Group Blog
 
All Blogs
 
ตอนที่ ๙ ชำระความเก่า

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๙ ชำระความเก่า

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ฝ่าย เปาบุ้นจิ้น ซึ่งมีรับสั่ง พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ให้คุมเงินหลวงไปซื้อข้าวที่เมืองอื่น มาแจกให้ราษฎรเมืองซินจิว ซึ่งทำนาไม่ได้ผลด้วยหนอนกัดต้นข้าวเสียสิ้น ทำให้ขัดสน เปาบุ้นจิ้นก็อยู่ช่วยเหลือราษฎรที่เมืองซินจิวสองปีเศษ

วันหนึ่งมีราชการที่จะต้องกลับไปเมืองหลวง จึงมอบธุระไว้ให้แก่ผู้รักษาเมืองซิน จิว ให้แจกข้าวแก่ราษฎรที่ยากจน อย่าให้ได้ความเดือดร้อน แล้วก็เดินทางออกจากเมืองซินจิวได้วันหนึ่ง ถึงศาลเทพารักษ์ตังงักเปียเวลาจวนค่ำ จึงให้หยุดพักที่ศาลนั้นคืนหนึ่ง ครั้นรุ่งเช้าก็ออกจากศาลเทพารักษ์ เดินต่อไปถึงสะพานตันเกียเผอิญให้ลมพัดกระโชกมา หอบเอาหมวกบนศรีษะ ของเปาบุ้นจิ้นตกลงในน้ำ ทหารซึ่งตามมาด้วยนั้นก็ไปเก็บเอาหมวกมาคืนให้

เปาบุ้นจิ้นรับหมวกมาแล้วก็คิดว่า ซึ่งลมหอบเอาหมวกเราไปนี้ คงมีเหตุสักอย่างหนึ่งเป็นมั่นคง คิดแล้วก็สั่งให้กลับไปพักอยู่ที่ศาลตังงักเปีย แล้วให้ เตียเหลง เตียเฮา นายทหารคนสนิทมาสั่งให้ไปจับเอาตัวลมมาให้ได้

ทั้งสองก็เดินปรึกษากันมาตามทางว่า เราจะคิดประการใดจึงจะจับตัวลมได้ เตีย เฮาจึงว่าเราควรจะไปบอกกับนายอำเภอจะดีกว่า เตียเหลงเห็นชอบด้วยจึงชวนกันเดินไปบ้านนายอำเภอ แล้วบอกว่าท่านผู้สำเร็จราชการให้ท่านนำไปจับตัวลม ที่พัดเอาหมวกของท่านปลิวไป นายอำเภอได้ฟังก็นึกอัศจรรย์ใจนัก ตัวลมอยู่ที่ไหนจะให้ตนไปนำจับ ชะรอยเปาบุ้นจิ้นจะเป็นคนเสียจริตไปแล้วกระมัง นายอำเภอจึงบอกว่าจงเอาหมายมา ตนจึงจะนำไปจับ ทั้งสองก็ทำเป็นตกใจว่าลืมหมายเสียแล้ว จึงให้คอยอยู่ที่นี่ก่อน ตนจะไปเอาหมายมาให้

แล้วทั้งสองนายก็กลับไปหาเปาบุ้นจิ้น แจ้งความตามที่ได้โต้ตอบกับนายอำเภอทุกประการ เปาบุ้นจิ้นได้ฟังก็ทำเป็นโกรธ บอกว่า

“……….เหตุใดเจ้าจึงไปรบกวนนายอำเภอให้ได้ความเดือดร้อน แม้เจ้าทั้งสองจับตัวลมมิได้ เราจะให้ฆ่าเสีย……..”

ว่าแล้วก็โยนหมายให้รับไป ทั้งสองก็เดินปรึกษาหารือกัน จนมาถึงสะพานตันเกีย ที่ลมพัดเอาหมวกของเปาบุ้นจิ้นตกลงไปนั้น สองนายก็คุกเข่าคำนับเทพยดาอยู่สะพาน แล้วร้องประกาศว่า

“……….ขอเทพยดาจงคุ้มกันอันตรายแก่ข้าพเจ้าในบัดนี้ ด้วยข้าพเจ้าทั้งสองทำราชการมาในเปาบุ้นจิ้น โดยซื่อสัตย์สุจริตมิได้คิดเบียดเบียนราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนด้วยสิ่งใด ขอเทพยดาทั้งหลายจงเป็นพยาน………”

พอสิ้นคำประกาศก็เผอิญเป็นลมพัดใหญ่กระโชกมา หอบเอาหมายซึ่งนายทหารทั้งสองถือไว้ปลิวไป ทั้งสองนายก็ตกใจรีบวิ่งตามไปเก็บ หมายนั้นก็ปลิวไปตกที่หาบคนขายผัก ทั้งสองก็บอกชายคนขายผักว่า เปาบุ้นจิ้นนายเราให้หาตัวเจ้าไปบัดนี้ แล้วก็เข้าคุมเอาตัวไป

ราษฎรชาวตลาดเห็นเช่นนั้น จึงบอกว่าชายคนนี้เป็นคนกตัญญูต่อมารดา หาความผิดมิได้ จะเอาตัวไปทำไม ทั้งสองก็ไม่ฟัง ราษฎรทั้งหลายก็พากันตามไปดูว่าจะมีถ้อยความประการใด

เตียเหลงกับเตียเฮาก็นำตัวชายคนขายผัก ไปมอบให้เปาบุ้นจิ้นและเล่าความให้ฟังโดยตลอด เปาบุ้นจิ้นจึงซักถามชื่อแซ่และให้เล่าเรื่องให้ฟัง ชายผู้นั้นก็คำนับแล้วบอกว่าแซ่กวยชื่อไฮซิว และเล่าว่า

“………บิดาข้าพเจ้าถึงแก่กรรมเสียนานแล้ว ยังแต่มารดาก็เสียจักษุทั้งสองข้าง ข้าพเจ้าเที่ยวรับจ้างและหาบผักขาย ได้เลี้ยงมารดาทุกวันนี้ และตัวข้าพเจ้าจะได้ทำความผิดสิ่งใดนั้นหามิได้ ขอท่านได้เมตตาปล่อยข้าพเจ้าเสียเถิด………”

พวกราษฎรชาวตลาดที่ตามมา ต่างก็ยืนยันว่า กวยไฮซิว คนนี้มีกตัญญูต่อมารดา หาเลี้ยงมารดาตาพิการจริง เปาบุ้นจิ้นจึงส่งเงินให้ห้าตำลึงแล้วว่า

“………เจ้ามีกตัญญูต่อมารดาก็ดีแล้ว จงเอาเงินนี้ไปเลี้ยงมารดาเถิด…….”

กวยไฮซิวก็มีความยินดี รับเงินแล้วก็คำนับลากลับไปบ้าน มารดาถามว่าวันนี้เหตุกลับมาแต่วัน กวยไฮซิวก็เล่าความให้ฟังตั้งแต่เปาบุ้นจิ้นให้หาตัวไป แล้วให้เงินมาห้าตำลึงให้ฟังทุกประการ นางได้ยินออกชื่อเปาบุ้นจิ้นจึงถามว่า บัดนี้เปาบุ้นจิ้นอยู่ไหน จงไปบอกเขาว่า มารดาให้เชิญมาสักหน่อย

กวยไฮซิวได้ฟังก็ตกใจบอกมารดาว่า เราเป็นคนอนาถา ซึ่งมารดาจะให้ไปเชิญท่านมานั้น ตนเองกลัวความผิดยิ่งนัก มารดาจึงบอกว่าเจ้าเป็นเด็กจะรู้จักอะไร มารดาใช้แล้วก็จงไปเถิด

กวยไฮซิวขัดมารดามิได้ก็ตรงไปหาเปาบุ้นจิ้น คำนับแล้วแจ้งความว่ามารดาของตนให้เชิญท่านไปที่บ้าน

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังก็คิดว่าใครหนอบังอาจมาเชิญเราไปที่บ้าน คงจะมีเหตุการณ์สักอย่างหนึ่งเป็นมั่นคง คิดแล้วก็สั่งบ่าวไพร่ให้คอยอยู่ที่ศาลเจ้า แล้วเรียกคนสนิทสองนายรีบไปที่บ้านกวยไฮซิวทันที เมื่อเข้าไปในบ้านและกวยไฮซิวแจ้งให้มารดาทราบแล้ว นางก็บอกว่า

“…..ขอเชิญท่านให้เข้ามาใกล้เรา จะขอดูสำคัญว่าจะเป็นเปาบุ้นจิ้น หรือมิใช่…”

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังก็ยิ่งสงสัยนัก คิดว่าหญิงผู้นี้จะเป็นผู้ใดหนอ ดูท่วงทีก็เป็นผู้ดีมีตระกูล เหตุใดจึงได้ยากไร้นักหนา คิดแล้วก็ขยับเข้าไปใกล้ นางก็เอามือคลำที่ท้ายทอยเปาบุ้นจิ้น ซึ่งมีสิ่งสำคัญเหมือนดังความฝันเมื่อคืนนี้ จึงถามว่า

“……ท่านไม่รู้จักเราหรือ เราเป็นมเหสีรองพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ เราตกทุกข์ได้ยากได้ความลำบากเวทนาอยู่ดังนี้…….”

แล้วนางก็เล่าความเดิมเมื่อครั้ง นางเล่าฮองเฮา กับ กวยหวย ขันทีทำร้ายบุตรของนาง และเผาตำหนักของนางเสีย นางหนีออกจากพระราชวังได้ จะไปบ้านโปยอ๋องแต่ไปไม่ถูก เดินหลงทางไปหลายวัน ได้ความเวทนาเป็นอันมาก พบหญิงคนหนึ่งมีครรภ์แก่ แต่สามีแซ่กวยตายเสียแล้ว หญิงนั้นเป็นคนเข็ญใจหามีผู้ใดอยู่เป็นเพื่อนไม่ จึงชวนนางไว้เป็นเพื่อน นางก็ยอมอยู่ด้วย ต่อมาหญิงนั้นคลอดบุตรเป็นชาย แต่คลอดแล้วมารดาก็ตาย นางจึงเลี้ยงทารกนั้นไว้ ให้ชื่อว่ากวยไฮซิว คือบุตรคนนี้

แต่ขณะนั้นยังอยู่ในอาณาเขตเมืองหลวง เกิดเพลิงไหม้บ้านขึ้น นางจึงพากวยไฮซิวบุตรเลี้ยง มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองซินจิวตำบลบ้านตันเกียนี้ จนกวยไฮซิวอายุได้สิบเอ็ดสิบสองปี นางก็คิดถึงบุตรชายของนาง และคิดถึงความหลังก็ตั้งหน้าร้องไห้ทุกวันมิได้เป็นอันกินอันนอน จนโลหิตตกจากจักษุบอดทั้งสองข้าง

กวยไฮซิวก็อุตส่าห์หาเลี้ยงมาจนทุกวันนี้ อายุได้สิบห้าสิบหกปี โดยไม่แจ้งว่านางเป็นมารดาเลี้ยง จนเทพารักษ์มาเข้าฝันว่า ตัวเปาบุ้นจิ้นนี้แหละจะชำระความได้ว่า พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้องค์นี้ เป็นราชบุตรของนาง

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังถ้อยคำที่นางเล่าเป็นอัศจรรย์นัก ก็ถามว่า พระเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็น พระราชบุตรของนางนั้น มีอะไรเป็นสำคัญในพระองค์ นางก็บอกว่ามีสำคัญที่พระหัตถ์ทั้งสองข้าง เปาบุ้นจิ้นจึงยอมเชื่อว่านางคือ นางลีสินฮุย พระราชมารดาแน่แล้ว และคุกเข่าลงคำนับแล้วว่า

“………..ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าครั้งนี้จะขอดูสำคัญ ถ้าจริงเหมือนคำท่านว่าแล้ว ข้าพเจ้าจะทูลขอชำระความเรื่องนี้ให้จงได้ ถ้าแม้ไม่โปรดให้ชำระ ข้าพเจ้าจะทูลลาลงเป็นไพร่ ไม่คิดเป็นขุนนางต่อไปอีกแล้ว……..”

เปาบุ้นจิ้นจึงสั่งให้คนสนิทไปตามผู้รักษาเมืองซินจิวมาหา แล้วบอกว่า

“……..นางลีสินฮุยนี้ เป็นพระราชมารดาพระเจ้าแผ่นดิน เราจะรีบเข้าไปในเมืองหลวง ท่านกับขุนนางกรมการจงมาอยู่ปฎิบัติรักษา อย่าให้ขาดได้…….”

ผู้รักษาเมืองรับคำสั่งแล้วก็ให้ขุนนางมาพร้อมกัน แล้วผลัดเปลี่ยนกันปฏิบัตินางมิให้ขาดได้ นางจึงค่อยมีความสุขสบายขึ้น กวยไฮซิวซึ่งเพิ่งจะทราบว่า นางเป็นมารดาเลี้ยงของตน ก็พลอยพ้นความลำบาก ไม่ต้องขายผักอีกต่อไป

เปาบุ้นจิ้นนั้นเมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้ว ก็ยังไม่มีโอกาสกราบทูลฮ่องเต้ จนวันหนึ่งเข้าเฝ้าพระเจ้าซ้องยินจงพร้อมด้วยขุนนางทั้งปวง ฮ่องเต้จึงตรัสกับเปาบุ้นจิ้นว่า ราชการในเมืองหลวงก็ว่างเปล่าแล้ว ท่านจงกลับไปเมืองซินซิวแจกเสบียงอาหารแก่ราษฎรเถิด

เปาบุ้นจิ้นจึงกราบทูลว่ามีความสำคัญอยู่ข้อหนึ่งยังหาได้กราบทูลไม่ ฮ่องเต้จึงตรัสว่ามีข้อความสิ่งใดจงว่าไปเถิด

เปาบุ้นจิ้นจึงทูลว่า

“………ข้าพเจ้ามีความร้อนใจนัก ถ้าไม่เป็นความจริง ข้าพเจ้าก็ไม่พ้นพระราชอาญา โลกนี้ข้าพเจ้าเห็นว่า พระมหากษัตริย์อันดำรงแผ่นดินนั้นเป็นใหญ่อยู่ในโลก หรือพระองค์เห็นว่าผู้อื่นจะเป็นใหญ่กว่าพระมหากษัตริย์บ้าง……..”

ฮ่องเต้ตรัสว่า

“…….ซึ่งท่านจะถือเอาว่า พระมหากษัตริย์เป็นใหญ่ในโลกแต่ผู้เดียวนั้น ยังไม่ได้เหมือนฟ้าและดิน พระจันทร์พระอาทิตย์ และบิดามารดา ครูอาจารย์ เหล่านี้เป็นใหญ่ทั้งสิ้น……”

เปาบุ้นจิ้นทูลต่อไปว่า

“…….พระองค์ตรัสดังนี้ก็ควรแล้ว แต่คนซึ่งไม่รู้จักคุณบิดามารดา จะเรียกว่าคนชนิดไร……”

ฮ่องเต้ตรัสว่า

“….ถ้าคนไม่รู้จักคุณบิดามารดา ถึงโดยว่าเป็นมนุษย์ ก็เหมือนสัตว์เดรัจฉาน…”

ขณะนั้นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเฝ้าอยู่พร้อมกัน เปาบุ้นจิ้นจะกราบทูลข้อความ เรื่องพระราชมารดาก็หามีช่องไม่ จึงหลีกเลี่ยงไป
ที่ห้องอาลักษณ์ แล้วเขียนเป็นเรื่องราวว่า พระองค์ยังไม่รู้จักพระราชมารดาซึ่งประสูตินั้น ความอันนี้ลี้ลับอยู่หามีผู้ใดรู้ไม่ พระราชมารดานั้นตกทุกข์ยากได้ความลำบากนัก เขียนแล้วก็เอาไปถวายต่อพระหัตถ์

ขุนนางทั้งหลายซึ่งเป็นพรรคพวก พังหอง ชิงชิว ที่เฝ้าอยู่นั้น เห็นเปาบุ้นจิ้นเอาเรื่องราวขึ้นไปถวาย ก็นึกสงสัยไม่รู้ว่าเปาบุ้นจิ้นจะกล่าวโทษผู้ใด ให้ร้อนตัวกลัวความผิดนัก ด้วยพวกของตัวทำความผิดไว้เป็นอันมาก พิเคราะห์ดูฮ่องเต้พระพักตร์เผือดผิดปกติก็ตกใจ ต่างคนต่างแลดูตากันไปมา

พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้นั้น เมื่อรับหนังสือมาทอดพระเนตรสิ้นข้อความแล้ว จึงตรัสถามเปาบุ้นจิ้นว่า

“…….นางเต็กไทเฮาไม่ใช่มารดาประสูติของเราหรือ เราก็ได้ตั้งให้เป็นที่มียศใหญ่แล้ว เหตุใดท่านจึงมาว่าดังนี้อีกเล่า……”

เปาบุ้นจิ้นจึงกราบทูลว่าถ้าพระองค์จะใคร่ทราบเรื่อง พระราชมารดาประสูติแล้ว จงตรัสถาม นางเต็กไทเฮา ดูก็จะรู้แจ้ง

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็ร้อนพระทัย เสด็จกลับเข้าข้างใน ไปตำหนักนางเต็กไทเฮา แล้วตรัสถามความเรื่องพระราชมารดา ตามที่ได้ฟังมาจากเปาบุ้นจิ้นทุกประการ

นางเต็กไทเฮาจึงตรัสว่า

“……..ความเรื่องนี้เรารู้ความหาตลอดไม่ รู้แต่ว่าตันหลิมพาเจ้ามาถวายกับ โปยอ๋อง และโปยอ๋องให้เราเลี้ยงไว้จนเจริญวัยได้ราชสมบัติ ผู้ซึ่งเป็นต้นคิดนั้นคือนางเล่าไทเฮากับกวยหวย เจ้าก็ได้ตั้งให้เป็นที่มียศใหญ่เสียแล้ว ถึงผู้ใดจะโจษว่าขึ้นก็กลัว ด้วยรู้ความไม่ตลอด จะอ้างอิงพิงพยานก็ไม่ได้ โปยอ๋องก็ดับสูญล่วงไปเสียแล้ว จึงรู้ตลอดไม่ได้ ความเรื่องนี้แม้ เปาบุ้นจิ้นบอกแล้ว คงได้ความจริงทุกข้อ ด้วยเปาบุ้นจิ้นเป็นคนซื่อตรงต่อแผ่นดิน……..”

ฮ่องเต้ได้ฟังก็ร้อนพระทัยนัก คำนับลานางเต็กไทเฮา แล้วก็เสด็จเลยไปในสวนดอกไม้ ให้หาเปาบุ้นจิ้นมาตรัสถามว่า ท่านว่ามารดาประสูติของเราตกทุกข์ได้ยากนั้น บัดนี้อยู่ที่แห่งใด เปาบุ้นจิ้นกราบทูลว่า พระองค์เป็นกษัตริย์อันประเสริฐ มีสำคัญสิ่งใดในพระองค์บ้าง ฮ่องเต้ตรัสว่ามีสิ่งสำคัญอยู่ที่ฝ่ามือ และฝ่าเท้าทั้งซ้ายขวา ตรัสแล้วก็เหยียดพระหัตถ์และพระบาท ให้เปาบุ้นจิ้นดู ก็เห็นเหมือนคำพระราชมารดาบอก จึงคุกเข่าลงถวายบังคมทูลว่า

ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็สิ้นสงสัย สมคำพระราชมารดาบอกไว้ ถ้าพระองค์จะทราบเรื่องนี้ต่อไปแล้ว จงให้หาตัวกวยหวยมาถามดูเถิด ด้วยกวยหวยรู้ความละเอียด และเปาบุ้นจิ้นก็กราบทูลต่อไปอีกว่า

“…….ซึ่งข้าพเจ้าทูลถามของสำคัญในพระองค์นั้น ด้วยพระราชมารดาบอกข้าพเจ้าไว้ ครั้นข้าพเจ้าได้เห็นสำคัญแล้ว ก็สมจริงเหมือนคำพระราชมารดาบอก อันพระมหากษัตริย์ซึ่งดำรงแผ่นดินนั้น แม้นตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้ว เป็นที่สรรเสริญแก่เทพยดา และนานาประเทศ แม้นความเรื่องพระราชมารดานี้ รู้ไปถึงหัวเมืองทั้งปวงว่าพระองค์ละเลยพระราชมารดา ไว้ให้ได้ความลำบากเวทนา ก็จะติฉินนินทา และเอาใจออกห่างบ้านเมืองก็จะเกิดจลาจลต่าง ๆ ขอพระองค์จงทรงพระดำริให้มาก……..”

ฮ่องเต้ก็อัดอั้นตันพระทัย มิได้ตรัสตอบว่ากระไร แต่มีรับสั่งให้กวยหวยขันทีมาเฝ้าโดยด่วน.

###########

นิตยสารโล่เงิน
ตุลาคม ๒๕๔๖



Create Date : 19 เมษายน 2551
Last Update : 19 เมษายน 2551 6:04:27 น. 6 comments
Counter : 421 Pageviews.

 


โดย: shame_of_sins วันที่: 19 เมษายน 2551 เวลา:17:11:55 น.  

 
เชิญตามสบายครับ
เมื่อหายเหนื่อยแล้ว ลองอ่านเรื่องในบล็อกดูนะครับ
ถ้าชอบก็เข้ามาบ่อย ๆ นะครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 20 เมษายน 2551 เวลา:6:40:22 น.  

 
ลงชื่อว่าอ่านไปแล้วค้าบ แต่มาอ่านอีกรอบ แง๊ววว


โดย: ข้าวโพดแมวติสต์แตก วันที่: 2 พฤษภาคม 2551 เวลา:14:36:19 น.  

 
คราวนี้ผมไม่เห็นคุณข้าวโพดไปหนึ่งปีเต็ม ๆ เลยครับ
(ไม่กล้าขออภัยครับ)


โดย: เจียวต้าย วันที่: 9 มิถุนายน 2552 เวลา:7:53:35 น.  

 
นี่มันเรื่องท่านเปานี่นา


โดย: kira7 IP: 116.68.159.61 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:14:10:44 น.  

 
ตอนนี้เขาตัดเอาไปทำภาพยนตร์แล้วครับ


โดย: เจียวต้าย วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:6:10:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.