคนนึงเพิ่งขึ้นมา ท้องนำหน้ามาก่อนเลย ด้วยความหวังดีเลยสะกิดให้เค้านั่ง เจ๊แกหันมาทำหน้าดุใส่แล้วบอก "ชั้นไม่ได้ท้อง" โพดหน้าแตกดังเพล้งเลย ถึงว่ายังนึกในใจว่าทำไมเจ๊คนนี้แกเปรี้ยวจังท้องแล้วยังใส่กางเกงรัดๆอยู่เลย อิอิอิ
อ่านชุดเรื่องสั้นหมดแล้ว ขออณุญาตไปอ่านบันทึกคนเดินต่อนะค้าบบบบบบบ




โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.242.19 วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:15:21:47 น.







ผมไปแก้ไขแล้วครับ
แปลกที่มีคนให้ความเห็นแล้ว แต่พอคุณเข้าไปกลับแปะไม่ติด

อ่านแล้วรู้ว่าคุณมีข้อมูลแปลก ๆ ในชีวิต
พอที่จะเขียนได้มากเลยครับ

ควรจะเขียนเป็นตอนสั้น ๆ ลงในถนนนักเขียน
สุดท้ายอาจมีคนรับไปรวมเล่มนะครับ

และผมไม่ต้องยุแล้วครับ คุณเริ่มมีความชำนาญขึ้นแล้ว
เขียนได้ดีกว่าเรื่องจดหมายถึงเพื่อนแล้วครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:10:35:40 น.







ต้องยกความดีความชอบให้คุณเจียวต้าย เพราะคุณเจียวต้ายเป็นแรงบันดาลใจและกำลังใจให้โพดน่ะค้าบ

อ้อ ความจริงจดหมายจากเพื่อนน่ะโพดไม่ได้เขียนหรอกค้าบ เป็นจดหมายที่เพื่อนเขียนหาโพด คิดถึงเพื่อนก้อเลยเอามาลงดู



โดย: ข้าวโพด IP: 202.123.145.203 วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:10:53:56 น.







ไม่ได้ทำบุญตามที่ตั้งใจไว้
ก็ทำให้ผิดหวังได้เหมือนกันครับ
ผมก็เคยเหมือนกันที่จะทำบุญแล้วสถานการณ์มันไม่อำนวย
ก็ไม่ได้ทำ



โดย: พี่แต้ วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:14:51:16 น.







ขอบอกว่าผมไม่ได้เป็นแรงใจให้คุณช้าวโพดคนเดียวหรอกครับ
ทำมาหลายรายแล้ว ที่เห็นว่ามีทางไปได้ดี
แต่ยังขัดข้องทางเทคนิคอยู่นิเดหน่อย
ถ้าโดนคนเก่าต่อว่าเข้า
ก็อาจจะท้อไปเลย จึงต้องให้กำลังใจกันครับ
เพราะเมื่อผมเริ่มเข้านั้น ตั้งใจว่าจะไม่ตำหนิผู้ใดเลยครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 19 มิถุนายน 2551 เวลา:20:13:53 น.







คุณพี่แต้อย่าเพิ่งแปลกใจ
ผมเพิ่งมีเวลาว่าง กลับมาค้นหาว่า
ไม่ได้ตอบความแก่ใครบ้าง
เจอกลุ่มไหนก็จะตอบให้หมด ไล่ตั้งแต่กลุ่มเรื่องสั้นครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 19 มิถุนายน 2551 เวลา:20:16:35 น.






 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2553 19:13:24 น.
Counter : 416 Pageviews.  

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๒) วันฝนตก

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๒)

วันฝนตก

“ เพทาย “

ถนนซอยที่พุ่งตรงออกจากหน้าแฟลตของผม ทอดตัวยาวเหยียดไปท่ามกลางสายฝนที่ซัดกระหน่ำอย่างรุนแรง เป็นฝ้าขาวจนมองภาพต่าง ๆ และอาคารที่ขนานไปทั้งสองข้าง พร่ามัวอยู่ในสายตา แต่ลมเย็นที่กระโชกเข้ามาพร้อมกับละอองฝน ทำให้ผมสดชื่นขึ้นมาก

ผมตื่นขึ้นเมื่อมีเสียงฟ้าร้องกึกก้อง แทรกเข้ามาในจิตสำนึก นาฬิกาที่อยู่บนผนังด้านปลายเท้า บอกเวลาบ่ายสามโมงกว่า ท้องฟ้าจากหน้าต่างด้านนั้น มืดครึ้มไปด้วยเมฆดำทมึน ทำให้ผมลุกขึ้นจากที่นอนอย่างกระฉับกระเฉง รีบแต่งตัวอย่างเร่งด่วน เพราะรู้ดีว่าขืนชักช้าคงจะไปไม่สะดวกแน่ เมื่อปิดประตูหน้าต่างและตรวจดูก๊อกน้ำว่าปิดเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาใส่กุญแจห้อง โดยไม่ต้องห่วงการดับไฟฟ้า เพราะถูกตัดมิเตอร์มานานหลายเดือนแล้ว แต่ถึงกระนั้นเมื่อจ้ำลงจากชั้นสี่ที่ผมอาศัยอยู่ ถึงชั้นล่างทางบันไดเพราะไม่มีลิฟท์ใช้ ก็สายเกินไปเพราะสายฝนได้โปรยลงมา และเพิ่มความหนาแน่นขึ้น จนไม่สามารถจะฝ่าออกไปได้เสียแล้ว

ผมมาดูแลแฟลตที่ทางราชการซื้อเหมาจากเอกชน มาขายให้ข้าราชการชั้นผู้น้อย ด้วยเงินผ่อนนี้ เดือนสองเดือนครั้งเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว แต่ก็ไม่สามารถที่จะมาอยู่อาศัยได้ เพราะเล็กเกินไปสำหรับครอบครัว ที่แม้จะมีเพียงสี่คน แต่มีสมบัติตกทอดประเภทกระเบื้องถ้วยกะลาแตกมากมาย เกินกว่าจะหอบเอามาด้วยได้ จึงต้องอาศัยบ้านเดิมซึ่งอยู่กลางกรุงต่อไป แม้จะเป็นที่เช่าก็ตาม คิดว่าถ้าเกิดคับขันขนาดบ้านแตกสาแหรกขาดเมื่อไร ก็อาจจะมาซุกหัวนอนได้ โดยไม่ต้องไปขออาศัยใคร แต่ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว กลับแก่เกินไปกว่าที่จะตะกายขึ้นบันไดมาถึงชั้นสี่ได้ ก็คงจะต้องคิดอีกที

เมื่อผ่อนได้เพียงสามสี่ปี ก็มีน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ชานเมืองกรุงเทพ หมู่บ้านของผมก็ท่วมจากระดับพื้นดิน สูงถึงห้าช่วงอิฐบล็อค เรียกว่าท่วมชั้นล่างถึงครึ่งห้อง ไม่มีบ้านใดอาศัยอยู่ได้ พอน้ำลดผู้คนกลับมาอยู่กันไม่ทันข้ามปี น้ำก็ท่วมซ้ำอีก คราวนี้เพียงครึ่งหนึ่งของปีก่อน แต่ผู้คนก็เข็ดขยาดไปตาม ๆ กัน เกือบจะเป็นหมู่บ้านร้างอยู่แล้ว ปีต่อมาผู้บริหารหมู่บ้านจึงเก็บเงิน ผู้อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น สำหรับทำเขื่อนยันกำแพงรั้ว เพื่อต่อสู้กับน้ำที่บ่ามาจากทิศเหนือ และตั้งแต่บัดนั้นน้ำก็ไม่ท่วมอีกเลย เพราะได้เปลี่ยนเส้นทางเดินไปทางอื่น จนสมญานามว่าเป็นหมู่บ้านที่อยู่อาศัยของปลา ค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำ

ผมปล่อยความคิดคำนึง ให้ล่องลอยไปกับสายฝน ที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่สร่างซา กิ่งแห้งของต้นชมพูพันธ์ทิพย์ ที่เดิมเคยเขียวชอุ่ม โดนแรงลมหักหล่นลงมาเกลื่อนพื้น แม้แต่สายโทรศัพท์ที่พาดอย่างไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ก็ห้อยยานลงมากีดขวางกลางถนน

แล้วอยู่ ๆ หญิงสาวคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากมุมตึก เธอวิ่งไปเก็บผ้าเช็ดตัวที่ตาก อยู่จนชุ่มน้ำฝน แล้วก็หันกลับเข้ามาพักในลานใกล้เชิงบันไดที่ผมยืนอยู่ น่าแปลกที่เธอเข้ามาทักผม แต่เมื่อผ่านไปสักสองสามประโยคผมจึงจำได้ว่า เธออยู่ห้องแรกชั้นล่างตรงมุมนี้เอง และเคย ทำมาค้าขายของจิปาถะที่จำเป็นสำหรับชาวแฟลต ซึ่งผมก็เป็นลูกค้าขาประจำคนหนึ่งของเธอ ในทุกครั้งที่มาดูแลห้องของผม ในตึกเดียวกัน เมื่อปีก่อนที่น้ำจะท่วมใหญ่เธอเพิ่งมีแฟน และในคราวหนึ่งเมื่อผมมาดูห้องตามปกติ แฟนของเธอยังให้ผมอาศัยมอเตอร์ไซค์ของเขา พาออกไปส่งถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน

เธอได้หนีน้ำไปอาศัยอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัด เพิ่งกลับมาเมื่อสองสามปีนี้เอง พร้อมกับสามีและลูกชายหญิงสองคน แต่ผมไม่ได้สังเกตหรือเห็นหน้าเธอเลย เพิ่งจะได้พบกันวันนี้เป็นครั้งแรก คุยถามทุกข์สุขกันต่อไปได้อีกไม่นาน สามีของเธอก็ออกมาตามให้เข้าบ้าน เมื่อเธอบอกว่าแวะคุยกับผม เขามองหน้าผมเขม็ง แต่น่าแปลกที่เขาจำผมไม่ยักได้

ต่อมาอีกไม่กี่นาทีฝนก็ซาเม็ดลง แต่ถ้าเดินฝ่าออกไปในเวลานั้น กว่าจะถึงหน้าหมู่บ้านเสื้อกางเกงและหมวกจ๊อกกี้ของผมก็คงเปียกชุ่ม ผมจึงควักเอาเสื้อกันฝนพลาสติกบางเฉียบ อย่างกับของเด็กอนุบาลออกมาคลี่ เขาทำมาอย่างง่าย ๆ คล้ายเสื้อปานโจของแม็กซิกัน แต่มีที่คลุมศรีษะ สำหรับสวมเวลาฝนตกปรอย ๆ ขณะดูการแสดงที่สวนสันติชัยปราการ แถวป้อม พระสุเมรุ บางลำพู ผมซื้อไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝน แต่ยังไม่ได้ลองใช้เลย ขณะนั้นเม็ดฝนได้เบาบางลงอีก ผมจึงตัดสินใจใช้เสื้อคลุมตัวนั้น แล้วเอาที่คลุมศรีษะสวมทับหมวกลงไป พร้อมกับหิ้วถุงผ้าบรรจุกระเป๋าถือใบเล็กที่ใส่ของกระจุกกระจิกของผม และกระบอกใส่เบียร์ตัวใหญ่ ที่เหลืออยู่ร่วมครึ่งขวด ก้าวเท้าออกจากลานที่พักอาศัยนั้นอย่างไม่ลังเล

ผมเดินตากฝนมาจนถึงซอยใหญ่กลางหมู่บ้าน จึงได้มอเตอร์ไซค์ที่ยอมเปียกรับไปส่งหน้าหมู่บ้าน แวะหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ถอดเสื้อกันฝนออกมาบรรจงพับให้เรียบร้อย แล้วจึงอาศัยนั่งรอดูท่าทีของฝน เพราะระยะทางที่จะเดินไปถึงป้ายรถเมล์นั้นไม่ใช่ใกล้นัก ในที่สุดก็ตัดสินใจสั่งก๋วยเตี๋ยวไก่ มาแกล้มเบียร์ที่เหลือรออีกสักพัก เพราะเวลาได้ล่วงเลยมาจนเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ระยะทางจากรังสิตถึงสวนดุสิตนั้น ยังอีกไกลนัก เดี๋ยวจะหิว

ผมจบรายการอาหารเย็นนั้นอย่างอ้อยอิ่ง พร้อมกับเบียร์หมดกระบอก ฝนก็ขาดเม็ดลงพอดี ผมได้รถเมล์ประจำถิ่นมาต่อรถปรับอากาศ สายที่ยาวจากรังสิตถึงพระประแดง ซึ่งนั่งทอดเดียวก็ถึงซอยบ้านผม อากาศในรถเย็นเฉียบจนต้องถอดรองเท้าสานที่เปียกชุ่มออก แล้วก็นั่งกอดอกทอดอารมณ์ที่กำลังครึ้ม ให้ล่องลอยไปตามสบาย

ในช่วงวันกลางสัปดาห์ และฝนพรำตลอดเวลาอย่างนี้ บนถนนวิภาวดีรังสิต ย่อมจะมีรถนานาชนิด คลานตามกันไปโดยไม่อาจใช้ความเร็วได้ ทั้งสองฟากเข้าและออกจากกรุงเทพ ผมจึงนั่งสบายไม่มีใครเบียดมาเป็นเวลานาน จนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเต็มทั้งคัน จึงมีหญิงสาวผู้หนึ่งแต่งกายแบบที่ใช้กันในสำนักงาน เข้ามานั่งเก้าอี้คู่กับผม

รูปทรงของเธอค่อนข้างสมบูรณ์เกินปกติไปนิดหน่อย เมื่อนั่งแล้วเธอก็ควักผ้าออกมาเช็ดผม และหยิบตลับแป้งขึ้นมาแต่งเติมส่วนที่ลบเลือนไปเพราะเม็ดฝน แขนอันเย็นเฉียบของเธอ จึงกระทบกับแขนอันบอบบางของผมโดยบังเอิญ เธอทำท่าเหมือนว่าจะขยับถอยห่างออกไป แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะบั้นท้ายของเธอก็เต็มเก้าอี้แล้ว ผมจึงต้องเขยิบไปชิดหน้าต่าง ทำตัวให้ลีบเข้าไว้ แต่ก็ดีที่ทำให้อากาศใกล้ตัวผมอุ่นขึ้น

ผมรู้สึกดีอยู่เพียงครู่เดียว เมื่อได้กลิ่นเครื่องสำอางค์บางชนิดรำเพยมา กลับชวนให้ผมคันจมูกและจามออกมาโดยไม่ทันหยิบผ้าเช็ดหน้า ต้องเอาสองมือป้องไว้อย่างมิดชิด เธอมองตามมือผมที่เช็ดกับขากางเกง แล้วทำหน้าเหมือนว่าผมได้เอาเชื้อหวัดมาแพร่ให้เธอเข้าแล้ว

ผมจึงหันหน้าออกไปมองภูมิประเทศข้างทาง ผ่านความฝ้าของสายฝนที่เกาะอยู่บนกระจกหน้าต่างด้านนอก แต่ก็ยังได้ยินเธอบอกกระปี๋ว่าจะลงที่สถานีรถไฟฟ้า ซึ่งก็คงจะเป็นต้นทางที่สวนจตุจักร หรือที่เรียกกันติดปากว่าหมอชิตเก่านั่นเอง

ผมต้องนั่งอึดอัดมาอีกนานมาก จนรถเลี้ยวออกจากถนนวิภาวดีรังสิต ตรงหัวมุมถนนลาดพร้าว เธอจึงหิ้วกระเป๋าถือลุกขึ้นเตรียมตัวจะลง ผมจึงเกิดความคิดอย่างหนึ่งแว่บขึ้นมาในสมอง พอรถจอดป้ายหมอชิตเก่า ผมก็คว้าถุงย่ามลุกขึ้นเดินตามเธอผู้นั้นลงไปทันที

ในย่านนี้ฝนยังคงโปรยปรายอยู่อย่างบางเบา ชวนให้จามยิ่งนัก ผมเดินตามหลังเธอผู้นั้นไปยังบันไดเลื่อน ขึ้นไปบนสถานีรถไฟฟ้าสายแรกของมหานคร ที่ผมยังไม่เคยขึ้นมาก่อนเลย ผมตามเธอไปจนถึงที่จำหน่ายตั๋วโดยสาร ซึ่งมีแผ่นป้ายอธิบายวิธีซื้อตั๋วผ่านเครื่องอัตโนมัติ ผมพยายามอ่านทำความเข้าใจ แล้วจึงควักเศษเหรียญจากกระเป๋ากางเกงกำไว้ในมือ และเข้าไปต่อแถว ซึ่งขณะนั้นเธอซึ่งเป็นเพื่อนผู้โดยสารรถปรับอากาศคนนั้น ได้หายไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้

หญิงสาวอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าผม เธอคงจะไม่ถนัดในการซื้อตั๋วเหมือนกัน จึงชักช้าอยู่โดยไม่ได้ตั๋ว เธอหันมามองหน้าผม เหมือนจะขอความช่วยเหลือ ผมจึงอ่านคำอธิบายซึ่งแปะอยู่ข้าง ๆ นั้น ให้เธอทำตามลำดับขั้นตอน คือหาหมายเลขสถานีที่จะไป ก็จะทราบราคาค่าโดยสาร แล้วจึงกดหมายเลขสถานี และหยอดเหรียญสิบบาทหรือห้าบาทลงไปในช่องตามจำนวน เมื่อครบแล้วตั๋วโดยสารที่เป็นแผ่นพลาสติกแข็งก็จะโผล่ออกมา เธอขอบคุณแล้วก็หยิบตั๋วเดินออกไป

ผมจะไปลงที่สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นเลข ๔ ราคา ๒๕ บาท จึงทำตามที่ได้บอกเธอผู้นั้นไปเมื่อกี้ แล้วก็เดินตามผู้โดยสารอื่นไปถึงทางเข้า เอาแผ่นตั๋วสอดเข้าไปในช่อง มันจะวิ่งไปโผล่ช่องข้างหน้า เมื่อเดินไปหยิบตั๋วช่องทางก็จะเปิดออก แล้วก็เดินผ่านเข้าไปขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นไปบนชานชลาชั้นบน ขณะนั้นมีรถรางไฟฟ้าจอดรออยู่แล้ว เพราะเป็นสถานีต้นทาง ที่นั่งทำเป็นเก้าอี้เรียงกันไปทั้งสองด้าน มีคนนั่งเต็มไปหมด ผมเดินเรื่อยไปข้างหน้าจนพบว่ามีว่างอยู่ที่หนึ่ง บังเอิญที่สุดผู้ที่นั่งติดกันนั้น เป็นผู้ที่ผมบอกวิธีซื้อตั๋วเมื่อกี้นี้เอง

รออีกเพียง ๒ - ๓ นาที รถก็เคลื่อนออกจากสถานี แล่นไปอย่างนุ่มนวลและเงียบกริบ เมื่อใกล้จะถึงสถานีข้างหน้าจะมีผู้ประกาศเตือนทางลำโพงกระจายเสียง และพอถึงสถานีดังกล่าวก็จะย้ำอีกครั้งหนึ่ง แล้วรถก็จอดเปิดประตูออกไปตรงกับที่เขาขีดเส้นไว้ให้ ตรงหน้าผู้ที่ยืนรอพอดี คนที่จะขึ้นจึงไม่ต้องวิ่งตามเหมือนขึ้นรถเมล์ทั้งหลาย

เมื่อผ่านมาสองสถานี เธอที่นั่งชิดกับผมจึงหันมาถามว่า รถไฟฟ้านี้แล่นไปตามถนนสุขุมวิทใช่ไหม ผมเองก็เพิ่งขึ้นมาเป็นครั้งแรก แต่รู้ว่าปลายทางอยู่ที่ซอยอ่อนนุช และแยกไปทางถนนสีลมไปสิ้นสุดที่สะพานตากสิน ผมจึงพยักหน้าว่าใช่ แต่พอจะอธิบายต่อ เธอก็รีบหันหน้ากลับไปโดยเร็ว เหมือนกับหนีกลิ่นอับจากเสื้อที่เปียกชื้น หรือกลิ่นเบียร์จากลมหายใจของผมทำนองนั้น

ผมจึงรีบหุบปากแล้วทอดสายตาไปยังเงาของผู้คนอื่น ๆ ที่สะท้อนอยู่บนกระจกหน้าต่างด้านตรงข้าม และเงี่ยหูคอยฟังคำเตือนเมื่อจะถึงสถานีของผม ซึ่งอยู่ลำดับถัดไป

ผมลงจากรถไฟฟ้าที่สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิอันกว้างขวางใหญ่โต แล้วเดินลงบันไดผ่านทางออกที่ทอดยาวไปเกือบรอบอนุสาวรีย์ ไปลงบันไดทางด้านโรงพยาบาลราชวิถี ที่เชิงบันไดนั้นเอง ก็มีสุขาสาธารณะซึ่งผมปรารถนามานานตั้งอยู่ เสียเงินเพียงสามบาทก็เดินเข้าไปปล่อยทุกข์เบาที่อั้นไว้เป็นชั่วโมง จนเนื้อตัวโล่งสบายหายอึดอัด สามารถยิ้มกับตนเองได้อย่างมีความสุข

บรรยากาศในบริเวณนั้นดูปลอดโปร่งสดชื่น แม้ท้องฟ้าจะมืดสนิท มีแต่แสงฟ้าแลบแปลบปลาบเป็นระยะ แต่ฝนก็ขาดเม็ดไปแล้ว ขอบคุณที่ผมนึกถึงสถานที่นี้ขึ้นมาได้ เมื่อเพื่อนร่วมโดยสารรถปรับอากาศ ชี้นำให้ผมลงต่อรถไฟฟ้า ซึ่งแล่นมาถึงที่หมายในเวลาเพียงไม่ถึง ๑๐ นาที ในขณะที่รถคันนั้นอาจจะคลานต้วมเตี้ยม มาถึงในเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ซึ่งผมคงจะต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อผมย่างเท้าก้าวเดินไป บนทางเท้าที่กว้างขวางได้ไม่กี่ก้าว หญิงสาวหน้าตาหมดจดผู้หนึ่งก็เร่เข้ามาหา พร้อมด้วยแผงสลากกินแบ่ง เชิญชวนให้ซื้อเลขที่กำลังเป็นข่าวดังในอยู่ระยะนั้น เมื่อผมสั่นศรีษะปฏิเสธ เธอก็ตื๊อว่า

“ พรุ่งนี้ออกแล้วนะคะ อุดหนุนสักคู่ซีคะ คุณตา “

ผมเดินหลีกเธอไปอย่างสุภาพ พลางนึกถึงแววตาของชายหนุ่มที่แฟลต และหญิงสาวท้วมบนรถเมล์ปรับอากาศ ซึ่งไม่ควรจะต้องทำสีหน้าแบบนั้น กับชายชราผอมแห้งแรงน้อย ที่มีวัยอาวุโสเกินลุงไปหลายปีแล้วอย่างผม ให้ต้องช้ำใจเล้ย

แค่ได้ฉี่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผมก็มีความสุขแล้ว.

############

นิตยสารทหารปืนใหญ่
เมษายน ๒๕๔๖

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๙








Create Date : 26 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2550 10:11:46 น.

Counter : 130 Pageviews. 6 comments

Add to







ชอบเพราะตอนแรกคิดว่าเป็นหนุ่มแต่พออ่านจบกลายเป็นชายแก่ กวนดี และยังบรรยายถึงชีวิตของคน คนหนึ่งในคืนที่ฝนตกเป็นเรื่องที่น่าติดตามจนจบ



โดย: นางสาวสมหทัย มีราศรี IP: 203.172.154.195 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:37:50 น.







สมัยนี้คนเราถูกหล่อหลอมใ้ห้มองรูปลักษณ์ภายนอก และมองด้วยอคติ บางทีก้อพลาดโอกาสที่จะรู้จักกับคนดีๆ



โดย: ข้าวโพด IP: 202.123.145.203 วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:9:49:56 น.







อะโห....ผมผ่านความคิดเห็นของคุณสมหทัย ไปได้อย่างไร ตั้งเกือบเดือน
ขออภัยครับ และขอบคุณที่ชมว่ากวนดีครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:19:27:51 น.







คุณข้าวโพดคงจะชอบมองโลกในแง่ดีนะครับ
ผมก็เหมือนกันครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:19:29:27 น.







เล่าเรื่องได้เหมือนเดินไปขึ้นรถกับคุณอาเลยนะครับ

ฝนตกก็อย่าตากฝนนะครับ

จะเป็นหวัดเอาง่าย ๆ นะครับ



โดย: พี่แต้ วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:21:39:02 น.







ผมเป็นคนชอบฝน แม้จะเป็นหวัดง่าย
อย่างที่เขาเรียกว่าคนกระหม่อมบาง

จึงมีหมวกติดกระเป๋าอยู่เสมอ
ป้องกันศีรษะได้แล้วเดินตากฝนเย็นดีครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 27 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:46:23 น.






 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2553 19:14:00 น.
Counter : 434 Pageviews.  

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๑) ร้ายกว่าโจร

เรื่องเล่าของคนวัยทอง (๑๑)

ร้ายกว่าโจร

" เพทาย "

เมื่อผมได้ยินเสียงลูกชายร้องเรียกนั้น เป็นเวลาประมาณสองยามของคืนหนึ่งในเดือน เมษายน ใกล้จะสงกรานต์ของปีอะเมซิ่งไทยแลนด์ เสียงนั้นแทรกเข้ามาในโสตประสาทของผมอย่างรุนแรงจนต้องสะดุ้งตื่น

"คุณพ่อครับ! ไฟไหม้ครับ!!..."

"หา...ว่าไงนะ"

ผมไม่ได้งัวเงียแต่ถามให้แน่ใจ

"ไฟไหม้ครับ ไฟไหม้!!!..."

ผมโผล่พรวดออกจากห้องนอน ก็ได้ยินเสียงเพื่อนบ้านผู้หวังดี เที่ยววิ่งร้องตะโกนปลุกชาวบ้าน ดังสนั่นลั่นไปทั่วซอย ผมรีบออกไปหน้าบ้านและร้องตอบไปว่า มีเครื่องดับเพลิง จะเอาไปใช้ไหม แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็รู้ตัวว่าช้าไปเสียแล้ว เพราะแลเห็นเปลวเพลิงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าตรงช่องว่างหน้าบ้าน ถัดออกไปสัก ๒ - ๓ หลัง จึงรีบบอกให้ลูกชายวิ่งออกไปดู แล้วกลับมารายงานโดยเร็ว ว่าต้นเพลิงอยู่ตรงไหนแน่

ครู่เดียวก็ได้ข่าวว่า ไฟกำลังไหม้ห้องแถวไม้ ๖ - ๗ ห้องริมซอยใหญ่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งทำเป็นผับสำหรับคนกลางคืน ถัดมามีบ้านคั่นอยู่ ๒ หลัง และมีซอยเล็กอยู่หน้าบ้านอีก จึงมีกำลังใจตั้งสติสั่งการให้ลูกบ้าน เตรียมเก็บสมบัติที่มีค่ากองรวมไว้ ถ้าเพลิงลามข้ามซอยใหญ่ ก็เป็นอันว่าได้ออกแรงกันละ เสร็จแล้วก็นั่งรออนาคตที่จะมาถึงในเวลาอันใกล้ เพราะไม่มีอะไรจะต้องทำให้ดีกว่านี้อีกแล้ว

ผมมีแผนเผชิญเหตุไว้นานแล้ว ตั้งแต่ยังไม่เกษียณอายุ เพราะอาจเกิดเพลิงไหม้ในเวลาที่ผมไม่ได้อยู่บ้าน จะได้ไม่ตื่นตกใจจนเกินเหตุ

ประการแรก ของที่มีค่าทั้งหลาย เช่นแก้วแหวนเงินทอง ต้องอยู่รวมที่เดียวกัน เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ก็กวาดใส่ถุงพลาสติก ยัดใส่กระเป๋าถือเอาไปได้ทั้งหมด

ประการที่สอง เอกสาร เช่น สมุดฝากออมสิน หรือธนาคาร ทะเบียนบ้าน โฉนดที่ดิน หนังสือสำคัญต่าง ๆ ต้องใส่กระเป๋าพิเศษไว้ในที่ซึ่งหยิบฉวยง่าย

ประการที่สาม เสื้อผ้าในตู้ต้องแขวนตะขอ ให้หันไปทางเดียวกันทั้งหมด เมื่อต้องการจะขน ก็ถลกเอาผ้าปูที่นอนมากางออก แล้วก็คว้าไม้แขวนเสื้อ กางเกงกระโปรง ตามความต้องการกองลงไว้ตรงกลาง รวบชายทั้งสี่ผูกเงื่อนตาย ถ้าน้ำหนักมากเกินกำลังจนแบกหามไม่ไหว ก็ลากไปเลย

เพียงสามประการนี้ก็คงจะพอยังชีพต่อไปได้ เพราะคงไม่มีโอกาสกลับมาขนเอาอย่างอื่นอีกแล้ว ของหนักทั้งหลายต้องทิ้งไว้หมดอย่ามัวเสียดาย เมื่อขนไปกองตามจุดที่คิดว่าปลอดภัยแล้ว ต้องมีคนเฝ้า ไม่เช่นนั้นเมื่อหมดภัยแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะเหลืออีกเหมือนกัน

แผนที่ว่านี้ผมเคยเขียนใส่กระดานดำ ทิ้งไว้เป็นแรมเดือนให้ลูกบ้านได้จดจำให้ขึ้นใจ พร้อมกับซักซ้อมว่า ถ้าเหตุเกิดด้านนี้ จะหนีไปทางไหน จุดนัดพบอยู่ที่ไหน ไม่ใช่วิ่งไปคนละทาง แล้วก็ต้องวิ่งหากันอีก กว่าจะเจอก็อาจสายไปเสียแล้ว

และตลอดเวลาที่อยู่หมู่บ้านแห่งนี้มา กว่าห้าสิบปี ก็ได้มีการซ้อมหนีภัยโดยเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง ร่วมสิบครั้ง

ครั้งแรกนั้นผมยังเป็นเด็ก ทั้งหมู่บ้านซึ่งแบ่งพื้นที่ออกเป็นแปลงละ ๖๐ ตารางวา ยังมีบ้านปลูกอยู่แปลงละหลังเดียวเดี่ยวโดด ไฟไหม้บ้านไม้ห่างจากบ้านผมไม่มากนัก แต่เราไม่ต้องขนของเลย เพราะไม่มีทางลามไปติดบ้านอื่น ไฟลุกชั้นบนอยู่ไม่ช้า ก็มีรถดับเพลิงเพียงคันสองคัน มาดับไฟได้เรียบร้อย

ต่อมามีการแบ่งแยก ๖๐ ตารางวา ให้เป็นสองส่วน เมื่อปลูกบ้านแล้วก็ค่อนข้างจะชิดกัน ต่อมาอีกก็ปลูกบ้านมากกว่าหนึ่งหลัง ในพื้นที่ ๓๐ ตารางวา ก็ทำให้แน่นขนัดยิ่งขึ้นไปอีก ต่อมาก็เป็นห้องแถว แต่ที่ยังไม่กลายเป็นสลัม หรือแหล่งเสื่อมโทรมไปดังเช่นที่อื่น ก็เพราะว่าเจ้าของที่ดินแห่งนี้มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ได้ตัดซอยไว้เป็นเส้นตรงพาดกันเป็นตาหมากรุก ปัจจุบันจึงเป็นซอยที่รถแล่นผ่านได้ ทั้งสี่ด้านถึง ๑๒ ทาง

เมื่อเกิดเหตุเพลิงใหม้แต่ละครั้ง ก็จะมีการเสียหายไม่เกินหนึ่งล็อค คือเป็นพื้นที่ ๖๐ ตารางวารวมหกแปลง เว้นแต่คราวที่ใหญ่ที่สุด ลมพัดหวนไปหวนมา รวมแล้วประมาณสี่ล็อค นับบ้านเรือนกว่ายี่สิบหลังคาเรือน

ครั้งนั้นเป็นเวลาเย็น ผมยังจำได้ติดใจ เพราะเป็นวันที่ ๓ ธันวาคม ดูเหมือนจะเป็น พ.ศ.๒๕๑๙ ผมแต่งเครื่องแบบเต็มยศ คาดกระบี่ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เต็มอก รอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท อยู่ที่เต๊นท์แรกหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ในงานสวนสนามของทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ที่หน้าเต๊นท์มีเครื่องรับโทรทัศน์ตั้งอยู่เต๊นท์ละหนึ่งเครื่อง ผมมองไม่เห็นภาพเพราะสะท้อนแสง แต่ได้ยินเสียงท่านผู้การคนดังของสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง ๕ ประกาศว่า ขณะนี้ไฟกำลังไหม้อยู่ที่หมู่บ้านของผม พอหันหลังกลับไปดูขอบฟ้า เห็นควันสีดำพลุ่งขึ้นเป็นลำ ไม่ทราบว่าเหงื่อมาจากไหนลงจากต้นคอเข้าไปในเสื้อเครื่องแบบ โชกราวกับใครเอาน้ำมาราดสักปี๊บ

แต่ก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปทางไหนได้ เพราะใกล้เวลาเสด็จพระราชดำเนินแล้ว และไม่มีเส้นทางที่จะเดินหลบพลับพลาที่ประทับ ด้านหน้าสวนอัมพรไปได้เลย วันนั้นจึงกลับถึงบ้านเมื่อเวลาทุ่มกว่า ด้วยหัวใจที่เหี่ยวแห้ง เพราะไม่รู้ชะตากรรมของตนเอง ถ้าเจอบ้านเหลือแต่เสาดำโด่เด่ ก็ถือว่าเป็นเวรกรรมของเรา เคราะห์ยังดีที่เหตุเกิดห่างจากซอยบ้านผมไปถึงสองซอย ไม่ต้องขนอะไรเลย แต่เพื่อนของผมที่เป็นพนักงานถ่ายทอดสดในวันนั้น ต้องฝากเพื่อนให้ช่วยถ่ายกล้องของเขาที่ตั้งอยู่บนแคร่ หน้าวังปารุสก์ แล้วเผ่นกลับบ้านที่อยู่ไม่ไกลกันได้ ซึ่งบ้านเขาก็รอดเหมือนกัน แต่น่าเสียวไส้กว่าบ้านผม

อีกครั้งหนึ่ง ไปเป็นเพื่อนน้องสาวที่โรงพยาบาล พอหมอตรวจซื้อยาได้เรียบร้อยแล้วก็ไปกินอาหารกลางวัน จนอิ่มหนำสำราญเกือบบ่ายโมง เรียกรถแท็กซี่จะกลับบ้าน คนขับก็บอกว่าถ้าจะไปลำบาก เพราะแถวนั้นเกิดไฟไหม้ตั้งแต่ตอนเที่ยง ผมรู้สึกจะเข่าอ่อนไปเลย ต้องขอร้องให้ช่วยพาไปหน่อยเถิดเพราะบ้านผมอยู่แถวนั้นเอง ไปได้แค่ไหนก็แค่นั้น ต่อจากนั้นผมจะเดินไปเอง โชเฟอร์ก็แสนดีพาหลบหลีกลดเลี้ยวไป จนใกล้หมู่บ้านไปต่อไม่ได้แล้ว เราสองคนก็พากันเดินจ้ำเข้าไปในซอย ซึ่งห่างจากบ้านเราไม่มากนัก พอมองเห็นจุดเกิดเหตุก็รู้ว่าบ้านเราปลอดภัย น้ำตาพาลจะไหลเสียให้ได้ ถ้าเคราะห์ร้ายก็ไม่มีอะไรเหลือแน่นอน เพราะไม่มีคนอยู่บ้าน ออกไปทำงานกันคนละทิศ

เล่าแล้วก็ต้องย้อนไปถึงครั้งที่สำคัญที่สุด ก่อนหน้านี้หลายปี ผมเป็นพนักงานกล้องโทรทัศน์ของสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง ๕ เหมือนกัน วันนั้นเป็นเช้าวันอาทิตย์ กำลังเตรียมกล้องจะถ่ายทอดสด รายการธรรมะของท่านอาจารย์ชื่อดัง ทางปากเกร็ด อยู่ในห้องส่งเล็ก เพื่อนที่เป็นพนักงานแสงเข้ามาบอกว่า ไฟกำลังไหม้อยู่แถวบ้าน ผมก็เลยฝากให้เขาช่วยถ่ายกล้องให้ด้วย อีกหน้าที่หนึ่ง ตัวผมเองก็รีบจับรถแท็กซี่กลับ แต่ต้องลงเดินห่างจากบ้านมาก เห็นแต่รถดับเพลิงเต็มท้องถนน ผมมองผ่านบ้านที่ถูกไฟไหม้ราบลงแล้ว เห็นหลังคาบ้านผมยังอยู่ ใจก็ชื้นมาเป็นกอง

ปรากฎว่าคราวนี้ห่างจากบ้านออกไป เพียงบ้านเดียวเท่านั้น มีคนอยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตากันก็จริง แต่ลูกชายสองคนยังเล็กนักช่วยอะไรไม่ได้เลย แม้แต่จะเฝ้าของ ซึ่งได้ช่วยกันขนออกไปห่างจากบ้านอีกสองซอย ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นึกว่าไม่รอดแล้วคราวนี้ ผมก็ปลอบใจกันไปตามเรื่อง แล้วก็ช่วยกันขนของกลับ ห่อผ้าปูที่นอนห่อใหญ่ ที่แม่บ้านของผมลากไปคนเดียวจนด้านล่างขาดเป็นรู ขากลับต้องสองสามคนช่วย เพื่อนที่เป็นคนกล้องด้วยกันแต่อยู่ห่างมาก ก็พาเพื่อนอีกคนมาช่วยขนเอาตู้เย็นขนาดห้าคิว พร้อมด้วยของเต็มตู้ ช่วยกันลากลงบันไดไปได้ถึงสองซอย ขากลับต้องสี่คนหามจึงจะขึ้นบ้านได้

เพราะมีประสบการณ์เช่นนี้แหละ จึงได้ออกเป็นระเบียบปฏิบัติประจำไว้ ดังที่เล่าข้างต้น

ผมนั่งเฝ้าของอยู่ที่โต๊ะใกล้ลานหน้าบ้าน หูฟังเสียงรถดับเพลิงสูบน้ำกันอยู่เซ็งแซ่ไปหมด ตาก็จับอยู่ที่เปลวเพลิงซึ่งค่อยลดตัวลง และมีควันสีขาวพลุ่งขึ้นมาแทน พอไฟย้ายที่ไปอีกทาง น้ำก็ตามติดไป ควันสีขาวก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ผมจึงให้ลูกสองคนผลัดกันออกไปดูเหตุการณ์ได้ เขาก็เข้ามารายงานว่า ไม่มีทางข้ามซอยใหญ่มาได้แล้ว คราวนี้จึงรู้สึกหิวน้ำ เมื่อเอาน้ำแข็งในกระติกมาดื่มผ่านลำคอที่แห้งผากแล้ว จึงได้ปวดท้องฉี่

ผมพยายามนึกถึงเหตุไฟไหม้ที่แล้ว ๆ มา ก็นึกได้ไม่ครบถ้วน จำได้แต่ว่า หลังจากเหตุการณ์ครั้ง พ.ศ.๒๕๑๙ นั้นแล้ว หมู่บ้านของเราก็มีการทำบุญ ปลอบขวัญ หรือสะเดาะเคราะห์ ขึ้นในวันที่ ๕ พฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันฉัตรมงคลของทุกปี ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ซึ่งแปลกกว่าทุกหมู่บ้าน ที่จะต้องมีการทำบุญประจำปี ในวันขึ้นปีใหม่ หรือวันสงกรานต์

เมื่อมีเงินบริจาค เหลือจากการทำบุญ ก็นำไปซื้อเครื่องดับเพลิงขนาดเล็ก มาติดตั้งไว้ตามเสาไฟฟ้าจนมองเห็นแดงครืดไปหมด แต่อุบัติเหตุเพลิงไหม้ ก็ยังทยอยเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ทำให้หม้อดับเพลิงนั้นร่อยหรอลงไป แต่ก็ช่วยไม่ให้เพลิงลุกลามได้หลายครั้งเหมือนกัน จนถึงครั้งนี้ ก็ไม่มีหม้อดับเพลิงเหล่านั้นเหลืออยู่แล้ว อีกไม่กี่วันข้างหน้าคงจะมีผู้บริจาคเงิน ซื้อเครื่องดับเพลิงชุดใหม่กันอีกที

เพราะโบราณว่า กันดีกว่าแก้ ปล่อยให้แย่แล้วมันแก้ไม่ไหว

ดึกมากแล้ว เวลาประมาณตีสามกว่า เสียงเครื่องยนต์จากรถดับเพลิงยังไม่เงียบลง แต่กระแสไฟฟ้ากลับคืนมาดังเดิม ชาวบ้านที่ไปมุงดูเหตุการณ์ ต่างก็พากันเดินกลับ ผมออกไปยืนหน้าบ้าน ท้องฟ้าเป็นสีดำ มีแสงจันทร์นวล เห็นเพื่อนบ้านหญิงที่แก่มากกว่าผม แต่บ้านอยู่ห่างมากกว่าผม เดินผ่านมา ผมก็ถามว่า

“ เป็นไงบ้างครับ ขนของหรือเปล่า ? “

ท่านบอกว่า

" ขนทำไมให้โง่ ขนออกมาให้ไอ้พวกโจรมันปล้นเอาไปหมดน่ะซี "

พอดีมีเพื่อนบ้านหญิงอีกคนหนึ่ง ที่แก่น้อยกว่าผม แต่บ้านอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมากกว่าผม เดินตามมา ผมจึงร้องทักด้วยประโยคเดิม เธอกลับตอบว่า

" ขนซีคะ โธ่...โจรปล้นสิบครั้งไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว "

เธอตอบตามคำโบราณเหมือนกัน ผมก็เลยไม่รู้ว่าใครผิดใครถูกกันแน่

แต่ถึงอย่างไรหมู่บ้านของผมนี้ ก็น่าจะได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่มีอัคคีภัย มากครั้งที่สุดแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร อย่างแน่นอน.

##############

นิตยสารทหารปืนใหญ่
มกราคม ๒๕๔๖

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๑๘ กันยายน ๒๕๔๘




Create Date : 30 สิงหาคม 2550
Last Update : 10 มีนาคม 2551 10:23:09 น.

Counter : Pageviews. 3 comments

Add to







แวะมาทักทายค้าบ



โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.242.19 วันที่: 7 มีนาคม 2551 เวลา:16:07:01 น.







หมู่บ้านชุมชนสวนอ้อยหรือครับ

แถวนั้นในปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นบ้านกึ่งไม้กึ่งปูนอยู่เยอะนะครับ



โดย: พี่แต้ วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:8:48:49 น.







คราวนี้ไม่ได้ตอบทั้งสองคนเลยครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 19 มิถุนายน 2551 เวลา:20:54:59 น.






 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2553 19:14:41 น.
Counter : 380 Pageviews.  

1  2  3  4  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.