Group Blog
 
All Blogs
 

ตอนที่ ๑๑ แม่ทัพเป็นจำเลย

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๑๑ แม่ทัพเป็นจำเลย

" เล่าเซี่ยงชุน "

ในรัชสมัยราชวงศ์ซ้องนั้น พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ได้สืบราชสมบัติถัดจาก พระเจ้าซ้องไทโจ๊วฮ่องเต้ มาได้สี่ชั่วกษัตริย์ ขณะนั้นมี เต็กเซง เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายบู๊ และ เปาบุ้นจิ้น เป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายบุ๋น ตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองเปียนเหลียง

อยู่มาได้รับหนังสือกราบทูลจากเจ้าเมืองเซียมไซ ว่าเกิดฝนแล้งราษฎรทำนาไม่ได้ผล ผู้คนอดอยากล้มตายลงเป็นอันมาก พระเจ้าซ้องยินจงทอดพระเนตรทราบความแล้ว จึงตรัสกับขุนนางทั้งปวงว่า จะต้องให้เปาบุ้นจิ้นคุมเอาเงินทอง และเสบียงอาหาร ไปจ่ายแจกให้ราษฎรที่เมืองเซียมไซ แล้วก็รับสั่งเลื่อนยศเปาบุ้นจิ้น ให้เป็นที่ เปาเล่งถู ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นำเสบียงอาหารไปแจกจ่ายแก่ราษฎร และให้ตรวจราชการต่างพระเนตรพระกรรณ เปาบุ้นจิ้น ก็เดินทางไปตรวจราชการตามหัวเมืองต่าง ๆ ตามรับสั่ง ติดต่อกันไปเป็นเวลานาน

ต่อมาทางเมืองไซหยงซึ่งขึ้นอยู่กับเมืองเปียนเหลียง ไม่ได้ส่งเครื่องบรรณาการมาคำนับหลายปี พังหอง ขุนนางผู้ใหญ่ที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน แต่เป็นฝ่ายกังฉิน ก็กราบทูลให้ พระเจ้าซ้องยินจง มีรับสั่งให้เต็กเซงยกกองทัพไปปราบปราม เมืองไซหยงให้อ่อนน้อมดังเดิม

เต็กเซงซึ่งอยู่รักษาเมืองซำก๋วน ก็ยกทหารห้าหมื่นกับทหารเสือคู่ใจอีกห้านาย ไปตามรับสั่ง แต่เดินทัพไปประมาณสามสิบวัน พบทางแยกสองแพร่ง ทัพหน้าไม่รู้หนทางก็พาเดินไปตีเอาเมืองเซียนเชียนก๊ก ซึ่งได้ส่งเครื่องบรรณาการทุกปีมิเคยขาด เจ้าเมืองจึงจัดกองทัพออกต่อสู้ แม่ทัพคือ นางโปยโปกงจู๊ บุตรสาวเจ้าเมือง มีฝีมือเข้มแข็งมาก สามารถเอาชนะเต็กเซง และจับตัวเต็กเซงกับทหารเอกทั้งห้านายเป็นเชลยได้

เจ้าเมืองเซียนเชียนก๊กจะประหารเสีย ก็เกรงว่าจะต้องเป็นศัตรู ทำศึกใหญ่กับพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ให้ได้ยากแก่ทหาร จึงเกลี้ยกล่อมเต็กเซงให้อยู่รับราชการ และยกนางโปยโปกงจู๊ให้อยู่กินเป็นภรรยาด้วย เต็กเซงจึงจำใจยอมสวามิภักดิ์ต่อเจ้าเมืองเซียนเชียนก๊ก

เมื่อพังหองได้ทราบข่าว จึงกราบทูลพระเจ้าซ้องยินจง ให้ลงอาญาแก่เต็กเซงถึงขั้นประหารชีวิตเสียทั้งโคตร แต่พระเจ้าซ้องยินจงเกรงใจ นางเต็กไทเฮา พระมารดาเลี้ยง ซึ่งเป็นน้องของบิดาเต็กเซง จึงมีรับสั่งให้คุมตัว นางเมงสี มารดาของเต็กเซง ซึ่งเป็นที่เอียวไทกุ๋น มา จำขังไว้ในวัง และมีรับสั่งแจ้งให้เต็กเซงไปตีเมืองไซหยงแก้ตัว จึงจะพ้นโทษประหาร

ต่อมานางโปยโปกงจู๊ได้ตั้งครรภ์ เต็กเซงก็วางอุบายหนีออกจากเมืองเซียนเชียงก๊ก พาทหารเอกห้านายและกองทัพของตน ยกไปตีเมืองไซหยงตามรับสั่งของพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้

เต็กเซงได้รบกับ เฮกหลี ทหารเอก ซึ่งเป็นบุตรเขยของเจ้าเมืองไซหยง เต็กเซงฆ่าเฮกหลีตาย แต่ก็ถูกกองทหารเมืองไซหยงล้อมไว้ ไม่สามารถตีหักออกมาได้ นางโปยโปกงจู๊ซึ่งคลอดบุตรเป็นชายฝาแฝดแล้ว ได้ทราบข่าวจึงยกกองทัพจากเมืองเซียนเชียงก๊กมาช่วยรบ จนได้ชัยชนะ เจ้าเมืองไซหยงยอมอ่อนน้อม มอบธงวิเศษประจำเมืองให้เต็กเซง และขอส่งบรรณาการถวายพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ดังเดิม

เต็กเซงจึงยกกองทัพกลับเมืองเปียนเหลียง แต่นางโปยโปกงจู๊นั้นกลับไปเลี้ยงดูบุตรที่เมืองเซียนเชียงก๊ก ไม่ได้ตามเต็กเซงมาที่เมืองเปียนเหลียงด้วย

เมื่อเต็กเซงได้เข้าเฝ้า พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ก็ตรัสถามว่า ได้ใช้ให้ไปเมืองไซหยง เหตุใดจึงไพล่ไปเมืองเซียนเชียงก๊ก จนมีภรรยา และยอมสวามิภักดิ์อยู่กับเจ้าเมืองเซียนเชียงก๊ก เต็กเซงก็กราบทูลเล่าเรื่องราวให้ทรงทราบทุกประการ ฮ่องเต้ก็รับสั่งว่าโทษเจ้าก็มี ความชอบในแผ่นดินก็มาก คุณกับโทษพอจะลบล้างกันได้

เต็กเซงจึงกราบทูลว่า

"…ซึ่งโทษข้าพเจ้าผิดนั้นแล้วแต่จะโปรด จะขอรับพระราชทานแต่มารดาให้พ้นโทษ”

พระเจ้าซ้องยินจงจึงรับสั่ง โปรดมารดาเต็กเซงให้พ้นโทษ พังหองก็กราบทูลว่า อันเต็กเซงโทษผิดมากหลายข้อ ไม่ไปตามรับสั่งนั้นข้อหนึ่ง ยอมสวามิภักดิ์กับเจ้าเมืองเซียนเชียงก๊กข้อหนึ่ง จะต้องทำโทษเสียอย่าให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป พระเจ้าซ้องยินจงกลับตรัสว่าที่ได้ใช้ให้เต็กเซงไปก็เพราะพังหองเป็นผู้เสนอ พังหองจึงจนปัญญามิรู้ที่จะทูลประการใดต่อไป

เมื่อเสด็จขึ้นแล้ว เต็กเซงจึงกล่าวแก่พังหองว่า

"......ซึ่งข้าพเจ้าไปศึกสงครามมีชัยชนะ ก็เพราะท่านกราบทูลให้จึงได้ไป พระเดชพระคุณของท่านมีกับข้าพเจ้าเป็นอันมาก ครั้นข้าพเจ้ากลับมา พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้โปรดให้ กับมารดาพ้นโทษแล้ว เหตุใดท่านจึงมาพูดดังนี้ ข้าพเจ้ากับท่านก็ไม่มีข้อขัดเคืองสิ่งใดกันเลย หา ควรที่ท่านจะมาเป็นเช่นนี้ไม่....."

พังหองก็ออกตัวว่า

"....เราไม่มีข้อสาเหตุขัดเคืองสิ่งใดกับท่านดอก มิใช่จะแกล้งยกข้อผิดแก่ท่านเมื่อไร ซึ่งทูลทั้งนี้ก็ตามความจริง ด้วยเราเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้เข้ากับผู้ใด....."

ว่าแล้วพังหองก็กลับไปบ้าน

หลังจากนั้นเต็กเซงก็นำนางเม่งสีมารดา เข้าไปคำนับนางเต็กไทเฮาในวัง เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง นางเต็กไทเฮาก็ยินดีรับพี่สะใภ้ให้อยู่ในวังนำเชงเก๋งด้วย

ในวันรุ่งขึ้นเมื่อพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้เสด็จออกขุนนาง โลฮวยอ๋อง ก็กราบทูลว่า นางเต็กไทเฮาจะขอรับพระราชทาน ให้เต็กเซงเลื่อนขึ้นเป็นอ๋อง ด้วยได้มีความชอบเป็นอันมาก ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสปรึกษากับขุนนางทั้งปวง ว่าจะเห็นประการใด

ขุนนางผู้เฒ่าฝ่ายโหรชื่อ ชุยสิน ก็ว่าเต็กเซงมีความชอบมากกว่าความผิด ซึ่งจะโปรดให้เลื่อนเป็นอ๋องนั้นควรแล้ว ขุนนางผู้เฒ่าอื่น ๆ อีกมาก ก็กราบทูลว่าสมควรแล้ว เมื่อฮ่องเต้หันมาตรัสถามพังหอง จึงไม่สามารถจะคัดง้างแต่ผู้เดียวได้ จำต้องเห็นคล้อยตามไปด้วย พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้จึงทรงแต่งตั้งให้เต็กเซง เป็นที่ เพงไซอ๋อง

ต่อมาพังหองก็นำ เอียเทา ขุนนางอีกผู้หนึ่งเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ในเวลาเสด็จออกขุนนาง เอียเทาก็กราบทูลว่า เต็กเซงมีความชอบมาก ได้โปรดให้เป็นที่เพงไซอ๋อง และพระราชทานบ้านเรือนสมควรแก่ยศศักดิ์แล้ว แต่ยังไม่มีภรรยาจึงขอถวาย นางฮองเกียว บุตรสาวอายุสิบเก้าปี รูปร่างหมดจดงดงาม มีสติปัญญา ให้เป็นภรรยาเพงไซอ๋อง

ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

".....เพงไซอ๋องนั้นได้นางโปยโปกงจู๊ เป็นภรรยาแล้ว ซึ่งจะให้เขาทิ้งภรรยาเก่า มีภรรยาใหม่นั้นไม่ชอบ....."

เอียเทาก็กราบทูลว่าภรรยาเพงไซอ๋องอยู่ถึงเมืองไกล เมื่อไรจะได้มาอยู่กินกับ เพงไซอ๋อง ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

"....นางโปยโปกงจู๊เขามีความชอบต่อแผ่นดิน เราคิดอยู่ว่า ถ้าว่างราชการเป็นฤดูแล้ง จะแต่งคนให้ไปรับมาไว้ ให้อยู่กินกับเพงไซอ๋องในเมืองเปียนเหลียงนี้....."

พังหองก็กราบทูลว่า เต็กเซงเป็นที่เพงไซอ๋องมียศศักดิ์ใหญ่ สมควรจะมีภรรยาหลายคนได้ ถ้าให้นางโปยโปกงจู๊เป็นภรรยาเอก ให้บุตรสาวเอียเทาเป็นภรรยารองก็สมควร ฮ่องเต้ก็ตรัสถามเอียเทาว่าจะขัดข้องหรือไม่ เอียเทาก็กราบทูลว่า แล้วแต่จะโปรด

เมื่อถึงวันฤกษ์ดีเอียเทาก็จัดการแต่งงานขึ้นที่บ้านเพงไซอ๋อง แล้วส่งตัวเจ้าสาวพร้อมด้วยคนรับใช้หญิงสี่คนมาอยู่ด้วย ในงานนี้ขุนนางข้าราชการมาช่วยงาน และเลี้ยงดูกันเป็นอันมาก พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้โปรดพระราชทาน ผ้าผ่อน เงินทอง สิ่งของต่าง ๆ ตามสมควร

แต่เมื่อเปาบุ้นจิ้นซึ่งออกไปตรวจราชการ และแจกเสบียงอาหารให้แก่ราษฎรตามหัวเมืองซึ่งขัดสนเสร็จแล้ว กลับมาถึงเมืองเปียนเหลียง ชุยสินกับ บุนงวนภัก ขุนนางผู้ใหญ่ ก็พากันมาหาถึงที่พักแล้วเล่าว่า

".....มีรับสั่งให้ข้าพเจ้าชำระความเรื่องหนึ่งยากนักหนา ไม่รู้ว่าจะทำยังไรให้ได้ความจริง แต่ตรึกตรองอยู่หลายวันยังไม่เห็นช่องเลย ท่านมาถึงก็ดีแล้ว ด้วยท่านเคยชำระความใหญ่ ๆ มามาก แต่ข้าพเจ้าทั้งสองนี้จนปัญญาเสียแล้ว...."

เปาบุ้นจิ้นก็ถามถึงมูลคดี ทั้งสองก็บอกว่า คดีนี้เอียเทากล่าวหาฟ้องเพงไซอ๋องว่าได้ฆ่านางฮองเกียวภรรยา ซึ่งเป็นบุตรสาวของตน ที่ได้ยกให้แต่งงานด้วยยังไม่ถึงสิบวัน ถึงแก่ความตาย โดยไม่มีข้อผิดสิ่งใดเลย

เปาบุ้นจิ้นก็ว่า

"....ความนิดหน่อยเท่านี้ ท่านมาบอกว่าสิ้นปัญญาเสียแล้ว ถ้าข้าพเจ้าชำระก็คงได้ความจริง ท่านก็ย่อมรู้อยู่แล้ว....."

จึงต้องคอยดูกันต่อไปว่า ท่านเปาบุ้นจิ้นจะตัดสินคดีนี้ด้วยวิธีใด จึงจะได้ความจริงว่า เรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่.

##########

นิตยสารโล่เงิน
ธันวาคม ๒๕๔๖




 

Create Date : 23 เมษายน 2551    
Last Update : 26 เมษายน 2551 6:19:59 น.
Counter : 517 Pageviews.  

ตอนที่ ๑๐ ฮ่องเต้พ้นทุกข์

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๑๐ ฮ่องเต้พ้นทุกข์

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อ กวยหวย ขันทีซึ่งชรามากอายุได้แปดสิบสองปี ต้องมีผู้ประคองเข้ามาเฝ้าแล้ว ฮ่องเต้จึงตรัสถามว่าเมื่อครั้งแผ่นดินพระเจ้าซ้องจีนจงฮ่องเต้ เสด็จไปขัดทัพเมืองทันจิวนั้น การที่เกิดขึ้นในพระราชวัง ผู้ใดเอาแมวตายไปเปลี่ยนพระราชบุตร อนึ่งที่เกิดเพลิงไหม้เก๋ง นางลีสินฮุย นั้น ท่านแจ้งบ้างหรือไม่ผู้ใดกระทำ

กวยหวยได้ฟังรับสั่งถามถึงความหลังก็ตกใจ ให้วิตกถึงครั้งตนเองกับนางเล่าไทเฮาทำความไว้ ก็ช้านานได้ยี่สิบสี่ปีเศษแล้ว เหตุใดฮ่องเต้จึงได้ทรงทราบ จึงทูลว่าความเรื่องนี้หาทราบไม่ ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้ เปาบุ้นจิ้น ชำระความ กวยหวยก็ไม่รับแม้จะตายก็ไม่ยอมรับ

ต่อมาเปลี่ยนให้ เฮงเปง เป็นผู้ชำระความแทนเปาบุ้นจิ้น นางเล่าไทเฮา ก็จัดเพชรพลอยอย่างดีสามร้อยเม็ด กับทองคำห้าสิบแท่ง มาติดสินบน จนเฮงเปงหาหนทางช่วยเหลือกวยหวยไม่ให้มีความผิด แต่เปาบุ้นจิ้นจับได้ และสารภาพว่าได้รับสินบนจากนางเล่าไทเฮาจริง จึงมีรับสั่งให้ประหารชีวิตเฮงเปงเสีย แล้วให้เปาบุ้นจิ้นชำระกวยหวยใหม่

เปาบุ้นจิ้นจะให้พังหองชำระ พังหองก็ไม่กล้ารับ จึงไม่มีผู้ใดคัดค้านอีก เปาบุ้นจิ้นทำอุบายหลอกกวยหวย จนยอมรับเป็นสัตย์ต่อพระพักตร์ฮ่องเต้ว่า

“……เดิมข้าพเจ้าเป็นขันทีอยู่ในพระราชวัง นางเล่าไทเฮาคลอดพระราชบุตรเป็นหญิง นางลีสินฮุยมเหสีรองคลอดพระราชบุตรเป็นชาย พระเจ้าซ้องจีนจงฮ่องเต้เสด็จไปราชการทัพ นางเล่าไทเฮาจึงปรึกษากับข้าพเจ้าว่า บุตรของตัวเป็นหญิงบุตรนางลีสินฮุยเป็นชาย นานไปก็คงได้ราชสมบัติ จำจะต้องคิดกำจัดบุตรนางลีสินฮุยเสีย……..”

แล้วก็เล่าถึงการซึ่งตนกับนางเล่าไทเฮา และสมัครพรรคพวกคบคิดกันกำจัดพระราชบุตร และเอาไฟเผาเก๋งนางลีสินฮุย แต่นางจะเป็นตายอย่างไรหาทราบไม่

พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ทรงสดับคำให้การของกวยหวยโดยตลอดแล้ว ก็ทรงพระกันแสง มีความแค้นกวยหวยกับนางเล่าไทเฮาเป็นอันมาก แต่มิได้ตรัสประการใด เปาบุ้นจิ้นให้เสมียนจดถ้อยคำกวยหวยไว้เป็นหลักฐานแล้ว ฮ่องเต้จึงตรัสว่า

“……..กวยหวยนี้หามีกตัญญูต่อแผ่นดินไม่ ทำให้เราพลัดพรากจากพระราชมารดา และพระราชมารดาได้ความทุกขเวทนาเป็นอันมาก นี่หากว่าเปาบุ้นจิ้นมีสติปัญญา จึงอาจสามารถทำอุบายเอาความจริงได้……..”

แล้วจึงมีรับสั่งให้ทหารรักษาพระองค์ เอาตัวกวยหวยไปจำขังไว้ เปาบุ้นจิ้นก็กราบทูลว่า

“………ตันหลิม เป็นผู้ช่วยชีวิตพระองค์ไว้ ถ้าพระองค์จะใคร่ทราบความเดิมให้ละเอียด จงให้หาตันหลิมมาถามดูเถิด……….”

ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้หาตันหลิมเข้ามาเฝ้า แล้วตรัสถามว่าเมื่อครั้งแผ่นดินพระเจ้าซ้องจีนจงฮ่องเต้ นางเล่าไทเฮาทำการกำจัดพระราชบุตรนั้น ท่านรู้ความประการใดจงเล่าให้ฟัง ตันหลิมก็อุบอิบอยู่หาอาจกราบทูลข้อความประการใดไม่ เปาบุ้นจิ้นรู้ทีจึงว่า ท่านจงทูลไปตามจริงเถิด อย่าเกรงผู้ใดเลย นางเล่าไทเฮากับกวยหวยรับเป็นสัตย์แล้ว

ตันหลิมก็มีความยินดีกราบทูลว่า วันหนึ่งเป็นวันแซยิดของโปยอ๋อง ตนไปเก็บดอกไม้ในสวนหลวง ก็เห็นนางโควหนิงอุ้มเด็กร้องไห้อยู่ที่ปากสระ จึงถามดูให้รู้ความ นางโควหนิง บอกว่านางเล่าไทเฮากับกวยหวยให้นางเอาราชบุตรมาทิ้งน้ำเสีย แต่นางมีความสงสารนักจึงนั่งร้องไห้อยู่ ตนจึงรับเอาพระราชบุตรซ่อนใส่ในเข่งดอกไม้ พาไปให้โปยอ๋องและนางเต็กไทเฮาเลี้ยงไว้ มิให้ผู้ใดรู้ ครั้นเวลาค่ำเกิดเพลิงไหม้เก๋งนางลีสินฮุย จะเป็นตายประการใดไม่ทราบ โปยอ๋องก็ดับสูญไปเสียก่อนที่พระเจ้าซ้องจีนจงจะเสด็จกลับจากราชการทัพ เป็นความสัตย์จริงตนรู้แต่เท่านี้

ฮ่องเต้จึงตรัสถามต่อไปว่า พระราชบุตรนั้นไปข้างไหน เราไม่ใช่บุตรนางเต็กไทเฮาดอกหรือ ตันหลิมทูลว่าหาใช่บุตรนางเต็กไทเฮาไม่ พระองค์ซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินนี้ เป็นราชบุตรของนางลีสินฮุย ฮ่องเต้ก็ว่าเมื่อรู้ความสิ้นทุกประการแล้ว เหตุใดจึงไม่บอกให้เรารู้แต่แรก ตันหลิมจึงว่า โปยอ๋องก็ถึงแก่กรรมไปแล้ว นางเต็กไทเฮาก็รู้ความไม่ละเอียด นางเล่าฮองเฮากับกวยหวยก็มีอำนาจมาก ตนเองเป็นแต่ผู้น้อย จึงหาอาจกราบทูลประการใดไม่

ฮ่องเต้จึงว่าท่านมีความชอบหนักหนา เราไปรับพระราชมารดามาแล้ว จึงจะตั้งให้ท่านเป็นที่มียศใหญ่ แล้วก็รับสั่งให้เปาบุ้นจิ้นเดินทางล่วงหน้าไปเมืองซินจิว จัดเตรียมการเสด็จ จนพร้อมแล้ว ก็ไปหานางลีสินฮุย คุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่าข้าพเจ้าชื่อเปาบุ้นจิ้นมาถึงแล้ว

นางได้ยินเสียงก็จำได้จึงถามว่า ท่านเข้าไปกราบทูลชำระความของเราแล้วหรือเปาบุ้นจิ้นก็เล่าเรื่องที่ได้กราบทูล และชำระความให้ฟัง แล้วว่าบัดนี้พระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จมารับท่านกลับไปพระราชวัง นางก็มีความยินดีรอท่าอยู่

ฮ่องเต้ก็สด็จพระราชดำเนินออกจากเมืองหลวง พร้อมด้วยขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย ไปรับพระราชมารดาที่เมืองซินจิว เปาบุ้นจิ้นกับเจ้าเมืองและขุนนางกรมการ ก็ออกมาคอยรับเสด็จอยู่นอกเมือง แล้วเชิญเสด็จไปประทับในเมือง รุ่งขึ้นจึงมีรับสั่งให้เปาบุ้นจิ้นนำเสด็จไปจนถึงที่อยู่ของนางลีสินฮุย ฮ่องเต้ก็เสด็จเข้าไปคุกเข่าคำนับ ทรงพระกันแสงพลางทูลว่า ข้าพเจ้าผู้เป็นบุตรมาถึงแล้ว ขอเชิญท่านกลับเข้าพระราชวังเถิด

นางลีสินฮุยได้ฟังก็ร้องไห้ เอามือไปคลำดูพระเจ้าแผ่นดินแล้วว่า

“……แต่มารดาจากมายี่สิบห้าปีแล้ว ต้องทนทุกขเวทนาอยู่ที่นี่ จักษุก็มืดหาเห็นสิ่งใดไม่ นี่หากว่าได้กวยไฮซิวหาเลี้ยงมารดา จึงได้รอดชีวิตมา ซึ่งเจ้าได้พบมารดาก็เพราะ เปาบุ้นจิ้นเขามีสติปัญญา จึงได้รู้จักพบปะกัน กวยไฮซิวเขามีคุณต่อมารดามากนัก เจ้าจงชุบเลี้ยงเขาด้วย…….”

ฮ่องเต้ก็ว่ามารดาอย่าได้วิตกถึงกวยไฮซิวเลย ขอเชิญกลับเข้าพระราชวังเถิด นางลีสินฮุยก็ว่า

“……..มารดาอยากจะอยู่ที่เมืองซินจิวนี้ตามสบาย ด้วยจักษุไม่เห็นหนสิ่งใด เจ้าจะได้ความอายแก่ขุนนางและราษฎร……..”

แม้ฮ่องเต้จะตรัสวิงวอน นางก็ยังยืนคำเดิม เปาบุ้นจิ้นจึงกราบทูลแนะนำให้ฮ่องเต้ทรงเสี่ยงพระบารมีดูก่อน ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะเครื่องบูชาสำหรับบวงสรวงเทพยดา แล้วทรงจุดธูปเทียนบูชา และทรงอธิษฐานว่า

“…..ขอเทพยดาทั้งหลายจงมาช่วยอวยชัยข้าพเจ้าบัดนี้ ด้วยพระราชมารดาข้าพเจ้าแต่พลัดพรากจากไปช้านานหนักหนา จนพระราชมารดาเสียจักษุ ข้าพเจ้าจะเอาชิวหาแห่งข้าพเจ้า เลียที่จักษุพระราชมารดา ขอให้จักษุพระราชมารดาข้าพเจ้า เห็นปกติดีดังเก่า ข้าพเจ้าจะยกส่วยสาอากรที่เมืองซินจิวเสียสิบปี อนึ่งนักโทษที่ถึงตายจะยกโทษไว้มิให้ตาย ถ้าผู้ใดโทษหนักโทษเบา ข้าพเจ้าจะปล่อยเสียให้สิ้นทั้งแผ่นดิน ขอเทพยดาทั้งหลายจงบันดาลให้สำเร็จความปรารถนาแห่งข้าพเจ้าเถิด………”

ครั้นอธิษฐานบนบานแล้ว ฮ่องเต้ก็เอาพระชิวหาเลียที่พระเนตรพระราชมารดาทั้งสองข้าง เทพยดาก็บันดาลให้จักษุนางลีสินฮุยเห็นเป็นปกติดังเก่า นางก็มีความยินดี ตรัสกับฮ่องเต้ว่าจักษุมารดาแลเห็นแล้ว ฮ่องเต้ก็มีความยินดียิ่งนัก จึงมีรับสั่งให้ทำตามที่ได้บนบานไว้ทุกประการ

วันต่อมาฮ่องเต้ก็เชิญพระราชมารดาขึ้นรถ ยกขบวนกลับเมืองหลวง และมีรับสั่งให้กวยไฮซินตามเสด็จไปด้วย โลฮวยอ๋อง บุตรนางเต็กไทเฮาและขุนนางใหญ่น้อยทั้งปวง ก็คอยรับเสด็จอยู่นอกเมืองหลวง และเชิญเสด็จพระราชมารดาเข้าพระราชวัง ตั้งพระนามเป็นที่ลีไทเฮา

นางจึงตรัสกับฮ่องเต้ว่า เทพารักษ์ที่ศาลตังเง็กไต้ตี่ได้มาเฝ้าฝันมารดาว่า ต้องให้เปาบุ้นจิ้นชำระเรื่องนี้จึงจะได้ คุณมีอยู่มากนักหนา เจ้าต้องคิดอ่านตอบแทนสนองคุณท่านให้สมควร

ฮ่องเต้จึงตรัสว่า

“……..มารดาอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะให้ทำตามประสงค์ แต่กวยหวยนี้มีโทษมาก จะต้องกำจัดประหารชีวิตเสีย เล่าไทเฮาก็มีโทษอยู่ มารดามาถึงพระราชวังแล้ว ก็หามาไต่ถามและเยี่ยมเยือนตามธรรมเนียมไม่ ตันหลิมกับเต็กไทเฮานี่หาดีไม่ ด้วยปิดบังความไว้จนบัดนี้ และเล่าไทเฮากับเต็กไทเฮาตันหลิม สามคนนี้ข้าพเจ้ามอบให้มารดาบังคับโทษ………”

นางลีไทเฮาตรัสว่า

“…….เจ้าว่าดังนั้นหาควรไม่ ตันหลิมเขาได้อุ้มเจ้าไปส่งให้เต็กไทเฮา ทำนุบำรุงเจ้าไว้ จนเติบใหญ่ได้ราชสมบัติเป็นเจ้าแผ่นดิน เจ้าจึงมาพบกับมารดา ถ้าหากตันหลิมกับ เต็กไทเฮาไม่ช่วยเจ้า ไหนเลยแม่ลูกจะได้รู้จักกัน ถึงมารดาเป็นที่เกิดของเจ้าก็จริงอยู่ แต่หาได้ทำนุบำรุงเลี้ยงเจ้าไม่ ตันหลิมกับเต็กไทเฮามีคุณแก่เจ้าหนักหนา เจ้าก็เป็นมหากษัตริย์มียศศักดิ์ใหญ่ จะมาลบหลู่ผู้มีคุณเสียนั้นหาควรไม่ แต่กวยหวยนั้นมีโทษมากจะกำจัดเสียก็ควร เล่าไทเฮาก็มีโทษ แต่มารดาหาได้ผูกพันถือโทษไม่ มารดาคิดว่าจะไปคำนับเขาตามผู้ใหญ่ผู้น้อย……..”

ฮ่องเต้ก็ไม่อาจขัดขืนคำพระราชมารดา และดำรัสให้นางข้างในนำเสด็จไปที่เก๋งนางเล่าไทเฮา นางพนักงานจึงทูลว่าเมื่อพระองค์เสด็จไปเมืองซินจิวนั้น นางเล่าไทเฮาได้ผูกคอตายเสียแล้ว นางเชาฮองเฮา มเหสีเห็นว่านางเล่าไทเฮามีโทษอยู่ จึงให้เอาศพใส่หีบไว้รอฟังรับสั่งว่าจะโปรดประการใด

นางลีไทเฮาแจ้งว่านางเล่าไทเฮาดับสูญล่วงไปแล้ว คิดถึงความที่มีมาแต่หนหลัง ก็อาลัยนัก ด้วยเคยทำราชการมาด้วยกัน จึงจะให้เจ้าพนักงานเอาศพนางเล่าไทเฮา ไปฝังไว้เคียงกับพระศพพระเจ้าซ้องจีนจงฮ่องเต้ แต่ฮ่องเต้แย้งว่านางเล่าไทเฮามีโทษมาก จะเอาศพฝังไว้ริมพระศพนั้นหาควรไม่ จะเสียประเพณีไป พระราชมารดาก็เห็นชอบด้วย

รุ่งขึ้นเมื่อฮ่องเต้เสด็จออกขุนนางเฝ้าครบตามตำแหน่งแล้ว จึงมีพระราชดำรัสให้ขุดศพ นางโควหนิง ผู้อุ้มเอาพระราชบุตรไปส่งให้ตันหลิม และได้บอกเหตุกับพระราชมารดา มีความชอบมาก ไปฝังไว้ข้างพระศพพระราชบิดา และให้มีป้ายศิลาปักไว้เป็นสำคัญ

ตันหลิมนั้นได้พาพระราชบุตรไปส่งโปยอ๋องเต็กไทเฮา มีความชอบให้เป็นที่เกาเชยเกาส่วย ว่ากล่าวขันทีและการข้างในสิทธิ์ขาดแทนที่กวยหวย

นางเต็กไทเฮานั้นได้เลี้ยงรักษาพระราชบุตรไว้จนเจริญวัย มีความชอบ แต่ปิดบังอำความไว้มิได้กราบทูลให้ทราบมีความผิด คุณกับโทษก็กลบลบกันไป คงให้เป็นที่เต็กไทเฮาดังเก่า

เล่าไทเฮาได้ทำอุบายจะทำร้ายพระราชบุตร มีความผิดมาก แต่ได้เป็นมเหสีที่หนึ่งของพระราชบิดา อนึ่งได้ตั้งเป็นที่ไทเฮาแล้ว จึงยกโทษเสียให้เอาศพไปฝังในที่อันควร แต่อย่าให้ฝังริมพระศพพระราชบิดา

เปาบุ้นจิ้นนั้นมีความชอบมาก ชำระเอาความจริงได้ ให้เป็นที่ เล่งภูเกาะ ขุนนางผู้ใหญ่ ได้บังคับว่ากล่าว และตัดสินข้อความเด็ดขาด และเป็นผู้สำเร็จราชการบังคับได้ทั่วอาณาเขต

กวยหวยนั้นให้ประหารชีวิตเสีย เมื่อจะประหารให้ตันหลิมไปดูด้วย กวยหวยจะได้มีความอายแก่ตันหลิม

เจ้าพนักงานก็พากวยหวยไปตามรับสั่ง ครั้นทหารลงดาบประหารกวยหวยนั้น ตันหลิมคิดว่ากวยหวยนี้มียศศักดิ์ใหญ่ แต่คิดหาดีไม่ จึงต้องตายด้วยคมอาวุธ ถ้าแม้นคิดดีก็คงมีความชอบเหมือนกับตนเอง คิดแล้วก็หัวเราะขึ้น แต่ความที่ชราอายุถึงเก้าสิบสองปี จึงเกิดเป็นลมปัจจุบันขึ้นมา ถึงแก่ความตายในเวลานั้นเอง

ครั้นรับสั่งให้ฝังศพตันหลิม ตามยศอย่างขุนนางผู้ใหญ่แล้ว ก็มีรับสั่งให้กวยไฮซิวเข้ามาเฝ้า และตั้งให้เป็นเจ้าที่ อันลักอ๋อง และให้อยู่รับราชการในเมืองหลวง แต่อันลักอ๋องขอกลับไปอยู่ที่เมืองซินจิวบ้านเดิม จึงรับสั่งให้จัดกระบวนแห่เกียรติยศไปส่ง จนถึงวังที่สร้างขึ้นใหม่ที่เมืองซินจิว

ส่วนทางเมืองซำก๋วนนั้น เมื่อฮ่องเต้สบายพระทัยแล้ว ก็ตั้ง เต็กเชง ให้เป็นที่ฮูง่วนส่วยแม่ทัพรองของ เอียจงเปา ต่อมาเต็กเชงป่วยหนัก เจ้าเมืองไซหยงก็ยกทัพมาตีเมืองซำก๋วนอีก เอียจงเปาออกรบ ก็ถูกอาวุธของแม่ทัพข้าศึกถึงแก่ความตาย แต่ เจียเง็ก ซึ่งสูญหายไปเมื่อครั้งที่ต่อสู้กับปีศาจที่เมืองยินอันกุ้ย ก็กลับมาเล่าว่า เฮงเซียนเล่าโจ๊ อาจารย์ของเต็กเชง มาช่วยให้พ้นภัย แล้วรับเอาตัวไปสั่งสอนเพลงอาวุธและตำราพิชัยสงคราม บัดนี้ได้สั่งให้กลับมาช่วยเต็กเชง

เมื่อเต็กเชงหายป่วยแล้ว ทั้งสองก็สู้รบกับแม่ทัพของเมืองไซหยงจนได้ชัยชนะ แม้จะยกกองทัพมาอีกครั้งหนึ่งก็พ่ายแพ้ จนยอมส่งเครื่องบรรณาการแก่เมืองเปียนเหลียง เป็นการสิ้นศึกสงคราม เต็กเชงกับเจียเง็กก็มีความชอบมาก พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้จึงมีรับสั่งแต่งตั้งให้ เต็กเชงเป็นแม่ทัพใหญ่ อยู่รักษาเมืองซำก๋วนแทนเอียจงเปา และตั้งให้เจียเง็กเป็นแม่ทัพรอง

เต็กเชงก็ให้คนไปรับ นางเม่งสี มารดามาอยู่ด้วยกันที่เมืองซำก๋วน มีความสุขสบาย เป็นปกติด้วยกันทุกคน.

###########

นิตยสารโล่เงิน
พฤศจิกายน ๒๕๔๖




 

Create Date : 20 เมษายน 2551    
Last Update : 20 เมษายน 2551 6:38:32 น.
Counter : 446 Pageviews.  

ตอนที่ ๙ ชำระความเก่า

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๙ ชำระความเก่า

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ฝ่าย เปาบุ้นจิ้น ซึ่งมีรับสั่ง พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ให้คุมเงินหลวงไปซื้อข้าวที่เมืองอื่น มาแจกให้ราษฎรเมืองซินจิว ซึ่งทำนาไม่ได้ผลด้วยหนอนกัดต้นข้าวเสียสิ้น ทำให้ขัดสน เปาบุ้นจิ้นก็อยู่ช่วยเหลือราษฎรที่เมืองซินจิวสองปีเศษ

วันหนึ่งมีราชการที่จะต้องกลับไปเมืองหลวง จึงมอบธุระไว้ให้แก่ผู้รักษาเมืองซิน จิว ให้แจกข้าวแก่ราษฎรที่ยากจน อย่าให้ได้ความเดือดร้อน แล้วก็เดินทางออกจากเมืองซินจิวได้วันหนึ่ง ถึงศาลเทพารักษ์ตังงักเปียเวลาจวนค่ำ จึงให้หยุดพักที่ศาลนั้นคืนหนึ่ง ครั้นรุ่งเช้าก็ออกจากศาลเทพารักษ์ เดินต่อไปถึงสะพานตันเกียเผอิญให้ลมพัดกระโชกมา หอบเอาหมวกบนศรีษะ ของเปาบุ้นจิ้นตกลงในน้ำ ทหารซึ่งตามมาด้วยนั้นก็ไปเก็บเอาหมวกมาคืนให้

เปาบุ้นจิ้นรับหมวกมาแล้วก็คิดว่า ซึ่งลมหอบเอาหมวกเราไปนี้ คงมีเหตุสักอย่างหนึ่งเป็นมั่นคง คิดแล้วก็สั่งให้กลับไปพักอยู่ที่ศาลตังงักเปีย แล้วให้ เตียเหลง เตียเฮา นายทหารคนสนิทมาสั่งให้ไปจับเอาตัวลมมาให้ได้

ทั้งสองก็เดินปรึกษากันมาตามทางว่า เราจะคิดประการใดจึงจะจับตัวลมได้ เตีย เฮาจึงว่าเราควรจะไปบอกกับนายอำเภอจะดีกว่า เตียเหลงเห็นชอบด้วยจึงชวนกันเดินไปบ้านนายอำเภอ แล้วบอกว่าท่านผู้สำเร็จราชการให้ท่านนำไปจับตัวลม ที่พัดเอาหมวกของท่านปลิวไป นายอำเภอได้ฟังก็นึกอัศจรรย์ใจนัก ตัวลมอยู่ที่ไหนจะให้ตนไปนำจับ ชะรอยเปาบุ้นจิ้นจะเป็นคนเสียจริตไปแล้วกระมัง นายอำเภอจึงบอกว่าจงเอาหมายมา ตนจึงจะนำไปจับ ทั้งสองก็ทำเป็นตกใจว่าลืมหมายเสียแล้ว จึงให้คอยอยู่ที่นี่ก่อน ตนจะไปเอาหมายมาให้

แล้วทั้งสองนายก็กลับไปหาเปาบุ้นจิ้น แจ้งความตามที่ได้โต้ตอบกับนายอำเภอทุกประการ เปาบุ้นจิ้นได้ฟังก็ทำเป็นโกรธ บอกว่า

“……….เหตุใดเจ้าจึงไปรบกวนนายอำเภอให้ได้ความเดือดร้อน แม้เจ้าทั้งสองจับตัวลมมิได้ เราจะให้ฆ่าเสีย……..”

ว่าแล้วก็โยนหมายให้รับไป ทั้งสองก็เดินปรึกษาหารือกัน จนมาถึงสะพานตันเกีย ที่ลมพัดเอาหมวกของเปาบุ้นจิ้นตกลงไปนั้น สองนายก็คุกเข่าคำนับเทพยดาอยู่สะพาน แล้วร้องประกาศว่า

“……….ขอเทพยดาจงคุ้มกันอันตรายแก่ข้าพเจ้าในบัดนี้ ด้วยข้าพเจ้าทั้งสองทำราชการมาในเปาบุ้นจิ้น โดยซื่อสัตย์สุจริตมิได้คิดเบียดเบียนราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนด้วยสิ่งใด ขอเทพยดาทั้งหลายจงเป็นพยาน………”

พอสิ้นคำประกาศก็เผอิญเป็นลมพัดใหญ่กระโชกมา หอบเอาหมายซึ่งนายทหารทั้งสองถือไว้ปลิวไป ทั้งสองนายก็ตกใจรีบวิ่งตามไปเก็บ หมายนั้นก็ปลิวไปตกที่หาบคนขายผัก ทั้งสองก็บอกชายคนขายผักว่า เปาบุ้นจิ้นนายเราให้หาตัวเจ้าไปบัดนี้ แล้วก็เข้าคุมเอาตัวไป

ราษฎรชาวตลาดเห็นเช่นนั้น จึงบอกว่าชายคนนี้เป็นคนกตัญญูต่อมารดา หาความผิดมิได้ จะเอาตัวไปทำไม ทั้งสองก็ไม่ฟัง ราษฎรทั้งหลายก็พากันตามไปดูว่าจะมีถ้อยความประการใด

เตียเหลงกับเตียเฮาก็นำตัวชายคนขายผัก ไปมอบให้เปาบุ้นจิ้นและเล่าความให้ฟังโดยตลอด เปาบุ้นจิ้นจึงซักถามชื่อแซ่และให้เล่าเรื่องให้ฟัง ชายผู้นั้นก็คำนับแล้วบอกว่าแซ่กวยชื่อไฮซิว และเล่าว่า

“………บิดาข้าพเจ้าถึงแก่กรรมเสียนานแล้ว ยังแต่มารดาก็เสียจักษุทั้งสองข้าง ข้าพเจ้าเที่ยวรับจ้างและหาบผักขาย ได้เลี้ยงมารดาทุกวันนี้ และตัวข้าพเจ้าจะได้ทำความผิดสิ่งใดนั้นหามิได้ ขอท่านได้เมตตาปล่อยข้าพเจ้าเสียเถิด………”

พวกราษฎรชาวตลาดที่ตามมา ต่างก็ยืนยันว่า กวยไฮซิว คนนี้มีกตัญญูต่อมารดา หาเลี้ยงมารดาตาพิการจริง เปาบุ้นจิ้นจึงส่งเงินให้ห้าตำลึงแล้วว่า

“………เจ้ามีกตัญญูต่อมารดาก็ดีแล้ว จงเอาเงินนี้ไปเลี้ยงมารดาเถิด…….”

กวยไฮซิวก็มีความยินดี รับเงินแล้วก็คำนับลากลับไปบ้าน มารดาถามว่าวันนี้เหตุกลับมาแต่วัน กวยไฮซิวก็เล่าความให้ฟังตั้งแต่เปาบุ้นจิ้นให้หาตัวไป แล้วให้เงินมาห้าตำลึงให้ฟังทุกประการ นางได้ยินออกชื่อเปาบุ้นจิ้นจึงถามว่า บัดนี้เปาบุ้นจิ้นอยู่ไหน จงไปบอกเขาว่า มารดาให้เชิญมาสักหน่อย

กวยไฮซิวได้ฟังก็ตกใจบอกมารดาว่า เราเป็นคนอนาถา ซึ่งมารดาจะให้ไปเชิญท่านมานั้น ตนเองกลัวความผิดยิ่งนัก มารดาจึงบอกว่าเจ้าเป็นเด็กจะรู้จักอะไร มารดาใช้แล้วก็จงไปเถิด

กวยไฮซิวขัดมารดามิได้ก็ตรงไปหาเปาบุ้นจิ้น คำนับแล้วแจ้งความว่ามารดาของตนให้เชิญท่านไปที่บ้าน

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังก็คิดว่าใครหนอบังอาจมาเชิญเราไปที่บ้าน คงจะมีเหตุการณ์สักอย่างหนึ่งเป็นมั่นคง คิดแล้วก็สั่งบ่าวไพร่ให้คอยอยู่ที่ศาลเจ้า แล้วเรียกคนสนิทสองนายรีบไปที่บ้านกวยไฮซิวทันที เมื่อเข้าไปในบ้านและกวยไฮซิวแจ้งให้มารดาทราบแล้ว นางก็บอกว่า

“…..ขอเชิญท่านให้เข้ามาใกล้เรา จะขอดูสำคัญว่าจะเป็นเปาบุ้นจิ้น หรือมิใช่…”

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังก็ยิ่งสงสัยนัก คิดว่าหญิงผู้นี้จะเป็นผู้ใดหนอ ดูท่วงทีก็เป็นผู้ดีมีตระกูล เหตุใดจึงได้ยากไร้นักหนา คิดแล้วก็ขยับเข้าไปใกล้ นางก็เอามือคลำที่ท้ายทอยเปาบุ้นจิ้น ซึ่งมีสิ่งสำคัญเหมือนดังความฝันเมื่อคืนนี้ จึงถามว่า

“……ท่านไม่รู้จักเราหรือ เราเป็นมเหสีรองพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ เราตกทุกข์ได้ยากได้ความลำบากเวทนาอยู่ดังนี้…….”

แล้วนางก็เล่าความเดิมเมื่อครั้ง นางเล่าฮองเฮา กับ กวยหวย ขันทีทำร้ายบุตรของนาง และเผาตำหนักของนางเสีย นางหนีออกจากพระราชวังได้ จะไปบ้านโปยอ๋องแต่ไปไม่ถูก เดินหลงทางไปหลายวัน ได้ความเวทนาเป็นอันมาก พบหญิงคนหนึ่งมีครรภ์แก่ แต่สามีแซ่กวยตายเสียแล้ว หญิงนั้นเป็นคนเข็ญใจหามีผู้ใดอยู่เป็นเพื่อนไม่ จึงชวนนางไว้เป็นเพื่อน นางก็ยอมอยู่ด้วย ต่อมาหญิงนั้นคลอดบุตรเป็นชาย แต่คลอดแล้วมารดาก็ตาย นางจึงเลี้ยงทารกนั้นไว้ ให้ชื่อว่ากวยไฮซิว คือบุตรคนนี้

แต่ขณะนั้นยังอยู่ในอาณาเขตเมืองหลวง เกิดเพลิงไหม้บ้านขึ้น นางจึงพากวยไฮซิวบุตรเลี้ยง มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองซินจิวตำบลบ้านตันเกียนี้ จนกวยไฮซิวอายุได้สิบเอ็ดสิบสองปี นางก็คิดถึงบุตรชายของนาง และคิดถึงความหลังก็ตั้งหน้าร้องไห้ทุกวันมิได้เป็นอันกินอันนอน จนโลหิตตกจากจักษุบอดทั้งสองข้าง

กวยไฮซิวก็อุตส่าห์หาเลี้ยงมาจนทุกวันนี้ อายุได้สิบห้าสิบหกปี โดยไม่แจ้งว่านางเป็นมารดาเลี้ยง จนเทพารักษ์มาเข้าฝันว่า ตัวเปาบุ้นจิ้นนี้แหละจะชำระความได้ว่า พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้องค์นี้ เป็นราชบุตรของนาง

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังถ้อยคำที่นางเล่าเป็นอัศจรรย์นัก ก็ถามว่า พระเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็น พระราชบุตรของนางนั้น มีอะไรเป็นสำคัญในพระองค์ นางก็บอกว่ามีสำคัญที่พระหัตถ์ทั้งสองข้าง เปาบุ้นจิ้นจึงยอมเชื่อว่านางคือ นางลีสินฮุย พระราชมารดาแน่แล้ว และคุกเข่าลงคำนับแล้วว่า

“………..ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าครั้งนี้จะขอดูสำคัญ ถ้าจริงเหมือนคำท่านว่าแล้ว ข้าพเจ้าจะทูลขอชำระความเรื่องนี้ให้จงได้ ถ้าแม้ไม่โปรดให้ชำระ ข้าพเจ้าจะทูลลาลงเป็นไพร่ ไม่คิดเป็นขุนนางต่อไปอีกแล้ว……..”

เปาบุ้นจิ้นจึงสั่งให้คนสนิทไปตามผู้รักษาเมืองซินจิวมาหา แล้วบอกว่า

“……..นางลีสินฮุยนี้ เป็นพระราชมารดาพระเจ้าแผ่นดิน เราจะรีบเข้าไปในเมืองหลวง ท่านกับขุนนางกรมการจงมาอยู่ปฎิบัติรักษา อย่าให้ขาดได้…….”

ผู้รักษาเมืองรับคำสั่งแล้วก็ให้ขุนนางมาพร้อมกัน แล้วผลัดเปลี่ยนกันปฏิบัตินางมิให้ขาดได้ นางจึงค่อยมีความสุขสบายขึ้น กวยไฮซิวซึ่งเพิ่งจะทราบว่า นางเป็นมารดาเลี้ยงของตน ก็พลอยพ้นความลำบาก ไม่ต้องขายผักอีกต่อไป

เปาบุ้นจิ้นนั้นเมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้ว ก็ยังไม่มีโอกาสกราบทูลฮ่องเต้ จนวันหนึ่งเข้าเฝ้าพระเจ้าซ้องยินจงพร้อมด้วยขุนนางทั้งปวง ฮ่องเต้จึงตรัสกับเปาบุ้นจิ้นว่า ราชการในเมืองหลวงก็ว่างเปล่าแล้ว ท่านจงกลับไปเมืองซินซิวแจกเสบียงอาหารแก่ราษฎรเถิด

เปาบุ้นจิ้นจึงกราบทูลว่ามีความสำคัญอยู่ข้อหนึ่งยังหาได้กราบทูลไม่ ฮ่องเต้จึงตรัสว่ามีข้อความสิ่งใดจงว่าไปเถิด

เปาบุ้นจิ้นจึงทูลว่า

“………ข้าพเจ้ามีความร้อนใจนัก ถ้าไม่เป็นความจริง ข้าพเจ้าก็ไม่พ้นพระราชอาญา โลกนี้ข้าพเจ้าเห็นว่า พระมหากษัตริย์อันดำรงแผ่นดินนั้นเป็นใหญ่อยู่ในโลก หรือพระองค์เห็นว่าผู้อื่นจะเป็นใหญ่กว่าพระมหากษัตริย์บ้าง……..”

ฮ่องเต้ตรัสว่า

“…….ซึ่งท่านจะถือเอาว่า พระมหากษัตริย์เป็นใหญ่ในโลกแต่ผู้เดียวนั้น ยังไม่ได้เหมือนฟ้าและดิน พระจันทร์พระอาทิตย์ และบิดามารดา ครูอาจารย์ เหล่านี้เป็นใหญ่ทั้งสิ้น……”

เปาบุ้นจิ้นทูลต่อไปว่า

“…….พระองค์ตรัสดังนี้ก็ควรแล้ว แต่คนซึ่งไม่รู้จักคุณบิดามารดา จะเรียกว่าคนชนิดไร……”

ฮ่องเต้ตรัสว่า

“….ถ้าคนไม่รู้จักคุณบิดามารดา ถึงโดยว่าเป็นมนุษย์ ก็เหมือนสัตว์เดรัจฉาน…”

ขณะนั้นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเฝ้าอยู่พร้อมกัน เปาบุ้นจิ้นจะกราบทูลข้อความ เรื่องพระราชมารดาก็หามีช่องไม่ จึงหลีกเลี่ยงไป
ที่ห้องอาลักษณ์ แล้วเขียนเป็นเรื่องราวว่า พระองค์ยังไม่รู้จักพระราชมารดาซึ่งประสูตินั้น ความอันนี้ลี้ลับอยู่หามีผู้ใดรู้ไม่ พระราชมารดานั้นตกทุกข์ยากได้ความลำบากนัก เขียนแล้วก็เอาไปถวายต่อพระหัตถ์

ขุนนางทั้งหลายซึ่งเป็นพรรคพวก พังหอง ชิงชิว ที่เฝ้าอยู่นั้น เห็นเปาบุ้นจิ้นเอาเรื่องราวขึ้นไปถวาย ก็นึกสงสัยไม่รู้ว่าเปาบุ้นจิ้นจะกล่าวโทษผู้ใด ให้ร้อนตัวกลัวความผิดนัก ด้วยพวกของตัวทำความผิดไว้เป็นอันมาก พิเคราะห์ดูฮ่องเต้พระพักตร์เผือดผิดปกติก็ตกใจ ต่างคนต่างแลดูตากันไปมา

พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้นั้น เมื่อรับหนังสือมาทอดพระเนตรสิ้นข้อความแล้ว จึงตรัสถามเปาบุ้นจิ้นว่า

“…….นางเต็กไทเฮาไม่ใช่มารดาประสูติของเราหรือ เราก็ได้ตั้งให้เป็นที่มียศใหญ่แล้ว เหตุใดท่านจึงมาว่าดังนี้อีกเล่า……”

เปาบุ้นจิ้นจึงกราบทูลว่าถ้าพระองค์จะใคร่ทราบเรื่อง พระราชมารดาประสูติแล้ว จงตรัสถาม นางเต็กไทเฮา ดูก็จะรู้แจ้ง

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็ร้อนพระทัย เสด็จกลับเข้าข้างใน ไปตำหนักนางเต็กไทเฮา แล้วตรัสถามความเรื่องพระราชมารดา ตามที่ได้ฟังมาจากเปาบุ้นจิ้นทุกประการ

นางเต็กไทเฮาจึงตรัสว่า

“……..ความเรื่องนี้เรารู้ความหาตลอดไม่ รู้แต่ว่าตันหลิมพาเจ้ามาถวายกับ โปยอ๋อง และโปยอ๋องให้เราเลี้ยงไว้จนเจริญวัยได้ราชสมบัติ ผู้ซึ่งเป็นต้นคิดนั้นคือนางเล่าไทเฮากับกวยหวย เจ้าก็ได้ตั้งให้เป็นที่มียศใหญ่เสียแล้ว ถึงผู้ใดจะโจษว่าขึ้นก็กลัว ด้วยรู้ความไม่ตลอด จะอ้างอิงพิงพยานก็ไม่ได้ โปยอ๋องก็ดับสูญล่วงไปเสียแล้ว จึงรู้ตลอดไม่ได้ ความเรื่องนี้แม้ เปาบุ้นจิ้นบอกแล้ว คงได้ความจริงทุกข้อ ด้วยเปาบุ้นจิ้นเป็นคนซื่อตรงต่อแผ่นดิน……..”

ฮ่องเต้ได้ฟังก็ร้อนพระทัยนัก คำนับลานางเต็กไทเฮา แล้วก็เสด็จเลยไปในสวนดอกไม้ ให้หาเปาบุ้นจิ้นมาตรัสถามว่า ท่านว่ามารดาประสูติของเราตกทุกข์ได้ยากนั้น บัดนี้อยู่ที่แห่งใด เปาบุ้นจิ้นกราบทูลว่า พระองค์เป็นกษัตริย์อันประเสริฐ มีสำคัญสิ่งใดในพระองค์บ้าง ฮ่องเต้ตรัสว่ามีสิ่งสำคัญอยู่ที่ฝ่ามือ และฝ่าเท้าทั้งซ้ายขวา ตรัสแล้วก็เหยียดพระหัตถ์และพระบาท ให้เปาบุ้นจิ้นดู ก็เห็นเหมือนคำพระราชมารดาบอก จึงคุกเข่าลงถวายบังคมทูลว่า

ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็สิ้นสงสัย สมคำพระราชมารดาบอกไว้ ถ้าพระองค์จะทราบเรื่องนี้ต่อไปแล้ว จงให้หาตัวกวยหวยมาถามดูเถิด ด้วยกวยหวยรู้ความละเอียด และเปาบุ้นจิ้นก็กราบทูลต่อไปอีกว่า

“…….ซึ่งข้าพเจ้าทูลถามของสำคัญในพระองค์นั้น ด้วยพระราชมารดาบอกข้าพเจ้าไว้ ครั้นข้าพเจ้าได้เห็นสำคัญแล้ว ก็สมจริงเหมือนคำพระราชมารดาบอก อันพระมหากษัตริย์ซึ่งดำรงแผ่นดินนั้น แม้นตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้ว เป็นที่สรรเสริญแก่เทพยดา และนานาประเทศ แม้นความเรื่องพระราชมารดานี้ รู้ไปถึงหัวเมืองทั้งปวงว่าพระองค์ละเลยพระราชมารดา ไว้ให้ได้ความลำบากเวทนา ก็จะติฉินนินทา และเอาใจออกห่างบ้านเมืองก็จะเกิดจลาจลต่าง ๆ ขอพระองค์จงทรงพระดำริให้มาก……..”

ฮ่องเต้ก็อัดอั้นตันพระทัย มิได้ตรัสตอบว่ากระไร แต่มีรับสั่งให้กวยหวยขันทีมาเฝ้าโดยด่วน.

###########

นิตยสารโล่เงิน
ตุลาคม ๒๕๔๖




 

Create Date : 19 เมษายน 2551    
Last Update : 19 เมษายน 2551 6:04:27 น.
Counter : 416 Pageviews.  

ตอนที่ ๘ สำแดงเดช

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๘ สำแดงเดช

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ฝ่ายเต็กเชงขณะที่คุมขบวนเกวียนเสื้อเกราะ เดินทางในเวลากลางคืน แลเห็นทหารแปลกหน้ามีกิริยาประหลาด ก็สงสัยจึงเอาลูกเกาทัณฑ์ขว้างไปถูกเล่าเข่งที่ขา เจ็บปวดเป็นสาหัส แต่เต็กเชงไม่รู้ว่าถูกหรือไม่ถูกเพราะเป็นที่มืด พอถึงชายป่าแห่งหนึ่งก็หยุดพักพล แล้วให้ เตียตงกับหลีหงีคอยตรวจตราระวังรักษาขบวน อย่าให้โจรผู้ร้ายแปลกปลอมเข้ามาได้ แล้วเต็กเชงก็ขึ้นม้าตรวจบริเวณป่าเขาไปไกลประมาณสิบลี้ ก็เห็นแสงไฟสว่างอยู่กลางป่า จึงแวะเข้าไปดูเห็นมีโรงเตี๊ยมตั้งอยู่ ก็เข้าไปซื้อสุรากิน

เจ้าของโรงเป็นผู้หญิง เอาสุรามาให้แล้ว ก็พิเคราะห์ดูเต็กเชงไม่วางตา เต็กเชงก็คิดว่าเหตุใดหญิงคนนี้จึงแลดูเราหนักหนา หามีความละอายแก่ใจบ้างเลย หญิงเจ้าของโรงเตี๊ยมจ้องดู เต็กเชง เสพสุราอยู่พักหนึ่ง แล้วนางจึงให้คนใช้มาถามชื่อแซ่ เต็กเชงก็บอกให้ตามจริง

สักครู่นางก็พามารดาออกมาจากข้างใน เต็กเชงเห็นก็จำได้ว่าเป็น นางเม่งสี มารดาของตนเอง ก็มีความยินดียิ่งนัก จึงคุกเข่าลงคำนับมารดา และเจ้าของโรงเตี๊ยมก็คือ นางเต็กกิมหลวน พี่สาวที่พลัดพรากจากกันไปตั้งแต่น้ำท่วมบ้านนั่นเอง เต็กเชงก็เล่าความตั้งแต่พลัดจากมารดาไปพบกับ เฮงเซียนเล่าโจ๊ ได้ช่วยชีวิตไว้ แล้วสั่งสอนเพลงอาวุธให้ จนไปพบ นางเต็กไทเฮา ผู้เป็นอา และได้เป็นขุนนางเมืองเปียนเหลียง จนมีรับสั่งให้คุมเสื้อเกราะไปส่งที่เมืองซำก๋วน นางเม่งสีก็เล่าความที่ตนพลัดกับเต็กเชง มาพบกับนางเต็กกิมหลวนและ เตียบุ๋นผู้บุตรเขย เต็กเชงจึงถามว่าเตียบุ๋นอยู่หรือไม่ นางเต็กกิมหลวนก็บอกว่า

“……..เตียบุ๋นนั้นเดิมเข้าทำราชการ อยู่กับเบเองเหลงเจ้าเมืองทองก๋วน ก็ไม่สู้ชอบอัชฌาสัยจึงหลีกตัวเสีย มาทำมาหากินอยู่ตำบลนี้ บัดนี้ไปเที่ยวเก็บเงินลูกหนี้ยังไม่กลับมา..”

นางเม่งสีก็ตักเตือนเต็กเชงว่า เจ้าถือรับสั่งไปราชการครั้งนี้อย่ามีความประมาท จงเร่งรีบไปให้ทันกำหนด เต็กเชงก็บอกว่ามารดาอย่าวิตกเลย ตนมีหนังสือฝากฝังถึงสามฉบับ แม้ไปไม่ทันกำหนด หนังสือนั้นก็คงจะช่วยได้ แล้วทั้งสามคนแม่ลูกก็นั่งสนทนากันเป็นที่สบาย

ฝ่ายเตียบุ๋นกำลังเดินทางจะกลับบ้าน ก็พบ เล่าเข่ง ซึ่งสนิทสนมกันเมื่อครั้งทำราชการอยู่กับเจ้าเมือง เดินไม่ใคร่ถนัดด้วยโดนลูกเกาทัณฑ์ที่ขา จึงถามว่าไปไหนมาค่ำมืดดึกดื่นป่านนี้ เล่าเข่งก็บอกว่า เต็กเชงซึ่งเป็นข้าหลวงคุมเสื้อเกราะไปส่งกองทัพนั้น พังหองเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง มีหนังสือลับมาถึงเบเองเหลงให้คิดกำจัดเสีย เบเองเหลงจึงให้ตนติดตามไปหาทางกำจัดเสียให้จงได้ ตนจึงปลอมเป็นเป็นทหารเต็กเชงไปคอยทำร้าย แต่เต็กเชงรู้ทีเอาลูกเกาทัณฑ์ขว้างมาถูกขา เจ็บปวดเป็นอันมากเดินไม่ใคร่ถนัด แต่แจ้งว่าเต็กเชงมาเสพสุราอยู่ที่บ้านเตียบุ๋น จึงอุตส่าห์เดินมาหาจะให้ช่วยเหลือ ฆ่าเต็กเชงเสียจะได้มีความชอบด้วยกัน

เตียบุ๋นก็ว่าตนไปธุระพึ่งกลับมายังหาถึงบ้านไม่ จงคอยอยู่ที่นี่จะเข้าไปดูท่วงทีก่อน ถ้าได้ช่องแล้วจะกลับมาบอก แล้วเตียบุ๋นก็รีบกลับมาที่บ้าน

คนใช้ก็บอกว่ามีญาติฝ่ายภรรยามาหา บัดนี้ยังนั่งพูดคุยกันอยู่ข้างใน เตียบุ๋นก็มีความยินดี รีบเข้าไปข้างใน เมื่อเห็นเต็กเชงต่างก็คำนับกันตามธรรมเนียม แล้วต่างก็เล่าเรื่องที่มีคนร้ายติดตามมา เตียบุ๋นจึงว่าคนผู้นั้นคือเล่าเข่ง เบเองเหลงเจ้าเมืองใช้ให้มาฆ่าเต็กเชง แต่ถูกลูกเกาทัณฑ์เดินไม่ถนัด จึงขอให้ตนช่วย บัดนี้ยังคอยท่าอยู่นอกบ้าน

เต็กเชงก็โกรธจะออกไปฆ่าเสียเดี๋ยวนี้ เตียบุ๋นก็ว่า

“……..ท่านอย่าทำใจเร็ววู่วามไป ด้วยเล่าเข่งคนนี้ เป็นคนรักใคร่ชอบอัชฌาสัยกับข้าพเจ้ามากนัก ข้าพเจ้าจะเกลี้ยกล่อมให้ท่าน ท่านจะได้เอาเป็นทหาร จะได้เป็นกำลังท่านทำราชการไปภายหน้า……..”

เตียบุ๋นก็ให้เต็กเชงเข้าไปซ่อนตัวเสียในห้องข้างใน กำชับคนใช้มิให้พูดแพร่งพรายไป แล้วตนเองก็ออกจากบ้านไปหาเล่าเข่ง บอกว่าบัดนี้ได้มอมสุราเต็กเชงจนเมาหนักแล้ว เล่าเข่งก็ว่าถ้ากระนั้นจะได้เข้าไปตัดศรีษะเสียเดี๋ยวนี้ เตียบุ๋นก็ว่า

“…….ท่านอย่าวิตกเลย เต็กเชงนั้นอยู่ในกำมือเราแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าให้คนคุมตัวไว้หลังบ้าน อันศรีษะเต็กเชงนั้นไว้เป็นพนักงานของข้าพเจ้า จะเอาไปให้เบเองเหลงเอาความชอบเอง ขอเชิญท่านเสพสุราเสียให้สบายใจก่อนเถิด……..”

แล้วเตียบุ๋นก็พาเล่าเข่งเข้าไปในบ้าน จัดโต๊ะสุรามาตั้ง แล้วนั่งกินโต๊ะเสพสุรากันเป็นที่สำราญ เล่าเข่งนั้นกำลังหิวมาก็เสพสุราจนเมาไม่รู้สึกตัว เตียบุ๋นจึงให้คนใช้มัดไว้ให้มั่นคง จนถึงเวลาเช้าเล่าเข่งสร่างเมารู้สึกตัว ก็มีความแค้นนักจึงว่าเดิมว่าจะช่วยกันจับเต็กเชง นี่เหตุใดจึงมามัดเราไว้ดังนี้ เตียบุ๋นจึงเล่าความว่า

“………เต็กเชงนั้นเป็นน้องนางเต็กกิมหลวนภรรยาเรา แล้วก็เป็นหลานนางเต็กไทเฮา ราชมารดาพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้เจ้าแผ่นดิน ก็นับเนื่องว่าเป็นพระญาติพระวงศ์ แล้วก็ได้ถือรับสั่งมา ยังหามีความผิดในราชการไม่ เบเองเหลงนายท่านปราศจากปัญญา หารู้ความผิดและชอบไม่ หมายจะเอาแต่ความชอบในพังหองอย่างเดียว ตัวท่านก็ไม่ตรึกตรองให้รอบคอบ ถึงมาตรว่าท่านกำจัดเต็กเชงได้ มีความชอบในพังหองและเบเองเหลงสักเท่าใด ถ้าความทราบไปถึงพระเจ้าแผ่นดินและนางเต็กไทเฮา ความผิดก็จะมาถึงตัวท่าน ตลอดไปจนพังหองและเบเองเหลงด้วย………”

แล้วจึงลงท้ายว่า

“……..ท่านกับเราก็ชอบอัชฌาสัยกันมาช้านานเปรียบเหมือนญาติ จึงได้เตือนสติท่าน ท่านจงตรึกตรองดูเถิด……..”

เล่าเข่งได้ฟังก็เห็นชอบด้วย แต่ก็ว่า

“………ซึ่งท่านนั้นเราก็เห็นด้วย แต่เรามีความน้อยใจอยู่ ด้วยท่านกับเราก็ชอบพอรักใคร่กันมาช้านาน เห็นการสิ่งไรไม่ควรก็ชอบแต่ตักเตือนกันโดยดี นี่เหตุใดจึงได้มามัดเราไว้ให้ได้ความอัปยศดังนี้หาควรไม่……..”

เตียบุ๋นก็บอกว่า

“……….ข้อซึ่งเรามัดท่านไว้นั้น ด้วยเราเห็นว่าท่านเป็นคนใจเหี้ยมหาญดุร้ายนัก ครั้นจะตักเตือนท่านเมื่อเวลาเสพสุรา ถ้าท่านไม่เชื่อฟังข้าพเจ้า กลัวจะวิวาทกันขึ้น เต็กเชงเล่าก็มีฝีมือเข้มแข็งนัก ท่านก็ย่อมรู้อยู่ เปรียบเหมือนเสือสองตัวสู้กัน เต็กเชงก็เป็นญาติ ท่านก็เป็นสหาย จะให้เราช่วยผู้ใด ข้อซึ่งเรามัดท่านไว้ให้ได้ความอายนั้น เราขออภัยเสียเถิด…….”

เตียบุ๋นเห็นกิริยาเล่าเข่งเชื่อถือแล้ว ก็เข้าแก้มัดออกให้นั่งในที่สมควรแล้วก็เกลี้ยกล่อมว่า

“……ท่านจงไปราชการทัพกับเต็กเชงเสียในครั้งนี้เถิด จะได้มีชื่อเสียงกับเขาบ้าง ซึ่งท่านจะอยู่ทำราชการด้วยเบเองเหลง อันเป็นพวกพังหองซึ่งเป็นขุนนางกังฉินนั้น ความผิดก็จะมาเยี่ยมเยือนท่านอยู่เนือง ๆ……..”

เล่าเข่งก็ว่า

“………ซึ่งท่านชี้แจงให้ข้าพเจ้าเห็นความดังนี้ คุณของท่านหาที่สุดมิได้ แต่ซึ่งท่านจะให้ข้าพเจ้าไปกับเต็กเชงในครั้งนี้นั้น ยังไม่ได้ก่อน ด้วยมารดาและบุตรภรรยาข้าพเจ้านั้น ยังอยู่ในอำนาจเบเองเหลง ถ้ารู้ว่าข้าพเจ้าไปกับเต็กเชงก็คงทำอันตรายมารดาบุตรภรรยาข้าพเจาเป็นมั่นคง อนึ่งเต็กเชงก็จะรีบร้อนไป ขอให้เต็กเชงไปก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะกลับไปเมืองทองก๋วน จัดแจงยักย้ายครอบครัวไปไว้เสียให้พ้นเมืองทองก๋วน แล้วข้าพเจ้าจึงจะตามเต็กเชงไปภายหลัง..”

เตียบุ๋นก็เห็นชอบด้วย เล่าเข่งจึงคำนับลากลับไป เต็กเชงก็ออกมาพูดกับเตียบุ๋นว่าตนได้สั่งให้ เตียตง หลีหงี ดูแลทหาร แต่ตนเองมาพบมารดากับญาติจึงได้ช้าอยู่จนสว่าง นายทหารทั้งสองก็จะวิตกเป็นอันมาก ขอให้เตียบุ๋นไปบอกให้ทราบความเสียสักหน่อย และบอกลักษณะว่า เตียตงนั้นหน้าแดง ส่วนหลีหงีนั้นหน้าดำ

เตียบุ๋นก็ออกจากบ้านเดินไปตามทาง ก็สวนกับนายทหารหน้าแดง รูปร่างคมสัน จึงถามว่าท่านชื่อเตียตงหรือ เตียตงก็สงสัยว่าเหตุใดจึงรู้จักชื่อตน เตียบุ๋นก็เล่าเรื่องเต็กเชงไปพบมารดาและพี่สาวที่บ้านของตน เตียตงก็ยินดีให้เตียบุ๋นกลับไปบ้าน ส่วนตนจะไปบอกหลีหงีเอง

เตียตงเดินตัดทางตรงไปตามหาหลีหงี ก็ไปพบชายพวกหนึ่งประมาณยี่สิบคน กำลังฉุดคร่าผู้หญิง จึงเข้าไปช่วยสู้รบแก้ไข พวกนั้นก็หนีไปสิ้นถูกเตียตงจับได้คนเดียวคือ ชิงหุน พรรคพวกของ ชิงชิว ไปฉุดเอาภรรยาของ เตียยี่ มา และจับเตียยี่ขังไว้ เตียตงก็บังคับให้ปล่อย เตียยี่เสีย แต่ กัวปา น้องของชิงหุนพาพรรคพวกมาช่วยรบเตียตง จนต้องถอยหนี

บังเอิญหลีหงีมาเจอก็เข้าช่วยเตียตง ฆ่ากัวปาตาย แล้วทั้งสองก็จะตามไปฆ่า ชิงหุนอีก เมื่อถึงบ้านชิงหุน ก็มีซินแสออกมาเกลี้ยกล่อมขอให้ยกโทษแก่ชิงหุน เตียตงกับหลีหงีจึงใจอ่อนยอมงดโทษไม่ฆ่าชิงหุน

แล้วทั้งสองนายก็ชวนกันตามไปพบเต็กเชงที่บ้านของเตียบุ๋น เล่าความที่ผ่านมาให้ฟังทุกประการ เต็กเชงก็ลามารดาพี่สาวและพี่เขย คุมเกวียนเสื้อเกราะเดินทางต่อไปได้วันหนึ่ง ก็เกิดมีลมพายุพัดกล้า และฝนตกหนัก จึงสั่งให้หยุดเกวียนไว้กลางทาง มอบให้เตียตงกับหลีหงีดูแลส่วนตนเองเดินไปหาทำเลที่พักพล ก็พบหลวงจีนอยู่ในวัดปออินยี่ เต็กเชงจะขออพยพกองทหารของตนเข้ามาพักในวัดสักสามวัน หลวงจีนก็ไม่ยอมแต่ให้เต็กเชงพักอยู่คนเดียว ตลอดคืนนั้น

ฝ่ายชิงหุนที่ไม่ถูกฆ่า ยังไม่สำนึกผิด กลับมีหนังสือไปถึง งูเกียน กับ งูกัง นายโจรที่เขาบัวพวนซัว ให้คุมพลไปแย่งชิงเอาเสื้อเกราะ เอาไปส่งให้ จันเทียนอ๋อง แม่ทัพเมืองไซหยงที่ยกมาตีเมืองซำก๋วนของ เอียจงเปา และตั้งค่ายอยู่ที่เขาไตลังซัว หน้าเมืองซุยเต๊กฮู ซึ่งเป็นเมืองด่านหน้า แต่ทหารฮวนไม่ได้ใช้เสื้อเกราะนั้น จันเทียนอ๋องจึงให้งูเกียนและงูกังรักษาไว้

เมื่อเต็กเชงลาหลวงจีนออกจากวัดปออินยีแล้ว ได้พบกับ เจียวเทงกุ้ย นายทหารเอกของเอียจงเปา รู้ว่าเสื้อเกราะถูกลักไป จึงติดตามไปแต่ผู้เดียวถึงเขาไตลังซัว ท้าให้จันเทียนอ๋อง ออกมาสู้รบกัน จันเทียนอ๋องกับ จือแฮไซ ก็ยกพลออกมารบ แต่เสียทีถูกเต็กเชงฆ่าตายทั้งสองคน เจียวเทงกุ้ยก็ตัดศรีษะแม่ทัพข้าศึกทั้งสอง เอาไปให้เอียจงเปาที่เมืองซุยเต๊กฮู

ครั้นเต็กเชงกลับไปถึงเมืองซุยเต๊กฮู เอียจงเปาก็ว่าเต็กเชงทำเสื้อเกราะหาย กับฆ่าแม่ทัพข้าศึกได้สองคน ความผิดกับความชอบหักกลบลบกัน พอดีทหารฮวนอีกสามนาย ยกพลมาจะแก้แค้นแทนจันเทียนอ๋อง ร้องท้าทายเต็กเชงอยู่หน้า เต็กเชงกับเจียวเทงกุ้ยก็ออกไปสู้รบด้วย เต็กเชงก็เอาหน้ากากที่เทพารักษ์ให้มาปิดหน้า ทหารเอกของข้าศึกก็หน้ามืดตกม้า ให้เจียวเทงกุ้ยตัดศรีษะได้ทั้งสามนาย

เอียจงเปาก็มีความยินดี ลงจากหอรบมาคอยรับเต็กเชงอยู่ที่หน้าเมือง ครั้นพากันเข้าไปในเมืองแล้ว ก็ให้เอาศรีษะของข้าศึกทั้งสามไปเสียบไว้หน้าเมือง เรียงกับสองนายที่ได้มาก่อน รวมเป็นห้าศรีษะ เอียจงเปาจึงพูดกับเต็กเชงว่า

“………ท่านกำจัดข้าศึกศัตรูได้ครั้งนี้ มีความชอบต่อแผ่นดินเป็นอันมาก แต่เราทำศึกมาได้ยี่สิบปีเศษ ไม่เอาชัยชนะได้โดยง่ายเหมือนครั้งนี้เลย เรามีความละอายแก่ท่านนัก…..”

เต็กเชงก็ถ่อมตัวว่า

“……….ข้าพเจ้าเป็นคนอยู่ระหว่างโทษ ท่านเมตตามิได้ทำโทษข้าพเจ้า คุณหาที่สุดมิได้ ซึ่งข้าพเจ้าเอาชัยชนะข้าศึกได้โดยง่ายนั้น เพราะอำนาจท่านและบุญของพระเจ้าแผ่นดิน..”

แล้วเอียจงเปาก็สั่งให้จัดโต๊ะมาเลี้ยงฉลองชัยชนะเป็นที่สำราญ แต่เต็กเชงยังคิดจะไปเอาเสื้อเกราะคืน จึงขอทหารเอียจงเปาสองหมื่น ให้เตียตงกับหลีหงี คุมไปสู้รบกับงูเกียน และ งูกัง ที่เขาไตลังซัว เอาเสื้อเกราะคืนมาให้ได้

เตียตงกับหลีหงียกพลเดินทางมาถึงแม่น้ำเอียนจิวทอ ก็พบกับงูเกียนคุมพลสวนทางมา พอรู้ว่าเป็นงูเกียนเตียตงก็โกรธจะเข้าสู้รบ งูเกียนก็ร้องห้ามไว้แล้วว่า

“………ซึ่งข้าพเจ้าแย่งเอาเสื้อเกราะไปนั้น เพราะด้วยชิงหุนมีหนังสือมาให้ข้าพเจ้าทำ ข้าพเจ้าเป็นคนปราศจากปัญญาหาพิจารณาไม่ บัดนี้ข้าพเจ้ารู้ตัวกลัวผิดจะถึงตัว จึงคุมเสื้อเกราะมาจะเอาไปให้เอียจงเปา ด้วยปรารถนาจะให้พ้นความผิด………”

เตียตงกับหลีหงียังสงสัยก็ซักถามเอาความจริง งูเกียนก็ว่าแยกทางกับงูกังแล้ว สมัครใจจะขอสามิภักดิ์กับเอียจงเปา และยอมสาบานให้ ทั้งสองนายทหารคนสนิทของเต็กเชงจึงยอมเชื่อ และพากันกลับมาหาเอียจงเปา เล่าเรื่องให้ฟังโดยตลอด เอียจงเปาก็มีความยินดี เอาเสื้อเกราะแจกทหาร แล้วให้เอาตัวงูเกียนไปประหารชีวิต งูเกียนก็ขออภัยโทษ

เต็กเชงเห็นว่างูเกียนมาอ่อนน้อมโดยสุจริต ก็คิดสงสารจึงช่วยอ้อนวอนขอโทษให้ เอียจงเปาก็ยกโทษให้ และคิดว่าเต็กเชงเป็นคนมีใจโอบอ้อมอารี หามีความพยาบาทแก่ผู้น้อยไม่ ควรจะเป็นแม่ทัพบังคับทหารต่อไป จึงมีหนังสือบอกไปยังเมืองหลวงว่า เต็กเชงได้คุมเสื้อเกราะไปส่งถึงเมืองซำก๋วนแล้ว และได้กำจัดข้าศึกมีความชอบเป็นอันมาก

เต็กเชงก็ขอให้เอียจงเปาแต่งตั้งเตียบุ๋น เป็นผู้รักษาตำบลเงาบุนซิน แขวงเมืองทองก๋วน

ส่วนเล่าเข่งนั้นเมื่อลาเตียบุ๋นกลับไปบ้าน ก็ตัดศรีษะเบเองเหลงเจ้าเมืองทองก๋วน ผู้สั่งให้ฆ่าเต็กเชงเสีย แล้วพาบุตรภรรยาและเอาศรีษะเบเองเหลง ไปหาเต็กเชงที่เมืองซำก๋วน เต็กเชงก็พาไปหาเอียจงเปา เล่าความทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่ต้น เอียจงเปาก็รับไว้และจัดที่ให้อยู่ตามสมควร

เต็กเชงนั้นหมดห่วงเรื่องราชการแล้ว จึงขอลาเอียจงเปาไปเยี่ยม นางเม่งสี มารดาซึ่งอยู่กับ นางเต็กกิมหลวน บุตรสาว และเตียบุ๋นบุตรเขย ที่ตำบลเงาบุนซิน มารดาก็มีความยินดี และเต็กเชงก็พักอยู่กับมารดาด้วยความสุขสบาย เป็นเวลาหลายวัน.

############

นิตยสารโล่เงิน
กันยายน ๒๕๔๖




 

Create Date : 18 เมษายน 2551    
Last Update : 18 เมษายน 2551 8:36:05 น.
Counter : 1036 Pageviews.  

ตอนที่ ๗ กังฉินคิดร้าย

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๗ กังฉินคิดร้าย

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อ พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ เห็นว่า เต็กเชง จะสู้ฝีมือ เฮงเทียนฮวย ไม่ได้ จึงมีรับสั่งให้เลิกการลองฝีมือ และแต่งตั้งให้เป็นนายทหารตำแหน่งเดียวกับเฮงเทียนฮวย แต่ เต็กเชง กราบทูลว่า

“…….ซึ่งพระองค์ทรงพระเมตตา จะตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นขุนนางนั้น พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ แต่ข้าพเจ้าจะขอลองฝีมือกับเฮงเทียนฮวย ให้ถึงแพ้ชนะก่อน ถ้าข้าพเจ้าชนะเฮงเทียนฮวยแล้ว ก็ควรที่ข้าพเจ้าจะเป็นขุนนางนายทหารได้……..”

พังหอง จึงกราบทูลว่า

“…….ถ้ากระนั้นต้องทำหนังสือทัณฑ์บนไว้คนละฉบับ ถ้าผู้ใดเสียท่วงทีถึงชีวิตอย่าให้มีผิด จึงจะชอบ…….”

โลฮวยอ๋อง จึงพูดกับเต็กเชงว่า อย่ามานะสู้รบกับเขาเลย มีรับสั่งโปรดให้เป็นขุนนาง จงยอมรับเสียเถิด เต็กเชงก็หายอมไม่ และทำหนังสือทัณฑ์บนไว้คนละฉบับตามที่พังหอง กราบทูลนั้น

แล้วทั้งคู่ต่างก็ขึ้นม้าถืออาวุธเข้าสู้รบกันได้สามสิบเพลง ถ้อยทีปัดป้องว่องไวยังหาเสียท่วงทีกันไม่ แต่พอสู้กันต่อไปอีกสิบเพลงเฮงเทียนฮวยก็สิ้นกำลัง ขยับจะขับม้าหนี เต็กเชงเห็นได้ทีก็ฟันด้วยง้าวตัวขาดสองท่อน ถึงแก่ความตายในท่ามกลางท้องสนาม บรรดาขุนนางที่ไม่ได้เป็นฝ่ายเฮงเทียนฮวย ก็สรรเสริญเต็กเชงว่ามีฝีมือเข้มแข็ง ควรเป็นขุนนางนายทหารได้

เต็กเชงก็ลงจากหลังม้าเข้าไปถวายบังคมฮ่องเต้ ก็โปรดตั้งให้เป็นที่เกาหมึงทีตก แทนเฮงเทียนฮวยตามสัญญา แม้พังหองจะคัดค้านหาว่าเต็กเชงฆ่านายทหารผู้ใหญ่ตาย มีความผิดอยู่ ฮ่องเต้ก็ไม่ตรัสประการใด โลฮวยอ๋องจึงว่า การอันนี้แล้วแต่หนังสือทัณฑ์บนเป็นที่ตั้ง ถ้าเต็กเชงตายจะเอาโทษกับผู้ใดเล่า พังหองจึงนิ่งไป

เต็กเชงก็ได้เข้าไปอยู่บ้านเฮงเทียนฮวยตามตำแหน่ง จึงมีความสุขสบายขึ้นและคิดถึงผู้มีคุณ ซึ่งได้อุปการะมาตั้งแต่ยังยากจนอยู่ ก็ไปคำนับคนเหล่านั้นทุกบ้าน ครั้นไปถึงบ้าน เปาบุ้นจิ้น คำนับกันตามธรรมเนียมแล้ว เปาบุ้นจิ้นจึงว่า

“……ท่านมาหาข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้ามีความยินดียิ่งนัก ข้าพเจ้าจะว่าท่านสักอย่างหนึ่ง จงให้อภัยแก่ข้าพเจ้าเถิด ฮูลุนเป็นคนหยาบช้าข่มขี่ราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน ท่านกำจัดเสียนั้นก็มีคุณแก่ราษฎรเป็นอันมาก แต่ซึ่งท่านถืออาวุธไปคอยทำร้ายพังหองชิงชิว ในเวลากลางคืนนั้นไม่ควร……..”

เต็กเชงก็ตอบว่า

“………ซึ่งท่านว่านี้ถูกต้องชอบแล้ว ถ้าท่านเห็นข้าพเจ้าทำการสิ่งไรผิดอย่างธรรมเนียมแล้ว จงช่วยตักเตือนสั่งสอนข้าพเจ้าด้วย แต่ข้าพเจ้าวิตกด้วย เตียตง หลีหงี เป็นโทษนั้น ถ้าได้ช่องทางเวลาใด ท่านได้สงเคราะห์กราบทูลให้พ้นโทษด้วย……..”

เปาบุ้นจิ้นก็รับปากว่าถ้าได้ช่องเมื่อไร ก็จะช่วยกราบทูลให้ เต็กเชงก็มีความยินดีคำนับลากลับมาบ้าน

ยังมีขุนนางนายทหารคนหนึ่งชื่อ เจียเง็ก มีความชื่นชมฝีมือของเต็กเชงเป็นอันมาก จึงมาหาที่บ้าน เต็กเชงก็เชิญให้นั่งในที่อันสมควร คำนับกันตามธรรมเนียมแล้วก็ถามว่า ท่านเป็นขุนนางตำแหน่งใด มีธุระสิ่งใดจึงมาหาถึงบ้าน เจียเง็กก็ตอบว่า

“……..ข้าพเจ้าเป็นขุนนางนายทหาร อยากจะรู้จักท่านไว้ ถ้าสืบไปเบื้องหน้าข้าพเจ้ามีธุระสิ่งใดจะได้มาพึ่งท่าน เมื่อวันท่านรบกับเฮงเทียนฮวยนั้น ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูกิริยาพังหอง เห็นมีความอิจฉาท่านเป็นอันมาก ท่านมีข้อสาเหตุกับพังหองประการใดหรือ…….”

เต็กเชงก็เล่าความหลังตั้งแต่ฆ่าฮูลุนตาย จนฆ่าเฮงเทียนฮวย ให้เจียเง็กฟังทุกประการ เจียเง็กจึงว่า

“……..ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีความแค้นพังหองอยู่ บิดาข้าพเจ้าก็ตายเพราะพังหอง ข้าพเจ้าก็คิดจะตอบแทนพังหองอยู่ แต่ยังหามีช่องไม่ บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นได้ช่องแล้ว ถ้าท่านคิดอ่านถือรับสั่งอาญาสิทธิ์นางเต็กไทเฮามา ก็จะกำจัดพังหองได้……..”

เต็กเชงจึงว่า

. “……..ท่านคิดนี้มิชอบ ครั้นจะทำดังนั้นก็จะมีความนินทา การซึ่งจะกำจัดพังหองนั้นไม่ยากดอก ด้วยพังหองเป็นคนไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรม มีแต่จะหาความผิดใส่ตัวอยู่เนือง ๆ ท่านอย่าวิตกเลย ถ้าได้ช่องเมื่อใด เราก็จะกำจัดเสียเมื่อนั้น……..”

เจียเง็กก็มีความยินดี จึงคำนับลาเต็กเชงกลับไปบ้าน

ฝ่ายนางเต็กไทเฮาเห็นหลานชาย มีฝีมือเข้มแข็งได้เป็นขุนนางนายทหารผู้ใหญ่ ก็มีความยินดี จัดหาเครื่องแต่งตัวให้มีความสง่างาม โดยให้ช่างทำเสื้อเกราะและหมวกทองคำ ประดับด้วยหยก และขนนกอวนเอียอันมีราคามากคู่หนึ่ง แล้วก็ให้หาเต็กเชงเข้ามาประทานเครื่องแต่งตัวให้ และจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยง ครั้นเห็นเต็กเชงเสพสุรามากนัก ก็ไม่ให้เต็กเชงกลับบ้าน กลัวว่าจะไปก่อเรื่องเหมือนครั้งก่อนอีก เต็กเชงจึงต้องค้าง อยู่ที่ตำหนักนางเต็กไทเฮาคืนหนึ่ง

ครั้นเวลาเช้าจึงว่ากับเต็กเชงว่า

“………ทุกวันนี้อาได้เป็นที่เต็กไทเฮา เจ้าก็ได้เป็นที่เกาหมึงทีตกขุนนางนายทหารใหญ่ ได้ดีด้วยกันในเมืองเปียนเหลียงแล้ว แต่ญาติของเราซึ่งอยู่เมืองซัวไซนั้น จะมีความสุขหรือประการใดไม่แจ้ง อนึ่งจะต้องทำที่ฝังศพบิดามารดาและญาติกาผู้เฒ่าผู้แก่ของเราเสียให้ดีกว่าก่อนจึงจะชอบ เจ้าจงจัดคนที่ไว้ใจได้ ให้ไปสืบหาวงศ์ญาติและทำที่ฝังศพปู่และบิดาเสียใหม่ เจ้าจะเห็นประการใด……..”

เต็กเชงก็เห็นชอบด้วย นางเต็กไทเฮาจึงจัดเงินสี่พันตำลึง มอบให้เต็กเชงรับไปทำตามที่สั่งนั้นทุกประการ

ฝ่าย ฮูคุน บิดาของ ฮูลุน นั้น ตั้งแต่เต็กเชงฆ่าบุตรชายตาย ก็มีความเจ็บแค้นเป็นอันมาก คิดจะแก้แค้นอยู่มิได้ขาด ครั้นแจ้งข่าวว่าเต็กเชงได้เป็นขุนนางนายทหารผู้ใหญ่ และเป็นหลานของนางเต็กไทเฮาด้วย ก็เสียใจนักสิ้นปัญญาหารู้ที่จะทำประการใดไม่ จึงไปปรึกษา พังหองว่าจะทำประการใดดี จึงจะกำจัดเต็กเชงได้

พังหองก็บอกว่าได้คิดอุบายไว้แล้ว ว่าจะกราบทูลฮ่องเต้ให้เต็กเชงกับเจียเง็กคุมเสื้อเกราะ ไปส่งที่เมืองซำก๋วน แล้วมีหนังสือลับไปถึงเจ้าเมืองยินอันกุ้ย ถ้าเต็กเชงผ่านมาให้พักในกงก๋วนสำหรับรับแขกของเมือง ซึ่งมีปีศาจดุร้ายทั้งสองคนก็จะตายด้วยอำนาจปีศาจ ฮูคุนก็ท้วงว่าทั้งสองคนเป็นผู้มีฝีมือเข้มแข็งเต็กเชงเคยฆ่าสัตว์ร้ายในสระของนางเต็กไทเฮา และเจียเง็กก็เคยฆ่างูใหญ่ที่บ้านพ่อตา จนได้บุตรสาวสาวมาเป็นภรรยาทุกวันนี้ คงจะไม่ตายเพราะปีศาจเป็นแน่

พังหองก็ว่าจะมีหนังสือไปบอกเจ้าเมืองทองก๋วนอีกคนหนึ่ง ถ้าสองคนนั้นผ่านมาก็ให้หาหนทางฆ่าเสีย คงจะไม่รอดไปได้แน่ ฮูคุนก็มีความยินดีคำนับลาพังหองกลับไปบ้าน

แล้ววันรุ่งขึ้นพังหองก็เข้าเฝ้าฮ่องเต้ แล้วกราบทูลว่าซึ่งโปรดให้จัดเสื้อเกราะไปส่งให้ทหารของ เอียจงเปา ที่เมืองซำก๋วนนั้น บัดนี้ได้ครบจำนวนแล้ว ฮ่องเต้ตรัสถามว่าจะให้ผู้ใดคุมไปส่ง พังหองก็ทูลว่าเห็นแต่เต็กเชงกับเจียเง็กเท่านั้น ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้เต็กเชงกับเจียเง็กมาเฝ้า แล้วตรัสว่า

“……..เจ้าทั้งสองจงคุมเสื้อเกราะออกไปส่งให้กองทัพเอียจงเปา ณ เมืองซำก๋วน ให้ทันกำหนดแต่ในกลางเดือนนี้……”

เต็กเชงจึงกราบทูลว่า

“…….ซึ่งพระองค์โปรดให้ข้าพเจ้ากับเจียเง็ก คุมเสื้อเกราะไปส่งกองทัพนั้น ข้าพเจ้าขอรับพระราชทานเตียตง หลีหงีไปด้วย……..”

ฮ่องเต้ก็โปรดยกโทษเตียตงและหลีหงี แล้วให้เปาบุ้นจิ้นเอาตัวมามอบให้เต็กเชง ทรงกำชับว่า เจ้าทั้งสองจงรีบไปให้ทันกำหนด และให้พนักงานทำหนังสือรับสั่งไปถึงเอียจงเปาด้วยฉบับหนึ่ง แล้วก็เสด็จขึ้น

เต็กเชงก็ไปลานางเต็กไทเฮา แล้วแจ้งความตามที่มีรับสั่งให้คุมเสื้อเกราะไปส่งกองทัพ ให้ทันภายในกลางเดือนนี้ นางเต็กไทเฮาก็มีความวิตกจึงจะให้โลฮวยอ๋องไปด้วย ถ้าไม่ทันตามกำหนด เอียจงเปาจะได้เกรงใจงดโทษไว้ แต่เต็กเชงทูลว่า

“……..ซึ่งท่านจะให้โลฮวยอ๋องไปกับข้าพเจ้านั้น พระคุณหาที่สุดมิได้ แต่ข้าพเจ้าจะไปให้ทันกำหนดให้จงได้ เมื่อข้าพเจ้าไปไม่ทันกำหนดก็ตามแต่บุญวาสนาเถิด อันจะให้โลฮวยอ๋องไปด้วยนั้น คนทั้งปวงจะติเตียนนินทาได้ว่า เอาอำนาจโลฮวยอ๋องมาเป็นกำลังจึงทำการสำเร็จไปได้…….”

นางเต็กไทเฮาก็ยังไม่วายวิตกจึงให้ทำหนังสือฉบับหนึ่ง ส่งไปให้เจ้าเมืองซำก๋วนด้วย การไปราชการของเต็กเชงคราวนี้ ฝ่ายศัตรูก็มีหนังสือให้พวกตนช่วยกำจัด และฝ่ายหวังดีก็มีหนังสือไปให้พวกตนช่วยเหลือ รวมเป็นหลายฉบับ เต็กเชงกับเจียเง็กและเตียตงหลีหงี ก็นำทหารสามพันคุมเสื้อเกราะสามสิบหมื่นบรรทุกเกวียน ออกจากเมืองหลวงมุ่งตรงไปเมืองซำก๋วนโดยด่วน

ครั้นถึงเมืองยินอันกุ้ย เต็กเชงพักเกวียนไว้นอกเมือง อองเตง เจ้าเมืองก็ออกมาต้อนรับพาไปพักที่กงก๋วน พอถึงเวลาดึกประมาณสองยามก็มีปีศาจมาปรากฎตัว เจียเง็กก็ออกไปต่อสู้กับปีศาจแล้วก็เลยหายไปด้วยกันทั้งคู่ เต็กเชงก็เที่ยวตามหาเจียเง็กแต่ก็ไม่พบ พอเดินกลับก็เห็นเทพารักษ์ขวางหน้าอยู่ จึงคุกเข่าลงคำนับแล้วถามถึงเจียเง็ก

เทพารักษ์บอกว่าคงจะได้พบกันในภายหลัง แล้วเทพารักษ์ก็มอบหน้ากากเป็นรูปคน กับลูกธนูที่มีปลายทั้งสองข้าง ให้เต็กเชงอย่างละสามอัน แล้วบอกว่า ดวงดาวที่ดุร้ายเรี่ยวแรงนั้น จุติมาเกิดในเมืองข้าศึกเป็นอันมาก ยากที่จะปราบปราม ถ้าสู้รบกับข้าศึกแล้วเสียท่วงที เข้าที่คับขันจงเอาหน้ากากปิดหน้า ข้าศึกเห็นจะสดุ้งตกใจกลัว แม้อยู่บนหลังม้าก็อาจพลัดตก ถ้าถูกข้าศึกไล่ติดตามจงเอาลูกเกาทัณฑ์นี้ขว้างไป ก็อาจสังหารข้าศึกได้ เทพารักษ์บอกความแล้วก็หายไป เต็กเชงได้อาวุธวิเศษก็ยินดีนัก

ถึงเวลาเช้าเต็กเชงจึงว่ากับอองเตงว่า

“…….ที่กงก๋วนนี้ปีศาจดุร้ายนักตัวก็ย่อมรู้อยู่ เหตุใดจึงให้พวกเรามาสำนักอยู่ ถ้าพวกเราเป็นอันตรายด้วยอำนาจปีศาจ จะมิเสียราชการของพระเจ้าแผ่นดินไปหรือ บัดนี้เง็กเจียก็หายไป ตัวมีความขัดเคืองเราเราด้วยเหตุใด จงบอกไปแต่ตามจริง หรือผู้ใดบอกให้กระทำ ถ้าตัวไม่บอกความตามจริงเราจะฆ่าเสีย……..”

อองเตงได้ฟังก็ตกใจจึงบอกตามจริง ว่าพังหองมีหนังสือมาให้ทำ ตนเองเป็นคนหาปัญญาไม่ ขอจงงดโทษสักครั้งหนึ่งเถิด เต็กเชงก็ว่าตัวมีความผิดเป็นอันมาก แต่จะยกโทษให้ครั้งหนึ่ง และต้องให้คนเที่ยวสืบหาเจียเง็กให้จงได้ แล้วเต็กเชงก็คุมทหารรีบออกจากเมืองไป ด้วยความเป็นห่วงว่าจะล่าช้า

ครั้นเดินทางไปถึงเมืองทองก๋วนก็แวะเข้าไปหยุดพัก เบเองเหลง เจ้าเมืองก็ออกไปต้อนรับตามธรรมเนียม เต็กเชงพักพอหายเหนื่อยแล้วก็รีบออกเดินทางต่อ เบเองเหลงก็สั่งให้ เล่าเข่ง ทหารเอกรีบตามไปฆ่าเต็กเชงเสียให้จงได้ พอเดินทางไปได้ประมาณสิบลี้ เป็นเวลากลางคืน เล่าเข่งก็ปลอมเป็นทหารของเต็กเชง เดินปนไปในขบวนคอยหาโอกาสจะทำร้ายในเวลามืด.

############

นิตยสารโล่เงิน
สิงหาคม ๒๕๔๖






 

Create Date : 17 เมษายน 2551    
Last Update : 17 เมษายน 2551 9:45:43 น.
Counter : 446 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.