Group Blog
 
All Blogs
 

ตอนที่ ๒๖ พี่น้องยอดกตัญญู (จบบริบูรณ์)

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๒๖ พี่น้องยอดกตัญญู “

เล่าเซี่ยงชุน “

ฝ่าย เปาบุ้นจิ้น ก็ให้คนสนิทไปเชิญ ชินซี้มุ้ยฮู่ม้า มาพิจารณาความที่ นางตันเพ็กเอ็ง ยื่นฟ้อง ชินซี้มุ้ยตกใจกลัวยิ่งนักแต่มิอาจขัด ก็มาตามคำสั่ง ครั้นเห็นเปาบุ้นจิ้นขึ้นนั่งอยู่บนเอ้หมึงสำหรับชำระความ ก็คุกเข่าลงคำนับหมอบตัวสั่นอยู่ เปาบุ้นจิ้นจึงถามว่า

“……ท่านได้ทำทัณฑ์บนให้เราไว้ฉบับหนึ่ง เนื้อความในหนังสือทัณฑ์บนนั้นยังจำได้มิใช่หรือ……”

ชินซี้มุ้ยตอบว่ายังจำได้แม่นยำอยู่ เปาบุ้นจิ้นจึงว่า

“……..บัดนี้การก็ปรากฏขึ้นแล้วว่าท่านมีบุตรภรรยา เพราะฉะนั้นเราจะให้ประหารชีวิตท่านเสีย ตามหนังสือทัณฑ์บน……..”
ชินซี้มุ้ยมีความกลัวยิ่งนัก แต่เห็นว่าถ้ารับตามตรงก็คงถูกฆ่าเสีย ถ้าไม่รับบางทีจะมีหนทางรอดชีวิตได้บ้าง จึงยืนยันว่า

“……..ภรรยาของข้าพเจ้ามีคนเดียวคือกงจู๊เท่านั้น ซึ่งข้าพเจ้าจะได้เคยมีบุตรภรรยามาแต่ก่อน ดังท่านว่านั้นหามิได้ ถ้าท่านยังสงสัยว่าข้าพเจ้าเคยมีบุตรภรรยาแล้ว จงหาพยานหลักฐานมาแสดงให้ปรากฎเถิด……..”

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธยิ่งนัก จึงเขียนหนังสือให้คนถือไปให้นางตันไท้กุ๋น เวลานั้นนางกำลังนั่งอยู่กับ ชินชุนคี้ เมื่อบุตรชายรับหนังสือมาอ่านรู้ความแล้ว ก็ตกใจจึงเล่าให้มารดาฟัง นางตันไท้กุ๋นก็มีความยินดี จึงชวนชินชุนคี้ไปที่บ้านเปาบุ้นจิ้น

ชินชุนคี้มีความสงสารบิดาเป็นอันมาก จึงเขียนหนังสือให้คนใช้รีบนำไปถวาย นางชินฮองเฮา เชิญเสด็จมาช่วยขอโทษบิดาด้วย แล้วตามมารดาไปบ้านเปาบุ้นจิ้น

เจ้าบ้านก็เชื้อเชิญให้นั่งในที่อันสมควรแล้ว จึงถามชินซี้มุ้ยว่าท่านทั้งสองนี้คือใคร ท่านรู้จักหรือไม่ ชินซี้มุ้ยแข็งใจตอบว่าข้าพเจ้าหารู้จักไม่

นางตันไท้กุ๋นมีความโกรธเป็นอันมาก จึงลุกขึ้นชี้หน้าด่าว่า

“……อ้ายคนอกตัญญูไม่มีความสัตย์ เมื่อมึงจะจากกูมามึงได้พูดกับกูไว้อย่างไร ครั้นมึงมาได้ดีมีความสุข ก็ลืมกูผู้ได้เกื้อกูลเสีย แม้แต่บิดามารดาบังเกิดเกล้าของมึง มึงก้ไม่คิดถึงพระคุณ กูอุตส่าหืเลี้ยงพ่อแม่ของมึงโดยความยากแค้นจนตายจากกัน ก็โดยเห็นว่ามึงจะมีน้ำใจอย่างมนุษย์ทั้งลายบ้าง ครั้นกูคอยอยู่นานเกินกำหนด จึงพาลูกเต้ามาตามมึง มึงกลับให้คนขับไล่กูไปอย่างสัตว์เดรัจฉาน ครั้นกูนำความไปร้องเรียนขอความยุติธรรม มึงกลับใช้เตียเชงไปฆ่ากู แม่ลูกอีก หากเตียเชงมีความสงสารจึงได้ปล่อยให้กูแม่ลูกมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ มึงจะรับว่ากูเป็นเมียหรือไม่ก็ช่างมึง…….”

แล้วพูดกับเปาบุ้นจิ้นว่า

“…….ข้าพเจ้าไม่เอาธุระด้วย แล้วแต่ท่านจะจัดการเถิด ข้าพเจ้าไม่อยากอยู่ดูหน้าอ้ายคนทรยศต่อไปแล้ว……..”

พูดแล้วก็คำนับลาเปาบุ้นจิ้นขึ้นเกี้ยวกลับไป แต่ชินชุนคี้หาได้กลับไปกับมารดาไม่ เปาบุ้นจิ้นจึงถามชินชุนคี้ว่า ท่านจะให้เราทำประการใด ชินชุนคี้ก็คำนับขอโทษบิดาแล้วว่ากับบิดาว่า ขอบิดาจงรับสารภาพเสีย และอ้อนวอนขอโทษต่อท่านเปาก๊กกงเถิด ชินซี้มุ้ยได้ฟังดังนั้นครั้นจะสารภาพ ก็เกรงเปาบุ้นจิ้นจะลงโทษตามทัณฑ์บน จึงก้มหน้านิ่งอยู่

เปาบุ้นจิ้นจึงสั่งให้ทหารจับเอาชินซี้มุ้ยไปใส่ตะไกรเหล็กสำหรับหนีบคอนักโทษ ชินชุนคี้ก็ตกใจเข้ายื้อแย่งบิดาไว้ แล้วอ้อนวอนขอโทษต่าง ๆ ว่า

“………ถ้าท่านจะลงโทษบิดาข้าพเจ้าให้ได้แล้ว จงลงโทษข้าพเจ้าแทนเถิด……”

ในขณะนั้นชินฮองเฮาได้ทรงทราบหนังสือของพี่ชายแล้วก็ทรงวิตกยิ่งนัก รีบเสด็จมายังบ้านเปาบุ้นจิ้นกับขันที และทหารรักษาพระองค์พอสมควร แต่หาได้กราบทูลให็ฮ่องเต้ทรงทราบไม่ ครั้นมาถึงก็รีบเสด็จเข้าไปข้างในมิได้บอกกล่าวให้ใครรู้ เมื่อได้เห็นทหารกำลังฉุดคร่าบิดาอยู่ก็ตกพระทัยยิ่งนัก ชินชุนคี้เหลียวมาเห็นฮองเฮาก็คุกเข่าลงถวายคำนับทูลว่า เนี่ยเนี้ยโปรดช่วยชีวิตบิดาข้าพเจ้าด้วย

ชินฮองเฮาก็ตรงเข้าไปหาเปาบุ้นจิ้น คุกเข่าลงคำนับแล้วตรัสว่า

“…….ขอท่านจงกรุณายกโทษบิดาข้าพเจ้าเสียเถิด เพราะเรื่องนี้พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงทราบแล้ว แต่หาได้ดำริจะเอาโทษไม่………”

เปาบุ้นจิ้นเห็นฮองเฮามาคำนับตนเช่นนั้นก็ตกใจ รีบลุกจากที่นั่งลงถวายคำนับแล้วทูลว่า

“….ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเนี่ยเนี้ยเสด็จมา จึงมิได้รับรอง ขอประทานโทษให้ข้าพเจ้าด้วย การที่ข้าพเจ้าจะลงโทษบิดาของเนี่ยเนี้ย ก็เพราะบิดาของเนี่ยเนี้ยได้ทำทัณฑ์บนให้ไว้แก่ข้าพเจ้า เมื่อเนี่ยเนี้ยอุตส่าห์เสด็จมาขอโทษเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็จำต้องผ่อนผัน…….”

ชินฮองเฮาได้ฟังดังนั้นก็ดีพระทัย จึงเข้าไปคำนับบิดา ชินซี้มุ้ยตกใจคุกเข่าลงพยุงฮองเฮาให้ลุกขึ้น แล้วก้มหน้าน้ำตาไหลอยู่

เปาบุ้นจิ้นจึงไปหยิบหนังสือทัณฑ์บนมาฉีกทิ้งเสีย ต่อหน้า ชินซี้มุ้ยมีความยินดียิ่งนัก จึงคุกเข่าลงกราบไหว้เปาบุ้นจิ้นและชินฮองเฮา แล้วกอดชินชุนคี้ไว้ พลางร้องไห้รำพันขอโทษคนต่าง ๆ

ครั้นแล้วชินชุนคี้ก็ชวนบิดา คำนับลาเปาบุ้นจิ้นกลับมาบ้าน ชินฮองเฮาก็เสด็จมาด้วย นางตันไท้กุ๋นได้ทราบว่าบุตรทั้งสองไปขอโทษเอาชินซี้มุ้ยกลับมาก็โกรธ จึงออกมาพูดตัดพ้อต่าง ๆ ชินฮองเฮากับชินชุนคี้ก็ช่วยกันอ้อนวอนวอนมารดาให้หายโกรธบิดา และพูดไกล่เกลี่ยให้คืนดีกัน แล้วชินซี้มุ้ยก็กลับไป

ครั้นชินฮองเฮาเสด็จกลับมาถึงตำหนักเจียวเอี้ยงเกง เห็นฮ่องเต้มาประทับอยู่ก่อนแล้วก็ตกพระทัยยิ่งนัก จึงคุกเข่าลงถวายคำนับกราบทูลขอประทานโทษว่า

“……..การที่ข้าพเจ้าไปโดยมิได้กราบทูลให้ทรงทราบก่อนนั้น ก็โดยได้ทราบว่าเปาเล่งถูจะลงโทษบิดาข้าพเจ้าถึงชีวิต ครั้นจะกราบทูลให้ทรงทราบก่อน ก็เกรงจะไม่ทันการ ขอพระองค์โปรดประทานโทษแก่ข้าพเจ้าด้วย…….”

แล้วก็กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบทุกประการ พระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้ถอนพระทัยแล้วรับสั่งว่า

“…….ซึ่งเจ้าไปโดยมิได้บอกเรานั้น เรายกโทษให้ เพราะเจ้าไปโดยกตัญญูต่อบิดา แต่บิดาของเจ้ามีโทษใหญ่หลวงนัก เรามิได้ว่ากล่าวก็โดยเห็นแก่เจ้า บัดนี้ความปรากฎขึ้นแล้ว บิดาเจ้าจะอยู่ในวังกับพี่สาวของเราอีกไม่ได้ ต้องกลับไปอยู่กับมารดาของเจ้าตามเดิม….”

แล้วจึงมีรับสั่งให้ขันทีไปเชิญ นางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊ มาเฝ้า แล้วตรัสเล่าเรื่องให้ฟังทุกประการ นางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊ก็ทูลให้ทรงทราบ ตามที่ตนกับชินซี้มุ้ยได้ตัดขาดกัน ตั้งแต่ก่อนแล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงยินดี จึงรับสั่งกับชินฮองเฮาว่า

“……..ถ้าเช่นนั้นก้เป็นอันเรียบร้อยแล้ว เราจะตั้งให้บิดาเจ้าเป็นก๊กเจี๋ยงตามธรรมเนียม แต่ห้ามมิให้เข้าเฝ้าเป็นอันขาด……..”

แล้วจึงรับสั่งให้ขันทีไปบอกให้ชินซี้มุ้ยทราบ ตั้งแต่นั้นมาชินซี้มุ้ยก็ไปอยู่ที่บ้านชินชุนคี้บุตรชายของตนเป็นปกติ

ฝ่าย เพงไซอ๋อง หรือ เต็กเซง ซึ่งรับราชการเป็นแม่ทัพเมืองเปียนเหลียง ต่อมาได้กลับมาอยู่บ้านเดิมที่เมืองซัวไซ จนอายุได้เจ็ดสิบห้าปี ก็ถึงแก่กรรม เมื่อพระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้ได้ทรงทราบ ก็กันแสงอาลัยรักเพงไซอ๋องยิ่งนัก รำพันถึงความดีความชอบต่าง ๆ ขุนนางทั้งปวงได้ทราบ ต่างก็มีความเศร้าโศกทุกคน

ไท้อ๋องเซียงฮ่องเต้ก็เสด็จออกยังท้องพระโรง รับสั่งแก่พระราชบุตรว่า เพงไซอ๋องตายไปเสียเช่นนี้ เปรียบเหมือนแขนขวาของบิดาขาด แล้วก็ให้ฮ่องเต้แต่งตั้งให้ เต็กเหลง บุตรชายคนโตของเต็กเซง เป็นเพงไซอ๋องแทนบิดา แล้วรับสั่งให้เปาเล่งถูกับขุนนางอีกสามคน และขันทีแปดคน เป็นผู้แทนพระองค์ นำสิ่งของคำนับศพและหนังสือรับสั่งแต่งตั้ง ไปยังเมืองซัวไซมีความว่า

เราได้ทราบว่าเพงไซอ๋องถึงแก่กรรม ให้รู้สึกว้าเหว่ใจยิ่งนัก คล้ายกับกำแพงเมืองพังไปด้านหนึ่ง บัดนี้เราตั้งให้เต็กเหลงเป็นเพงไซอ๋องแทน ส่วนเพงไซอ๋องที่ถึงแก่กรรมไปแล้วนั้น ให้เป็นฮูก๊กเต๊กเล่าอ๋อง

ส่วนเปาเล่งถูหรือ เปาบุ้นจิ้น ได้เป็นผู้แทนพระองค์ฮ่องเต้ ออกไปตรวจราชการบ้านเมืองทั่วราชอาณาจักร ดูแลทุกข์สุขของราษฎร ตัดสินคดีความต่างพระเนตรพระกรรณด้วยความยุติธรรม อยู่จนอายุได้ร้อยปีเศษจึงได้ทราบว่า ตนนั้นถึงกำหนดเวลาที่จะตายแล้ว จึงเขียนหนังสือสำคัญมอบให้แก่ขุนนางตงฉินสามคน คนละฉบับ

เมื่อพระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ ขุนนางทั้งปวงก็คุกเข่าลงถวายคำนับพร้อมกันแล้วลุกขึ้น แต่เปาบุ้นจิ้นยังคุกเข่าอยู่หาลุกขึ้นไม่ ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงรับสั่งถามว่า ท่านซินแสมีธุระสิ่งใดหรือ เปาบุ้นจิ้นกราบทูลว่า ข้าพเจ้าจะต้องขอทูลลาพระองค์ไปเสียแล้ว ทูลได้เท่านั้นก็ร้องไห้สอึกสอื้นอยู่ ฮ่องเต้ทรงสงสัยจึงรับสั่งถามว่า ที่ท่านซินแสพูดนั้น ยังแคลงใจนัก จงพูดให้ชัดเจนเถิด เปา
บุ้นจิ้นร้องไห้พลางกราบทูลว่า

“……..ข้าพเจ้ามีอายุได้ร้อยกับห้าปีแล้ว บัดนี้ฟ้าได้เรียกตัวข้าพเจ้ากลับ ข้าพเจ้าจะขัดขืนมิได้ แต่ข้าพเจ้าอยากจะขอถวายคำนับลาไท้เซียงอ๋องฮ่องเต้สักครั้งหนึ่ง…….”

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็ตกพระทัย รีบเสด็จลงจากพระที่นั่งไปจับมือเปาบุ้นจิ้นไว้ แล้วกันแสงพลางตรัสว่า

“……..ท่านซินแสจะมาทิ้งข้าพเจ้าไปเสียแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกว้าเหว่ใจนัก เมื่อสิ้นท่านเสียแล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้……..”

เปาบุ้นจิ้นกราบทูลว่า

“…….ข้าพเจ้ากราบทูลให้ชัดกว่านี้ไม่ได้ ด้วยจะเป็นการขัดขืนฟ้าดินไป แต่ขอให้พระองค์ทรงตั้งอยู่ในยุติธรรมเถิด………”

พระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้ทรงเศร้าพระทัยยิ่งนัก จึงคุกเข่าลงคำนับเปาบุ้นจิ้นอย่างศิษย์กับอาจารย์ เปาบุ้นจิ้นก็เข้ายึดพระองค์ไว้แล้วทูลว่า เจ้าจะคำนับข้าเช่นนี้ผิดประเพณียิ่งนัก ขณะนั้นขุนนางตงฉินทั้งปวงก็พากันร้องไห้เซ็งแซ่ไปทั้งท้องพระโรง

ขันที รู้ความก็รีบนำความไปกราบทูลไท้เซียงอ๋องฮ่องเต้ กับเล่าอ๋อง ทั้งสองพระองค์ทรงทราบก็ตกพระทัย อุตส่าห์ดำรงพระองค์เสด็จมาที่ท้องพระโรง พอเห็นหน้าเปาบุ้นจิ้น ก็กันแสง ไท้เซียงอ๋องฮ่องเต้ทรงรำพันว่า

“……ท่านกับเราเคยได้ร่วมทุกข์ยากกันมาช้านาน บัดนี้ท่านจะมาทิ้งเราไปเสียแล้ว เมื่อสิ้นท่านเสียคนหนึ่ง นัยตาของเราถึงจะมีอยู่ ก็เหมือนดังบอดไป บ้านเมืองจะเกิดความเดือดร้อนยิ่งนัก……”

และบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวง รวมทั้งฝ่ายในเมื่อทราบเรื่องก็ร้องไห้อาลัยเปาบุ้นจิ้นทั่วไปทั้งสามสิบหกตำหนัก


เมื่อเปาบุ้นจิ้นถึงแก่กรรมแล้ว ไท้เซียงอ๋องก็ประชวรลง หมอหลวงมารักษา พระอาการอยู่สามสี่เดือนก็เสด็จสวรรคต ส่วนพระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้นั้น ได้ครองราชสมบัติอยู่เพียงสี่ปีก็สวรรคต และราชวงศ์ซ้องก็ได้มีฮ่องเต้สืบราชสมบัติต่อไปอีก ๑๑ พระองค์ รวมเวลาทั้งสิ้น ตั้งแต่ต้นราชวงศ์ซ้อง ๓๑๗ ปี จึงเปลี่ยนเป็นราชวงศ์อื่น.

แต่ชื่อเสียงและคุณงามความดีของ เปาบุ้นจิ้น ในความซื่อตรง เที่ยงธรรม และสติปัญญาอันเป็นเลิศนั้น ยังคงปรากฏอยู่ต่อมาอีกนับพันปี.

#########

นิตยสารโล่เงิน
เมษายน ๒๕๔๘




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2555 14:33:56 น.
Counter : 1904 Pageviews.  

ตอนที่ ๒๕ ฮ่องเต้องค์ใหม่

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๒๕ ฮ่องเต้องค์ใหม่ “

เล่าเซี่ยงชุน “

ฝ่าย พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ได้ครองราชสมบัติต่อมาอีกเก้าปี พระชนม์ได้เจ็ดสิบพรรษาก็ทรงพระดำริว่า พระองค์ทรงพระชราแล้วควรจะแต่งตั้งให้ เตียวชิดไทจือ ขึ้นครองราชสมบัติแทนพระองค์ต่อไป เมื่อได้ทรงปรึกษากับขึ้นนางทั้งปวงแล้วเห็นชอบด้วยพระดำริ ครั้นถึงวันฤกษ์ดีจึงทรงตั้งไทจือขึ้นครองราชสมบัติ ทรงพระนามว่า พระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้

ฮ่องเต้จึงทรงตั้งพระราชบิดาเป็น ไท้เซียงฮ่องเต้ เชาฮองเฮาพระราชมารดาเป็น ฮองไทเฮา นางลีกุยฮุยเป็น ลีไทฮุย นางเตียวเง็กเองกงจู๊เป็น อ้วงโกว โลฮวยอ๋องเป็น เล่าอ๋อง ชุยสินเป็น ไต้เซ่งเสี่ยง ส่วนขุนนางอื่น ๆ ก็ทรงโปรดให้เลื่อนขั้นตามลำดับไป แล้วโปรดให้ปล่อยนักโทษและงดส่วยสาอากรมีกำหนดสามปี แล้วโปรดให้ข้าหลวงไปตาม เปาบุ้นจิ้น หรือ เปาเล่งถู กลับมารับราชการในเมืองหลวง

วันหนึ่งพระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ ขุนนางทั้งปวงจึงกราบทูลว่า ตั้งแต่พระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติ ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินได้รับความร่มเย็นทั่วหน้ากัน ยังขาดอยู่ที่พระองค์ยังหามีฮองเฮาไม่ เปรียบดังแผ่นดินมีแต่พระอาทิตย์ หามีพระจันทร์เป็นของคู่กันไม่ เวลานี้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งหลาย ต่างหวังจะให้พระองค์แสวงหาฮองเฮา เพื่อมีพระราชโอรสสืบราชสมบัติ เป็นที่ร่มเย็นแก่ลูกหลานของประชาชนทั้งปวงทั่วไป

ฮ่องเต้จึงตรัสว่า เมื่อท่านทั้งปวงเห็นดังนั้นเราก็ไม่ขัด แต่ว่าใครเล่าที่จะเป็นผู้ควรรับตำแหน่งฮองเฮา ท่านทั้งหลายเห็นมีอยู่หรือ

ฮั่นฮูก๊ก ก็กราบทูลว่าในค่ำวันนี้ ตนจะตรวจดูดาวประจำฮองเฮาว่าอยู่ทางทิศไหน จะได้แต่งข้าหลวงไปเชิญเสด็จมา

ครั้นเช้าวันรุ่งขึ้นฮั่นฮูก๊กก็เข้าเฝ้ากราบทูลว่า ตนได้ดูดาวและตรวจทางในตลอดแล้ว ได้ความว่าผู้มีบุญวาสนาที่เทพยดาฟ้าดิน ตกแต่งให้มาเกิดเป็นฮองเฮาของพระองค์นั้น เวลานี้กำลังตกยากอาศัยอยู่กับ บูหลิม คนขายฟืนที่เมืองเหี้ยงจิว ขอให้พระองค์ได้โปรดให้ข้าหลวงไปรับมาเถิด

ฮ่องเต้ทรงยินดียิ่งนักจึงมีรับสั่งให้ ลิมฮอง เป็นข้าหลวงคุมทหารรักษาพระองค์ห้าร้อย ขันทีสิบคน และนางกำนัลสองร้อยคน นำรถพระที่นั่งไปยังเมืองเหี้ยงจิว แล้วก็เสด็จขึ้น

ลิมฮองก็คุมขบวนเดินทางไปเมืองเหี้ยงจิว ผู้รักษาเมืองออกมาคำนับรับรอง เชิญเข้าไปพักในเมือง และถามว่ามาธุระสิ่งใด ลิมฮองก็บอกให้ทราบทุกประการ ผู้รักษาเมืองจึงหาผู้รู้จักนำทางไปถึงบ้านของบูหลิมคนขายฟืน แจ้งว่าจะมารับนางเง็กกีบุตรสาวไปเฝ้าฮ่องเต้

บูหลิมมีความยินดียิ่งนัก จึงพานางเง็กกีมามอบให้ เจ้าพนักงานก็เชิญนางขึ้นรถพระที่นั่งเดินทางกลับมาเมืองหลวง ฮ่องเต้ก็เสด็จออกมารับถึงนอกเมือง และทรงโสมนัสยิ่งนักเพราะนางเง็กกีต้องด้วยลักษณะสมควรเป็นฮองเฮาทุกอย่าง

ครั้นถึงวันฤกษ์ดีก็ทรงตั้งให้นางเง็กกีเป็นฮองเฮา ประทานกระบี่อาญาสิทธิ์กับตราหยกประจำตำแหน่ง แล้วให้ไปอยู่ที่ตำหนักเจียวเอี้ยงเกง ตามตำแหน่ง

วันหนึ่งฮ่องเต้เสด็จมาที่ตำหนักของฮองเฮา สังเกตเห็นนางเศร้าหมองนักจึงรับสั่งถาม นางก็ทูลว่ามีความระลึกถึงครอบครัว ฮ่องเต้ก็ตรัสปลอบโยนต่าง ๆ แล้วให้พนักงานไปรับบูหลิมกับภรรยาเข้ามา ทรงแต่งตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ แล้วรับสั่งให้เข้าไปเฝ้าฮองเฮาข้างใน ฮองเฮาก็มีความยินดีประทานสิ่งของเงินทองให้เป็นอันมาก

ต่อมา ฮ่องเต้สังเกตเห็นว่า ฮองเฮายังยังเศร้าโศกอยู่ตามเดิม จึงรับสั่งว่า

“…….เจ้าคิดถึงครอบครัว เราก็ได้รับมาแต่งตั้งให้เป็นขุนนางมีความสุขแล้ว เหตุใดจึงเศร้าโศกอยู่อีกเล่า หรือเจ้ามีทุกข์ร้อนอย่างไร จงบอกให้เราทราบด้วยเถิด……..”

ฮองเฮาจึงกราบทูลว่า

“……..ซึ่งทรงพระกรุณาแต่งตั้งบูหลิมและภรรยา ให้มียศศักดิ์นั้นเป็นพระคุณที่สุด แต่ท่านทั้งสองนั้นหาใช่บิดามารดาบังเกิดเกล้าของข้าพเจ้าไม่…….”

แล้วนางก็กราบทูลเรื่องราวแต่หนหลังให้ทรงทราบ โดยละเอียดมีความว่า เมื่อเกือบสิบปีก่อน มารดาได้พาตนกับพี่ชายมาตามหาบิดาที่เมืองหลวง ก็ถูกบิดาขับไล่มารดาและลูกสองคนออกจากเมืองหลวง ทั้งได้ให้คนตามไปฆ่าในระหว่างทาง แต่ตนกับพี่ชายขอร้องที่จะตายแทนมารดา ผู้นั้นมีความสงสารจึงปล่อยตัวไป

มารดาจึงพาตนกับพี่ชาย ไปอาศัยพักอยู่ที่ศาลเจ้าร้างแห่งหนึ่ง พอรุ่งเช้าตนกับพี่ชายตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นมารดา ก็ตกใจร้องไห้เรียกหา พี่ชายออกไปดูข้างนอกศาลก็เจอเสือไล่หนีไป ตนเหลือตัวคนเดียวตกใจกลัวเสือ จึงแอบอยู่ในศาลเจ้านั้น จนบูหลิมคนตัดฟืนมาพบเข้า จึงได้เอาไปเลี้ยงไว้จนเติบโตเป็นสาว โดยไม่ได้ข่าวของพี่ชายและมารดาเลย ว่าจะเป็นตายร้ายดีประการใด

ฮ่องเต้ได้ทรงทราบว่าบิดาของฮองเฮาก็คือ ชินซี้มุ้ยฮู่ม้าสามีของนางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊นั่นเอง และทรงดำริว่าชินซี้มุ้ยนี้เป็นคนคดโกงยิ่งนัก กล้ากล่าวเท็จต่อพระราชบิดาจนหลงเชื่อ ยกพี่สาวของพระองค์ให้

ครั้นพระองค์จะกล่าวปรึกษาโทษขึ้น ก็คงจะทำให้พี่สาวได้อาย และบัดนี้ยังมาเป็นบิดาของฮองเฮาอีกด้วย จึงรับสั่งว่า

“………เจ้าอย่าทุกข์ร้อนไปเลย เราจะให้คนสืบหามารดากับพี่ชายของเจ้าให้พบ ส่วนบิดาของเจ้านั้น เวลานี้ก็อยู่ในเมืองหลวงนี้แล้ว พระราชบิดาของเราได้ทรงตั้งให้เป็นฮู่ม้า……”

แล้วก็ทรงเล่าเรื่องราวของชินซี้มุ้ยให้ฮองเฮาฟังโดยตลอด ฮองเฮาก็ตกใจจึงถวายคำนับกราบทูลว่าอันโทษของบิดานี้หนักนัก ขอพระองค์ได้ทรงโปรดยกให้เสียเถิด ฮ่องเต้ก็โปรดประทานให้

ต่อมามีประกาศให้สอบไล่ คัดเลือกผู้มีความรู้เข้ารับราชการอีก ครั้นสอบเสร็จได้ตัวผู้เป็นจอหงวน และตำแหน่งรองลงไปแล้ว เจ้าพนักงานก็นำเข้าเฝ้าฮ่องเต้ และโปรดใหมีการแห่แหนตามประเพณี

ในวันนั้นฮองเฮาได้เสด็จไปทอดพระเนตรบนตำหนักอิ้วซุนเกง พอทอดพระเนตรเห็นจอหงวน ก็จำได้คลับคล้ายคลับคลา ว่าเป็นชินชุนคี้พี่ชาย ครั้นเพ่งพินิจดูก็จำได้แม่นยำ วันนั้นฮองเฮาก็มีพระทัยเบิกบาน ผิวพรรณผุดผ่องกว่าปกติ ฮ่องเต้เสด็จมาทอดพระเนตรเห็นกิริยาฮองเฮาสดใสขึ้นกว่าทุกวัน จึงมีรับสั่งถามว่าเจ้ามีความยินดีสิ่งใดหรือ นางจึงกราบทูลว่า

“…….วันนี้ข้าพระเจ้าไปดูกระบวนแห่จอหงวนที่ตำหนักอิ้วซุนเกง ข้าพเจ้าจำได้ว่าจอหงวนนั้นคือพี่ชายของข้าพเจ้าที่พลัดกันไป ข้าพเจ้าจึงมีความยินดี…..”

ฮ่องเต้ก็รับสั่งว่า

“…….จอหงวนนั้นแซ่โค้ต่างหาก หาใช่แซ่ชินไม่ ที่เจ้าว่าเป็นพี่ชายของเจ้านั้น เห็นจะผิดไปกระมัง แต่เมื่อเจ้าต้องการจะรู้ความจริง เราจะสืบถามให้……”

ครั้นรุ่งขึ้นเมื่อฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ จึงรับสั่งถามจอหงวนว่า เจ้าเป็นคนแซ่โค้มาแต่เดิม หรือพึ่งมาเปลี่ยนแปลงอย่างไร

ชินชุนคี้จึงกราบทูลเรื่องราวแต่หนหลังให้ทรงทราบโดยตลอด มีความว่าตั้งแต่ตนได้พลัดกับมารดาและน้องสาว ต้องวิ่งร้องไห้หนีเสือเข้าไปในป่าแล้ว ก็ได้พบนายโจรคนหนึ่ง ได้ให้ลิ่วล้อมาอุ้มตนไว้ ตนก็ตกใจดิ้นร้องจนเสียงแห้ง นายโจรก็ปลอบโยนให้หายกลัว และพาไปเลี้ยงไว้เป็นบุตร นายโจรนั้นชื่อ โค้เพง ตนจึงได้ใช้แซ่ของบิดาเลี้ยง

และได้เล่าเรียนหนังสือ ตำรับตำราต่าง ๆ ตลอดจนเพลงอาวุธชำนิชำนาญ เมื่อมาเที่ยวในเมืองได้ทราบประกาศว่าจะมีการสอบไล่ในเมืองหลวง จึงนำความไปบอกแก่บิดาเลี้ยง ว่าจะขอลาไปสอบไล่กับเขาบ้าง โค้เพงก็อนุญาตให้เดินทางมาสอบ จนได้เป็นจอหงวน

ฮ่องเต้มีพระทัยยินดีนัก จึงตรัสเล่าความที่ไปรับนางชินเง็กกีน้องสาว มาแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮา แล้วทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าฮองเฮาได้ เมื่อฮองเฮาได้พบพี่ชายก็มีความยินดีเป็นอันมาก ต่อมาชินชุนคี้ก็กราบทูลขอโทษให้โค้เพง นายโจรที่ได้เลี้ยงตนมา และขอให้เรียกตัวเข้ามารับราชการ

ฮ่องเต้ทรงเห็นด้วย จึงให้ข้าหลวงไปตามโค้เพงกับพวกลิ่วล้อเข้ามารับราชการ และทรงตั้งให้โค้เพงเป็นไต้เจียงกุนนายทหารเอก และภรรยาเป็นฮูหยิน

ฝ่ายเตียเชยซึ่งหนีไปอยู่ที่เมืองปักฮวนนั้น ครั้นทราบว่าชินชุนคี้ได้เป็นจอหงวน และนางชินเง็กกีก็เป็นฮองเฮา จึงกลับมาเมืองเปียนเหลียง แล้วเข้าไปหาชินชุนคี้ไต่ถามทุกข์สุขกันแล้ว ชินชุนคี้ก็พาเข้าไปเฝ้ากราบทูลให้ทรงทราบ เรื่องที่เตียเชยได้ปล่อยตัวมารดาและตนกับน้องสาวไปในครั้งก่อน ฮ่องเต้ก็ทรงยินดีโปรดให้เป็นขุนนาง

อยู่มาวันหนึ่งฮั่นฮูก๊กก็พา นางตันเพ็กเอ็ง ไปหาเปาบุ้นจิ้น เล่าความเดิมที่ต้องพลัดพรากจากลูกทั้งสองคน มีความละเอียดว่า เมื่อนางพาบุตรชายหญิงไปพักที่ศาลเจ้าร้างนั้น นางนอนไม่หลับเลย มีความกลัดกลุ้มใจด้วยได้รับความลำบาก ทั้งแค้นใจสามียิ่งนัก คิดจะฆ่าตัวตายก็เป็นห่วงบุตรยังเล็ก จึงนอนร้องไห้สอึกสอื้นอยู่

ครั้นคามแค้นแน่นหนักขึ้น ก็ลุกออกมากราบไหว้เทพยดาขอฝากบุตรทั้งสอง แล้วแก้เอาแพรที่พันเอวมาผูกคอตาย เทพยดาก็มาช่วยเอายาวิเศษใส่ปากไว้มิให้ศพเปื่อยเน่า แล้วเอาศพไปเก็บไว้หลังศาลเจ้า และพาวิญญาณท่องเที่ยวไปในเมืองผี

เป็นเวลาถึงเก้าปีจึงกลับมาเข้าร่าง นางฟื้นขึ้นมาเห็นห่อผ้าของตนยังวางอยู่เป็นปกติ จึงแก้ออกดูเห็นมีเงินอยู่แปดตำลึง กับหนังสือฉบับหนึ่งความว่า เวลานี้บุตรชายกับบุตรสาวของเจ้าอยู่ในเมืองหลวง เจ้าจงรีบไปพบกับบุตรทั้งสอง แล้วกล่าวโทษสามีของเจ้าต่อเปาเล่งถูเถิด

นางเห็นดังนั้นก็รู้ว่าเป็นหนังสือเทพยดาเขียนไว้ให้ จึงคุกเข่าลงคำนับเทพยดาฟ้าดิน แล้วออกจากศาลเจ้าเดินมายังเมืองเปียนเหลียง ครั้นเข้าไปหาชุยสินก็ตายเสียแล้ว บุตรของชุย สินจึงได้เชิญฮั่นฮูก๊กมาปรึกษา ฮั่นฮุยก๊กก็พานางมาหาเปาบุ้นจิ้นในวันนี้

เปาบุ้นจิ้นจึงเล่าความที่นางชินเง็กกีได้เป็นฮองเฮา และชินชุนคี้ได้เป็นจอหงวนให้นางฟังโดยตลอด และบอกว่าจงไปพบปะกับบุตร ให้สบายใจก่อนเถิด แล้ววันหลังจะพิจารณาให้ จะชำระความเมื่อใดจะบอกให้ทราบ

นางตันเพ็กเอ็งก็มีความยินดี คำนับลามายังบ้านชินชุนคี้ บุตรชายก็มีความยินดียิ่งนัก วันรุ่งขึ้นจึงพาไปเฝ้าฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงตั้งให้นางตันเพ็กเอ็งเป็นไท้กุ๋น และพระราชทานเงินทองตามสมควร แล้วอนุญาตให้ไปเฝ้าฮองเฮา

นางชินฮองเฮาได้ทราบว่ามารดามาก็ดีพระทัย รีบเสด็จออกมารับถึงหน้าตำหนัก ครั้นทอดพระเนตรเห็นมารดาก็คุกเข่าลงคำนับกันแสง นางตันไท้กุ๋นตกใจคุกเข่าลงพยุงฮองเฮาให้ลุกขึ้น เมื่อเข้าไปในตำหนักนางตันไท้กุ๋นก็ถวายคำนับฮองเฮาตามประเพณีแล้ว ต่างคนก็ร้องไห้เล่าความทุกข์ยากสู่กันฟัง

ครั้นค่อนสร่างโศกแล้วฮองเฮาจึงให้จัดโต๊ะมาเลี้ยงเป็นอันดี นางตันไท้กุ๋นเฝ้าอยู่พอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ถวายคำนับลากลับไปบ้านชินชุนคี้ ครั้นบูหลิมกับภรรยาได้ทราบข่าวก็พากันมาคำนับนางตันไท้กุ๋น

ชินชุนคี้ก็ปรึกษามารดาว่า

“……..เจ้าของโรงเตี๊ยมได้มีคุณต่อเราเป็นอันมาก ข้าพเจ้าคิดจะชักจูงให้เข้ารับราชการเป็นขุนนางเสีย……..”

นางตันไท้กุ๋นก็เห็นด้วย ชินชุนคี้จึงให้คนไปตาม ซีเท่งมุ้ย มาไต่ถามได้ความว่าเดิมเคยเป็นขุนนางอยู่ที่เมืองกังหนำ แต่พวกกังฉินได้คัดออกจากตำแหน่ง จึงต้องมาตั้งโรงเตี๊ยมอยู่ด้วยความยากจน ชินชุนคี้จึงเข้าเฝ้ากราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบความเก่า จึงทรงตั้งให้เป็นขุนนางกลับไปอยู่เมืองกังหนำตามเดิม

ส่วน ตันลิ้วลก น้าชายที่ตายไประหว่างเดินทางกับมารดามาเมืองหลวง ชินชุนคี้ก็ให้คนไปสร้างฮวงซุ้ยเสียใหม่ แล้วให้ไปรับ นางตันม้า ผู้เป็นยายมาจากเมืองเกงจิว และปฏิบัติเลี้ยงดูเป็นอันดี.

############

นิตยสารโล่เงิน
มีนาคม ๒๕๔๘




 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2551 8:11:07 น.
Counter : 1107 Pageviews.  

ตอนที่ ๒๔ บุตรเขยตัวร้าย

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๒๔ บุตรเขยตัวร้าย

“ เล่าเซี่ยงชุน “

พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ยกทัพไปปราบปรามเมืองปักฮวนอยู่เป็นเวลานาน ซึงคี้สามีนางเตียวเง็กบ๊วยกงจู๊ ซึ่งหนีรอดพระราชอาญาก็ไปเข้าด้วยกับข้าศึก ที่ยกมาทัพมาต่อสู้ และถึงแก่ความตายในสนามรบ

รวมทั้ง เตียตง หลีหงี ทหารเอกของ เพงไซอ๋อง และ โซเจียงฮู่ม้า สามีของนางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊ ราชธิดาองค์ใหญ่ ซึ่งไปในกองทัพของพระเจ้าซ้องยินจงด้วย

ส่วนภายในเมืองเปียนเหลียง ชื้อเอ็ง และ เล่าอินเหล็ง ได้ก่อการขบถขึ้น แต่ก็ถูก โลฮวยอ๋องผู้สำเร็จราชการปราบปรามเรียบร้อยลง

ฮ่องเต้ก็พระราชทานบำเหน็จ ให้แก่แม่ทัพนายกองที่ไปร่วมพระราชสงครามตามสมควร เพงไซอ๋อง นั้นไม่มีตำแหน่งจะเลื่อน จึงทรงโปรดอนุญาตให้ไม่ต้องถวายคำนับในเวลาเฝ้า และให้เป็นอ๋องสืบตระกูลไปห้าชั่วคน

ส่วน เปาบุ้นจิ้น ก็ทรงโปรดอนุญาตให้ไม่ต้องถวายคำนับในเวลาเฝ้าเช่นกัน และประทานอาญาสิทธิ์ให้ลงโทษขุนนางกังฉินก่อนกราบทูลอีกด้วย
ครั้นฮ่องเต้เสด็จไปถึงตำหนักเจียวเอี้ยงเกง เชาฮองเฮาก็เสด็จออกมารับ เชิญเสด็จเข้าไปข้างใน ต่างองค์ต่างก็มีพระทัยยินดียิ่งนัก นางลีกุยฮุยและนางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊ก็มาเฝ้าด้วย ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นหน้าพระธิดา ก็มีพระทัยสงสารจนกลั้นน้ำพระเนตรไม่อยู่ จึงตรัสเอาใจว่า

“……….ซึ่งสามีของเจ้าถึงแก่ความตายครั้งนี้ นับว่าตายด้วยความกตัญญูอย่างชายชาติทหาร ชื่อเสียงย่อมปรากฎอยู่ในแผ่นดิน เจ้าจงหักห้ามความเสียใจเสียเถิด……..”

ฮ่องเต้ตรัสปลอบโยนด้วยถ้อยคำต่าง ๆ แล้วก็เสด็จไปเฝ้าพระราชมารดาที่ตำหนักใน หลีไทเฮาทอดพระเนตรเห็นพระราชบุตรก็มีพระทัยยินดียิ่งนัก ฮ่องเต้เฝ้าอยู่พอสมควรแก่เวลาแล้วก็ทูลลากลับ

อยู่มาฮ่องเต้ทรงปรารภถึงนางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊ ทรงสงสารที่ต้องเป็นม่าย จึงทรงดำริให้มีการสอบไล่หนังสือเพื่อคัดเลือกมาเป็นขุนนางอีกครั้ง ถ้าคนใดคนหนึ่งยังไม่มีภรรยา ก็จะตบแต่งให้อยู่กินกับนางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊ จึงรับสั่งแต่งตั้งข้าหลวงให้ดำเนินการ มีหมายประกาศส่งไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ให้ทราบทั่วกัน

เมื่อถึงวันกำหนดเจ้าพนักงานก็เรียกผู้สมัคร เข้ามาประชุมพร้อมกันและออกข้อสอบให้ เมื่อเสร็จการสอบแล้วเจ้าพนักงานตรวจเลือกได้สามตำแหน่ง แล้วก็นำความขึ้นกราบทูลฮ่องเต้ และนำตัวผู้สอบได้เข้าเฝ้า ฮ่องเต้ทรงยินดีตรัสถามถึงชื่อแซ่บ้านเมืองที่อยู่ และครอบครัว กับตรัสว่า ถ้าใครยังไม่มีภรรยาจะให้เป็นฮู่ม้าหรือบุตรเขยคนหนึ่ง

ชินซี้มุ้ย ผู้สอบได้ตำแหน่งจอหงวน ก็กราบทูลว่าตนเป็นกำพร้าและยังไม่มีภรรยา ขณะนั้น เปาบุ้นจิ้น เข้าเฝ้าอยู่ด้วยก็กราบทูลขึ้นว่า

“……จอหงวนนี้ข้าพเจ้าเคยได้เห็น เมื่อครั้งไปแจกอาหารแก่ราษฎรครั้งหนึ่ง ทั้งได้ทราบว่าเป็นบุตรชินชิง และมีภรรยาแล้วชื่อนางตันเพ็กเอ็ง ซึ่งจอหงวนกราบทูลดังนี้ ข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่……..”

ชินซี้มุ้ยก็ยืนยันขันแข็งว่า

“……..ข้าพเจ้าหาได้เอาเท็จมากราบทูลไม่ เมื่อไม่ทรงเชื่อถือข้าพเจ้าขอถวายสัตย์สาบานให้……”

แล้วก็สาบานว่า

“ ข้าพเจ้าชินซี้มุ้ยขอสาบานถวาย ต่อหน้าเทวดาฟ้าดินว่า ถ้อยคำที่ข้าพเจ้ากราบทูลนี้เป็นความสัตย์จริงทุกประการ ถ้าข้าพเจ้าแกล้งกล่าวเท็จแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าตกนรกเถิด “

ฮ่องเต้ก็ดีพระทัยตรัสแก่เปาบุ้นจิ้นว่า ชินซี้มุ้ยพูดจาแข็งแรงควรเชื่อถือได้แล้ว อย่ามีความสงสัยเลย แต่เปาบุ้นจิ้นยังแคลงใจอยู่ จึงให้ชินซี้มุ้ยเขียนหนังสือสัญญาไว้ มีความว่าถ้าวันหลังปรากฎว่าตนเป็นคนมีภรรยาแล้ว ขอให้เปาบุ้นจิ้นตัดศรีษะตนเสีย

พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้จึงทรงจัดการแต่งงานให้ ชินซี้มุ้ยกับนางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊อยู่กินด้วยกันตามประเพณี ทั้งสองก็อยู่ด้วยกันเป็นที่เรียบร้อย

จนเวลาได้ล่วงมาถึงสามปี ขณะนั้นเปาบุ้นจิ้นไปราชการที่เมืองไคฮงฮู้ ก็มีหญิงคนหนึ่งมาหา ชุยสิน ขุนนางผู้ใหญ่ที่ใจเสี่ยง ยื่นเรื่องฟ้องร้องชินซี้มุ้ยฮู่ม้า มีความว่า

ตนชื่อ นางตันเพ็กเอ็ง เป็นภรรยาชินซี้มุ้ย อยู่ที่ตำบลชินเกแขวงเมืองโอก๊วง มีบุตรสองคน คนโตเป็นชายอายุหกขวบชื่อ ชินชุนคี้ คนน้องเป็นหญิงอายุสี่ขวบชื่อ ชินเง็กกี ชินซี้มุ้ยเป็นคนขัดสนแต่พยายามเล่าเรียนหนังสือ เมื่อทางเมืองหลวงประกาสว่าจะมีการสอบไล่นางจึงเอาเสื้อแพรสองสำรับไปขาย เอาเงินให้สามีเป็นค่าเดินทางมาสอบไล่

แล้วก็หายไปไม่ได้ข่าวคราวอย่างใดเลย บิดามารดาของชินซี้มุ้ยก็ตรอมใจเป็นทุกข์ถึงบุตร จนป่วยลง นางก็ต้องเอาใจใส่รักษาพยาบาล ด้วยความอัตคัตขัดสนเป็นที่สุด แม้มีข้าวเหลืออยู่น้อยก็เจียดเอาไว้หุงให้พ่อผัวแม่ผัวกิน ส่วนตัวและบุตรนั้นสู้อดทนกินแต่ปลายข้าวละเอียดปนกับรำอ่อน ๆ ต่อมาไม่ช้าโรคกำเริบหนักพ่อแม่ผัวก็ก็ตาย นางไม่มีเงินจะทำศพจึงขายที่บ้าน เอาเงินมาทำศพแล้วก็พาบุตรทั้งสองไปหามารดาที่เมืองเกงจิว

นางตันม้า ผู้มารดาได้ฟังเรื่องราวก็มีความสงสาร จึงรับเลี้ยงไว้
เพราะอยู่กับ ตันลิ้วลก บุตรชายคนเล็กเพียงสองคน ส่วนบิดาของนางนั้นตายไปหลายปีแล้ว

นางตันเพ็กเอ็งก็ขอยืมเงินมารดาได้ร้อยตำลึง จะไปตามหาสามีที่เมืองหลวง พาน้องชายและบุตรทั้งสองคน ระหว่างเดินทางน้องชายก็ป่วยตายไปอีก ครั้นฝังศพน้องชายตามมีตามเกิดแล้ว ก็เดินทางต่อมาถึงเมืองหลวง และพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมนอกเมือง ชีเท่งมุ้ย เจ้าของโรงเตี๊ยมรู้เรื่องที่ชินซี้มุ้ยได้เป็นฮู่ม้า ก็มีความสงสาร จึงแนะให้ไปคอยดักพบสามี

จนถึงวันชิวอิ้ด ชินซี้มุ้ยแต่งตัวขึ้นเกี้ยวจะไปไหว้ฮุดโจ๊วตามประเพณี นางตันเพ็กเอ็งก็จูงบุตรสองคนเดินร้องไห้เข้ามาหา ชินซี้มุ้ยจำได้ว่าเป็นภรรยากับบุตร ก็ตกใจกลัวขุนนางทั้งปวงจะรู้เรื่องเดิมของตน จึงให้บ่าวเฆี่ยนตีขับไล่ไปให้พ้น นางก็พาบุตรเดินร้องไห้มาเล่าให้เจ้าของโรงเตี๊ยมฟัง ซีเท่งมุ้ยจึงแนะนำให้ทำเรื่องราวมาร้องเรียนดังนี้ ชุยสินก็รับเรื่องไว้ และแนะอุบายให้

ต่อมาถึงวันแซยิดชินซี้มุ้ยฮู่ม้า ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยต่างก็พากันไปให้พรตามธรรมเนียม รวมทั้ง ชุยสิน และ ฮั่นฮูก๊ก ขุนนางผู้ใหญ่ ชินซี้มุ้ยก็คำนับรับรองเชื้อเชิญให้ไปนั่งยังที่อันสมควร และรินสุราอย่างดีให้ขุนนางทั้งสองพลางพูดว่า

“……วันนี้เป็นวันแซยิดของข้าพเจ้า ขอคำนับขอบคุณ ในการที่ท่านอุตส่าห์มาให้พรแก่ข้าพเจ้า…….”

แล้วก็สนทนากันอยู่จนบ่าย การละเล่นต่าง ๆ ทั้งปวงก็เลิกหมดแล้ว ชุยสินก็ว่าเวลานี้งิ้วก็ก้เลิกแล้วไม่มีอะไรจะดู จงหาคนมาร้องเพลงฟังกันเล่นเถิด ชินซี้มุ้ยเห็นชอบด้วย จึงให้คนไปเรียกนักร้องออกมา คนใช้ก็พานักร้องหญิงคนหนึ่งออกมา ชินซี้มุ้ยจำได้ว่าเป็นภรรยาเก่าที่ไปคอยดักพบตน เมื่อวันชิวอิ้ด ก็ตวาดเอาว่าให้ไปตามนักร้องผู้ชาย เหตุใดจึงพานักร้องผู้หญิงมา ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับผู้หญิงจะเข้ามาปะปน ชุยสินก็ว่าตนอยากจะฟังเสียงผู้หญิงร้อง ขออย่าได้ขัดขวางเลย แล้วก็สั่งให้นักร้องหญิงนั้นร้องเพลงบทที่น่าสงสารและไพเราะสักหน่อย

นางตันเพ็กเอ็งก็ร้องเพลงรำพันถึงชีวิตของตน ที่มีบุตรสองคนและสามีทอดทิ้ง ทำให้ตนต้องได้รับความทุกข์ยากต่าง ๆ ชินซี้มุ้ยก็มีความโกรธยิ่งนักจึงถลึงตาให้หยุดร้อง ชุยสินเห็นอาการเช่นนั้น จึงถามว่าท่านรู้จักผู้หญิงคนนี้หรือ จึงได้จ้องมองเอาจริง ๆ ชินซี้มุ้ยก็แก้ว่าตนมองดูรูปภาพข้างฝาด้านหลังดอก

นางตันเพ็กเอ็งร้องเพลงจบแล้วก็ร้องไห้ ฮั่นฮูก๊กจึงถามว่าเจ้ามีทุกข์ร้อนสิ่งใดหรือ นางก็ว่าขอให้ท่านทั้งสองจงเป็นที่พึงแก่ตนด้วย แล้วก็เล่าความทุกข์ยากตั้งแต่ต้นให้ฟังโดยละเอียด ชุยสินจึงพูดกับชินซี้มุ้ยว่า

“…….ถ้าเป็นความจริงดังหญิงนี้พูดแล้ว ท่านควรจะสงสารบ้าง แม้ท่านไม่ใยดีด้วยภรรยาก็จงสงสารแก่บุตรเถิด…..”

ชินซี้มุ้ยตอบว่าหญิงนี้ไม่ใช่ภรรยาของตน จะรับว่าเป็นอย่างไรได้ ชุยสินได้ฟังก็มีความโกรธเป็นกำลัง จึงว่า

“……..ท่านนี้หามีใจเป็นมนุษย์ไม่ ท่านได้ดีแล้วก็ปล่อยให้บิดามารดาอดตายอยู่ข้างหลัง ข้อที่ไม่เวทนาแก่ภรรยาก็ช่างเถิด ส่วนบุตรทั้งสองนั้นเป็นเนื้อไขของท่านแท้ ๆ ควรหรือไม่กรุณาเลย ท่านหลอกลวงพระเจ้าแผ่นดินมีความผิดร้ายแรงอยู่แล้ว ยังจะก่อกรรมให้ความผิดทวีขึ้นอีกเล่า ท่านจงกลับใจเสียเถิด แล้วข้าพเจ้าจะช่วยพูดแก้ไขต่อเปาเล่งถู มิให้ท่านเป็นอันตราย..”

ชินซี้มุ้ยมีความกลัวตายเป็นที่สุด ก็ยืนคำเดิมอยู่แล้วว่า เมื่อท่านมีความสงสารหญิงคนนี้จงรับไปไว้ก็แล้วกัน นางตันเพ็กเอ็งได้ฟังก็โกรธเหลือที่จะระงับโทสะได้ จึงด่าชินซี้มุ้ยด้วยถ้อยคำหยาบช้าต่าง ๆ ชินซี้มุ้ยก็โกรธแต่มิรู้ที่จะทำประการใด เพราะขุนนางทั้งสองคอยป้องกันอยู่ ฮั่นฮูก๊กจึงให้นางตันเพ็กเอ็งเดินทางไปฟ้องเปาบุนจิ้นหรือเปาเล่งถู ที่เมืองไคฮงฮู้เถิด เงินค่าเดินทางตนจะออกให้เอง

ชินซี้มุ้ยจึงว่าตนไม่มีความผิด ถึงจะไปฟ้องร้องอย่างไรก็ไม่กลัว แล้วก็ลุกเข้าไปข้างใน ให้คนใช้เอาเงินห่อกระดาษแดง เขียนบอกไว้ว่าทองคำหนักตำลึงหนึ่ง พอคนใช้เอาออกมาให้นางตันเพ็กเอ็ง ชุยสินก็แก้ออกดู กลับเป็นเงินสามเหรียญ ก็โกรธยิ่งนักจึงชวนฮั่นฮูก๊กและนางตันเพ็กเอ็ง เดินออกจากบ้านโดยมิได้ลาชินซี้มุ้ย แล้วมอบเงินค่าเดินทางให้แก่นางตันเพ็กเอ็งเป็นค่าเดินทางไปตามสมควร

ฝ่ายชินซี้มุ้ยมีความแค้นเคืองภรรยายิ่งนัก ที่ทำให้ตนต้องได้อายแก่ขุนนางทั้งสอง และคิดว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมคงจะเป็นผู้เสี้ยมสอนมา จึงให้ทหารไปจับตัวเจ้าของโรงเตี๊ยมมาเฆี่ยนเสียสี่สิบทีแล้วให้ปล่อยตัวไป และเรียก เตียเชย คนสนิทว่าสั่งให้ตามไปตัดศรีษะสามคนแม่ลูกนั้นมาให้ได้ มิฉะนั้นตนเองจะต้องถูกตัดศรีษะ เตียเชยก็จนใจต้องจำรับคำสั่งโดยไม่เต็มใจ

ชีเท่งมุ้ยเจ้าของโรงเตี๊ยมยังไม่ทันไปพ้นจากบ้าน ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจรีบกลับไปโรงเตี๊ยม แล้วบอกกับนางตันเพ็กเอ็งให้รีบหนีไปเสียโดยเร็ว เพราะบัดนี้อันตรายจะมาถึงตัวแล้ว

นางตันเพ็กเอ็งก็ตกใจกอดบุตรทั้งสองไว้ พลางร้องไห้รำพันว่า

“……..ลูกเอ๋ย แม่ไม่รู้เลยว่าใจคอบิดาของเจ้าจะทำได้ถึงเพียงนี้…….”

เจ้าของโรงเตี๊ยมเห็นเวลาจวนค่ำแล้ว จึงเร่งให้รีบหนีไป นางก็คำนับลาพาบุตรทั้งสองหนีออกจากเมืองหลวง แต่พากันเดินไปไม่ไกลนัก ก้เหนื่อยอ่อนทั้งแม่ลูก ต้องเข้าไปนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วก็เลยหลับไปทั้งสามคน

พอรุ่งเช้าเตียเชยก็แต่งตัวถือกระบี่ขี่ม้ามาที่โรงเตี๊ยม บอกให้เจ้าของโรงส่งตัวสามแม่ลูกออกมา อ้างว่าได้รับคำสั่งของฮู่ม้าให้มาตัดศรีษะ ภรรยาเจ้าของโรงเตี๊ยมก็ออกมาบอกว่านางตันเพ็กเอ็งได้หนีไปแล้ว เตียเชยก็ให้ตามสามีออกมาพูดด้วย ชีเท่งมุ้ยก็เดินกระเผลกเข้ามาคำนับ บอกว่าเมื่อวานตนถูกเฆี่ยนเจ็บปวดมากยังเดินไม่ใคร่ถนัด เหตุเพราะนางตันเพ็กเอ็งทำให้ได้รับโทษ เมื่อกลับมาถึงโรงเตี๊ยมจึงไล่ไปแล้ว แต่จะไปไหนตนไม่รู้

เตียเชยเที่ยวค้นดูในโรงเตี๊ยมไม่พบแล้ว ก็ขึ้นม้ารีบติดตามไป จนถึงเวลากลางวันจึงเจอสามแม่ลูกที่กลางทาง นางก็คุกเข่าลงกราบและอ้อนวอนว่า

“…ข้าพเจ้ามิได้ทำอะไรให้ท่านโกรธเคือง ท่านจะตามมาฆ่าข้าพเจ้าด้วยเหตุใด ข้าพเจ้าแม่ลูกเป็นคนยากจน ได้รับความลำบากแทบปางตายอยู่แล้ว ขอท่านจงเวทนาด้วยเถิด…”

เตียเชยก็ว่าตนได้ถือคำสั่งฮู่ม้า ให้มาตัดศรีษะแม่ลูกทั้งสามคน นางตันเพ็กเอ็งก็ร้องไห้พลางตอบว่า

“…….เมื่อท่านจะฆ่าข้าพเจ้าก็ตาม ขอแต่ชีวิตบุตรทั้งสองไว้เถิด……”

ชินชุนคี้บุตรชายคนโตก็คุกเข่าลงคำนับเตียเชย แล้วอ้อนวอนให้ฆ่าตนแทนมารดา นางชินเง็กกีเห็นดังนั้นก็ร้องไห้ ของให้ยกโทษมารดาและพี่ชายเสียเถิด ตนจะยอมตายแทนเอง

เตียเชยได้ฟังเด็กทั้งสองแสดงความกตัญญูดังนั้น ก็นึกสงสารจนน้ำตาไหล เอากระบี่ใส่ฝักแล้วลงจากหลังม้าพูดว่า

“…….ข้าพเจ้าฆ่าท่านไม่ลงดอก อย่าตกใจเลย เพราะข้าพเจ้าไม่ใช่คนใจอำมหิต อย่างฮู่ม้า……..”

นางตันเพ็กเอ็งได้ฟังก็ดีใจ จึงคำนับและถามชื่อแซ่ท่านผู้มีคุณไว้ ต่อไปวันหลังถ้าตนยังมีชีวิตอยู่ จะได้แทนคุณท่าน เตียเชยบอกชื่อให้แล้วทั้งสองฝ่ายก็แยกทางกันไป เตียเชยนั้นบ่ายหน้าไปเมืองปักฮวนนอกอาณาเขต ไม่ยอมกลับไปหาชินซี้มุ้ยอีกเลย

ฝ่ายชินซี้มุ้ยนั้นรออยู่หลายวัน ไม่เห็นเตียเชยกลับมาก็มีความวิตก ครั้นคิดว่าเตีย เชยจะปล่อยนางตันเพ็กเอ็งไป ก็ยิ่งกลุ้มใจหนักขึ้น ด้วยเกรงว่าจะไปฟ้องให้เปาบุ้นจิ้นลงโทษ ครั้นหวนคิดถึงบิดามารดาที่ต้องตายจากไป โดยตนมิได้ปฏิบัติรักษา และคิดถึงความชั่วของตนที่ทิ้งลูกทิ้งเมียมาหาความสุข ก็ยิ่งกลัดกลุ้มมากขึ้น จึงเพ้อรำพันถึงบิดามารดาและบุตรภรรยาต่าง ๆ จน นางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊แอบได้ยิน และสังเกตจับความจริงได้โดยตลอดแล้ว จึงเข้ามาชี้หน้าพูดว่า

“……..ท่านเป็นคนอกตัญญูไม่รู้จักคุณบิดามารดา และยังซ้ำทิ้งลูกเมียของตนมาเสียอีก นับว่าเป็นคนเลวทรามที่สุด ท่านทำความชั่วเท่านั้นแล้วยังมิหนำซ้ำ บังอาจกล่าวเท็จต่อพระราชบิดาจนหลงเชื่อ โทษของท่านครั้งนี้ถึงต้องประหารชีวิต แต่เราเห็นว่าท่านก็ได้เป็นสามีของเรา จึงจะไม่กราบทูลให้ทรงทราบ เป็นแต่ต่อไปเรากับท่านจะไม่นับว่าเป็นสามีภรรยากันอีก จะไปมาหาสู่กันอย่างแต่ก่อนไม่ได้ ถ้าท่านยังฝ่าฝืนถ้อยคำ เราจะกราบทูลพระราชบิดาให้ประหารชีวิตท่านเสีย……..”

ชินซี้มุ้ยก็มีความตกใจยิ่งนัก คุกเข่าลงคำนับพูดอ้อนวอนขอโทษต่าง ๆ นางเตียวเง็กกงจู๊ก็หาฟังไม่ ตั้งแต่วันนั้นมา นางก็ถือศีลกินเจมิเกี่ยวข้องกับชินซี้มุ้ยดังแต่ก่อน.

############

นิตยสารโล่เงิน
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2551 6:56:37 น.
Counter : 1330 Pageviews.  

ตอนที่ ๒๓ จำเลยพูดไม่ได้

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๒๓ จำเลยพูดไม่ได้

“ เล่าเซี่ยงชุน ”

เปาบุ้นจิ้นกลับมาถึงบ้านแล้ว เห็นเต๊กเหล็งยังไม่ฟื้นคืนสติ ก็มีความวิตกนัก แต่ก็เห็นว่าซึงคี้มีพิรุธ ในขณะที่แก้ตัวหน้าที่นั่ง จึงใช้อุบายให้คนสนิทชื่อเตียเหล็ง ไปเฝ้าเต็กไทเฮาที่วังน่ำเชงเกง เมื่อถวายคำนับแล้วกราบทูลว่า

“…………เปาเล่งถูให้ข้าพเจ้ามาทูลว่า อยากจะได้สาวใช้คนสนิท ของนาง เตียวเง็กบ๊วยกงจู๊ ไปไต่ถามความลับในเรื่องที่เต๊กเหล็งถูกฟ้อง ขอให้เนี่ยเนี้ยทรงช่วยเป็นธุระด้วย แต่ต้องปกปิดอย่าให้รู้ถึงหูซึงคี้เป็นอันขาด………”

เต็กไทเฮานั้นตั้งแต่ทรงทราบว่า เต๊กเหล็งผู้เป็นหลานถูกใส่โทษก็ทรงวิตกเป็น อันมาก ครั้นได้ทรงฟังดังนั้นก็ค่อยคลายพระทัย เพราะเชื่อว่าถ้าเปาบุ้นจิ้นเป็นผู้ชำระแล้ว เต๊กเหล็งก็คงพ้นผิด จึงรับสั่งให้ตามตัว นางเอียซีเอ็ง สาวใช้คนสนิทของนางเตียวเง็กบ๊วยกงจู๊ มาที่วัง โดยอ้างว่ามีธุระจะใช้ ครั้นนางเอียซีเอ็งมาแล้ว ก็มอบตัวให้เตียเหล็งไป เตียเหล็งก็ถวายคำนับลา พานางเอียซีเอ็งไปให้เปาบุ้นจิ้นสอบสวน

เปาบุ้นจิ้นถามชื่อแซ่ นางก็บอกตามจริงและว่า ได้รับใช้กงจู๊มาได้ห้าปีแล้ว เปาบุ้นจิ้นจึงว่า

“……เมื่อคืนนี้กงจู๊มาเข้าฝันบอกแก่เราว่า ให้เรียกตัวเจ้ามาถามดูจะรู้เรื่อง ถ้าเจ้าไม่บอกความตามจริงแล้ว ปีศาจกงจู๊จะมาหักคอเจ้าเสีย เราจึงให้ไปตามตัวเจ้ามา เจ้ารู้อย่างไรจงให้การไปตามความจริงเถิด จะได้แก้แค้นแทนกงจู๊ผู้เป็นนาย……..”

นางเอียซีเอ็งได้ยินเปาบุ้นจิ้นกระทบหลอกเช่นนั้น สำคัญว่าจริงก็ตกใจ คิดว่าความเรื่องนี้ ขืนปิดบังไว้อันตรายก็จะตกอยู่กับตนเอง จึงเล่าความจริงโดยละเอียด มีความว่า

ซึงคี้นั้นมีความพยาบาท คิดทำร้ายเพงไซอ๋องอยู่มิได้ขาด เคยพูดกับนาง เตียวเง็กบ๊วยกงจู๊ว่า

“……บิดาข้าพเจ้าชื่อซิงชิว เป็นผู้รักษาด่านซำก๋วน เพงไซอ๋องคิดอ่านกำจัดบิดาข้าพเจ้าและพังหองผู้เป็นตา ตั้งแต่อายุข้าพเจ้าพึ่งย่างขึ้นสามขวบ เรื่องนี้ข้าพเจ้ามีความเจ็บแค้นนัก ถ้าแก้แค้นแทนบิดาไม่ได้ก็หามีความสุขในใจไม่ ถ้ากงจู๊ตั้งใจร่วมทุกข์ร่วมสุขกับข้าพเจ้าจริงแล้ว จงช่วยกันคิดอ่านหาอุบายกำจัดเพงไซอ๋องเสีย ข้าพเจ้าจะไม่ลืมบุญคุณของกงจู๊จนวันตาย.”

นางเตียวเง็กบ๊วยกงจู๊ก็ตกใจ เพราะมิรู้เลยว่าซึงคี้เป็นเชื้อสายกังฉิน เพงไซอ๋องนั้นก็เป็นหลานเต็กไทเฮา ซึ่งนางนับถือว่าเป็นย่า นางจึงตอบว่า

“………ถ้าเป็นทุกข์ร้อนอย่างอื่น ข้าพเจ้าพอจะช่วยเหลือ แต่เรื่องที่ให้คิดร้ายแก่เพงไซอ๋องนั้น เห็นจะจนใจอยู่ เพราะเพงไซอ๋องเป็นผู้มีคุณต่อแผ่นดินมาก การที่เพงไซอ๋องกำจัดบิดาท่านและพังหองเสียนั้น ก็เพราะคนทั้งสองคิดประทุษร้ายต่อเพงไซอ๋องก่อน ไหน ๆ การก็ล่วงเลยมานานแล้ว ท่านอย่าคิดวุ่นวายไปเลย จงกลับใจประพฤติแต่การที่ชอบธรรมเถิด…….”

เมื่อกงจู๊ไม่เห็นด้วย ซึงคี้จึงไปคบคิดกับอึ้งซิวขันที ล่อลวงเอาตัวเต๊กเหล็งเข้าไปในตำหนัก และรับรองเป็นอันดี ครั้นสนทนากันอยู่สักครู่หนึ่งเต๊กเหล็งก็ลุกขึ้นจะลาไป ซึงคี้ก็หน่วงเหนี่ยวไว้ขอให้อยู่เสพสุราด้วยกันก่อน พอเต๊กเหล็งเสพสุราได้สามถ้วยก็เมาหลับอยู่บนโต๊ะ เพราะสุรานั้นเป็นสุรายาพิษ ถ้าใครดื่มเข้าไปแล้วต้องนอนหลับไปหลายวัน ซึงคี้จึงอุ้มเอาเต๊กเหล็งเข้าไปนอนอยู่บนเตียงของกงจู๊ แล้วรีบกลับออกมาเสีย

ครั้นนางเตียวเง็กบ๊วยกงจู๊ กลับจากช่วยงานแซยิดนางเต็กไทเฮา ตอนกลางคืนเมื่อเข้าไปในห้อง เห็นเต๊กเหล็งนอนอยู่บนเตียงก็ตกใจ ออกมาซักถามสาวใช้ได้ความว่า ซึงคี้เป็นคนวางอุบาย นางก็โกรธแค้นใจว่าซึงคี้คิดอุบายใส่ร้ายเต๊กเหล็ง แต่ทำให้นางมีราคีด้วย แต่ไม่สามารถจะถ่ายเทเป็นอย่างอื่นได้ จึงฉวยกระบี่ที่ข้างฝามาเชือดคอตาย โดยพวกสาวใช้แก้ไขไม่ทัน

เมื่อซึงคี้รู้ว่ากงจู๊ฆ่าตัวตายก็ไม่ได้ตกใจ แต่แกล้งกอดนางเตียวเง็กบ๊วยร้องไห้ร่ำรัก และด่าเต๊กเหล็งว่า

“………อ้ายชาติทรยศ กูมีความนับถือเชิญมากินโต๊ะเสพสุราด้วย ควรหรือมาข่มขืนกงจู๊ จนต้องฆ่าตัวตายดังนี้………”

แล้วก็เรียกคนใช้มาช่วยกันจับเต๊กเหล็งมัดไว้ และรีบเข้าไปกราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบ ฮ่องเต้รีบเสด็จมาทอดพระเนตรศพกงจู๊ เห็นนอนตายอย่างน่าทุเรศก็ทรงพระกันแสง และทรงกริ้วโกรธเต๊กเหล็งยิ่งนัก จึงรับสั่งให้เอาตัวเต๊กเหล็งไปชำระ

นางเอียซีเอ็งย้ำว่านางเตียวเง็กบ๊วยกงจู๊นั้น มีความอายด้วยต้องเป็นภรรยาคนกังฉิน จึงฆ่าตัวตายเสีย เรื่องนี้นอกจากตนแล้วหามีผู้ใดรู้ไม่

เปาบุ้จิ้นได้ฟังแล้วก็ซักไซ้ไล่เลียง เอาคำมั่นสัญญาจากนางเอียซีเอ็ง เป็นมั่นเหมาะแล้ว ก็จัดแจงเขียนเรื่องราวกล่าวโทษซึงคี้ ตามคำให้การของนางเอียซีเอ็งเตรียมไว้ รุ่งขึ้นฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ ก็เข้าไปถวายคำนับยื่นเรื่องราวถวาย ฮ่องเต้รับไปทอดพระเนตรจบแล้ว ก็ทรงพระพิโรธเป็นอันมาก และรับสั่งว่า

“………เราไม่รู้เลยว่าอ้ายลูกกังฉินมันจะมาทำความเดือดร้อนให้ดังนี้ โทษของมันควรแล้วที่จะประหารชีวิตเสีย การที่เรายกกงจู๊ให้แก่มันนั้น เมื่อเดิมมันก็มิได้บอกให้เรารู้ความจริง ว่ามันเป็นเชื้อสายของอ้ายพวกกังฉิน เรื่องนี้ถ้าไม่ได้ท่านเป็นผู้ชำระสะสาง ก็จะทำให้หลงลงโทษเต๊กเหล็งเปล่า ๆ ………”

แล้วก็มีรับสั่งให้เรียกตัวนางเอียซีเอ็งมาซักถาม ก็ได้ความต้องกันกับที่เปาบุ้นจิ้น ชี้แจงในเรื่องราวทุกประการ พระเจ้ายินจงทรงขัดเคืองเป็นอันมาก จึงมีรับสั่งให้พนักงานไปจับตัวซึงคี้มาโดยเร็ว แต่อึ้งซิวขันทีผู้ร่วมคิด รู้ข่าวว่าเนื้อความแตกก็ตกใจ เกรงว่าซึงคี้จะเป็นอันตราย จึงแอบไปลักธงอาญาสิทธิ์สำหรับเบิกทาง มาให้ซึงคี้แล้วเล่าเรื่องที่มีรับสั่งลงโทษ ให้ทราบและให้รีบหนีเอาตัวรอดไปก่อน

ซึงคี้ได้ฟังก็ตกใจแทบสิ้นสติ รับธงมาจากอึ้งซิวแล้วก็หนีออกจากวังไปโดยเร็ว เมื่อเจ้าพนักงานมาถึงไม่พบซึงคี้ จึงจับเอาตัวอึ้งซิวไปแทน

ฮ่องเต้ได้รับรายงานจากเจ้าพนักงานแล้ว ก็ทรงกริ้วโกรธเป็นอันมาก มีรับสั่งให้ขุนนางไปสั่งปิดประตูเมืองเสีย อย่าให้คนเข้าออกได้ อึ้งซิวจึงทูลว่าตนไม่มีความผิดเหตุใดจึงถูกจับมาดังนี้ อันความผิดของซึงคี้นั้นหาได้เกี่ยวข้องกับตนไม่ ฮ่องเต้ได้ฟังก็ทรงพิโรธยิ่งนัก แต่สู้สะกดพระทัยไว้ แล้วตรัสว่า

“………..ตัวเจ้านั้นน่าสงสัยว่าจะร่วมคิดกับซึงคี้ แต่ถ้าเจ้าแก้ให้เต๊กเหล็งฟื้นได้แล้ว เราจะลดหย่อนผ่อนโทษให้…….”

อึ้งซิวได้ฟังก็ดีใจสำคัญว่าจะพ้นโทษ จึงจัดแจงหายามากรอกให้เต๊กเหล็งกิน สักครู่เต๊กเหล็งก็ฟื้นคืนสติ ฮ่องเต้จึงรับสั่งกับอึ้งซิวว่า

“………ความผิดของเจ้าหนักนัก โทษถึงต้องแล่เนื้อเสียจึงจะสม แต่ไหน ๆ เราได้ลั่นปากว่าจะลดโทษให้แล้ว ก็จะไม่ให้เสียวาจา เป็นอันว่ายอมลดโทษทรมานให้ แต่จะให้พ้นความผิดทีเดียวนั้นไม่ได้……..”

แล้วจึงมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานเอาตัวอึ้งซิน ไปประหารชีวิตเสีย ขณะนั้นขุนนางที่ไปตามรับสั่งให้ปิดประตูเมือง กลับมาทูลว่าซึงคี้มีธงอาญาสิทธิ์เบิกทางออกไปจากเมืองได้แล้ว ผู้รักษาประตูได้ส่งธงนั้น มาถวายให้ทอดพระเนตรเป็นสำคัญ บัดนี้ได้จัดทหารออกไปติดตามแล้ว แต่เกรงว่าจะไม่ทัน

ฮ่องเต้ก็เสียพระทัยแต่มิรู้จะทำอย่างไรจึงนิ่งอยู่ เปาบุ้นจิ้นจึงทูลว่าควรจะให้ช่างเขียนรูปซึงคี้ส่งไปตามหัวเมืองรายทาง ให้รีบจับตัวส่งมาฆ่าเสียให้สิ้นเสี้ยนหนาม ฮ่องเต้ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานเขียนรูป และออกหมายประกาศจับตัวซึงคี้ส่งไปตามหัวเมืองทั่วไป แล้วก็เสด็จขึ้น

เมื่อเพงไซอ๋องกลับไปถึงบ้าน จึงบอกเต๊กเหล็งว่าเปาบุ้นจิ้นมีคุณแก่เจ้าเป็นอันมาก ถ้าไม่ได้ท่านเป็นผู้ชำระความเรื่องนี้ ชีวิตเจ้าคงจะต้องตายเพราะอุบายของพวกกังฉินเป็นมั่นคง เต๊กเหล็งเพิ่งรู้เรื่องโดยตลอดก็ตกใจ แล้วรุ่งขึ้นเพงไซอ๋องก็พาเต๊กเหล็งไปคำนับขอบคุณ เปาบุ้นจิ้นที่บ้าน

ทางฝ่ายเต็กไทเฮาได้ทรงทราบว่าหลายชายพ้นโทษแล้ว ก็ดีพระทัยเป็นอันมาก

ต่อมาไม่นาน ลูเต็งอ๋อง เจ้าเมืองปักฮวนได้มีหนังสือมา ว่าจะยกกองทัพมาตีเมืองเปียนเหลียง โดยให้ พังปิวโฮ้ว บุตรคนที่สี่ของพังหองซึ่งหนีไปอยู่ด้วยเป็นแม่ทัพ พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ก็ทรงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่าจะเห็นประการใด

พวกขุนนางยังมิได้ทูลตอบ เปาบุ้นจิ้นก็ถวายคำแนะนำว่า

“……..การที่ลูเต็งอ๋องกำเริบใจมาท้าทายดังนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าคงมีคนดีที่เชื่อว่าจะเอาชัยชนะแก่เราได้ น่ากลัวสงครามครั้งนี้จะหนักแรงมากกว่าครั้งก่อน แต่ถ้าพระองค์จะเสด็จเป็นประธานไปในกองทัพด้วยแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่าจะมีชัยชนะ เพราะพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ ไหนเลยข้าศึกจะอาจต่อต้านพระเดชานุภาพได้ อันบุญญาธิการของพระองค์นั้น เสมอด้วยพระอาทิตย์มีรัศมีแรงกล้า อาจปิดบังเสียซึ่งรัศมีแห่งดวงดาวใหญ่น้อยทั้งปวง……..”

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็เป็นที่ชอบพระอัธยาศัยยิ่งนัก จึงรับสั่งว่า

“……..กษัตริย์เมื่อครั้งต้นวงศ์ของเราก็เคยเสด็จออกในการทัพศึก เสมอมาทุก ๆ พระองค์ ยังแต่เราหาได้เคยไปไม่ ครั้งนี้เราจะไปให้เห็นประจักษ์แก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ตามแบบอย่างกษัตริย์แต่เก่าก่อนบ้าง แต่ยังไม่รู้จะให้ใครเป็นแม่ทัพจึงจะเหมาะแก่การ……”

เปาบุ้นจิ้นจึงกราบทูลว่า

“………ผู้ที่จะเป็นแม่ทัพนั้นนอกจากเพงไซอ๋องแล้วหามีตัวไม่ เพราะเพงไซอ๋องเคยเป็นแม่ทัพมาแต่ครั้ง ศึกเมืองไซหยง และเมืองน่ำหมัน เห็นว่าคงจะสามารถฉลองพระเดชพระคุณและไว้วางพระทัยได้……..”

ฮ่องเต้ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงมีรับสั่งแต่งตั้งให้เพงไซอ๋องเป็นแม่ทัพ และให้เรียกตัวทหารเสือคู่ใจของเพงไซอ๋องอีกสี่นาย คือ เจียเง็ก เล่าเข่ง เตียตง และหลีหงี ไปในกองทัพด้วย

เมื่อเตรียมไพร่พลศาสตราวุธและเสบียงอาหารพร้อมแล้ว ได้ฤกษ์ดีวันขึ้นสามค่ำ เดือนสาม เพงไซอ๋องก็ประชุมนายทหารและไพร่พลพร้อมกันยังท้องสนาม พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ก็ทูลลาไทเฮา และลาฮองเฮา เสร็จแล้วจึงมอบหมายราชการบ้านเมืองทั้งปวงให้แก่ โลฮวยอ๋อง บุตรของเต็กไทเฮา และตรัสเรียกไทจือมาประทานโอวาทตามสมควร แล้วก็เสด็จไปยังท้องสนาม เสด็จขึ้นประทับรถพระที่นั่ง พอถึงเวลาแม่ทัพก็สั่งให้จุดพลุสัญญาณขึ้นสามครั้ง แล้วเคลื่อนกระบวนทัพออกจากเมืองเปียนเหลียง ออกไปทำสงครามกับเมืองปักฮวน ก่อนที่ข้าศึกจะยกมาถึงเมืองหลวง.

###########

นิตยสารโล่เงิน
ธันวาคม ๒๕๔๗






 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 10 พฤษภาคม 2551 6:55:06 น.
Counter : 935 Pageviews.  

ตอนที่ ๒๒ เชื้อสายกังฉิน

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๒๒ เชื้อสายกังฉิน

“ เล่าเซี่ยงชุน “

พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ กษัตริย์องค์ที่สี่ของราชวงศ์ซ้อง ซึ่งครอบครองราชสมบัติอยู่ในเมืองเปียนเหลียงนั้น เป็นกษัตริย์ที่มีบุญญาธิการมาก จึงมีขุนนางตงฉินช่วยประคับประคองพระองค์ และราชการบ้านเมืองไว้ได้ ในคราวฉุกเฉินเป็นหลายครั้ง ทางราชการภายใน เปาบุ้นจิ้น ซึ่งเป็นที่ เปาเล่งถู ก็ได้กำจัด พังหอง กับ นางพังกุยฮุย และพรรคพวกกังฉินเสียโดยสิ้นเชิง ทางราชการภายนอก เต๊กเชง ซึ่งเป็นที่ เพ็งไซอ๋อง กับพวกโหงวโฮ้วทหารเสือ ก็ได้ยกกองทัพไปปราบปรามเมืองไซหยง และเมืองน่ำหมัน จนข้าศึกศัตรูพ่ายแพ้ราบคาบ ตั้งแต่นั้นมาบ้านเมืองก็เป็นสุขสบาย ราษฎรทั้งปวงได้ทำมาหากินตามภูมิลำเนาของตน ตลอดพระราชอาณาเขต

ฮ่องเต้นั้นมีพระราชบุตรด้วย นางเชาฮองเฮา มเหสีพระองค์หนึ่ง พระนามว่า เตียวชิด ทรงตั้งไว้เป็นฮ่องไทจือสำหรับสืบพระวงศ์ต่อไป ส่วน นางลีกุยฮุย พระสนมเอกนั้นมีธิดาสององค์ องค์ใหญ่ชื่อ นางเตียวเง็กเอง ได้แต่งงานกับ โซเจียง ขุนนางฝ่ายบู๊ไปแล้ว

องค์เล็กชื่อ นางเตียวเง็กบ๊วย อายุสิบหกปียังไม่มีคู่หมั้น ฮ่องเต้ตั้งพระทัยว่าในการสอบไล่คราวนี้ จะเลือกหาผู้ที่สอบไล่ได้ มาเป็นคู่หมั้นของนางเตียวเง็กบ๊วยกงจู๊

ครั้นถึงกำหนดสอบไล่ เจ้าพนักงานได้คัดเลือกแล้วมีผู้สอบไล่ได้สามคน ฮ่องเต้ก็รับสั่งให้จัดขบวนแห่ขุนนางใหม่เลียบเมืองสามวันตามธรรมเนียม แล้วตรัสถามคนทั้งสามว่าพวกเจ้ามีภรรยาแล้วหรือยัง คนที่หนึ่งและที่สองทูลว่ามีแล้ว แต่ ซึงคี้ คนที่สามทูลว่ายังหามีไม่ ฮ่องเต้ก็ดีพระทัย จึงทรงตั้งให้ซึงคี้เป็นฮู่ม้าราชบุตรเขย แล้วรับสั่งให้แต่งงานอยู่กินกับนางเตียวเง๊กบ๊วยกงจู๊ ตามประเพณี

ขณะนั้นเปาบุ้นจิ้นไปราชการที่เมืองเอ็งพ่ายเสีย เพื่อกำจัดสัตว์ร้ายที่มาอาละวาดทำร้ายผู้คนพลเมือง เดือดร้อนล้มตายเป็นอันมาก

ฝ่ายซึงคี้ฮู่ม้านั้นเป็นบุตร ชิงชิว และเป็นหลานชาย พังหอง ขุนนางกังฉินที่ถูกกำจัดไปแล้ว ครั้นได้เป็นฮู่ม้าแล้วก็กำเริบใจนัก คิดพยาบาทจะหาอุบายกำจัดเพงไซอ๋อง แก้แค้นแทนชิงชิวและพังหองอยู่เสมอ แต่ยังหาโอกาสมิได้จึงต้องสะกดใจนิ่งอยู่

พรรคพวกร่วมใจกับซึงคี้มีอยู่สองคนคือ ชื้อเอ็ง ขุนนางตำแหน่งเซียวสือหนึ่ง และ เล่าอินเหล็ง ขุนนางตำแหน่งซีเบ๊อีกหนึ่ง คนทั้งสองนี้มีสันดานเป็นกังฉิน ชำนาญในการประจบประแจงยิ่งนัก อันพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้นั้น พระทัยมิหนักแน่นมักเชื่อฟังแต่ถ้อยคำประจบสอพลอ เมื่อชื้อเอ็งมีโอกาสได้เฝ้าแหนใกล้ชิด ก็เพ็ดทูลเป็นที่ถูกพระทัย จึงทรงแต่งตั้งให้เป็นใจเสี่ยงขุนนางผู้ใหญ่

ชื้อเอ็งมีอำนาจขึ้นแล้วก็ตั้งใจจะกำจัดขุนนางตงฉินเสีย แต่ยังเกรงเปาบุ้นจิ้นซึ่งเป็นคนตรงไปตรงมาไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังทรงยำเกรง ไม่กล้าประพฤติให้ผิดประเพณี ครั้นเปาบุ้นจิ้นต้องไปราชการยังเมืองเองพ่ายเสียแล้ว พวกกังฉินก็มีใจกำเริบ ชวนกันทำการกดขี่ขุนนางและราษฎรเล่นตามอำเภอใจ คนทั้งปวงต่างได้รับความเดือดร้อนยิ่งนัก

ฝ่ายเพงไซอ๋องเมื่อเสร็จการศึกแล้ว ได้ลาพักราชการพา นางโปยโปกงจู๊ ภรรยากับ เต๊กเหล็ง เต็กเฮา ผู้บุตรไปอยู่บ้านเดิมที่เมืองซัวไซ ฝ่าย เซียนเซียนอ๋อง เจ้าเมืองเซียนเซียนก๊ก ซึ่งเป็นบิดาของนางโปยโปกงจู๊ ได้ขอตัวเต็กเฮาบุตรคนรองไปอยู่ด้วยกัน เพื่อสืบตระกูลด้วยมีบุตรสาวคนเดียวคือนางโปยโปกงจู๊

แต่บังเอิญ นางเม่งสีไท้กุ๋น มารดาของเพงไซอ่องกำลังป่วย จึงรอเวลาอยู่ นางเม่งสีป่วยอยู่ไม่นานก็ถึงแก่กรรม เพงไซอ๋องและบุตรหลานทั้งปวงมีความเศร้าโศกเป็นอันมาก ครั้นทำบุญตามประเพณีครบเดือนหนึ่ง และนำศพไปฝังยังฮวงซุ้ยสำหรับตระกูลแล้ว เพงไซอ๋องจึงส่งตัวเต็กเฮาไปยังเมืองเซียนเซียนก๊ก

เซียนเซียนอ๋องก็ประกาศตั้ง เต็กเฮาให้เป็นไทจือ ผู้สืบราชสมบัติเมืองเซียนเซียนก๊กต่อไป

ฝ่ายพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้มีพระทัยระลึกถึงเพงไซอ๋อง จึงให้ทำหนังสือรับสั่งมอบให้ข้าหลวง ถือไปให้เพงไซอ๋องที่เมืองซัวไซ ครั้นข้าหลวงไปถึงเพงไซอ๋องจัดโต๊ะที่บูชา รับหนังสือรับสั่ง ทราบความแล้ว ก็เรียกนางโปยโปกงจู๊มาสั่งเสียให้ดูแลบ้านช่อง แล้วตนเองก็พา เต๊กเหล็งเดินทางไปเมืองเปียนเหลียง เข้าเฝ้าฮ่องเต้ตามรับสั่ง

ฮ่องเต้ดีพระทัยนักตรัสทักทายปราศรัยด้วยตามธรรมเนียม แล้วเพงไซอ๋องกับเต๊กเหล็งก็เลยไปเฝ้า นางเต็กไทเฮา พระราชมารดาเลี้ยงของฮ่องเต้ ซึ่งเป็นอาของเพงไซอ๋อง เต็กไทเฮาเห็นหน้าหลานก็ระลึกถึงนางเม่งสีไทกุ๋นพี่สะใภ้ที่ถึงแก่กรรมยิ่งนัก ทรงพระกันแสงพลางตรัสรำพันเป็นอันมาก เฝ้าอยู่พอสมควรแล้ว เพงไซอ๋องกับบุตรชายก็ถวายบังคมลากลับ

ครั้นถึงวันขึ้นสิบค่ำเดือนเก้า เป็นวันแซยิดของเต็กไทเฮา ฮ่องเต้เสด็จไปถวายคำนับถวายพระพรก่อน แล้วเพงไซอ๋องกับเต๊กเหล็งและขุนนางทั้งปวง ก็เข้าไปถวายคำนับตามลำดับ เต็กไทเฮากับ โลฮวยอ๋อง ผู้บุตรดีพระทัยนัก รับสั่งให้จัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงขุนนางทั้งปวงเป็นการรื่นเริง

ครั้นเสร็จการเลี้ยงพวกขุนนางเหล่านั้นพากันกลับไปแล้ว เพงไซอ๋องกับบุตรยังอยู่จนเสร็จงานจึงได้กลับ พอมาถึงหน้าตำหนักนางเตียวเง็กบ๊วยกงจู๊ ก็พบซึงคี้กับ อึ้งซิว ขันทีคนสนิทยืนอยู่ริมทาง ชักชวนให้เพงไซอ๋องแวะสนทนากันก่อน เพงไซอ๋องบอกว่ามีธุระอยู่ไม่ได้ ซึงคี้ก็ขอเชิญเต๊กเหล็งไว้แทนเพื่อให้เป็นที่คุ้นเคย เพงไซอ๋องไม่ใคร่จะเต็มใจอึ้งซิวก็ช่วยอ้อนวอน เพงไซอ๋องเสียไม่ได้จึงให้เต๊กเหล็งอยู่ก่อน ตนเองก็ลากลับไปบ้าน

เมื่อเพงไซอ๋องกลับมาถึงบ้าน เปาบุ้นจิ้นก็ให้คนมาเชิญไปเสพสุราที่บ้าน สักครู่หนึ่งคนใช้ก็เข้าไปหา บอกว่าเต๊กเหล็งถูกซาฮวบซีจับตัวไปชำระความ เรื่องข่มขืนนางเตียวเง็กบ๊วยกงจู๊ จนนางฆ่าตัวตาย

เพงไซอ๋องก็ตกใจรีบลาเปาบุ้นจิ้นไปหาซาฮวบซีโดยเร็ว ซาฮวบซีก็คำนับเชิญให้นั่งแล้วเล่าเรื่องให้ฟังว่า ซึงคี้ไปกราบทูลฮ่องเต้ว่าเต๊กเหล็งข่มขืนนางเตียวเง๊กบ๊วยกงจู๊ จนนางเอากระบี่เชือดคอฆ่าตัวตาย ฮ่องเต้เสด็จมาทอดพระเนตรศพ แล้วทรงกริ้วโกรธเต๊กเหล็งยิ่งนัก จึง รับสั่งให้ตนเอาตัวเต๊กเหล็งมาชำระปรึกษาโทษ

ชั้นแรกนั้นคิดว่าเต๊กเหล็งแกล้งทำเป็นเมาสุรา ไม่พูดด้วย จึงให้เฆี่ยนถามปากคำ แต่เต๊กเหล็งพูดไม่ได้ด้วยยังเมาสุราอยู่ไม่รู้สึกตัวจริง จึงให้งดไว้ก่อน เพงไซอ๋องเห็นบุตรชายสิ้นสติและถูกเฆี่ยนบาดเจ็บ ก็มีความเวทนาจนน้ำตาตก จึงบอก ซาฮวบซีว่าอย่าเพ่อเร่งถามมันในเวลานี้เลย ต่อพรุ่งนี้สร่างเมาแล้วจึงค่อยถามเถิด แล้วเพงไซอ่องก็ลากลับบ้าน ในใจนั้นมีความทุกข์ร้อนเป็นอันมาก

รุ่งขึ้นฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ ขุนนางทั้งปวงเฝ้าอยู่ตามตำแหน่ง เพงไซอ๋องจึงกราบทูลว่า

“……….เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้ากับลูกชายกลับจากวังโลฮวยอ๋อง ซึงคี้ชักชวนบุตรชายข้าพเจ้าไว้ ให้เสพสุราเข้าไปจนเมาไม่ได้สติ แล้วเหตุใดจึงหาว่าบุตรชายข้าพเจ้า ข่มขืนกงจู๊จนฆ่าตัวตายเล่า เรื่องนี้ข้าพเจ้ายังมีความสงสัยนัก เพราะบุตรข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมา ยังไม่ปรากฎว่าได้เคยกระทำความชั่วสิ่งใดเลย อีกประการหนึ่งเต๊กเหล็งเข้าไปในบ้านซึงคี้ ก็เพราะซึงคี้อ้อนวอนคะยั้นคะยอให้เข้าไป ข้าพเจ้าเห็นว่าอาจเป็นอุบายแกล้งใส่ร้ายกันเป็นมั่นคง ขอพระองค์จงทรงวินิจฉัยโดยเที่ยงธรรมเถิด……..”

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังจึงรับสั่งว่า

“……..บุตรสาวเราอยู่ดี ๆ ถ้าไม่มีใครทำให้ช้ำใจแล้ว จะฆ่าตัวตายเสียนั้นไม่เป็นได้ ซาฮวบซีเอาตัวเต๊กเหล็งไปซักถามได้ความว่ากระไรบ้าง……..”

ซาฮวบซีถวายคำนับแล้วทูลว่า ข้าพเจ้าได้ซักถามแล้วแต่ยังหาได้ความไม่ ด้วยเต๊กเหล็งยังเมาสุราอยู่ ว่าแล้วก็ให้คนใช้หามเต๊กเหล็งเข้ามาให้ทอดพระเนตร ฮ่องเต้จึงรับสั่งกับ ขุนนางทั้งปวงว่า เมื่อเต๊กเหล็งเมาสุราอยู่ดังนี้ ผู้ใดจะรับอาสาชำระให้ได้ความจริงบ้าง

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังรับสั่งดังนั้น จึงทูลรับอาสาว่าเรื่องนี้ตนจะรับชำระให้ได้ความจริง ภายในห้าวัน ฮ่องเต้ก็ทรงอนุญาตแล้วเสด็จขึ้น ทหารคนใช้ของเพงไซอ๋องจึงอุ้มเต๊กเหล็งไปส่งที่บ้านเปาบุ้นจิ้น และเปาบุ้นจิ้นก็เรียกตัวซึงคี้ไปด้วย

ครั้นถึงบ้านขึ้นนั่งยังเง่หมึงที่ชำระความ มีทหารถืออาวุธเรียงรายอยู่สองข้าง เปาบุ้นจิ้นจึงเรียกซึงคี้เข้ามาถามว่า ความเดิมเป็นอย่างไรเต๊กเหล็งจึงเข้าไปได้ในตำหนักกงจู๊ที่ท่านอยู่ ซึ่งคี้ตอบว่า

“……..ข้าพเจ้าเชิญเต๊กเหล็งเข้าไปเสพสุรา สนทนากันในฐานคุ้นเคย ครั้นต่างคนต่างเมาข้าพเจ้าก็พาไปนอนยังที่สมควร แต่เต๊กเหล็งกลับบังอาจลอบไปนอนบนเตียงกงจู๊ พอกงจู๊กลับจากวังโลฮวยอ๋องก็ถูกข่มขืน จึงได้ฆ่าตัวตายเพื่อจะรักษาชื่อเสียง ซึ่งเต๊กเหล็งทำแก่ข้าพเจ้าและกงจู๊ดังนี้ ข้าพเจ้ามีความเจ็บแค้นนัก ขอท่านจงชำระและลงโทษเต๊กเหล็ง แก้แค้นแทนกงจู๊ด้วย……..”

พูดแล้วก็ร้องไห้ เปาบุ้นจิ้นได้ฟังดังนั้น ก็คิดอยู่ในใจว่าข้อหาของซึงคี้ ฟังดูยังกำกวมอยู่ ถ้าเอาพยานของซึงคี้มาสอบสวน ก็คงเบิกความยืนยันเอาเป็นเสียงเดียวกัน จึงพูดว่า

“…….ถ้าเป็นดังนั้นจริง เต๊กเหล็งก็ต้องมีโทษถึงประหารชีวิต แต่ท่านจงกลับไปก่อนเถิด รอให้เต๊กเหลงสร่างเมาข้าพเจ้าจึงจะชำระต่อไป…….”

แต่เวลาได้ล่วงไปถึงสี่วัน เต๊กเหล็งก็ยังไม่สร่างเมา เปาบุ้นจิ้นก็มีความร้อนใจเป็นอันมาก และเห็นว่าเต๊กเหล็งคงจะถูกสุรายาพิษเป็นแน่ แต่น่าประหลาดด้วยซึงคี้กับเพงไซอ๋องและเต๊กเหล็งนั้น มิได้มีสาเหตุโกรธเคืองอันใดแก่กัน เรื่องนี้ชะรอยจะมีข้อแอบแฝงอยู่เป็นแน่ จึงให้ คนใช้ไปเชิญเพงไซอ๋องมาถามว่า เรื่องราวเป็นอย่างไรเต๊กเหล็งจึงได้ไปเสพสุรากับซึงคี้

เพงไซอ๋องก็ว่าซึงคี้กับอึ้งซิวขันที มาคอยดักพบและจะให้ตนเข้าไปเสพสุราด้วย แต่ตนบอกไม่ว่างซึงคี้ก็ขอตัวเต๊กเหล็งไว้แทน เปาบุ้นจิ้นจึงว่า

“…….ถ้าดังนั้นต้องเป็นอุบายใส่ร้ายกันเป็นแน่ และอึ้งซิวก็ต้องร่วมคิดกับซึงคี้ด้วย ถ้าได้เค้าเงื่อนดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าพอจะชำระเอาความจริงได้ ขอท่านจงวางใจเถิด…….”

เพงไซอ๋องได้ฟังก็มีความยินดี นั่งสนทนาอยู่พอควรแก่เวลา แล้วก็ลากลับไป

รุ่งขึ้นพอได้เวลาฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ ขุนนางเข้าเฝ้าพร้อมกันแล้ว จึงรับสั่งถามเปาบุ้นจิ้นว่า ท่านรับตัวเต๊กเหล็งไปชำระได้ความว่ากระไรจงบอกให้เรารู้บ้าง เปาบุ้นจิ้นทูลว่า

“………ตั้งแต่ข้าพเจ้ารับตัวเต๊กเหล็งไปจนบัดนี้ได้ห้าวันแล้ว เต๊กเหล็งก็ยังหา สร่างเมาไม่ จึงไม่สามารถจะให้ถ้อยคำได้ ข้าพเจ้ามีความจนใจนัก…….”

พระเจ้าซ้องยินจงได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงพระสรวลรับสั่งว่า

“……..เรารู้อยู่ว่าเต๊กเหล็งไม่มีข้อโต้เถียงแล้ว จึงแกล้งทำเป็นเมาสุราเสีย เรื่องนี้เป็นความจริงดังข้อหาแล้ว จงเอาตัวเต๊กเหล็งไปประหารชีวิตเสียตามกฎหมายเถิด…….”

เปาบุ้นจิ้นและขุนนางทั้งปวงยังมิทันกราบทูลประการใด เพงไซอ๋องก็เข้าไปถวายคำนับ แล้วกราบทูลว่า

“……..ขอพระองค์จงฟังข้าพเจ้าก่อน ซึ่งจะลงเอาว่าเต๊กเหล็งแกล้งทำเป็นเมาสุรานั้นยังกระไรอยู่ เพราะปรากฎว่าได้นอนนิ่งมาถึงห้าวันแล้ว ถ้ารู้สึกตัวคงจะหิวโหยบ้าง ไหนเลยจะทนอยู่ได้ พระองค์จะให้ประหารชีวิตคนไม่มีสติ โดยไม่ได้สอบถามปากคำนั้นไม่ควร ซึ่งข้าพเจ้ากราบทูลทั้งนี้จะได้เป็นโดยลำเอียง เข้าข้างบุตรของตนหามิได้ ถ้าปรากฎว่าเต๊กเหล็งมีความผิดจริงแล้ว ข้าพเจ้าก็จะขอให้ลงอาญาแก่มัน โดยไม่เสียใจเลย…….”

ฮ่องเต้ยังมิทันตรัสประการใด เปาบุ้นจิ้นจึงทูลว่า

“……..ตามที่เพงไซอ๋องกราบทูลนั้น เป็นการสมควรแล้ว เพราะถ้าเต๊กเหล็งรู้สติไหนเลยจะทนนิ่งอยู่ได้ ข้าพเจ้าเกรงว่าเต๊กเหล็งคงจะถูกมอมสุรายาพิษเป็นแน่ อนึ่งในเรื่องนี้ข้าพเจ้ามีความสงสัยว่า คงจะมีเลศนัยอะไรสักอย่างหนึ่ง เพราะซึงคี้ฮู่ม้ากับเต๊กเหล็งนั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยปรากฎว่าเป็นคนชอบพอไปมาหาสู่กัน เหตุใดซึงคี้จึงได้คอยดักเชิญเพงไซอ๋องและเต๊กเหล็งให้แวะกินโต๊ะเสพสุรา จนมีเหตุเกิดขึ้นดังนี้ เป็นการน่าประหลาดยิ่งนัก ขอพระองค์ทรงดำริดูให้รอบคอบก่อน………”

ซึงคี้ได้ยินเปาบุ้นจิ้นกราบทูลพาดพิงถึงตนดังนั้น ก็ตกใจจนสีหน้าผิดปกติ แต่แข็งใจกราบทูลว่า

“……..ตามที่เปาเล่งถูกราบทูลนั้น คล้ายกับจะใส่ความว่าข้าพเจ้าเป็นผู้คิดร้ายต่อเต๊กเหล็ง แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ การที่ข้าพเจ้าเชื้อเชิญเพงไซอ๋องและเต๊กเหล็งให้แวะเสพสุราด้วย ก็เพราะเห็นว่าเพงไซอ๋องเป็นผู้ใหญ่ และมีความชอบต่อแผ่นดินมามาก จึงอยากเป็นที่รู้จักคุ้นเคยไว้ เพื่อจะได้พึ่งพาอาศัยในวันหน้า……..”

ฮ่องเต้ทรงฟังคำโต้แย้งทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็ทรงตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงรับสั่งกับ เปาบุ้นจิ้นว่า

“……ซึ่งท่านระแวงว่าเป็นอุบายของซึงคี้นั้น ถ้าเป็นจริงกงจู๊คงจะรู้เห็นเป็นใจด้วย และนำความมาบอกแก่เราให้ลงโทษเต๊กเหล็ง หรือถ้าจะลงเอาว่าซึงคี้มอมสุราเต๊กเหล็ง แล้วอุ้มขึ้นไปนอนร่วมที่ของกงจู๊โดยกงจู๊มิได้รู้เห็นด้วย ก็หาใช่เหตุที่จะทำให้กงจู๊ต้องฆ่าตัวตายไม่ เราเห็นว่าเต๊กเหล็งคงจะทำการมิดีมิร้าย ให้กงจู๊ได้รับความเจ็บอาย ถึงแก่ไม่อาจครองชีวิตอยู่ดูหน้าคนทั้งปวง เป็นอันว่าเต๊กเหล็งมีความผิดแน่แล้ว ท่านอย่าสงสัยเลย……..”

เปาบุ้นจิ้นจึงทูลว่า

“……ซึ่งพระองค์ทรงเห็นดังนั้น ก็มีเหตุผลน่าฟังอยู่ แต่จะลงโทษประหารชีวิต เต๊กเหล็งในขณะที่ไม่มีสติดังนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่ายังหาเป็นยุติธรรมไม่ ข้าพเจ้าจะขอผัดต่ออีกสามวัน ข้าพเจ้าจะสืบสวนเอาความจริงให้จงได้ ถ้าพ้นสามวันข้าพเจ้าพิจารณาไม่ได้ความแล้ว พระองค์จะลงโทษเต๊กเหล็งประการใด ก็แล้วแต่จะโปรดเถิด…….”

ฮ่องเต้มิอาจที่จะขัดขืนได้ ก็ทรงอนุญาตให้ตามประสงค์ แล้วเสด็จเข้าข้างใน เปาบุ้นจิ้นก็กลับมาบ้าน หาทางพิสูจน์ความจริงต่อไป.

############

นิตยสารโล่เงิน
พฤศจิกายน ๒๕๔๗







 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2551 9:26:35 น.
Counter : 595 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.