Group Blog
 
All Blogs
 

ตอนที่ ๑๖ กังฉินตามล่า

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๑๖ กังฉินตามล่า

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ขณะเมื่อ พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้ประหารชีวิต เพงไซอ๋อง หรือ เต็กเชง นั้น ขุนนางข้าราชการทั้งปวงก็พากันกราบทูลว่า อันเพงไซอ๋องนี้มีคุณต่อแผ่นดิน ความชอบมากนัก ขอพระองค์อย่าได้ประหารชีวิต ขอรับพระราชทานโทษเสียสักครั้งหนึ่ง

พระเจ้าซ้องยินจงก็ตรัสว่า

“…….ซึ่งท่านทั้งปวงจะขอโทษเพงไซอ๋องนั้นไม่ได้ ด้วยตัวเราเป็นถึงเจ้าแผ่นดิน ไม่ควรที่เพงไซอ๋องจะพูดจา หยาบช้าถึงเพียงนี้ ครั้นจะไม่ฆ่าเสีย ขุนนางข้าราชการก็จะหมิ่นประมาทเป็นเยี่ยงอย่างต่อไป……..”

ทหารรักษาพระองค์กับ พังหอง ได้รับสั่งก็ถวายบังคมลา พาตัวเพงไซอ๋องไป ครั้นมาถึงกลางทาง พอดี เจียวเทงกุ้ย ทหารเอกของเพงไซอ๋องขี่ม้ามาตามถนน แลเห็นทหารรักษาพระองค์กับพังหองมัดเพงไซอ๋องมา ก็ลงจากหลังม้าเข้าไปถามว่าท่านทำผิดสิ่งใด เพงไซอ๋อง จึงว่าตัวเราเป็นชายชาติทหารไม่กลัวความตาย

พูดได้เท่านั้นทหารก็พาตัวเลยไป เจียวเทงกุ้ยก็ขึ้นม้าเดินตามไป แล้วพูดกับพังหองว่าท่านอย่าเพิ่งฆ่าเพงไซอ๋อง ถ้าแม้นไม่ฟังเราจะฆ่าท่านเสียให้สิ้นทั้งครัวเรือน

ว่าแล้วเจียวเทงกุ้ยก็รีบขับม้าไปหา นางเต็กไทเฮา พระราชมารดาเลี้ยงของฮ่องเต้ถึงตำหนักใน แล้วร้องบอกด้วยเสียงอันดังว่า บัดนี้บ้านเมืองเกิดจลาจลแล้ว นางเต็กไทเฮาได้ยินก็ตกใจจึงออกมาถามว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น เจียวเทงกุ้ยก็บอกว่า

“………ข้าพเจ้าเห็นทหารรักษาพระองค์กับพังหอง มัดเพงไซอ๋องไปจะฆ่าเสียในเดี๋ยวนี้ ครั้นข้าพเจ้าถามก็ไม่ได้ความว่าเป็นโทษด้วยเหตุอันใด……..”

นางเต็กไทเฮาก็ตกใจ จึงเข้าไปเชิญเอาพระรูป พระเจ้าซ้องไทโจฮ่องเต้ พระบิดาของฮ่องเต้ที่ตั้งบนโต๊ะ แล้วเข้าไปเฝ้า พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ที่เสด็จออกขุนนางในพระราชวัง ฮ่องเต้ก็เสด็จออกไปพร้อมด้วยขุนนางทั้งปวง เชิญพระรูปตั้งไว้ในที่อันสมควร แล้วตรัสถามนางเต็กไทเฮาว่า พระมารดามามีธุระสิ่งใดหรือ นางเต็กไทเฮาทูลว่า

“……..อันตัวข้าพเจ้านี้เป็นคนอนาถา ปราศจากญาติเห็นแต่เพงไซอ๋องคนเดียว ก็หมายว่าจะได้สืบตระกูลต่อไป บัดนี้ก็มาถึงแก่ชีวิตไม่รู้ว่าโทษผิดด้วยข้อไร ขุนนางทั้งปวงเหตุใดจึงพากันนิ่งเฉยเสียหมด ไม่เห็นกับเพงไซอ๋องบ้างเลย มิใช่ว่าเพงไซอ๋องจะไม่มีคุณต่อแผ่นดินเมื่อไร ก็มีคุณต่อแผ่นดินมามาก………..”

ขุนนางทั้งปวงก็ให้ทูลถามฮ่องเต้ก็จะได้ความ ครั้นนางเต็กไทเฮาทูลถามว่า เพงไซอ๋องทำผิดอย่างใด จึงได้เอาไปประหารชีวิต พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ก็ตรัสเล่าความตั้งแต่ต้นจนปลาย ให้พระมารดาฟังทุกประการ นางเต็กไทเฮาก็ว่า

“……….เพงไซอ๋องอุตส่าห์เข้ามาทำราชการ ก็มีความชอบเป็นอันมาก ด้วยหวังใจว่ามีอาอยู่คนหนึ่ง พอจะเป็นที่พึ่งแก่ตัวได้ เผื่อผิดพลั้งในราชการบ้างเล็กน้อย จะได้ช่วยเพ็ดทูลแก้ไขปลดเปลื้อง อันอาของเจ้านั้นเป็นที่พึ่งไม่ได้เหมือนนางพังกุยฮุย ตั้งแต่นี้ไปอาก็ไม่ได้เห็นหน้าเจ้าต่อไปอีกแล้ว จะได้เห็นก็แต่ศรีษะอยู่คนละที่ต่างหาก แต่เดิมถ้าแม้นรู้ว่าเป็นเช่นนี้แล้ว จะเข้ามาทำราชการให้ลำบากทำไม ไปอยู่เสียที่บ้านเดิมจะมิสบายหรือ……..”

นางเต็กไทเฮาพูดพลางร้องไห้พลาง ฮ่องเต้เห็นพระมารดาทรงกันแสง ก็มีพระทัยสลดสงสารจึงตรัสว่า

“……พระมารดาอย่าเศร้าโศกแค้นเคืองข้าพเจ้าเลย จะให้คนไปเอาตัวเพงไซอ๋อง มาให้ ไม่ฆ่าฟัน……..”

ตรัสแล้วฮ่องเต้ก็ให้เจ้าพนักงานทำหนังสือรับสั่งมีใจความว่า อย่าให้พังหองกับทหารฆ่าเพงไซอ๋อง ให้เอาตัวกลับมาบ้าน แล้วให้ม้าใช้ถือหนังสือรีบไป นางเต็กไทเฮาก็ว่าป่านนี้ศรีษะเพงไซอ๋องจะมิขาดออกไปแล้วหรือ ขุนนางทั้งปวงจึงว่าม้าใช้ผู้ถือหนังสือรับสั่งคงจะไปทัน ด้วยยังไม่ถึงเวลาซึ่งจะประหารชีวิต

เมื่อพังหองได้รับหนังสือรับสั่งจากม้าใช้ฉีกผนึกออก อ่านทราบความแล้วก็เสียใจ ด้วยไม่สมความคิด จึงให้ทหารพาเพงไซอ๋องกลับมา เมื่อถึงพระราชวังแล้วนางเต๊กไทเฮาจึงแกล้งถามว่า

“……..ตัวท่านนี้หรือชื่อพังหอง มีบุตรสาวชื่อพังกุยฮุยเป็นพระสนมเอก โปรดปรานนัก ตัวท่านนี้ชราอายุก็มากแล้ว เหตุใดจึงมาคิดการเช่นนี้ เพงไซอ๋องทำสิ่งใดกับท่าน จึงผูกใจเจ็บแค้น คิดอุบายทำร้ายล้างไม่วายเลย………”

แล้วนางเต็กไทเฮาก็พูดถึงความเก่าต่อไปว่า เมื่อครั้งมีรับสั่งให้เพงไซอ๋องไปเมืองไซหยง ก็เพราะพังหองเป็นผู้แนะนำขึ้นก่อน ด้วยหมายว่าจะให้เพงไซอ๋องตายด้วยฝีมือชาวไซหยง ครั้นเพงไซอ๋องไม่ตายกลับมาได้ ก็คบคิดกับ เอียเทา ให้ นางโปยเลงกงจู๊ ปลอมมาทำร้าย ครั้นไม่สมคิดก็ให้บุตรสาวกราบทูล ยกข้อผิดว่าเอาธงปลอมมาถวาย ใจคอช่างกระไรเลยคิดล้างผลาญเพงไซอ๋องนั้นจะประสงค์สิ่งใด

พังหองก็แก้ว่า เดิมเพงไซอ๋องเป็นแต่ขุนนางนายทหาร ตนเองกราบทูลขึ้นจึงรับสั่งใช้ให้ไปเมืองไซหยง ได้เลื่อนที่เป็นเพงไซอ๋องขึ้นก็เพราะผู้ใด อันนางโปยเลงกงจู๊นั้นเป็นความคิดของเอียเทาต่างหาก เรื่องธงปลอมตนก็มิได้กราบทูลส่อเสียดขึ้นเมื่อไร ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรแล้วมีความสงสัยเอง ตนมิได้มีธุระเกี่ยวข้องด้วย เพงไซอ๋องพูดจาหยาบช้าไม่เกรงพระราชอาญา จึงรับสั่งให้ประหารชีวิตเสีย ตนเองเป็นแต่ผู้ถือรับสั่งให้กำกับไปเท่านั้น

นางเต็กไทเฮาเห็นว่าพังหองแก้ให้พ้นตัวไปดังนั้น ก็นิ่งอยู่มิได้ต่อความยาวด้วย ฮ่องเต้จึงรับสั่งกับ เปาบุ้นจิ้น ว่าซึ่งเพงไซอ๋องพูดจาหยาบคายเหลือเกินเช่นนี้ มีความผิดหรือไม่ ให้ปรึกษาโทษดู เปาบุ้นจิ้นก็กราบทูลว่า

“………พระองค์เป็นกษัตริย์อันประเสริฐ ไม่ควรที่เพงไซอ๋องจะพูดจาหยาบคายล่วงเกิน ข้อนี้มีความผิด ซึ่งพระองค์มีรับสั่งให้เอาตัวไปประหารชีวิตนั้นก็ควร แต่เพงไซอ๋องมีความชอบต่อแผ่นดินเป็นอันมาก ซึ่งจะฆ่าเสียนั้นไม่ได้ต้องยกไว้ก่อน แต่จะต้องทำโทษเสียบ้างจึงจะได้ ครั้นจะไม่ทำโทษขุนนางทั้งปวงก็จะเอาเยี่ยงอย่าง ข้าพเจ้าเห็นว่าถอดออกเสียจากที่เพงไซอ๋อง แล้วเนรเทศให้ออกไปอยู่ที่ตำบลอิวเลงเอีย นอกเมืองเปียนเหลียงสักสามปี จึงกลับเอามาเป็นที่เพงไซอ๋อง รับราชการตามเดิม………”

ฮ่องเต้ได้ฟังเปาบุ้นจิ้นกราบทูลดังนั้น ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงมีรับสั่งให้ลงโทษตามคำของเปาบุ้นจิ้นทุกประการ

เต็กเชงนั้นเมื่อถูกถอดออกจากที่เพงไซอ๋องแล้ว ก็ถวายบังคมลากลับมาบ้าน เล่าความให้มารดาฟังทุกประการ แล้วก็จัดแจงข้าวของจะไปตำบลอิวเลงเอีย ทหารเอกสี่คนคือ เตียคง เจียเง็ก เมงเตงก๊ก และ เจียวเทงกุ้ย จึงพากันมาหาแล้วบอกว่าพวกตนนี้เดิมเมื่อเข้ามารับราชการ ก็ยอมสามิภักดิ์นับถือเต็กเชงว่าเป็นนาย จนได้ที่ขุนนางมียศศักดิ์ บัดนี้เต็กเชงก็ไม่ได้ทำราชการแล้ว พวกตนก็จะเข้าไปถวายบังคมลาออกเสียจากราชการไปอยู่กับเต็กเชงด้วย

เต็กเชงก็ว่า

“…….ท่านทั้งปวงจะทำดังนี้ไม่ได้ ถ้าตัวท่านมีความผิดแล้วก็จะตลอดมาถึงเราด้วย เราจะขอลาท่านทั้งปวงไป จงอยู่ให้เป็นสุขสบายเถิด แม้นเรายังมีชีวิตอยู่ตลอดไปได้ครบกำหนดสามปีแล้ว ก็คงได้กลับมาทำราชการด้วยกันอีก อย่าคิดวุ่นวายไปเลยจะพากันได้ความผิด………”

ทหารเอกทั้งสี่นายก็เชื่อฟังด้วยดี

นางเต็กไทเฮาก็ให้หาตัวเต็กเชงมาที่วังนำเชงเก๋ง แล้วสั่งว่าเมื่อไปอยู่ตำบล อิวเลงเอียนั้น ถ้าจะใช้สอยเงินทองแล้ว จงมาเบิกที่ในคลังไปใช้ด้วยทำบัญชีไว้ให้แล้ว และกำชับให้ระวังตัวจงมากอย่ามีความประมาท

เต็กเชงลานางเต็กไทเฮา และ นางเมงสี ผู้มารดาแล้ว ก็ไปคำนับลาเปาบุ้นจิ้นซึ่งเป็นที่นับถือ เปาบุ้นจิ้นก็ทำหนังสือแจ้งความให้ เฮงเจีย นายบ้าน อิวเลงเอีย ทราบเรื่องราวที่ เต็กเชงจะต้องมาอยู่โดยละเอียด และขอให้ดูแลตามสมควร เมื่อ เต็กเชงไปถึงเฮงเจียก็มารับ และจัดที่อยู่อาศัยให้เป็นที่เรียบร้อย

ฝ่ายพังหองนั้นยังไม่เลิกจองล้างเต็กเชง เห็นว่าเฮงเจียนั้นเป็นคนชอบอัธยาศัยกัน จึงทำหนังสือฉบับหนึ่งให้คนสนิทนำไปมอบแก่เฮงเจีย และสั่งว่าเมื่อเฮงเจียอ่านทราบความแล้วให้เอาหนังสือนั้นกลับคืนมา เฮงเจียได้รับหนังสือแล้วก็เปิดอ่าน มีใจความว่า

เต็กเชงมีข้อสาเหตุเป็นศัตรูกับเราลึกซึ้งมากนัก บัดนี้ตกมาอยู่ตำบลอิวเลงเอีย แล้ว ตัวท่านก็เป็นใหญ่อยู่ในตำบลอิวเลงเอีย จะทำการสิ่งใดก็อาจสำเร็จลงได้ เห็นกับไมตรีมีความเจ็บแค้นกับเราด้วย ช่วยคิดอ่านกำจัดเต็กเชง ถ้าสำเร็จดังปรารถนาเราจะสมนาคุณท่าน แล้วจะให้มียศใหญ่ขึ้นไป

แล้วเฮงเจียก็ทำหนังสือตอบไปว่า ได้ทราบความแล้วคงจะกำจัดเต็กเชงสนองคุณท่านให้จงได้ แต่ในใจนั้นคิดว่าเต็กเชงเป็นคนดี มีความชอบต่อแผ่นดินมาก ซึ่งพังหองมีหนังสือมาให้ตนกำจัดเสียนั้นไม่ชอบ ครั้นจะไม่ทำตามหนังสือ พังหองก็จะโกรธและคิดทำร้ายด้วยอุบายต่าง ๆ จึงตรึกตรองหาหนทางที่จะเอาตัวรอดอยู่

พอถึงสิบห้าวันพังหองก็มีหนังสือเตือนมาอีกฉบับหนึ่ง เฮงเจียก็ตอบไปว่ายังหาช่องที่จะกำจัดเต็กเชงไม่ได้ ถ้ามีช่องเมื่อใดก็จะฆ่าเสียเมื่อนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำสิ่งใด พังหองก็มีหนังสือเตือนมาอีกถึงสิบสองฉบับ สุดท้ายก็เร่งให้กำจัดเต็กเชงเสียโดยเร็ว มิเช่นนั้นพังหองก็จะฆ่าตนเสียเอง

ค่ำวันหนึ่งเฮงเจียก็จัดโต๊ะไว้พร้อมเสร็จ แล้วให้คนไปเชิญเต็กเชงกินโต๊ะพูดจากันที่บ้าน ขณะที่กำลังกินโต๊ะเสพสุราอยู่ เฮงเจียก็เล่าความที่พังหองมีหนังสือมาถึงสิบสามฉบับ ให้เต็กเชงฟังทุกประการ และว่าจะขอลาท่านไปอยู่เสียที่บ้านอื่นเมืองไกล ให้พ้นพังหอง

เต็กเชงก็ว่าท่านอย่าเพิ่งตกใจวุ่นวายไปก่อน หนังสือของพังหองนั้นเก็บไว้ทุกฉบับหรือ เฮงเจียก็ว่าไม่ได้เก็บไว้ เมื่อเขามีมาถึงอ่านดูรู้ความแล้วก็เอากลับคืนไป เต็กเชงจึงว่า

“…………พังหองฉลาดนัก กลัวจะได้หนังสือไว้เป็นสำคัญ แล้วจะคิดอ่านว่าความยกข้อผิดได้ จึงให้เอากลับไปเสีย ด้วยพังหองเห็นว่า ถึงจะฟ้องร้องว่าความขึ้นก็ไม่มีอันใดเป็นที่อ้าง ซึ่งตัวท่านมีความเมตตารักใคร่ ไม่ทำร้ายข้าพเจ้านั้นขอบคุณท่านมากนัก แต่ท่านไม่ทำตามพังหองก็จะมีภัย ท่านอย่าเพิ่งไปก่อน ข้าพเจ้าจะคิดอ่านไม่ให้พังหองทำอันตรายได้ อย่าตกใจร้อนรนไปเลย……….”

เมื่อพูดจากันแล้วก็ไม่เป็นอันจะกินโต๊ะ เต็กเชงก็ลากลับมายังที่อยู่ ค่ำคืนนั้นเดือนหงาย เต็กเชงไม่สบายใจนอนไม่หลับ ก็ออกมาเดินเล่นอยู่หน้าตึก คิดขึ้นมาถึงพังหองแล้วให้มีความแค้นเป็นที่สุด ซึ่งเป็นโทษต้องเนรเทศออกมาแล้ว ก็ยังคิดล้างผลาญไม่วายเลย แต่จะแก้แค้นก็ยากด้วยเขาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ บุตรสาวข้างในก็เป็นคนโปรดของฮ่องเต้ เต็กเชงคิดหาหนทางอยู่จนดึก ก็ให้จนใจนักมิรู้ที่จะทำประการใดเลย

ครั้นเวลารุ่งเช้าเต็กเชงก็มีหน้าตาเศร้าหมอง พูดจาก็ฟั่นเฟือนเหมือนกับคนไม่มีสติ แล้วบอกกับเฮงเจียว่า เมื่อคืนนี้ทหารเมืองไซหยงซึ่งตนฆ่าตายนั้น มาหลอกหลอนรบกวนจะเอาชีวิตตน อาหารก็กินไม่ได้ให้เจ็บปวดทั่วสารพางค์กาย เฮงเจียก็ตกใจไปตามหมอมาดูอาการ หมอพิเคราะห์แล้วก็บอกว่ารักษาไม่ได้ อีกสามวันก็จะตาย เฮงเจียก็ไม่มีทางที่จะช่วยอย่างใดได้.

##########

นิตยสารโล่เงิน
พฤษภาคม ๒๕๔๗




 

Create Date : 30 เมษายน 2551    
Last Update : 18 มิถุนายน 2552 9:17:48 น.
Counter : 391 Pageviews.  

ตอนที่ ๑๕.แม่ทัพผู้ทรนง

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๑๕ แม่ทัพผู้ทรนง

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อเจ้าเมืองไซหยงส่งเครื่องบรรณาการ มาให้ พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ นั้น ได้มีหนังสือกำกับมาด้วย มีความว่า

เดิมเมืองไซหยงเป็นข้าศึกกับเมืองเปียนเหลียง ตั้งแต่เต็กเชงยกทัพมา ก็ยอมอ่อนน้อมสวามิภักดิ์โดยสุจริต มิได้คิดแข็งเมืองมาจนเดี๋ยวนี้ ซึ่งนางโปยเลงกงจู๊ปลอมเข้าไปในเมืองเปีนเหลียง จะทำร้ายเต็กเชงแก้แค้นแทนสามีนั้นข้าพเจ้ามิได้ทราบ เตียตงนำหีบใส่กระดูกนางโปยเลงกงจู๊มาให้จึงได้รู้ความ ข้อซึ่งนางโปยเลงกงจู๊ทำการล่วงเกินนั้น ข้าพเจ้ามิได้รู้เห็นเป็นใจด้วย พระองค์อย่าได้มีความรังเกียจ เคลือบแคลงในข้าพเจ้าเลย

ในขณะเดียวกันเจ้าเมืองไซหยงก็ทำหนังสืออีกฉบับหนึ่งส่งให้ พังหอง มีความว่า

ซึ่งให้นางโปยเเลงกงจู๊ปลอมเข้ามาทำร้ายเต็กเชง ทราบความว่าท่านช่วยคิดอ่านเอาเป็นธุระ ข้าพเจ้าขอบคุณท่านมากนัก จึงจัดสิ่งของได้แต่งให้ เทกลังเหงีย คุมเข้ามาสนองคุณท่าน ด้วยเต็กเชงฆ่านางโปยเลงกงจู๊ผู้บุตร ข้าพเจ้ามีความเจ็บแค้นเป็นอันมาก แต่เหลือปัญญาที่จะคิดอ่านกำจัดเต็กเชงได้ เห็นแต่ท่านผู้เดียวขอจงได้เห็นแก่ทางไมตรี มีความเมตตาให้จงมาก ถ้าแม้นสำเร็จดังความปรารถนาแล้ว ข้าพเจ้าจะสนองคุณท่านให้มาก

อันธงสำหรับเมืองไซหยงซึ่งเต็กเชงเอามานั้น เป็นธงทำเทียมไม่ใช่ของจริง ท่านจงยกเอาข้อความนี้ขึ้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว เต็กเชงก็จะมีความผิดโทษถึงประหารชีวิต

ของที่ให้ เทกลังเหงีย นำมาเป็นกำนัลให้แก่พังหองนั้น ก็คือทองคำสิบลิ่มหนักลิ่มละร้อยตำลึง กระจกวิเศษบานหนึ่ง ศิลาวิเศษสัณฐานเหมือนเจดีย์ กับพลอยวิเศษเม็ดหนึ่ง หยกขาวสี่แท่ง กับป้านหยกใบหนึ่ง พังหองก็มีความยินดียิ่งนัก และจัดให้เทกลังเหงียกับบ่าวสองคน พักอยู่ในบ้านด้วย

พังหองก็เข้าไปพระราชวังข้างในหา นางพังกุยฮุย ผู้บุตร ซึ่งเป็นสนมเอกของฮ่องเต้ เล่าความที่ได้รับของกำนัลและหนังสือจากเจ้าเมืองไซหยงให้ฟังทุกประการ แล้วว่า เจ้าจงคิดอุบายให้พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ทรงทราบ ว่า เพงไซอ๋อง เอาธงปลอมมา นางพังกุยฮุยก็ว่า

“…….บิดาก็มีอายุมากแล้ว ไม่ควรจะมาคิดร้ายเพงไซอ๋อง เมื่อครั้งเอียเทา ข้าพเจ้าต้องคิดอุบายกราบทูลแก้ไข จึงได้โปรดยกโทษให้ครั้งหนึ่งแล้ว บิดายังขืนทำต่อไปอีก ข้าพเจ้าเห็นไม่ควรเลย………”

พังหองได้ฟังก็นิ่งอั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถอนหายใจบอกว่า

“…….อันเพงไซอ๋องนั้นมีข้อสาเหตุกับเราลึกซึ้งมากนัก ถ้าแม้นไม่คิดทำลายล้างเสีย เขาก็คงจะปองทำร้ายเรา ถึงบุตรและหลานเป็นเที่ยงแท้ ทุกวันนี้บิดาก็ไม่เห็นใครจะเป็นที่พึ่งได้ เห็นแต่เจ้าผู้เดียว ถ้าไม่เอาเป็นธุระแล้ว บิดาก็จะขอลาออกเสียจากที่ ซึ่งจะทำราชการไปเห็นจะไม่พ้นความผิด เพงไซอ๋องเขาก็คงจะคิดร้ายด้วยอุบายต่าง ๆ………..”

นางพังกุยฮุยได้ฟังดังนั้นก็ไม่อาจขัดใจบิดาได้ จึงถามว่า

“………ธงซึ่งเพงไซอ๋องเอามาถวายนั้น เป็นธงปลอมแน่แล้วหรือ บัดนี้บิดาอยากจะให้พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ทรงทราบว่า เป็นธงปลอมเท่านั้นแหละหรือ……..”

พังหองจึงว่า

“…….มิใช่ธุระอะไรมากมาย เป็นแต่แก้ไขใช้ปัญญา แต่พอให้พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ทรงทราบว่าเป็นธงปลอมเท่านั้น ครั้นบิดาจะตรงเข้าไปกราบทูลก็เห็นไม่ชอบกล จึงได้มาหาเจ้า……….”

นางพังกุยฮุยก็รับว่าจะจัดการให้ตามที่บิดาต้องการ พังหองจึงกลับมาบ้านด้วย ความยินดี

ครั้นเวลาค่ำพระเจ้าซ้องยินจงเสด็จเข้าไปที่เก๋งของนางพังกุยฮุย นางพนักงานก็เชิญเครื่องเสวยเข้าไปถวายตามเคย ระหว่างฮ่องเต้เสวยนางพังกุยฮุยก็คอยจับจอกรินสุราถวาย ฮ่องเต้ก็เสวยพลางตรัสคุยกับนางพังกุยฮุย นางเห็นได้ช่องจึงกราบทูลว่า

“……..ทุกวันนี้พระองค์ทรงพระเมตตาโปรดชุบเลี้ยงให้ข้าพเจ้ามีความสุข พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ อันตัวข้าพเจ้านี้เปรียบเหมือนนกสกุลต่ำ ได้เข้ามาปนอยู่ในฝูงหงส์ จะพึ่งพระบารมีไปได้ตลอดหรือไม่ตลอดก็ไม่ทราบ……..”

ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

“………เหตุใดเจ้าจึงว่าดังนี้ อันบุญวาสนาซึ่งเสมอ
และไม่เสมอกันนั้น จะเอาเป็นประมาณไม่ได้ สุดแล้วแต่ความรักและเป็นคู่เคยอุปถัมภ์กันมา นั้นเป็นการสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่น ถ้าเรามีชีวิตอยู่ตราบใด ก็จะทำนุบำรุงเจ้าไป……..”

นางพังกุยฮุยจึงกราบทูลว่า

“……….เมื่อครั้งเจ้าเมืองไซหยงยกกองทัพมาตีเมืองซำก๋วนนั้น ข้าพเจ้ามีความวิตกมากนัก นี่หากว่าได้ เอียจงเปา ป้องกันไว้จึงไม่เป็นอันตราย บัดนี้เอียจงเปาก็ตายไปแล้ว ทุกวันนี้ไม่เห็นผู้ใดจะเข้มแข็งเหมือนเอียจงเปา………..”

พระเจ้าซ้องยินจงก็ตรัสว่า

“……….เจ้าออกชื่อเอียจงเปาเรามีความเสียดายมากนัก เดี๋ยวนี้ก็เห็นแต่เพงไซอ๋องไปปราบปรามเมืองไซหยง ได้ธงสำหรับเมืองมา บ้านเมืองค่อยเป็นสุข…….”

นางพังกุยฮุยก็ทูลถามว่า ธงซึ่งเพงไซอ๋องเอามาถวายนั้น พระองค์ได้ทอดพระเนตรแล้วหรือ ฮ่องเต้ก็ตรัสว่าเราเห็นแล้ว ขุนนางข้าราชการก็ได้ดูด้วยกันมาก นางพังกุยฮุยก็ถามว่า เหมือนอย่างข้าพเจ้าจะดูบ้างควรหรือไม่ ถ้าแม้นควรแล้วข้าพเจ้าอยากจะใคร่รับพระราชทานดู ด้วยยังไม่เคยเห็นเลย

ฮ่องเต้ก็รับสั่งให้หญิงคนใช้ไปบอกเจ้าพนักงาน ให้เอาธงนั้นมาให้นางพัง กุยฮุยดู นางพังกุยฮุยดูพลางก็นึกหาอุบายที่จะทูลว่าเป็นธงปลอม ตามที่บิดาสั่ง ครั้นพิเคราะห์ไปก็จับเหตุได้ จึงกราบทูลว่า

“………ธงนี้ข้าพเจ้านึกแคลงสงสัย กลัวจะไม่ใช่สำหรับเมืองไซหยง จะเป็นของปลอมดอกกระมัง เห็นแพรกับรอยเย็บนั้นยังใหม่นักหนา ขอพระองค์จงทอดพระเนตรดูเถิด……”

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรธงนั้นแล้ว ก็เห็นจริงตามที่นางพังกุยฮุยกราบทูล นางจึงทูลถามว่า ธงนี้เจ้าเมืองไซหยงแต่งให้ขุนนางคุม เข้ามากับเพงไซอ๋องถวายพระองค์ หรือเพงไซอ๋องเอามาถวายเอง ฮ่องเต้ก็ตรัสว่าเพงไซอ๋องเอามาเอง นางพังกุยฮุยก็ทูลว่า

“…….ธงนี้ปลอมแน่แล้ว เจ้าเมืองไซหยงจะทำเทียมให้กับเพงไซอ๋อง ว่าเป็นธงสำหรับเมือง ถ้ามิฉะนั้นเพงไซอ๋องเอาธงสำหรับเมือง ไว้เป็นของตัวเสีย ทำธงเทียมเข้ามาถวาย….”

ฮ่องเต้ก็เห็นด้วยว่าอันธรรมเนียมของเก่าแก่สำหรับเมืองสืบมาหลายชั่วคน ก็จะต้องมัวหมองไปบ้าง นี่ดูยังใหม่นักไม่เห็นสมกับที่เป็นของคู่บ้านเมืองเลย

ครั้นเวลารุ่งเช้าพระเจ้าซ้องยินจงเสด็จออกขุนนางเข้าเฝ้าพร้อมกัน จึงตรัสว่าธงสำหรับเมืองไซหยงที่เพงไซอ๋องเอามานั้น เป็นธงปลอมเสียแล้ว ขุนนางทั้งปวงได้ฟังรับสั่งต่างคนก็ตกใจ จึงกราบทูลว่าธงนี้เมื่อเพงไซอ๋องเอาเข้ามาถวาย พระองค์ก็ได้ทอดพระเนตรแล้ว ขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ได้ดูด้วยกันมากก็ไม่มีผู้ใดทักท้วง พระองค์รับสั่งให้เจ้าพนักงานเอาไปเก็บไว้ก็ช้านาน ถึงรู้ว่าเป็นธงปลอมเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าทั้งปวงสงสัยนัก ธงนั้นมีพิรุธอย่างไรจึงได้ทรงทราบ

ฮ่องเต้ก็รับสั่งให้พนักงานเอาธงมาให้ขุนนางดู ขุนนางทั้งปวงดูแล้วก็นิ่งอยู่มิได้ว่าประการใด เปาบุ้นจิ้น ก็กราบทูลว่า

“………เมื่อเพงไซอ๋องเอามาถวายข้าพเจ้าไม่ได้เห็น ด้วยออกไปแจกข้าวแก่ราษฎรที่เมืองซัวตัง พึ่งได้เห็นเดี๋ยวนี้น่าจะเป็นของปลอมจริงเหมือนรับสั่ง แต่ข้าพเจ้าตรึกตรองดูเห็นความว่า จะมีคนคบค้ากับ ชาวเมืองไซหยงเป็นมั่นคง จึงได้ล่วงรู้ว่าเป็นของปลอม……..”

ฝ่ายพังหองซึ่งเฝ้าอยู่ในที่นั้นด้วย ครั้นได้ยินเปาบุ้นจิ้นกราบทูลขึ้นดังนั้น ก็วาบเข้าไปในดวงใจ ฮ่องเต้ก็ตรัสว่าธงอันนี้เรารู้ว่าเป็นของปลอม ด้วยปัญญาของเราเองดอก

เปาบุ้นจิ้นก็กราบทูลว่า ถ้าพระองค์รู้ด้วยปัญญาของพระองค์แล้ว พระองค์ก็คบคนต่างเมือง ฮ่องเต้จึงตรัสว่า เรื่องธงนี้นางพังกุยฮุยเขาขอดูก่อน ครั้นพิจารณาไปก็เห็นเป็นของใหม่จริง จึงได้รู้ว่าปลอม

เปาบุ้นจิ้นก็ทูลว่า ถ้ากระนั้นนางพังกุยฮุยก็คบกับคนมาแต่เมืองไซหยง จึงได้รู้ ฮ่องเต้ได้ทรงฟังเปาบุ้นจิ้นว่าดังนั้น ก็ทรงขัดเคือง จึงตรัสว่า

“…..เปาบุ้นจิ้นพูดจาเลอะเทอะฟังไม่ได้ ใส่โทษคนโน้นคนนี้วุ่นวายนัก นาง พังกุยฮุยอยู่ถึงในวัง ว่าคบค้ากับชาวเมืองไซหยงนั้น ใครเขาจะเห็นด้วย……..”

เปาบุ้นจิ้นก็ทูลซักต่อไปว่าธงนี้เมื่อนางพังกุยฮุยดูนั้น พระองค์โปรดดำริให้นางดูหรือนางขอดูเอง ฮ่องเต้ก็ว่าเราให้นางพังกุยฮุยดูเองดอก เปาบุ้นจิ้นก็ทูลว่าซึ่งอยู่นิ่ง ๆ พระองค์จะโปรดให้นางดูธงนั้นตรองไม่เห็นเหตุ เกรงแต่นางจะขอดูก่อน

ฮ่องเต้ก็จนพระทัยไม่รู้จะตรัสโต้ตอบ ยักเยื้องไปอย่างไรได้ จึงตรัสว่าเรื่องธงนี้ไม่ใช่ธุระเกี่ยวกับท่าน อย่ามาพูดเลยดูก่อนดูหลังก็ช่างเขาเถิด เปาบุ้นจิ้นได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่ แล้วฮ่องเต้จึงตรัสถามเพงไซอ๋องว่าเหตุใดจึงเอาธงปลอมมาหลอกลวงเรา

เพงไซอ๋องได้ฟังพระเจ้าซ้องยินจงรับสั่งกับเปาบุ้นจิ้น ท่วงทีพระกระแสเอนเอียงไปข้างนางพังกุยฮุยฝ่ายเดียว ก็มีความแค้นในใจมากนัก ครั้นฮ่องเต้ตรัสถามก็ทูลไม่ออก จนต้องตรัสถามอีกถึงสองสามครั้ง จึงทูลตอบไปด้วยความแค้นว่า

“…….พระองค์เชื่อถือนางพังกุยฮุยแล้ว จงเอาข้าพเจ้าไปประหารชีวิตเสียเถิด…”

พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็ขัดเคือง จึงตรัสว่า

“…….เหตุใดเพงไซอ๋องจึงมาพูดจาท้าทายเราดังนี้ ธงนั้นตัวก็ได้ไปเอามาเอง เดี๋ยวนี้สงสัยอยู่ว่าเป็นของปลอม จะไม่ให้เราไต่ถามดูบ้างเลยหรือ……..”

เพงไซอ๋องก็กราบทูลว่า

“……..ธงนี้เจ้าเมืองไซหยงให้ขุนนางผู้ใหญ่เอามามอบให้ ข้าพเจ้าจึงได้รับมาถวาย พระองค์ได้ทอดพระเนตรดูพร้อมด้วยขุนนางทั้งปวง ก็ไม่มีผู้ใดทักท้วง จึงได้เอาเข้าไปเก็บไว้ในพระคลัง ก็ช้านานจนป่านนี้แล้ว นางพังกุยฮุยว่าเป็นธงปลอมพระองค์ก็เชื่อฟัง จะว่าอย่างไรก็ตามใจสิ้นทั้งนั้น การครั้งนี้เหมือนพระองค์ต้องประสงค์ศรีษะข้าพเจ้าเหมือนกัน เมื่อพระองค์ไม่เห็นกับไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน จะเห็นแต่นางพังกุยฮุยคนเดียวแล้ว จงเอาศรีษะข้าพเจ้าไปเถิด………”

พระเจ้าซ้องยินจงได้ทรงฟังก็กริ้วหนักขึ้น จึงตรัสว่าเพงไซอ๋องพูดจาหยาบช้าผิดธรรมเนียมนัก ครั้นจะไม่กำจัดเสีย ขุนนางทั้งปวงก็จะเอาเยี่ยงอย่างต่อไป ตรัสแล้วก็สั่งให้ทหารรักษาพระองค์เอาตัวไปประหารชีวิตเสีย และให้พังหองเป็นผู้กำกับไปด้วย

ซึ่งย่อมจะเป็นที่ถูกใจของขุนนางกังฉินผู้นี้ เป็นอย่างยิ่ง.

##########

นิตยสารโล่เงิน
เมษายน ๒๕๔๗




 

Create Date : 29 เมษายน 2551    
Last Update : 29 เมษายน 2551 9:03:29 น.
Counter : 504 Pageviews.  

ตอนที่ ๑๔ คดีความพลิกผัน

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๑๔ คดีความพลิกผัน

" เล่าเซี่ยงชุน "

ฝ่าย พังหอง เมื่อ เปาบุ้นจิ้น ให้คนสนิทมาเชิญตัว แต่ไม่ยอมไปนั้น ก็รู้แน่ว่า เอียเทา คงจะรับเป็นสัตย์ และซัดทอดมาถึงตนเป็นแน่แท้ จึงหาทางเอาตัวรอด โดยรีบเข้าไปหา นางพังกุยฮุย บุตรสาว ซึ่งเป็นสนมเอกของ พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ถึงในพระราชวัง นางพังกุยฮุยก็ออกมาต้อนรับบิดา เชิญให้นั่งในที่อันควรแล้วก็ถามว่า บิดามาด้วยธุระสิ่งใด พังหองก็ขยิบตาให้หน้า นางพังกุยฮุยก็ขับสาวใช้ให้ออกไปอยู่ห่าง ๆ แล้วพังหองก็เล่าความที่คิดกลอุบาย ให้ นางโปยเลงกงจู๊ ปลอมตัวเป็นบุตรสาวเอียเทา ไปทำร้าย เพงไซอ๋อง จนถูกฆ่าตาย แล้วมี รับสั่งให้เปาบุ้นจิ้นชำระความ บัดนี้เอียเทาก็ได้รับสารภาพและซัดทอดมาถึงตัว ถึงคราวอับจนแล้ว

"....ครั้งนี้ไม่เห็นใครที่จะช่วยแก้ไข ให้พ้นจากความผิดได้ บิดาเห็นอยู่แต่เจ้าผู้เดียวเท่านั้น จงช่วยสงเคราะห์บิดาด้วยเถิด....."

นางพังกุยฮุยจึงว่า

"....อันเพงไซอ๋องนั้น เขาก็ไม่ได้ทำสิ่งใดให้ได้ความเจ็บแค้นมากมาย ไม่ควรที่จะคิดทำร้ายล้างผลาญเขาให้ได้ความผิดเปล่า ๆ ทุกวันนี้บิดาก็มีความสุขสบายอยู่แล้ว ไม่ควรหาทุกข์ใส่ตัว แต่นี้ไปบิดาอย่าได้ทำการเช่นนี้ต่อไปอีกเลย อันความเรื่องนี้ข้าพเจ้าจะช่วยแก้ไขให้บิดาพ้นจากความผิด อย่าได้วิตกทุกข์ร้อนไปเลย....."

พังหองได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ รีบลาบุตรสาวกลับไปบ้าน

ครั้นเวลาค่ำ พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ เสด็จมาที่เก๋งนางพังกุยฮุยอย่างเคย นางพังกุยฮุยก็ให้พนักงานเชิญเครื่องโต๊ะ เข้าไปถวายตามธรรมเนียม พระเจ้าซ้องยินจงก็เสวยพลางตรัสปราศัยด้วยนางเป็นที่สบาย แต่ทอดพระเนตรเห็นนางพังกุยหุย มีสีหน้าเศร้าโศก จึงตรัสถามว่า

“....เจ้าเจ็บไข้ทุกข์ร้อนสิ่งใดหรือ ดูหน้าไม่สบาย....."

นางพังกุยฮุยก็กราบทูลว่า

".....ทุกวันนี้พระองค์ทรงเมตตาชุบเลี้ยงข้าพเจ้าให้มีความสุข และโปรดพังหองผู้บิดาข้าพเจ้าให้มียศใหญ่นั้น พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ ทุกวันนี้บ้านเมืองก็เป็นปกติ ไม่มีทัพศึก ราษฎรได้ทำมาหากินเป็นสุขสบาย แต่บิดาข้าพเจ้าเป็นคนชราจะบังคับบัญชากิจราชการบ้านเมืองก็ผิด ๆ ถูก ๆ เคลิบเคลิ้ม ข้าพเจ้ามีความวิตกกลัวจะผิดลงในราชการ ชื่อเสียงก็จะพากันเสียไป จะขอรับพระราชทานให้บิดากราบถวายบังคมลาออกไปอยู่บ้านเดิม....."

พระเจ้าซ้องยินจงก็ตรัสว่า

"...บิดาเจ้ายังไม่สู้ชรานัก จะขอลาออกเสียจากราชการทำไมให้อยู่ไปเถิด จะวิตกอันใดกับการเล็กน้อย เราก็นับถือบิดาเจ้าว่าเป็นผู้ใหญ่ ถึงจะมีความผิดบ้างเราก็ให้อภัยโทษ เจ้าอย่าวิตกทุกข์ร้อนด้วยบิดาเลย..."

นางพังกุยฮุยได้ฟังรับสั่งก็มีความยินดี จึงรินสุราถวายฮ่องเต้โดยกิริยาแจ่มใส ฮ่องเต้ก็เสพสุราสัพยอกหยอกเอิน จนดึกจึงเสด็จเข้าที่บรรทม

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้เสด็จออกท้องพระโรงว่าราชการ เปาบุ้นจิ้น ก็เอาเรื่องราวที่ชำระความเข้าไปถวาย มีใจความว่า หญิงคนใช้ทั้งสี่ของเอียเทาให้การรับเป็นสัตย์ว่า นางโปยเลงกงจู๊ บุตรสาวเจ้าเมืองไซหยง ภรรยา เฮกหลี ทหารเอกของเมืองไซหยง ปลอมตัวเป็นชายเข้าอยู่ในกองทัพเพงไซอ๋อง และติดตามมาจนถึงเมืองเปียนเหลียง เข้าพำนักอยู่กับ พังหอง แล้วพังหองคบคิดกับเอียเทา แต่งกลอุบายให้นางโปยเลงกงจู๊ปลอมเป็น นางฮองเกียว บุตรสาวเอียเทา มาแต่งงานกับเพงไซอ๋อง เพื่อทำร้ายเพงไซอ๋อง แต่เพงไซอ๋องรู้ตัวจึงฆ่านางตาย กับได้ให้คนขุดศพนางโปยเลงกงจู๊ที่ตายมาพิจารณา เห็นหูมีรอยเจาะเก้าแห่ง เอาแป้งปิดไว้ เป็นลักษณะของชาวเมืองไซหยงจริง เอียเทาจำนนต่อหลักฐานรับเป็นสัตย์ จึงตัดสินคดีดังนี้

ตัวเพงไซอ๋องนั้น พระองค์ได้ชุบเลี้ยงตั้งแต่งให้เป็นถึงแม่ทัพ ถืออาญาสิทธิ์ออกไป เหตุใดจึงประมาท ไม่เอาใจใส่ตรวจตราดูแลผู้คนในกองทัพ ให้นางโปยเลงกงจู๊ปลอมเข้ามาจนถึงเมืองเปียนเหลียง ข้อหนึ่งเมื่อนางโปยเลงกงจู๊ทำร้าย ทำไมไม่จับเอาตัวไว้ จะได้ชำระซักถามเอาความ เพงไซอ๋องมาฆ่าเสียด้วยโทโสฉุนเฉียวดังนี้ไม่ชอบ มีความผิดอยู่

ตัวพังหองคบค้ากับคนต่างเมือง แต่งกลอุบานให้นางโปยเลงกงจู๊ปลอมมาทำร้าย เพงไซอ๋องนั้น ข้อนี้ฉกรรจ์นัก พังหองมีความผิดใหญ่

เอียเทาเล่าก็เชื่อพังหอง แนะนำเสี้ยมสอนให้ทำกลอุบายดังนี้เอียเทา มีความผิดมาก

ชุยสินกับบุนงวนภัก ผู้เป็นตระลาการก็หยาบช้า ไม่พิจารณาดูแลซากศพ ให้ละเอียด ว่าจะเป็นชาวเมืองเปียนเหลียง หรือคนเมืองไหน มีสำคัญเขาเจาะหูกันอย่างไรก็ไม่รู้ สักแต่ว่าดูศพเห็นแล้วก็ให้คนเอาไปฝังเสีย ข้อนี้ชุยสินกับบุนงวนภักเบาแก่ความ ก็มีความผิด

เมื่อเอียเทาเข้ากราบทูลกับพระองค์ ว่าจะยกนางฮองเกียวบุตรสาว ให้เพงไซอ๋อง พระองค์นั้นก็ไม่ทรงสืบสวนไล่เลียงไต่ถามดูให้รู้ชัด ว่าจะเป็นนางฮองเกียวบุตรสาวเอียเทาจริงหรือมิใช่ก็ไม่รู้ ทรงเห็นดีไปด้วยกับเอียเทา จนเกิดความขึ้น ดังนี้ พระองค์มีความผิด

พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรเรื่องราว ทราบสิ้นทุกข้อแล้ว จึงตรัสถามพังหองว่า ตัวท่านคบคิดกับเอียเทาดังนี้ จะว่ากระไร พังหองก็กราบทูลว่าข้าพเจ้ามีผิด สุดแล้วแต่จะโปรด

พระเจ้าซ้องยินจงก็มีพระราชดำริว่า ความเรื่องนี้เป็นเพราะพังหองผู้เดียว ครั้นจะลงโทษก็ได้ตรัสให้อภัยแก่นางพังกุยฮุยไว้เมื่อคืนนี้แล้ว ไม่รู้ที่จะทำประการใดจึงตรัสถามเปาบุ้นจิ้นว่า

"....ในเรื่องราวนี้ ท่านก็ยกข้อผิดเรา จะมีโทษเพียงใดให้ว่าไป....."

เปาบุ้นจิ้นจึงกราบทูลว่า

".....พระองค์เป็นกษัตริย์อันประเสริฐ ตัวข้าพเจ้าเป็นแต่ขุนนาง ไม่ควรที่จะชำระตัดสินปรับโทษพระองค์ได้ พระองค์มีความผิดประการใด ก็จงทรงตัดสินปรับโทษของพระองค์เองเถิด....."

พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้จึงตรัสว่า

".....ความเรื่องนี้เหลวไหลจะว่าไปก็ผิดด้วยกันทั้งนั้น ไหน ๆ นางโปยเลงกงจู๊ก็ตายไปแล้ว เลิกกันเสียเถิดอย่าชำระต่อไปอีกเลย....."

ตรัสดังนั้นแล้วก็เสด็จเข้าข้างใน พังหองจึงพูดกับเปาบุ้นจิ้นว่า

".....ท่านชำระความเรื่องนี้ดีนัก มีคุณกับข้าพเจ้าเป็นอันมาก นี่หากว่าพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ยังทรงพระเมตตาชุบเลี้ยงต่อไป หาไม่ก็คงยับลงด้วยมือท่าน เป็นเที่ยงแท้....."

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังพังหองพูดเสียดสี จึงย้อนว่า

"...ผู้ซึ่งเป็นข้าราชการในแผ่นดินนั้นมีหลายอย่าง บางคนดูรูปร่างหน้าตาเป็นมนุษย์ แต่น้ำใจเป็นสัตว์เดียรัจฉาน คิดแต่กำจัดล้างผลาญ ผู้มีคุณต่อแผ่นดิน อันตัวท่านทุกวันนี้ ถืออำนาจนางพังกุยฮุยบุตรสาว ว่าเป็นคนโปรดปราน จะทำการสิ่งใดก็ไม่กลัวความผิด คิดอายแก่มนุษย์ทั้งหลาย อุตส่าห์ทำเช่นนี้ให้เนือง ๆ เถิด คงจะได้เห็นคมอาวุธสักเวลาหนึ่ง....."

ว่าแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านไป

ฝ่ายนางฮองเกียวเมื่อกลับไปบ้านแล้ว ก็ตรึกตรองว่าความอันนี้ ตนได้รับเป็นสัตย์กับเปาเล่งถูทุกข้อ ถ้าเปาเล่งถูนำความขึ้นกราบทูลแล้ว ที่ไหนตนกับบิดาจะพ้นความผิด คงจะตายเป็นแน่แท้ จะรอให้ตายด้วยพระราชอาญาทำไม คิดแล้วจึงเข้าไปในห้อง เขียนหนังสือเป็นคำโคลงไว้ฉบับหนึ่ง ขอลาบิดามารดามีความว่า

บิดามารดาได้เลี้ยงดูรักษาข้าพเจ้ามา ตั้งแต่เป็นทารกจนเติบใหญ่ ก็ยังมิได้สนองคุณ อุปมาเหมือนเลี้ยงลูกเสือไว้ไม่ได้ใช้แรง ข้าพเจ้าขอลาท่านทั้งสอง ตั้งแต่นี้ไปท่านทั้งสองจะไม่ได้เห็นหน้าข้าพเจ้าต่อไปอีกแล้ว ถ้าอยากจะเห็นหน้าข้าพเจ้า ก็จงไปดูที่เมืองผีเถิด

แล้วนางฮองเกียวก็ผูกคอตายเสียในห้องนั้นเอง

ข้างเอียเทาซึ่งเปาบุ้นจิ้นได้ปล่อยตัวไป ตามรับสั่งฮ่องเต้ที่ให้เลิกแล้วต่อกันนั้น ครั้นกลับไปถึงบ้านพบว่าบุตรสาวได้ผูกคอตายเสียแล้ว ก็ร้องไห้โศกเศร้ารำพันกับภรรยาเป็นอันมาก เมื่อได้นำศพนางฮองเกียวไปฝังแล้ว ก็ปรึกษากับภรรยาว่า

“……..อันตัวเราซึ่งมีความผิดครั้งนี้ ก็เพราะคบกับพังหอง ตั้งแต่วันนี้ไปเราไม่คบค้าสมาคมด้วยพังหองต่อไปอีกแล้ว ถ้าอยู่ในราชการก็ต้องไปมาหาสู่ชอบพอกับพังหอง แล้วก็จะชักนำให้ทำแต่การชั่ว ความผิดก็จะมาถึงตัวเราเหมือนครั้งนี้ ครั้นจะไม่คบค้าชอบพอ ทำเพิกเฉยเสียก็จะโกรธ คิดอ่านทำร้ายด้วยอุบายต่าง ๆ เหมือนอย่างเพงไซอ๋อง……….”

วันรุ่งขึ้นเวลาเช้าเอียเทาก็เข้าไปเฝ้ากราบทูล ขอลาออกจากราชการกลับไปอยู่บ้านเดิม ฮ่องเต้ทรงพระดำริว่า เอียเทามีความผิดคิดอายแก่ขุนนางข้าราชการ จึงได้ลาออกจากตำแหน่ง ก็โปรดให้ออกจากราชการ

เอียเทาก็กราบถวายบังคมกลับมาบ้าน รวบรวมทรัพย์สิ่งของเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางจากเมืองเปียนเหลียง ไปอยู่เมืองกังไสตามเดิม

ต่อมาพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้เห็นว่า เมืองไซหยงซึ่งส่งนางโปยเลงกงจู๊บุตรสาว ปลอมตัวมาทำร้ายเพงไซอ๋องจนถึงเมืองเปียนเหลียง คงจะยังไม่ยอมอ่อนน้อมโดยสุจริต คงคิดแข็งเมืองขึ้นอีกเป็นมั่นคง ขืนนิ่งไว้ก็จะมีใจกำเริบมากขึ้น ครั้นจะยกกองทัพไปปราบปราม ก็จะได้ความลำบากแก่ทแกล้วทหารและอาณาประชาราษฎร จึงมีรับสั่งให้เพงไซอ๋อง เอาศพนางโปยเลง กงจู๊ ส่งไปให้เจ้าเมืองไซหยง บอกความที่คิดร้ายแล้วถูกจับได้จึงฆ่าเสียแล้ว เจ้าเมืองไซหยงจะได้ครั่นคร้าม เข็ดขยาดฝีมือและสติปัญญาชาวเมืองเปียนเหลียง จะได้เลิกคิดแข็งเมืองต่อไป

เพงไซอ๋องจึงให้ขุดศพนางโปยเลงกงจู๊ ขึ้นมาเผา แล้วเก็บกระดูกใส่หีบ ให้ เตียตง ทหารเอก คุมไปส่งเจ้าเมืองไซหยงตามรับสั่ง

ส่วนพังหองนั้น ยังคงมีอำนาจหน้าที่ใหญ่โตอย่างเดิม แต่ก็คงจะเกรงขามเปาบุ้นจิ้นหรือ เปาเล่งถู ผู้ทรงภูมิปัญญา เป็นหลักของแผ่นดิน ทางฝ่ายบุ๋นต่อไปอีกนานทีเดียว.

##########


นิตยสารโล่เงิน
มีนาคม ๒๕๔๗




 

Create Date : 26 เมษายน 2551    
Last Update : 26 เมษายน 2551 6:14:08 น.
Counter : 435 Pageviews.  

ตอนที่ ๑๓ พิสูจน์เจ้าสาว

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๑๓ พิสูจน์เจ้าสาว

" เล่าเซี่ยงชุน "

เมื่อ เปาบุ้นจิ้น ให้เอาตัวโจทก์และจำเลยไปควบคุมไว้แล้ว ก็หาทางพิสูจน์ข้อสงสัยของตนต่อไป โดยให้นักการไปขุดศพบุตรสาวของเอียเทาที่ฝังไว้ แล้วนำตัว เอียเทา ไปดูด้วย ศพนั้นยังไม่เน่าเปื่อยเพราะเป็นฤดูหนาว เปาบุ้นจิ้นเห็นที่หูศพมีรอยเจาะถึงเก้าแห่ง ซึ่งไม่ใช่ประเพณีของชาวเมืองเปียนเหลียง จึงชี้ให้เอียเทาดู เอียเทาก็ยืนยันว่า

".......อันศพนี้เป็นบุตรสาวของข้าพเจ้า แต่ซึ่งเจาะหูเก้าแห่งนั้น ผู้ใดจะทำอย่างไรข้าพเจ้าไม่ทราบ เมื่อเอาศพมาฝังนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้มาด้วย....."

เปาบุ้นจิ้นก็เอาอาวุธที่เป็นของกลางมาพิจารณาแล้ว เห็นว่าลักษณะนั้นก็ผิดกับอาวุธที่ชาวเมืองเปียนเหลียงใช้ จึงถามว่าอาวุธเช่นนี้ชาวเมืองเปียนเหลียงเขาใช้มีบ้างหรือ เอียเทาก็ยังยืนคำว่า

"....อาวุธนี้เป็นของชาวเมืองอื่นก็จริง แต่เพงไซอ๋องจะเอาที่ไหนมา ข้าพเจ้าไม่ทราบ...."

เปาบุ้นจิ้นจึงให้เอาเอียเทาไปควบคุมไว้อย่างเดิม แล้วให้ เตียเหลง กับ เตียเฮ้า ไปดูที่บ้านเพงไซอ๋อง สืบหาผู้ที่มาอยู่รับใช้บุตรสาวเอียเทา เมื่อส่งตัวมาอยู่กับเพงไซอ๋อง ให้เอาตัวมาให้หมด คนสนิททั้งสองก็ไปนำตัวสาวใช้สี่คน ชื่อ นางบ๊วยบ๋วย นางจีอี นางฮองหลุน และ นางเลียวฉุย มาให้เปาบุ้นจิ้นสอบสวน

สาวใช้ทั้งสี่ก็บอกว่า พวกตนเป็นคนใช้ของเอียเทา เมื่อเอียเทาส่งตัวบุตรสาวมาอยู่บ้านเพงไซอ๋อง จึงให้พวกตนมาอยู่รับใช้ด้วย เปาบุ้นจิ้นก็ถามว่า เอียเทามีบุตรสาวกี่คน นางบ๊วยบ๋วยบอกว่าเอียเทามีบุตรสาวสองคน เปาบุ้นจิ้นก็ว่าไม่ถูก ตนได้ยินว่าบุตรสาวเอียเทามีถึงสามคน

นางบ๊วยบ๋วยก็ยืนยันว่ามีสองคนเท่านั้น นางลวนเกียว ได้สามีเป็นชาวเมืองกังไส นางฮองเกียว ยังไม่มีสามี เอียเทาจึงยกให้กับเพงไซอ๋อง

เปาบุ้นจิ้นก็ร้องขึ้นว่า

".....รู้เรื่องแล้ว เพงไซอ๋องฆ่าสามีนางลวนเกียวตาย นางลวนเกียวแต่งกลอุบายให้นางฮองเกียว มาเป็นภรรยาเพงไซอ๋อง หมายจะกำจัดเพงไซอ๋อง จริงหรือไม่....."

นางบ๊วยบ๋วยจึงว่าไม่เป็นความจริง เดี๋ยวนี้สามีของนางลวนเกียวก็ยังอยู่ เปาบุ้นจิ้น ก็ร้องตวาดขู่ด้วยเสียงอันดังว่า ผู้ใดเล่ามาทำร้ายเพงไซอ๋อง นางบ๊วยบ๋วยตกประหม่ากลัวอำนาจของเปาบุ้นจิ้น จึงพลั้งออกมาว่า นางโปย แต่นางอีจีได้ยินก็สะกิดไว้ นางบ๊วยบ๋วยจึงชงักนิ่ง ไม่พูดต่อไป เปาบุ้นจิ้นจะซักถามอย่างไรก็นิ่งเสียไม่ยอมตอบ

เปาบุ้นจิ้นเห็นมีพิรุธจึงให้พาสาวใช้สามคนออกไปข้างนอก เหลือไว้แต่นางบ๊วยบ๋วยผู้เดียว แล้วสั่งให้เจ้าหน้าที่ เอาเครื่องมือสำหรับทำโทษผู้ร้าย มาวางไว้ตรงหน้า และบอกว่าเจ้ารู้เห็นอย่างไรให้ว่าไปตามจริง ถ้าไม่บอกจะถูกทำโทษเดี๋ยวนี้

นางบ๊วยบ๋วยก็ตกใจกลัวอาญา ซึ่งจะต้องทนเวทนาแต่ผู้เดียว จึงเล่าความตามจริงว่า มีนางคนหนึ่งชื่อ โปยเลงกงจู๊ เอียเทาเอามาไว้ให้อยู่กับนางฮองเกียว แต่เดิมเมื่อแรกมาพูดจา ฟังสำเนียงไม่สู้จะเข้าใจ นางโปยเลงกงจู๊หัดพูดภาษาชาวเมืองกับนางฮองเกียวทุกวัน จนพูดจาสำเนียงชัดเหมือนชาวเปียนเหลียง แล้วส่งให้ไปเป็นภรรยาเพงไซอ๋อง

เมื่อถึงวันฤกษ์ดีเอียเทาก็ให้นางฮองเกียว ซ่อนตัวอยู่ในเรือน แล้วแต่งนางโปยเลงกงจู๊ให้สวยงาม มอบหญิงคนใช้ให้ไปด้วยสี่คน และสั่งกำชับว่าความอันนี้สำคัญมากนัก อย่าให้ผู้ใดรู้เลยเป็นอันขาด ถ้าแม้นเอาความไปเล่ากับผู้ใดให้รู้เหตุแล้ว จะฆ่าเสียทั้งสี่คน ถ้าการอันนี้สำเร็จก็จะให้รางวัล

แต่มาอยู่ที่บ้านเพงไซอ๋องได้สามวันแล้ว ก็ไม่เห็นเพงไซอ๋องไปมาหาสู่ นางโปยเลง กงจู๊ให้นางอีจีไปเชิญก็ไม่มา จึงใช้นางอีจีไปบอกความแก่มารดาเพงไซอ๋อง มารดาจึงพาเพงไซอ๋องมาส่งตัวที่ห้องนางโปยเลงกงจู๊ แล้วก็กินโต๊ะเลี้ยงดูพูดจากันเป็นปกติอยู่

จนเวลาดึก นางบ๊วยบ๋วยก็นอนหลับไปจนสว่าง ไม่แจ้งว่าเหตุผลเป็นประการใด ต่อมาเวลาเช้าจึงได้ทราบความว่า เพงไซอ๋องฆ่านางโปยเลงกงจู๊เสีย แต่ในเวลากลางคืนนั้น

เปาบุ้นจิ้นจึงให้คนเอาตัวสาวใช้อีกสามคนมาซักถามความจริง ทั้งสามคนก็ให้การต้องกันกับคำนางบ๊วยบ๋วยทุกประการ เปาบุ้นจิ้นจึงให้เอาตัวสาวใช้ทั้งสี่ไปคุมไว้ แล้วให้ ตังเกียง กับ สีปา ไปที่บ้านเอียเทาแจ้งความว่าเรื่องเพงไซอ๋องนั้น เอียเทาแพ้รับเป็นสัตย์ทุกข้อแล้ว จึงมาเชิญนางฮองเกียวให้ไปหาเปาบุ้นจิ้นเดี๋ยวนี้ จะได้พูดจาคิดอ่านกัน ถ้าไม่ไปโดยเร็วเห็นเอียเทาคงจะต้องตาย เจ้าหน้าที่ทั้งสองนายก็ไปทำตามคำสั่ง

เมื่อมาถึงบ้านเปาบุ้นจิ้น ภรรยาของเปาบุ้นจิ้นก็ออกมาต้อนรับ และพานางฮองเกียวเข้าไปข้างใน เปาบุ้นจิ้นเรียกให้ขึ้นนั่งเสมอกัน นางฮองเกียวก็ไม่นั่ง ว่าเป็นแต่ผู้น้อยไม่สมควรจะนั่งเสมอท่าน เปาบุ้นจิ้นจึงพูดว่า

"...เจ้าอย่าเป็นทุกข์ตกใจ เจ้าไม่เป็นไรดอก เราให้หามาวันนี้ หวังจะถามความให้จะแจ้ง เอียเทาบิดาเจ้ารับสัตย์ทุกข้อแล้ว เจ้าอย่าอำพรางเลย บอกตามจริงเสียเถิด....."

นางฮองเกียวก็ให้การว่า

".....พังหองส่งนางโปยเลงกงจู๊ มาให้บิดาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงหัดให้พูดเหมือนชาวเปียนเหลียง แล้วยกให้เพงไซอ๋อง ก็ส่งตัวไป การอันนี้พังหองเป็นต้นคิดจัดแจงทั้งนั้น บิดาข้าพเจ้าก็เป็นไป ด้วยกลัวอำนาจพังหอง ....."

เปาบุ้นจิ้นจึงให้คนใช้ พานางฮองเกียวหลบไปก่อน แล้วเบิกตัวโจทก์จำเลยเข้ามา เปาบุ้นจิ้นก็ถามเอียเทาว่า หญิงคนใช้ทั้งสี่ได้ให้การยืนยันว่า เอียเทาทำกลอุบาย เอานางโปยเลง กงจู๊มาปลอมเป็นฮองเกียวบุตรสาว ให้ทำร้ายเพงไซอ๋อง จริงหรือไม่

เอียเทาก็ปฏิเสธไม่ยอมรับ คงยืนคำว่าผู้ตายนั้น คือนางฮองเกียวบุตรสาวของตนเองจริง ๆ เปาบุ้นจิ้นก็เอาตัวสาวใช้ทั้งสี่คน มานั่งตรงหน้าเอียเทา แล้วถามว่า หญิงสี่คนนี้รู้จักหรือไม่ เอียเทาก็บอกว่ารู้จัก แต่ความที่นางให้การนั้นไม่จริง ที่หญิงทั้งสี่ว่ามาดังนี้ ด้วยรับสินบนเพงไซอ๋อง แต่งถ้อยคำให้มาว่าทั้งนั้น

เปาบุ้นจิ้นจึงให้คนใช้พานางฮองเกียวออกมาแล้วถามว่า

"....นี่ใคร นางฮองเกียวบุตรสาวท่านหรือมิใช่ นางนี้รับสินบนเพงไซอ๋องด้วยหรือ...."

เอียเทานั้นพอแลเห็นนางฮองเกียวก็สิ้นสติปัญญา ไม่รู้จะเอาอันใดมาพูดแก้ตัว จึงรับเป็นสัตย์ทุกข้อ พอจะเรียบเรียงใจความได้ว่า

วันหนึ่งพังหองได้เชิญให้เอียเทาไปหาที่บ้าน แล้วบอกว่า

"...ซึ่งเราเชิญท่านมานี้ด้วยมีกิจธุระเป็นข้อสำคัญ เราไม่เห็นผู้ใดที่จะไว้วางใจเป็นที่ปรึกษา ช่วยกันคิดอ่านเอาเป็นธุระได้ เห็นแต่ตัวท่านผู้เดียว...."

เอียเทาก็ถามว่าธุระนั้นประการใด พังหองจึงว่า

"....ทุกวันนี้ราชการบ้านเมืองก็สำเร็จเด็ดขาด อยู่ในเราโดยมาก ท่านก็ย่อมแจ้งอยู่แล้ว แต่มีความเจ็บแค้นนักเปรียบเหมือนเสี้ยนหนามเสียดแทงอยู่ในดวงใจ ด้วยเต็กเซงมีข้อสาเหตุกับเรามาช้านาน ต้องพึ่งท่านจึงจะกำจัดเต็กเซงได้ เราเห็นอุบายไว้สิ่งหนึ่งท่านเอาเป็นธุระจึงจะสำเร็จ ด้วยบัดนี้นางโปยเลงกงจู๊ บุตรเจ้าเมืองไซหยง ติดตามจะกำจัดเต็กเซง....."

แล้วพังหองก็แจ้งกลอุบายที่จะเอานางโปยเลงกงจู๊ ปลอมเป็นนางฮองเกียว ให้แต่งงานกับ เต็กเซง ซึ่งเป็นที่เพงไซอ๋อง แล้วนางก็จะคิดกำจัดเพงไซอ๋องต่อไป เอียเทาได้เอาความซึ่งรับเป็นธุระนี้ไปปรึกษาภรรยาของตน นางก็ว่า

"....ความอันนี้ ถ้าทราบไปถึงพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ จะมิพากันฉิบหายเสียหรือ ไม่ควรจะเอาผู้อื่นมาเป็นธุระหาความผิดใส่ตัว....."

เอียเทาก็ว่า

".....ซึ่งเจ้าพูดนั้นก็ชอบอยู่ เราก็กลัวความผิดเหมือนกัน ได้ว่ากับพังหองแล้ว พังหอง รับไม่ให้มีผิดถึง อนึ่งพังหองมีคุณต่อเราเป็นอันมาก ซึ่งเราได้เป็นขุนนางมียศศักดิ์ ทั้งนี้ก็เพราะพังหอง ครั้นเขาออกปากให้ช่วยแล้วก็จำเป็นจะปัดเสีย ไม่รับธุระก็ดูเป็นคนปราศจากกตัญญู....."

และเอียเทาก็สรุปว่า

".....พังหองเป็นต้นคิด เอานางโปยเลงกงจู๊ บุตรเจ้าเมืองไซหยง ซึ่งเป็นภรรยาเฮกหลี มาให้ข้าพเจ้าเอาไว้ปลอมเป็นนางฮองเกียว แล้วจึงได้ให้มาเป็นภรรยาเพงไซอ๋อง การอันนี้ข้าพเจ้าไม่ได้คิดทำเองเลย เพราะด้วยพังหองทั้งนั้น....."

เพงไซอ๋องซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วย จึงได้รู้ความจริงว่า นางโปยเลงกงจู๊ ซึ่งตนฆ่าเสียนั้น ที่แท้เป็นภรรยา เฮกหลี ทหารเอกของเมืองไซหยง ที่ตนได้ฆ่าเสียเมื่อครั้งไปตีเมืองไซหยง ติดตามมาแก้แค้นแทนสามี

เปาบุ้นจิ้นจึงให้คนสนิท ไปเชิญพังหองมาสอบถาม แต่พังหองไม่ยอมมาและได้บอก ฝากคนสนิทมาว่า

"....เราเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ไม่ควรที่เปาเล่งถูจะเรียกตัวเราไป ชอบแต่เปาเล่งถูมาหาเราจึงจะควร เมื่อเปาเล่งถูถือยศไม่มาหาเรา ถ้ามีกิจธุระสิ่งไร จงไปพบพูดกันในพระราชวัง เมื่อเวลาคอยเฝ้าเถิด....."

เปาบุ้นจิ้นหรือ เปาเล่งถู ก็มิได้ว่าประการใด แล้วสั่งให้เสมียนเขียนถ้อยคำให้การของโจทก์จำเลยและพยานทั้งสี่ รวมทั้งนางฮองเกียวและคำสารภาพของเอียเทาเตรียมเอาไปถวายให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตร แล้วก็ปล่อยตัวทุกคนกลับบ้าน เหลือไว้แต่เอียเทาผู้เดียว


##########

นิตยสารโล่เงิน
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗




 

Create Date : 25 เมษายน 2551    
Last Update : 26 เมษายน 2551 6:16:47 น.
Counter : 408 Pageviews.  

ตอนที่ ๑๒ มูลคดีซับซ้อน

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๑๒ มูลคดีซับซ้อน

" เล่าเซี่ยงชุน "

เมื่อ เปาบุ้นจิ้น รับจะตัดสินคดีความที่ เพงไซอ๋อง หรือ เต็กเซง แม่ทัพใหญ่ของเมืองเปียนเหลียง ถูกกล่าวหาว่าฆ่า นางฮองเกียว บุตรสาวของ เอียเทา ซึ่งเพิ่งเข้าพิธีแต่งงานกับเพงไซอ๋องได้ไม่ถึงสิบวัน ก็เรียกเอาสำนวนการสอบสวนของ ชุยสิน และ บุนงวนภัก มาตรวจดูก็ได้ความ ตามที่จดไว้ว่า

หลังจากการแต่งงานผ่านไปได้เจ็ดวัน เวลากลางคืนประมาณสองยาม เจียวเทงกุ้ย นายทหารของเพงไซอ๋อง ได้มาตะโกนเรียกเอียเทาที่บ้าน ว่าบุตรสาวมาแล้ว เร่งออกมารับโดยเร็ว เวลานั้นเอียเทานั่งดูหนังสืออยู่ ได้ยินเสียงก็ตกใจรีบออกมาจากห้อง ถามว่าดึกดื่นป่านนี้มีธุระสิ่งไร เจียวเทงกุ้ยก็ชูศรีษะนางฮองเกียวบุตรสาวของตนให้ดู แล้วบอกว่า

".....นี่แหละศรีษะนางฮองเกียวบุตรสาวของท่าน จะทำร้ายเพงไซอ๋อง แต่เพงไซอ๋องฆ่าเสียแล้ว เราจึงได้เอาศรีษะมาให้แก่ท่าน....."

แล้วเจียวเทงกุ้ยก็เอาศรีษะอันปราศจากตัวนั้นวางลงตรงหน้า แล้วก็เดินกลับไป

เอียเทาก็รีบไปหา พังหอง ที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน พังหองจึงนำความขึ้นกราบทูล พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ให้ลงโทษ เพงไซอ๋องก็ให้การแก้ตัวว่า ภรรยานั้นตั้งใจจะฆ่าตนก่อน พระเจ้าซ้องยินจงจึงรับสั่งให้ชุยสินกับบุนงวนภัก เป็นตุลาการผู้ชำระความเรื่องนี้

ตุลาการทั้งสองก็ไปที่บ้านเพงไซอ๋อง เห็นศพภรรยาเพงไซอ๋องกลิ้งอยู่แต่ตัว ไม่มี ศรีษะ จึงให้คนใช้เอาศรีษะจากบ้านเอียเทา มาดูบาดแผลและจดหมายไว้ แต่เมื่อสอบถาม เพงไซอ๋อง ก็ให้การว่า

หลังจากแต่งงานแล้วสามวัน เวลาค่ำ นางอีจี สาวใช้ของภรรยาก็มาบอกว่า นางฮองเกียว มาอยู่ที่ห้องหอถึงสามวันแล้ว ขอเชิญให้ไปหาสักหน่อย แต่ตนเองไม่ยอมไป เพราะไม่ได้เต็มใจจะแต่งงานด้วย ภรรยาจึงให้สาวใช้ไปบอกเรื่องนี้ แก่ นางเม่งสี มารดาของตน

วันที่เจ็ดนางเม่งสีจึงมาจูงมือเพงไซอ๋องไปส่งที่ห้องหอ มอบตัวให้กับนางฮองเกียว แล้วก็กลับไป นางฮองเกียวก็ว่า

".....ตั้งแต่บิดาส่งตัวข้าพเจ้ามาให้อยู่กับท่าน ข้าพเจ้ายังไม่ได้คำนับท่าน....."

พูดแล้วก็สั่งให้คนใช้ยกโต๊ะมา นางก็รินสุราคำนับเพงไซอ๋อง และชวนเพงไซอ๋อง เสพสุราพูดจากันตามธรรมเนียม พอเสพสุราจนมึนเมาแล้ว นางฮองเกียวจึงชวนพูดคุยถึงเรื่องการศึกสงครามที่เมืองไซหยง เพงไซอ๋องก็เล่าความตามที่ได้รบกับข้าศึกให้ฟังทุกประการ โดย บอกว่า ได้ฆ่าทหารเอกเมืองไซหยงไปสามคน คือ เฮกหลี แชเล่าไฮ และ ตัดมัวฮวย

ครั้นถึงเวลาดึกเพงไซอ๋องก็เข้าไปนอนในมุ้ง ยังมิทันหลับ ก็เห็นนางฮองเกียวถือกระบี่เดินเข้ามาเปิดมุ้งแล้วว่า วันนี้แลจะแก้แค้นแทนสามีเรา แล้วก็เงื้อกระบี่ขึ้นหมายจะตัด ศรีษะเพงไซอ่องซึ่งนอนอยู่ เพงไซอ๋องก็หลบได้ แล้วเอาเท้าถีบถูกท้องภรรยากระเด็นล้มคว่ำลงไป เพงไซอ๋องจึงฉวยกระบี่นั้นตัดศรีษะภรรยา ด้วยกำลังโทโสไม่ทันได้ตรึกตรองสิ่งใด แล้วก็หิ้วเอา ศรีษะภรรยาออกมานอกห้อง เห็นนายทหารของตนนั่งเสพสุราอยู่สองคนคือ เมงเตงก๊ก กับ เจียวเทงกุ้ย จึงเล่าเรื่องให้ฟัง เจียวเทงกุ้ย ก็คว้าศรีษะนางฮองเกียววิ่งไปบ้านเอียเทา

ตุลาการทั้งสองฟังความแล้วก็จนปัญญา ที่จะพิสูจน์ว่าใครผิดใครถูก ไม่รู้จะตัดสินคดีนี้อย่างไร จึงสั่งให้คนใช้เอาศพนางฮองเกียวไปฝังตามธรรมเนียมก่อน

เปาบุ้นจิ้นทราบความแล้ว วันรุ่งขึ้นจึงไปคอยเฝ้าฮ่องเต้ในที่เสด็จออกขุนนาง เมื่อเจอพังหองคำนับกันแล้ว เปาบุ้นจิ้นก็ถามว่า

".....ข้าพเจ้าได้ยินข่าวว่า นางฮองเกียวบุตรสาวเอียเทา ซึ่งยกให้เป็นภรรยาเพงไซอ๋อง นั้น ท่านชักโยงจัดแจงจริงหรือ....."

พังหองก็ว่า

"....ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นผู้จัดแจงดอก เอียเทาเข้ากราบทูล จะยกบุตรสาวให้กับเพง ไซอ๋อง พระเจ้าซ้องยินจงทรงเห็นชอบด้วย จึงรับสั่งให้ข้าพเจ้าเอาเป็นธุระ ก็ช่วยกันไปตามกระแสรับสั่ง....."

เปาบุ้นจิ้นก็ว่า

".....บัดนี้เกิดความกันขึ้นจนถึงล้มตาย เหตุใดท่านจึงนิ่งเฉยเสียไม่ชำระ...."

พังหองก็ออกตัวว่า ฮ่องเต้ได้รับสั่ง ให้ชุยสินกับบุนงวนภัก เป็นตุลาการ ตนเองจึงไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย

เปาบุ้นจิ้นจึงว่า

"....อันธรรมเนียมหญิงกับชาย พึ่งอยู่ด้วยกันใหม่ ๆ มีความรักใคร่กันมาก นี่อยู่ด้วยกันไม่ทันจะถึงสิบวัน มาฆ่ากันตายดังนี้เป็นที่สงสัยนัก อนึ่ง เพงไซอ๋องเล่าก็มิใช่ว่าเป็นคนมุทะลุดุร้าย เช่นคนพาลนั้นเมื่อไร เขาก็ประกอบด้วยสติปัญญารู้จักผิดและชอบทุกอย่าง ได้เป็นถึงแม่ทัพ รับราชการล้วนสำคัญก็สำเร็จ พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ทรงเห็นว่าเป็นคนซื่อสัตย์มั่นคง จึงโปรดชุบเลี้ยงแต่งตั้งให้เป็นที่เพงไซอ๋อง ข้าพเจ้าตรึกตรองดูเห็นความเรื่องนี้ชอบกลอยู่ เกลือกจะมีผู้คิดอ่านใช้กลอุบายให้กำจัดเพงไซอ๋องดอกกระมัง ถ้าแม้นเป็นเช่นข้าพเจ้าว่าแล้ว ถึงตัวท่านก็จะพลอยผิดกับเขาบ้าง....."

พอดีพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้เสด็จออก ทอดพระเนตรเห็นเปาบุ้นจิ้นเฝ้าอยู่ จึงตรัสถามถึงข้อราชการ ที่รับสั่งให้ไปช่วยราษฎรตามหัวเมือง เปาบุ้นจิ้นก็กราบทูลรายชื่อหัวเมืองซึ่ง ขัดสนด้วยเสบียงอาหาร และได้แจกจ่ายช่วยเหลือไป ให้ทรงทราบทุกประการ ฮ่องเต้จึงพระราชทานน้ำชาซึ่งเป็นของเสวย ให้เปาบุ้นจิ้นกินหน้าที่นั่ง แล้วตรัสถามชุยสินกับบุนงวนภัก ถึงเรื่องที่ให้ชำระความ

ตุลาการทั้งสองก็กราบทูลว่า เรื่องนี้เหลือสติปัญญาแล้วแต่จะทรงโปรด ฮ่องเต้จึง รับสั่งให้เปาบุ้นจิ้นรับไปชำระให้เรียบร้อย

เมื่อเปาบุ้นจิ้นกลับมาถึงบ้านแล้ว ก็ให้คนใช้ไปตามตัวเอียเทามาพบ และถามว่า บุตรสาวของท่านนั้นชื่อใด อายุสักเท่าใด เดิมเป็นอย่างไรจงบอกไปตามจริง

เอียเทาก็ให้การว่า

".....บุตรข้าพเจ้าซึ่งถึงแก่กรรมนั้น ชื่อว่านางฮองเกียว อายุได้สิบเก้าปี ข้าพเจ้ามีความรักใคร่เพงไซอ๋องมาก หมายจะยกบุตรสาวให้ จึงเข้าไปกราบทูลว่าจะยกนางฮองเกียวให้ เพงไซอ๋อง พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ทรงเห็นดีด้วยแล้ว ครั้นถึงวันดีข้าพเจ้าก็ส่งบุตรไปให้ เพงไซอ๋อง อยู่ด้วยกันไม่ทันสิบวัน เพงไซอ๋องฆ่าบุตรข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าได้ความเจ็บอายเดือดร้อนนัก ขอท่านได้ชำระทำโทษเพงไซอ๋อง ให้ตายตกไปตามกันเถิด....."

เปาบุ้นจิ้นก็ซักต่อไปว่า

".....อันบุตรท่านก็เป็นสาวแล้ว ควรจะตกแต่งให้มีเรือน ข้าราชการที่มียศศักดิ์เสมอกันก็ถมไป เหตุใดจึงทิ้งละเลยไว้ ให้บุตรสาวจนอายุได้ถึงสิบเก้าปี แล้วเข้าไปกราบทูลยกบุตรสาวให้เป็นภรรยาเพงไซอ๋อง อันธรรมเนียมผู้ซึ่งจะตกแต่งบุตรชายหญิง ให้อยู่กินเป็นสามีภรรยากันนั้น แต่แรกก็ต้องพูดจาเลียบเคียงชักโยง ให้รู้ตัวด้วยกันทั้งสองฝ่ายก่อน ถ้ายินยอมพร้อมใจด้วยกันแล้ว จึงได้ตกแต่งให้อยู่กินด้วยกันต่อภายหลัง นี้ตัวท่านหาทำตามธรรมเนียมไม่ นิ่ง ๆ ก็เข้าไปเฝ้ายกบุตรสาวให้เป็นภรรยาเพงไซอ๋อง เราพิเคราะห์ดูรูปความเห็นชอบกลอยู่ จะคบคิดกันทำกล อุบายกำจัดเขาดอกกระมัง....."

เอียเทาก็แก้ว่า

"....ซึ่งข้าพเจ้ายกบุตรสาวให้เพงไซอ๋องนั้นเพราะหมายจะพึ่งวาสนา ด้วยเห็นว่าเพงไซอ๋องเป็นหลานนางเต็กไทเฮา และก็มีความชอบในแผ่นดินเป็นอันมาก ถึงบุตรสาวข้าพเจ้า จะเป็นภรรยารองก็ไม่มีความรังเกียจ ด้วยความอยากจะใคร่ได้เพงไซอ๋องเป็นเขยอย่างเดียว ครั้นจะยกลูกสาวให้ตามลำพัง ก็กลัวเพงไซอ๋องจะบิดพริ้วเสีย จึงเข้าไปเฝ้าเอาพระบารมี พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้เป็นที่พึ่ง เพงไซอ๋องจึงบิดเบือนไม่ได้....."

เปาบุ้นจิ้นก็ให้เรียกเพงไซอ๋องมาซักถาม ตามข้อกล่าวหาของโจทก์ว่า

".....เขายกบุตรสาวให้เป็นภรรยาแล้ว ชอบแต่จะมีความยินดีรักใคร่ เป็นเหตุอย่างไรจึงฆ่าเขาเสีย...."

เพงไซอ๋องก็ให้การยืนยันว่า

"....ซึ่งเอียเทาเข้าไปกราบทูลยกบุตรสาวให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าก็ไม่สู้จะเต็มใจแต่ขัดรับสั่งไม่ได้ก็ต้องรับ อย่าว่าแต่บุตรสาวเอียเทาเลย ถึงบุตรผู้อื่นจะต่ำลงไปกว่าบุตรเอียเทาก็ดี ถ้าตกเป็นภรรยาแล้ว ก็ต้องรักมิน้อยก็มาก นี่บุตรสาวเอียเทาทำร้ายข้าพเจ้าจึงฆ่าเสีย....."

เปาบุ้นจิ้นก็ว่า

".....ถึงบุตรสาวเอียเทาทำร้ายท่าน ก็ชอบแต่จะจับเอาตัวไว้จึงจะควร ท่านฆ่าเสียก่อนดังนี้ไม่ชอบ....."

เพงไซอ๋องก็ยอมรับว่า

".....ข้อซึ่งบุตรเอียเทาทำร้าย ข้าพเจ้าไม่จับตัวไว้ ฆ่าเสียนั้นมีความผิดจริง ด้วยกำลังโทโสไม่ทันคิด....."

เปาบุ้นจิ้นจึงว่า

".....บัดนี้เอียเทาเขาจะแก้แค้น แทนบุตรสาวเขา ท่านจะว่ากระไร....."

เพงไซอ๋องก็ว่า

".....การอันนี้ข้าพเจ้าสงสัย จะเป็นกลอุบายคิดมากำจัดข้าพเจ้า ขอท่านได้สืบสวนให้เห็นจริงก่อน อันตัวข้าพเจ้านี้ มีผู้คิดทำร้ายอยู่เป็นนิจ ท่านก็ย่อมแจ้งอยู่แล้ว....."

เปาบุ้นจิ้นจึงไกล่เกลี่ยขอให้ทั้งสองประนีประนอม ยอมเลิกแล้วต่อกันเสีย แต่ เอียเทาไม่ยอม เพราะเพงไซอ๋องพิสูจน์ไม่ได้ ว่าบุตรของตนผิด เพียงแต่แก้ตัวโดยไม่มีผู้ใดรู้เห็น เปาบุ้นจิ้นจึงให้เอาตัวคู่ความทั้งสองไปควบคุมไว้ก่อน แล้วจะได้หาพยานหลักฐาน มาประกอบการพิจารณาคดี ให้กระจ่างต่อไปว่า จำเลยพูดจริงหรือเท็จ.


##########

นิตยสารโล่เงิน
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗




 

Create Date : 24 เมษายน 2551    
Last Update : 26 เมษายน 2551 6:18:20 น.
Counter : 405 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.