Group Blog
 
All Blogs
 

ตอนที่ ๒๑ สิ้นเสี้ยนหนาม

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๒๑ สิ้นเสี้ยนหนามแผ่นดิน “

เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อ เปาบุ้นจิ้น ได้ตัวจำเลยมาครบถ้วนแล้ว ก็ซักถาม เฮงเจีย ได้ความว่า พังหอง ได้มีหนังสือแจ้งให้หาทางฆ่า เพงไซอ๋อง ระหว่างที่อยู่ตำบลอิวเลงเอีย ถึง สิบสามฉบับ เปาบุ้นจิ้นก็ซัก ชิงชิว ว่าตัวท่านนี้คบคิดกับพังหองจะทำร้ายเพงไซอ๋องจริงหรือไม่ ชิงชิวไม่รับ เปาบุ้นจิ้นก็ให้ผูกเฆี่ยนจนต้องรับเป็นสัตย์ ว่าคบคิดกันจริง เปาบุ้นจิ้นก็ถามต่อไปว่า ตัวมีความพยาบาทมาดหมายจะกำจัดเพงไซอ๋องนั้น ด้วยข้อขัดเคืองสิ่งใดกัน จึงได้โกรธแค้นนัก

ชิงชิว ก็ให้การว่า มีความพยาบาทมาตั้งแต่รุ่นบิดา คือ เต็กก๊วง ผู้บิดาเพงไซอ๋อง เป็นนายทหารเอกอยู่เมืองซัวไซ บิดาของชิงชิวเป็นนายทหารรองอยู่ในบังคับบัญชา บิดาชิงชิวมีความผิดเต็กก๊วงฆ่าเสีย จึงมีความพยาบาทเมื่อคิดทำร้ายเต๊กก๊วงไม่ได้ ก็คิดทำร้ายเพงไซอ๋องผู้บุตร เพื่อแก้แค้นแทนบิดา

เปาบุ้นจิ้นจึงถามพังหองว่า มีความโกรธแค้นกับเพงไซอ๋องลึกซึ้งมากมายด้วยเหตุใด พังหองก็ให้การว่า ตนเจ็บใจตั้งแต่เมื่อครั้งเพงไซอ๋องลองฝีมือกับ เฮงเทียนฮวย ซึ่งเป็นคนของตน ถวายหน้าที่นั่ง แล้วฆ่าเฮงเทียนฮวยตาย และเพงไซอ๋องมีสาเหตุกับชิงชิวซึ่งเป็นบุตรเขย จึงได้พลอยเจ็บแค้นด้วย

เปาบุ้นจิ้นก็ถาม เฮงหยิน ขันทีว่าไปที่บ้านพังหองด้วยธุระอะไร เฮงหยินก็ยืนยันว่า นางพังกุยฮุย ใช้ให้ไปเยี่ยมมารดา เปาบุ้นจิ้นถามอีกหลายครั้งก็ไม่รับ จึงให้ผูกเฆี่ยนจนเจ็บปวด จึงรับว่าถูกใช้ให้ไปบอกมารดานางพังกุยฮุย ให้ยักย้ายสิ่งของที่ได้รับจากเมืองไซหยง ออกไปจากบ้านเสีย

เปาบุ้นจิ้นก็ให้เสมียนจดหมายคำให้การไว้ แล้วทำหนังสือปรับโทษจำเลยทั้งหมด เอาไปถวายพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ในขณะที่ออกว่าราชการมีขุนนางใหญ่น้อยเฝ้าตามตำแหน่ง

ในหนังสือนั้นมีคำตัดสินโทษ ตามลำดับว่า

พังหองคบคนต่างเมืองซึ่งเป็นศัตรูแผ่นดิน คิดทำร้ายเพงไซอ๋อง โทษถึงประหารชีวิต

ชิงชิวเป็นผู้รักษาด่านซำก๋วน ปล่อยให้เทกลังเหงียเข้ามาได้ ในเมืองเปียนเหลียงแล้วคิดฆ่าเพงไซอ๋อง โทษถึงตาย

นางพังกุยฮุยคบคิดกับพังหอง ใช้อุบายเรื่องธงปลอม จะกำจัดเพงไซอ๋อง โทษถึงประหารชีวิต

เฮงหยินขันทีนั้นเป็นแต่คนใช้ นางพังกุยฮุยให้ไปบอกยักย้ายของ โทษก็ตายเหมือนกัน แต่จะต้องให้ตายด้วยแพรรัดคอ

เทกลังเหงียนั้นก็มีโทษ แต่เป็นคนใช้อยู่ในบังคับเจ้าเมืองไซหยง มีความชอบด้วยพวกคนร้ายเหล่านี้ ซึ่งจะได้ตัวก็เพราะเทกลังเหงียเป็นโจทก์ ต้องให้รางวัลบ้างเล็กน้อย ปล่อยตัวกลับไปบ้านเดิม

เฮงเจียนั้นเป็นคนเห็นกับผู้ซึ่งมีคุณต่อแผ่นดิน ไม่เข้าด้วยผู้ผิด ต้องชุบเลี้ยงตั้งแต่งให้มียศศักดิ์

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรแล้วจึงตรัสว่า

“……..ท่านปรับโทษชิงชิวกับเฮงหยิน และยกความชอบของเฮงเจีย เทกลังเหงียนั้นก็ควรอยู่ แต่ปรับโทษพังหองกับนางพังกุยฮุยเหลือเกินนัก ต้องลดหย่อนผ่อนลงเสียบ้าง…..”

เปาบุ้นจิ้นก็กราบทูลว่า

“……ข้าพเจ้าปรับโทษทั้งนี้ ตามพระราชกำหนดกฎหมาย จะได้เห็นแก่หน้าบุคคลผู้ใดหามิได้………”

ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

“…….นางพังกุยฮุยนั้นเราได้อาศัยใช้สอยมาก็มาก ท่านเห็นแก่เราบ้างอย่าให้หนักนัก……..”

เปาบุ้นจิ้นจึงกราบทูลว่า

“……ซึ่งพระองค์ตรัสนั้นก็ควรแล้ว แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน ถ้าพระองค์เห็นแก่เสี้ยนหนามแผ่นดิน จะเลี้ยงเอาไว้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะถวายบังคมลาออกจากราชการเสีย……”

ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

“……..ท่านก็เป็นผู้ใหญ่เหตุใดจึงพูดดังนี้ ถ้อยความนั้นมิใช่ว่าจะไม่ให้ชำระเมื่อไร ก็ตามใจทุกอย่าง เราขอแต่พังหองกับนางพังกุยฮุยสองคนเท่านี้ จะไม่ได้เจียวหรือ……”

เปาบุ้นจิ้นก็กราบทูลว่า

“…….ถ้าพระองค์จะให้ยกนางพังกุยฮุยกับพังหองเสียแล้ว กฎหมายซึ่งตั้งไว้สำหรับแผ่นดิน ก็ต้องลบล้างเลิกเสียใช้ไม่ได้……..”

ขุนนางทั้งปวงที่เฝ้าอยู่ก็พากันกราบทูลว่า เปาบุ้นจิ้นกับพังหอง ก็ไม่มีข้อขัดเคืองสิ่งใดกัน ซึ่งตัดสินทั้งนี้ตามพระราชกำหนดกฎหมาย ขอพระองค์จงเอาตามเปาบุ้นจิ้นตัดสินเถิด

พระเจ้าซ้องยินจงได้ทรงฟังขุนนางทั้งหลายพร้อมกันว่าดังนั้น ก็ทรงพระดำริว่าการอันนี้ขุนนางก็เห็นด้วยกับเปาบุ้นจิ้นทั้งสิ้น ไม่มีใครเห็นมาข้างพระองค์สักคน ครั้นจะยอมตามคำเปาบุ้นจิ้น นาง พังกุยฮุยก็จะต้องตายเสียดายนัก ครั้นจะขัดขวางไว้ก็ไม่มีขุนนางผู้ใดเขาเห็นด้วย เป็นอันจนใจไม่รู้ว่าจะคิดบ่ายเบี่ยงแก้ไขอย่างไรได้ จึงรับสั่งว่าความเรื่องนี้เราขอตรึกตรองดูสักสามวันก่อน ตรัสแล้วก็เสด็จเข้าข้างใน

เปาบุ้นจิ้นจึงพูดกับขุนนางทั้งปวงว่า

“……ความเรื่องนี้ข้าพเจ้าเห็นท่วงทีพระกระแส จะหาอุบายให้พังหอง กับนางพังกุยฮุยพ้นโทษเป็นแท้ ความเรื่องนี้เป็นการแผ่นดินสำคัญอยู่ ข้าพเจ้าเห็นว่าเราพากันไปหานางเต็กไทเฮาจึงจะได้……..”

ขุนนางทั้งปวงก็เห็นชอบพร้อมกัน จึงพากันไปหา นางเต็กไทเฮา พระราชมารดาเลี้ยงของฮ่องเต้ เปาบุ้นจิ้นก็เล่าความซึ่งรับสั่งชำระพังหอง ให้นางเต็กไทเฮาฟังทุกประการ นางเต็กไทเฮาแจ้งเรื่องราวแล้ว ก็ออกจากวังนำเชงเก๋งเข้าไปในพระราชวังข้างใน เมื่อทราบว่าฮ่องเต้เสด็จอยู่ที่เก๋งนางพังกุยฮุย ก็ตรงไปที่นั่น ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นก็ตกใจ จึงถามว่ามารดามามีธุระสิ่งไรหรือ นางเต็กไทเฮาทูลว่าข้าพเจ้าไม่ได้มาเฝ้านานแล้ว คิดถึงพระองค์ก็มาเยี่ยม

ฮ่องเต้ก็เชิญไปที่ตำหนักของหลีไทเฮา พระราชมารดาประสูติ มีนางพังกุยฮุยและพวกขันทีสาวใช้ตามเสด็จไปด้วย

เมื่อถึงตำหนักของ นางหลีไทเฮา ก็พบ นางเชาฮองเฮา มเหสีอยู่ด้วย ก็พูดจา ปราศรัยกันตามธรรมเนียม นางเต็กไทเฮาจึงกราบทูลว่า นางคนนี้ที่ตามเสด็จมานั้นชื่อไร ฮ่องเต้บอกว่าชื่อนางพังกุยฮุย บุตรของพังหอง

นางเต็กไทเฮาจึงว่านางพังกุยฮุยบุตรพังหอง ที่เป็นขบถคบคิดกับเจ้าเมืองไซหยงหรือ พระองค์รับสั่งให้เปาบุ้นจิ้นชำระรับเป็นสัตย์ทุกข้อแล้ว ปรับโทษกันอย่างไรบ้าง ฮ่องเต้ก็ว่าโทษทัณฑ์นั้นยังไม่ได้ปรับ

นางเต็กไทเฮาก็ว่า โลฮวยอ๋อง ไปดูเปาบุ้นจิ้นชำระความ และเฝ้าอยู่ในเวลาที่ เปาบุ้นจิ้นกราบทูลชำระโทษ รู้ความและมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถี่ถ้วนแล้ว ฮ่องเต้จึงตรัสว่าเปาบุ้นจิ้นเขาปรับโทษมาแล้ว แต่ลืมไป

นางเต็กไทเฮาจึงถามต่อไปว่า แล้วพังหองปรับโทษอย่างไร มีโทษเพียงไหน ฮ่องเต้ก็นิ่งอยู่มิได้ตอบประการใด

นางเต็กไทเฮาก็ผินหน้าไปพูดกับนางหลีไทเฮาว่า

“…….การเป็นทั้งนี้ก็เพราะด้วยรักนางพังกุยฮุย บุตรพังหอง เมื่อรักบุตรแล้วก็ตลอดไปถึงบิดาด้วย เพงไซอ๋องนั้นทำสิ่งไรให้กับพังหอง จึงโกรธแค้นพยาบาทมาดหมาย คิดทำร้ายไม่วายเลย พังหองก็เป็นผู้ใหญ่สารพัดจะรู้การผิด และรอบคอบทุกสิ่ง ไม่ควรจะคบค้ากับพวกเมืองไซหยง ซึ่งเป็นศัตรูกับเมืองเปียนเหลียง……..”

และนางก็ท้าวความว่า

“……….อันแผ่นดินเปียนเหลียงนี้ พระเจ้าซ้องไทโจ๊ฮ่องเต้มีพระราชอุตส่าห์ทรมานพระองค์ ไม่เสียดายกับชีวิตคิดตั้งขึ้นได้ สืบพระราชวงศานุวงศ์ต่อ ๆ มาหาอันตรายไม่ ครั้งนี้เมืองเปียนเหลียงจวนจะเสียกับเมืองไซหยง ก็เพราะพังหองกับพังกุยฮุย ซึ่งข้าพเจ้าร้อนใจได้มาว่าดังนี้ มิใช่จะเกี่ยวข้องสิ่งใดในตัวข้าพเจ้าหามิได้ เพราะเห็นว่าข้าพเจ้าถึงไม่ได้เป็นพระราชมารดาประสูติ ของพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ก็จริง แต่ได้เลี้ยงมาตั้งแต่ยังเป็นทารก ก็มีความรักใคร่มากเหมือนกับบุตรในอุทร ถ้าเหตุใดเป็นข้อใหญ่เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องเจ็บร้อนเป็นธุระด้วย ซึ่งข้าพเจ้าพูดทั้งนี้ จะผิดชอบประการใด ขอท่านตรึกตรองดูเถิด………”

นางหลีไทเฮาจึงว่า

“…….ท่านพูดนี้จริงทุกอย่าง เปาบุ้นจิ้นนั้นเป็นคนตรงจะตัดสินถ้อยความสิ่งไร ก็ว่าตามกฎหมาย จะได้เห็นแก่หน้าผู้ใดว่าเป็นพวกพ้อง หรือว่าเป็นคนโปรดปราน และเป็นคนไม่ชอบกันนั้นหามิได้ ความเรื่องพังหอง เปาบุ้นจิ้นก็ชำระตามกฎหมาย พังหองคบคิดกับเจ้าเมือง ไซหยง จะทำลายล้างเพงไซอ๋อง หมายว่าเพงไซอ๋องสิ้นแล้วเมืองเปียนเหลียงก็คงอยู่ในเงื้อมมือ ซึ่งจะรักนางพังกุยฮุยยิ่งกว่าแผ่นดินนั้นไม่ได้ ถ้าจะขืนเลี้ยงพังหองกับนางพังกุยฮุยไว้แล้ว ไปวันหน้าก็ยังไม่ทราบว่าจะมีเหตุประการขึ้น ขุนนางข้าราชการและหัวเมืองน้อยใหญ่ก็จะติเตียนนินทา พากันเอาใจออกห่างจากแผ่นดิน ครั้นการเป็นขึ้นดังนี้แล้ว บ้านเมืองก็จะเกิดการจลาจลขึ้นต่าง ๆ ขอจงเห็นแก่แผ่นดินซึ่งเป็นของพระเจ้าซ้องไทโจ๊เถิด อย่าให้เป็นอันตรายเสียเลย…….”

นางพังกุยฮุยก็คุกเข่าลง คำนับนางเต็กไทเฮาและนางหลีไทเฮา วิงวอนขอโทษ นางเชาฮองเฮาเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า ขอยกโทษไว้สักครั้งหนึ่งเถิด อย่าให้ตายเสียเลย นางเต็กไทเฮากับนางหลีไทเฮาก็ตวาดเอาแล้วว่า

“…….เจ้าเป็นพวกเมืองไซหยงหรือ จึงมาขอโทษนางพังกุยฮุย อยากจะให้เมืองเปียนเหลียงเป็นอันตรายเสียกับข้าศึกหรือ……..”

ฮ่องเต้เห็นนางพังกุยฮุยร้องไห้ก็มีพระทัยสงสาร จึงอ้อนวอนว่า

“…….ขอพระราชมารดาทั้งสองจงได้เมตตากับข้าพเจ้า อย่าให้นางพังกุยฮุยตายเสียเลย ด้วยนางพังกุยฮุยยังเป็นเด็กเล็กไม่รู้จักผิดและชอบ เมื่อมีความผิดแล้วจะเนรเทศให้ไปอยู่เสียนอกพระราชวัง หรือจะเอาไปขังตึกมืดไว้ก็ตาม ขอแต่ชีวิตไว้เถิด……..”

นางเต็กไทเฮาว่าไม่ได้ผิดธรรมเนียมไป ว่าแล้วก็สั่งให้ขันทีเอาตัวนางพังกุยฮุยไปประหารชีวิตเสีย นางพังกุยฮุยก็คุกเข่าลงคำนับวิงวอนขอโทษอีก นางหลีไทเฮาจึงว่าถ้ากระนั้นก็อย่าให้ตายด้วยคมอาวุธเลย ให้ตายด้วยแพรรัดคอเถิด พูดแล้วก็ให้ขันทีจับตัวนางพังกุยฮุย เอาแพรรัดคอตายต่อหน้าที่นั่งนั้นเอง

พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ก็มีความเสียใจและเสียดายอาลัยเป็นยิ่งนัก แต่จนใจมิรู้จะแก้ไขประการใด จึงเสด็จออกจากตำหนักพระราชมารดา กลับมาที่เก๋งนางพังกุยฮุย และเสด็จเข้าไปซ่อนองค์ทรงพระกันแสงเป็นอันมาก แล้วคิดฉุนโกรธ เปาบุ้นจิ้น ว่าเป็นตัวการที่ทำให้นาง พังกุยฮุยต้องตาย แต่ก็จนใจด้วยมีคุณแก่แผ่นดิน ที่ได้คิดอ่านชำระความออกมาได้เป็นข้อใหญ่หนักหนา ถ้าไม่ใช่เปาบุ้นจิ้นผู้มีความยุติธรรม เป็นผู้ชำระความดังนี้แล้วคงได้วิวาทกันเป็นแน่

ครั้นเวลาวันรุ่งขึ้นฮ่องเต้เสด็จออกให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเฝ้า เปาบุ้นจิ้นก็กราบทูลว่าจะขอปรับโทษพังหองตามกฎหมาย ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

“……..พระราชมารดาทั้งสองได้กำจัดนางพังกุยฮุย ให้ตายด้วยแพรขาวรัดคอในเวลาวานนี้แล้ว พังหองนั้นท่านจงให้ตายด้วยแพรขาวรัดคอ เหมือนพังกุยฮุยเถิด……..”

เปาบุ้นจิ้นก็กราบทูลว่า

“……..ซึ่งนางพังกุยฮุยตายด้วยแพรรัดคอนั้น เพราะพระราชมารดาทรงพระกรุณาโปรด อันพังหองนี้จะให้ตายด้วยอาญารัดคอ เหมือนกับนางพังกุยฮุยนั้นไม่ควร ต้องให้ตายด้วยคมอาวุธ……..”

ฮ่องเต้ตรัสว่า

“………พังหองก็ได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ เทียบที่มหาอุปราชอยู่แล้ว ไม่ควรจะตายด้วยแพรรัดคอเจียวหรือ ท่านก็เป็นตัวกฎหมายเหตุใดจึงจะทำดังนี้ไม่ถูก อนึ่งตัวเราก็เป็นกษัตริย์ ได้บังคับว่าให้ฆ่าพังหองด้วยผ้ารัดคอ ทำไมจึงไม่ทำตาม ท่านมาขัดขวางดังนี้โทษจะไม่มีหรือ…”

เปาบุ้นจิ้นกราบทูลว่า

“………พังหองเป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้ว่าที่มหาอุปราช ถ้าโทษถึงประหารชีวิต จะต้องตายด้วยแพรรัดคอ ก็ถูกตามรับสั่ง แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าพังหองมีข้อผิดใหญ่นัก ซึ่งให้ตายด้วยคมอาวุธนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ายังไม่สมกับความผิด ซึ่งข้าพเจ้าตัดสินทั้งนี้ยังเบาอยู่ ถ้าจะว่าตามพระราชกำหนดกฎหมายก็ต้องตายทั้งโคตร ถ้าพระองค์เห็นว่าข้าพเจ้าตัดสินผิดจากพระราชกำหนดกฎหมาย ไม่ทำตามรับสั่งแล้ว จงเอาตัวข้าพเจ้าไปประหารชีวิตเสีย……….”

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็นิ่งอยู่มิได้ตรัสประการใด ขุนนางจึงกราบทูลถามว่า จะโปรดให้พังหองตายด้วยพระราชอาญาสิ่งใด ฮ่องเต้ตรัสว่าเราจะให้ตายด้วยแพรรัดคอ ขุนนางก็กราบทูลว่า

“……….ขอพระองค์จงโปรดให้ตายด้วยคมอาวุธตามเปาบุ้นจิ้นเถิด ครั้นจะให้ตายด้วยแพรรัดคอ ความนินทาจะมีว่าพังหองมีข้อผิดใหญ่ ควรจะตายด้วยคมอาวุธ พระองค์โปรดให้ตายด้วยแพรรัดคอ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไหน ๆ ก็ตายเหมือนกันขอพระองค์อย่าทำให้ผิดจากพระราชกำหนดกฎหมาย ซึ่งเป็นของสำหรับแผ่นดินสืบ ๆ มาแต่ก่อนเลย………”

ฮ่องเต้ก็ไม่อาจจะขัดคำกราบทูลของขุนนางได้ และเห็นว่านางพังกุยฮุยก็ตายไปแล้ว จึงตรัสว่าเมื่อท่านทั้งปวงเห็นว่าพังหองควรจะตายด้วยอาญาสิ่งไร ก็จงเอาไปทำตามกฎหมายเถิด

แต่เฮงหยินขันทีนั้นขอชีวิตไว้ ให้เนรเทศออกไปอยู่นอกเมืองเถิด ด้วยเป็นคนเคยใช้สอยมาก่อน

เปาบุ้นจิ้นกับขุนนางอีกคนหนึ่ง ก็เป็นผู้กำกับให้พนักงานเอาตัวพังหองกับ ชิงชิว เจ้าเมืองซำก๋วนไปประหารชีวิตเสีย

ส่วน เทกลังเหงีย นั้น ฮ่องเต้พระราชทานเงินสองร้อยตำลึงเป็นรางวัล และมีหนังสือรับสั่งให้เจ้าเมืองไซหยงงดโทษแก่เทกลังเหงีย ด้วยมีความชอบในเมืองเปียนเหลียง เทกลังเหงียจึงพ้นจากโทษเลี้ยงม้าและกระบือ แต่คงเป็นไพร่กลับไปอยู่บ้านเดิม

ภรรยาของชิงชิวและพังหอง ก็เอาศพไปฝังไว้ที่เมืองเซียงไซบ้านเดิม บุตรชายของพังหองที่เคยทำการข่มเหงชาวบ้านให้ได้ความเดือดร้อน ไม่คิดยำเกรงผู้ใด ก็ละพยศไม่อาจทำการข่มเหงราษฎรต่อไป เสี้ยนหนามของแผ่นดิน ก็สูญสิ้นไปอีกหนึ่งก๊ก ด้วยเหตุฉะนี้

############


นิตยสารโล่เงิน
ตุลาคม ๒๕๔๗












 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2551 9:59:02 น.
Counter : 484 Pageviews.  

ตอนที่ ๒๐ ชนะศึกภายนอก

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๒๐ ชนะศึกภายนอก “

เล่าเซี่ยงชุน “

เพงไซอ๋อง นำกองทัพเดินทางจากเมืองซินโลก๊กได้ประมาณเดือนหนึ่ง ก็มาถึงด่านชิดแชก๊วนหน้าเมืองไซหยง จึงให้ตั้งค่ายไว้ห่างประมาณสามสิบลี้ พอรบกันครั้งแรก เตียตง ทหารเอกก็ตีด่านแตก นายด่านหนีไปที่ด่านโออาก๊วน เพงไซอ๋องก็ยกพลตามไปล้อมด่านไว้สามด้าน นายด่านก็ขอร้องว่าอย่าเพิ่งเข้าตี ได้แจ้งไปทางเมืองไซหยงแล้ว ถ้ายอมเป็นเมืองขึ้นตามเดิมแล้ว ก็จะได้ไม่ต้องรบกันให้เปลืองไพร่พล หลีหงี ทหารเอกก็ตอบไปว่าเจ้าเมืองไซหยงเป็นคนโกงวาจากับน้ำใจไม่เหมือนกัน ยอมสวามิภักดิ์มาหลายครั้งแล้วเชื่อฟังไม่ได้ นายด่านก็อ้อนวอนให้รออีกครั้ง เพงไซอ๋องจึงให้พักรบรออยู่ประมาณครึ่งเดือน

คราวนี้เจ้าเมืองไซหยงไปเชิญ หลวงจีนฮวนฮวยซัว จากเขาฮวยซัวมาช่วยรบ และทำให้เพงไซอ๋องกับนายทหารเอกทั้งห้าคนบาดเจ็บสาหัส จน เฮงเซียนเล่าโจ๊ว อาจารย์ของเพงไซอ๋องต้องมาช่วยอีกครั้ง จึงรอดพ้นความตายไปได้ แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะหลวงจีน ฮวนฮวยซัวได้ ต้องไปขอร้อง โล๊วซันเซียบ๊อ อาจารย์ของ นางโปยโปกงจู๊ ภรรยาของเพงไซอ๋อง ให้มาช่วยแก้ไข

อาจารย์ก็เอาของวิเศษให้นางโปยโปกงจู๊ ซึ่งอยู่ที่เมืองเซียนเชียนก๊ก มาช่วยสามีรบกับข้าศึก จึงสามารถเอาชนะเมืองไซหยงได้

เจ้าเมืองไซหยงก็ยอมอ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้น ขอส่งเครื่องบรรณาการตามเดิม และมอบธงประจำเมืองของจริงให้แก่เพงไซอ๋องด้วย เวลาเดียวกัน เทกลังเหงีย ขุนนางเมืองไซหยง ที่ถูกถอดลงเป็นไพร่เลี้ยงวัวและม้า ก็เข้ามาหาเพงไซอ๋องขอติดตามไปเมืองเปียนเหลียง เพื่อกล่าวโทษ พังหอง ด้วย

และเล่าความที่พังหองใช้อุบายให้ พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ทรงทราบว่าธงของเมืองไซหยงอันก่อนเป็นธงปลอม จนเพงไซอ๋องต้องเนรเทศไปอยู่ที่ตำบลอิวเลงเอีย แล้วพังหองมีหนังสือให้ เฮงเจีย คิดอุบายฆ่าเพงไซอ๋องแต่ไม่สำเร็จ แล้วพังหองก็ให้ตนมาแจ้งแก่เจ้าเมือง ไซหยงว่า เพงไซอ๋องตายแล้ว เจ้าเมืองไซหยงจึงคบคิดกับเจ้าเมืองซินโลก๊ก ยกกองทัพมาตีเมืองซำก๋วน ให้ฟังทุกประการ

เพงไซอ๋องจึงให้ เจียวเทงกุ้ย ทหารเอกนำหนังสือกราบทูลเรื่องการศึกที่มีชัยชนะ ไปให้ เปาบุ้นจิ้น กราบบังคมทูลถวายฮ่องเต้ที่เมืองเปียนเหลียงก่อน แล้วก็ยกกองทัพเดินทางตามมาภายหลัง เมื่อถึงเมืองหลวงแล้วก็ไปหา นางเต็กไทเฮา ผู้เป็นอากับ นางเม่งสี มารดาให้ทราบความตั้งแต่ต้นจนปลายแล้ว จึงไปหาเปาบุ้นจิ้น บอกความซึ่งเทกลังเหงียตามเข้ามาฟ้องกล่าวโทษพังหองให้ทราบ

เปาบุ้นจิ้นก็เข้าไปในพระราชวังที่ว่าราชการ นำเพงไซอ๋องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ และถวายเครื่องบรรณาการกับธงประจำเมืองไซหยง พระเจ้าซ้องยินจงได้ทอดพระเนตรแล้วก็มีพระทัยยินดี ยิ่งนัก แล้วเพงไซอ๋องก็นำหนังสือเรื่องราวกล่าวโทษพังหอง ถวายต่อพระหัตถ์

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรแล้ว จึงตรัสถามพังหองว่า เป็นขุนนางทำราชการมากี่ปี พังหองกราบทูลว่ารับราชการสนองพระเดชพระคุณมาประมาณสามสิบปีแล้ว ฮ่องเต้ก็ตรัสถาม ต่อไปว่า พระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน ๆ กับพระองค์ที่ได้ชุบเลี้ยงมา เป็นกระไรกัน

พังหองก็กราบทูลว่าพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนนั้น ชุบเลี้ยงให้มียศศักดิ์ เปรียบดังมหาสมุทร ซึ่งพระองค์ชุบเลี้ยงทุกวันนี้ เปรียบดังฟ้าแลดิน ฮ่องเต้ก็ตรัสต่อไปว่าก็ชุบเลี้ยงถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดจึงไม่มีความกตัญญูต่อแผ่นดิน พังหองก็กราบทูลว่าทุกวันนี้ก็ตั้งใจทำราชการสนองพระเดชพระคุณโดยสุจริต มิได้คิดชั่วแต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย

ฮ่องเต้จึงตรัสว่าถ้าเช่นนั้นทำไมจึงคบค้ากับชาวเมืองไซหยง ซึ่งเป็นข้าศึกกับเมืองเปียนเหลียง

พังหองก็ตกใจแต่แก้ตัวว่าเพงไซอ๋องกล่าวโทษไม่จริง เพงไซอ๋องจึงนำเอาตัว เทกลังเหงียเข้ามาเป็นพยาน เทกลังเหงียก็กราบทูลเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนปลายให้ทรงทราบ พังหองก็แก้ว่าเทกลังเหงียรับสินบนจากเพงไซอ๋อง แกล้งเอาความมิจริงมาใส่โทษตน แล้วหันไปถาม เทกลังเหงียว่า เหตุใดจึงมาแกล้งใส่ความกัน ตัวเจ้ากับเราก็ยังไม่รู้จักกัน เทกลังเหงียก็ว่าตนเองมีโทษถึงตาย แต่ขุนนางขอไว้จึงต้องถอดลงเป็นไพร่ ได้ความลำบากทั้งนี้ก็เพราะพังหอง

เปาบุ้นจิ้นจึงกราบทูลว่า

“………ซึ่งเพงไซอ๋องกล่าวโทษพังหองนั้น จะเชื่อฟังเอาเป็นจริงก็ยังไม่ได้ เทกลังเหงียมาว่าก็เชื่อไม่ได้ ถ้าแม้นพังหองทำการจริงเหมือนว่า ก็มีความผิดเป็นข้อใหญ่ จะต้องเอาตัวเพงไซอ๋อง พังหอง เทกลังเหงียไว้อย่าให้ไปบ้าน ให้คนไปค้นดูที่บ้านพังหอง ถ้าพบสิ่งของในเรือนพังหอง เหมือนคำเทกลังเหงียให้การว่า เจ้าเมืองไซหยงให้มาเป็นของคำนับ ก็ควรจะเชื่อฟังเอาคำเทกลังเหงียเป็นจริงได้ ถ้าไม่พบของเช่นคำให้การ เพงไซอ๋อง เทกลังเหงียก็ผิด…….”

ฮ่องเต้ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงมีรับสั่งให้เปาบุ้นจิ้นเอาทหารไปค้นบ้านพังหอง เปาบุ้นจิ้นก็ขอขุนนางผู้ใหญ่สี่คนไปเป็นพยานด้วย

ฝ่าย นางพังกุยฮุย บุตรสาวพังหองผู้เป็นสนมเอก แจ้งความว่าฮ่องเต้ให้เปาบุ้นจิ้นนำขุนนางและทหารไปค้นบ้านบิดา ก็ตกใจรีบให้ เฮงหยิน ขันทีไปบอกมารดาให้ยักย้ายของที่บิดาได้รับมาจากเมืองไซหยงออกไปเสีย แต่ไม่ทันการ เปาบุ้นจิ้นไปถึงบ้านแล้วให้ทหารที่พาไปพันหนึ่ง ล้อมบ้านพังหองไว้ และพาขุนนางทั้งสี่กับทหารร้อยหนึ่ง เข้าไปค้นภายในบ้าน ก็พบ เฮงหยิน จึงให้ทหารจับตัวไว้

เพราะเป็นขันทีรับราชการอยู่ในวัง ออกมาข้างนอกผิดประหลาดอยู่ต้องเอาตัวไว้ก่อน แล้วก็ค้นพบหนังสือถึง เฮงเจีย ผู้รักษาตำบลอิวเลงเอีย กับถึง ชิงชิวเจ้าเมืองซำก๋วน ให้คิดฆ่าเพงไซอ๋อง กับพบหีบใส่ของกำนันจากเจ้าเมืองไซหยง เป็นทองคำสิบลิ่มหนัก พันตำลึง และสิ่งของต่าง ๆ มีหนังสือของเจ้าเมืองไซหยงกำกับอยู่อีกสองฉบับ

เปาบุ้นจิ้นก็นำสิ่งของทั้งหมด หนังสือสี่ฉบับ และตัวเฮงหยินขันที มากราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบความโดยละเอียด ฮ่องเต้ทอดพระเนตรสิ่งของและหนังสือแล้ว ก็ทรงขัดเคืองเป็นอันมาก จึงตวาดพังหองว่าท่านจะว่าอย่างไร พังหองก็ตกใจตัวสั่นหน้าซีดไม่อาจทูลตอบได้ ฮ่องเต้จึงตรัสต่อไปว่า

“……..เห็นท่านเป็นผู้ใหญ่ ชุบเลี้ยงให้มียศศักดิ์ คนทั้งปวงก็ยำเกรงนับถือทั้งแผ่นดิน ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้เลย ท่านไม่รู้หรือว่าเพงไซอ๋องเป็นเชื้อวงศ์ของเรา ท่านคิดล้างผลาญ เพงไซอ๋องหลายครั้งแล้ว แผ่นดินเปียนเหลียงซึ่งตั้งอยู่ได้ก็เพราะเพงไซอ๋อง ถ้าไม่ได้เพงไซอ๋อง ป่านนี้ก็เป็นของข้าศึกเสียแล้ว ท่านคิดกำจัดเพงไซอ๋องนั้น ปรารถนาจะให้เมืองเปียนเหลียงเป็นของข้าศึกหรือ………..”

พังหองได้ฟังรับสั่งก็กราบทูลว่า การครั้งนี้ได้ผิดแล้ว ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาโปรด รับพระราชทานชีวิตไว้สักครั้งหนึ่งเถิด พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ก็มีพระทัยสงสาร ความขัดเคืองนั้นค่อยเสื่อมคลายลง

ขุนนางทั้งปวงเห็นกิริยาฮ่องเต้ดังนั้น จึงกราบทูลว่าซึ่งโทษพังหองนั้นขอพระองค์จงโปรดให้เปาบุ้นจิ้นชำระเถิด ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้เปาบุ้นจิ้นชำระความตามที่ขุนนางได้กราบทูล เปาบุ้นจิ้นจึงกราบทูลว่า

“……ถ้าพระองค์โปรดให้ข้าพเจ้าชำระแล้ว ต้องรับพระราชทานเอาตัวชิงชิว ผู้รักษาเมืองซำก๋วน กับเฮงเจียตำบลอิวเลงเอียมาชำระ ถามข้อความในหนังสือที่ค้นได้ในบ้าน พังหอง แล้วต้องเอาตัวเฮงหยินขันทีมาไล่เลียงดูว่า ไปที่บ้านพังหองด้วยธุระอะไร ต้องเอาตัวนางพังกุยฮุยมาชำระด้วย ว่าใช้ให้เฮงหยินขันทีไปที่บ้านพังหองด้วยเหตุใด……..”

พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้จึงตรัสว่า

“……ซึ่งท่านจะเอาตัวคนเหล่านั้นมาชำระก็ควร แต่ซึ่งจะเอาตัวนางพังกุยหุยมาชำระนั้นไม่ชอบ ด้วยนางพังกุยฮุยเป็นผู้หญิงอยู่ถึงในวังจะรู้อะไรกับเขา เห็นไม่เกี่ยวข้องดอก….”

เปาบุ้นจิ้นจึงกราบทูลว่า

“…….อันพังหองทำการดังนี้ ถ้าจะว่าตามพระราชกำหนดกฎหมายแล้ว โทษถึงขบถ ข้าพเจ้าจะต้องรับพระราชทานเอาตัวนางพังกุยฮุยยมาชำระ ด้วยใช้ให้เฮงหยินขันทีไปที่บ้านพังหอง พบเมื่อเวลาจะไปค้นของ ครั้นถามบอกว่านางพังกุยฮุยใช้ให้มาเยี่ยมมารดา ข้าพเจ้าสงสัยอยู่ จะต้องเอานางพังกุยฮุยมาสอบถาม……..”

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังเปาบุ้นจิ้นกราบทูลว่า จะเอาตัวนางพังกุยฮุยมาชำระให้ได้ ก็ทรงขัดเคือง จึงรับสั่งว่า ถ้าเปาบุ้นจิ้นจะขืนเอาตัวนางพังกุยฮุยมาไต่ถามให้ได้แล้ว ความเรื่องนี้ก็ต้องเลิกกันไม่ให้ชำระต่อไป เปาบุ้นจิ้นก็กราบทูลว่าถ้าไม่ให้ชำระความเรื่องนี้แล้ว ขุนนางทั้งปวงก็จะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ไปเอาตัวชิงชิวกับเฮงเจียมา และมอบตัวเทกลังเหงียให้ เปาล่งถูดูแล แล้วก็เสด็จเข้าข้างใน

พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ก็เสด็จไปที่เก๋งนางพังกุยฮุย นางก็ออกมารับเสด็จและพาเข้าไปข้างใน แล้วจึงกราบทูลว่า

“……..เดิมพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดให้อภัยบิดาข้าพเจ้า ด้วยทรงเห็นว่าเป็นคนชรา ถ้าผิดพลั้งเล็กน้อยก็ไม่เอาโทษ การครั้งนี้บิดาข้าพเจ้ามีความผิด ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดด้วย……..”

ฮ่องเต้จึงตรัสว่าบิดาเจ้าไม่ดีไปคบค้ากับชาวเมืองไซหยง คิดทำร้ายเพงไซอ๋องนั้น มีความผิดเป็นข้อใหญ่ นางพังกุยฮุยได้ฟังรับสั่งก็ร้องไห้ร่ำไร กราบทูลวิงวอนขอโทษบิดาไปต่าง ๆ ฮ่องเต้ก็มีพระทัยสงสารเสียไม่ได้ด้วยความเมตตา จึงตรัสว่าเจ้าอย่าทุกข์ร้อน ร้องไห้เศร้าโศกไปเลย บิดาของเจ้ามีความผิดนั้น เราจะคิดอ่านปลดเปลื้องให้ไม่เป็นไรดอก

##########

นิตยสารโล่เงิน
กันยายน ๒๕๔๗




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2551 9:57:34 น.
Counter : 437 Pageviews.  

ตอนที่ ๑๙ ศึกสองด้าน

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๑๙ ศึกสองด้าน

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เปาบุ้นจิ้น ได้ฟัง เต็กเซง และนายทหารทั้งหลาย พูดจาบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับอาสาไปต่อสู้กับข้าศึกเมืองไซหยง จึงว่า

“………อันพังหองนั้นเป็นคนโกง คนทั้งปวงก็ย่อมรู้อยู่ด้วยกันแล้ว มิใช่ว่าเราจะไม่เกลียดชังเมื่อไร ก็คอยหาช่องทางที่จะกำจัดอยู่เป็นนิจ ผู้ประพฤติการชั่วเช่นพังหองแล้ว คงจะจับผิดได้สักเวลาหนึ่งเป็นแท้ ท่านคอยดูเถิด………”

เต็กเซงได้ฟังเปาบุ้นจิ้นพูดจาถูกใจ จึงว่า

“……..ซึ่งท่านจะให้ข้าพเจ้ารับอาสาออกไปรบกองทัพเมืองไซหยงนั้นก็ไม่ขัด แต่เห็นว่าได้บอกเข้าไปกราบทูลว่าตายแล้ว บัดนี้ไม่ตายจะมิเป็นการทำกลอุบายไปหรือ ความผิดจะมีดอกกระมัง……..”

เปาบุ้นจิ้นจึงว่าข้อนั้นอย่าวิตก เป็นธุระของข้าพเจ้าที่จะกราบทูลพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้เอง แล้วก็ลากลับมาเฝ้าฮ่องเต้ที่เมืองเปียนเหลียง

ขณะที่ฮ่องเต้กำลังตรัสปรึกษากับเหล่าขุนนางด้วยราชการทัพ ได้ทอดพระเนตรเห็นเปาบุ้นจิ้นจึงตรัสว่า ข้าศึกยกกองทัพมาติดเมืองซำก๋วน เต็กเชงก็ตายไปเสียแล้ว จะได้ผู้ใดไปรบศึก เปาบุ้นจิ้นจึงกราบทูลว่า

“……..เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าฝันเห็นเต็กเซงมาบอกว่า ยังไม่ถึงกาลกำหนดที่จะตาย ร่างกายก็ยังไม่เปื่อยเน่า ขอให้ข้าพเจ้าได้ช่วยด้วยเถิด เต็กเซงมาเข้าฝันว่าดังนี้ ข้าพเจ้าจะเอาของวิเศษซึ่งโปรดพระราชทานให้เก็บไว้ แต่ครั้งแก้นางอีสีฮูหยินนั้น ไปแก้เต็กเซงลองดู………”

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็ดีพระทัยนัก จึงตรัสว่าดีแล้วตามแต่ใจท่านเถิด พังหอง ซึ่งเฝ้าอยู่ด้วยก็กราบทูลว่า

“…….พระองค์อย่าได้เชื่อถือ เปาบุ้นจิ้นเอาความเท็จมาว่า เมื่อครั้งแก้นางอีสี ฮูหยินนั้น ด้วยเป็นคนพึ่งตายใหม่ ๆ แก้ให้เป็นขึ้นมาได้ก็ควรจะเชื่อฟัง นี่เต็กเซงตายไปช้านานถ้าจะประมาณก็เกือบปีมาแล้ว ป่านนี้มิยังเหลืออยู่แต่กระดูกหรือ พระองค์ไม่ควรจะเชื่อฟัง…….”

เปาบุ้นจิ้นก็ว่าถ้าเราไปแก้เต็กเซงเป็นขึ้นมาได้ ท่านจะว่ากระไร พังหองก็ว่าถ้าไปแก้เต็กเซงไม่กลับเป็นขึ้นมาได้ ท่านจะว่ากระไรเล่า

เปาบุ้นจิ้นจึงว่าถ้าร่างกายเต็กเชงยังปกติดี เหมือนเต็กเซงมาเข้าฝันแล้ว ข้าพเจ้าแก้ไม่ได้ก็สุดแต่จะทำโทษ ฮ่องเต้เห็นเปาบุ้นจิ้นกับพังหองเถียงกันจึงตรัสว่า

“……..ท่านทั้งสองอย่าเถียงวุ่นวายไปเลย ทำหนังสือทัณฑ์บนกันคนละฉบับ ถ้าเปาบุ้นจิ้นไปแก้เต็กเซงกลับเป็นขึ้นมาได้ เหมือนถ้อยคำที่ว่า จะถอดพังหองให้ถอยยศต่ำลงไป ถ้าเปาบุ้นจิ้นแก้เต็กเซงไม่กลับเป็นขึ้นมา จะได้ทำโทษเปาบุ้นจิ้น ดังนี้ท่านทั้งสองจะยอมหรือไม่……”

ทั้งสองคนก็กราบทูลว่ายอม ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้พนักงานทำหนังสือทัณฑ์บน ให้ไว้คนละฉบับ เปาบุ้นจิ้นก็กลับไปที่ศาลเทียนอองเบี้ย เล่าเรื่องราวให้เต็กเซงฟังทุกประการ แล้วก็พาเต็กเซงกับนายทหารคนสนิททั้งสี่กลับมาเมืองเปียนเหลียง เต็กเซงก็ไปหามารดาและเล่าเรื่องทั้งหมดให้มารดาฟัง นางเม่งสี ผู้มารดาก็ดีใจเป็นอันมาก

ครั้นครบกำหนดสามวัน เปาบุ้นจิ้นก็พาเต็กเซงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้เมื่อทอดพระเนตรเห็นเต็กเซง จึงตรัสว่า

“……..เมื่อครั้งนั้นเรากำลังโทโสไม่ทันคิด จึงสั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่า ต่อนาง เต็กไทเฮามาว่าจึงคิดขึ้นมาได้ เนรเทศให้ออกไปก็หมายจะไมให้อยู่ครบถึงสามปีดอก จะให้กลับเข้ามาทำราชการดังเก่า เจ้าก็ตายไปเราเสียดายนัก บัดนี้เจ้ากลับเป็นขึ้นมาได้เราดีใจนักหนา….”

เต็กเซงจึงกราบทูลว่า

“……….ข้าพเจ้าตายครั้งนี้ ไปเมืองผียมบาลดูบัญชีชื่อข้าพเจ้าไม่มี จึงได้ปล่อยมา แล้วบอกว่าให้ไปหาเปาบุ้นจิ้น จึงจะช่วยให้กลับเป็นขึ้นมาได้………”

ฮ่องเต้ก็ตรัสให้อาสาออกไปปราบข้าศึกเถิด เต็กเซงก็บ่ายเบี่ยงว่า ขุนนางผู้ใหญ่ยังมีอีกมาก ตนเองจะขอกราบถวายบังคมลากลับไปอยู่บ้านเดิม ฮ่องเต้จึงตรัสว่า

“……..เจ้าอย่าบิดพริ้วไปเลย ทุกวันนี้ไม่เห็นผู้ใดแล้ว ที่จะป้องกันเมืองซำก๋วนได้ เว้นแต่เจ้าผู้เดียว ถ้าเมืองซำก๋วนเสียกับข้าศึกแล้ว ที่ไหนเมืองเปียนเหลียงจะตั้งอยู่ได้ อนึ่งตัวเจ้ามิใช่คนอื่นที่ไหนมา ถ้าจะว่าก็เป็นญาติของเรา ด้วยนางเต็กไทเฮาเป็นพระราชมารดาเลี้ยงของเราก็จริง แต่เหมือนพระราชมารดาประสูติ ด้วยได้เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่ยังเป็นทารก พระเดชพระคุณเป็นอันมาก เหมือนกับมารดาประสูติ ตัวเจ้าก็เป็นหลานอันสนิทของนางเต็กไทเฮาเราก็นับว่าเป็นญาติ ซึ่งข้าศึกยกกองทัพมาย่ำยีถึงเพียงนี้ เจ้าไม่เอาเป็นธุระจะให้บ้านเมืองเสียแก่ข้าศึกหรือ ถึงเจ้าจะไม่เห็นแก่เรา ก็จงเห็นแก่นางเต็กไทเฮาเถิด……….”

เต็กเซงเห็นพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ตรัสรำพันวิงวอนต่าง ๆ ก็กราบทูลว่าพระองค์จะให้ข้าพเจ้าออกไปสู้รบกับข้าศึกแล้ว ก็จะต้องสนองพระเดชพระคุณให้ได้

เปาบุ้นจิ้นก็กราบทูลว่า พังหองแพ้ข้าพเจ้าแล้ว ขอพระองค์ได้โปรด ฮ่องเต้ก็ตรัส ว่าการนี้สุดแล้วแต่หนังสือทัณฑ์บน จึงมีรับสั่งให้ถอดพังหองออกจากที่ขุนนางผู้ใหญ่ ให้เป็นแต่ ขุนนางผู้น้อย พังหองได้ความอัปยศแก่ขุนนางเป็นอันมาก ก็ถวายบังคมลากลับมาบ้าน แล้วก็ทำหนังสือไปถึง ชิงชิว เจ้าเมืองซำก๋วนซึ่งเป็นพรรคพวก เล่าความที่เต็กเซงตายแล้วกลับฟื้นขึ้นมา และบัดนี้มีรับสั่งให้เป็นแม่ทัพ ยกออกมารบกับข้าศึกที่เมืองซำก๋วนแล้ว จงระวังตัวให้ดี

พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ก็โปรดให้เต็กเซงเป็นที่ เพงไซอ๋อง ดังเก่า แล้วให้คุมทหารสิบหมื่นเป็นกองทัพยกไปเมืองซำก๋วน เพงไซอ๋องจึงให้ เมงเตงก๊ก เป็นทัพหน้า เตียตง หลีหงี เล่าเข่ง เจียเง็ก แยกกันคุมทหารเป็นสี่กอง เจียวเทงกุ้ย เป็นกองลำเลียง ออกเดินทางตรงไปยังเมืองซำก๋วน เมื่อมาใกล้จะถึงเมืองซำก๋วนทางประมาณหกสิบลี้ เจ้าเมืองและทหารเอกอีกสองนายก็ออกมาต้อนรับ นำกองทัพเข้าไปในเมือง

ทหารเอกทั้งสองก็ว่ากับเพงไซอ๋องว่า ตัวท่านตายไปแล้วกลับเป็นขึ้นมาได้ ข้าพเจ้ามีความดีใจนัก เพงไซอ๋องจึงตอบว่า เมื่อตนตายไปนั้น ผู้ที่ดีใจก็มีผู้ที่เสียใจก็มี ครั้นกลับเป็นขึ้นมา ผู้ที่ดีใจก็มีผู้ที่เสียใจก็มี ทั้งสองได้ฟังก็ยิ้มอยู่ แต่ ชิงชิวนั้นนิ่งอยู่มิได้พูดจาประการใด

เพงไซอ๋องก็ให้ทำหนังสือฉบับหนึ่ง ให้เล่าเข่งถือไปส่งให้ แม่ทัพข้าศึก มีความว่า

เราชื่อเต็กเซงเป็นที่เพงไซอ๋อง ถือรับสั่งพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ยกกองทัพมาแล้ว เวลาพรุ่งนี้ให้แม่ทัพแต่งทหารออกมาสู้รบ ดูฝีมือกันถึงแพ้และชนะ ถ้ารู้สึกตัวกลัวตายก็ให้ยอมนบนอบเสียโดยดี และยกทัพกลับไป เอาธงสำหรับเมืองมาถวาย เป็นเมืองขึ้นส่งเครื่องราชบรรณาการไปตามเดิม

แต่ มัวมั่วฮั่น แม่ทัพข้าศึกไม่ยอม ได้ยกทหารออกมาสู้รบกันอยู่เป็นเวลานาน การศึกครั้งนี้ ในตอนต้นกองทัพเพงไซอ๋องรบกับกองทัพของเมืองซินโลก๊ก ซึ่งเป็นพวกของกองทัพเมืองไซหยง รบกันอยู่ประมาณเดือนครึ่ง ทหารเอกของเพงไซอ๋องฆ่าทหารเอกของเมืองซินโลก๊กตายไปสองคน ยังเหลืออีกสามคน ก็ถูกตีแตกพ่ายต้องถอนทัพกลับไปเมืองซินโลก๊ก

เจ้าเมืองซินโลก๊กมีความโกรธเป็นอันมาก จึงให้ แม่ทัพคนเดิมกับทหารเอกสิบสองคน ทหารรองสองร้อย ทหารเลวสิบหมื่น ยกไปรบแก้ตัวอีก

ทางเมืองไซหยงเมื่อรู้ข่าวการศึก ว่ากองทัพฝ่ายตนเสียทีแก่กองทัพเพงไซอ๋อง ก็โกรธ เทกลังเหงีย ขุนนางที่ได้ส่งไปติดต่อกับพังหอง ให้หาหนทางฆ่าเพงไซอ๋องในครั้งก่อนเป็นอันมาก เพราะเทกลังเหงียกลับมาบอกว่าเพงไซอ๋องตายแล้ว จึงได้ยกกองทัพไปด้วยคิดว่าเมืองเปียนเหลียงนั้นสิ้นคนมีฝีมือแล้ว

คราวนี้จึงให้เอาตัวไปประหารชีวิตเสีย แต่ขุนนางขอโทษไว้ จึง ให้ถอดออกจากขุนนาง ลงเป็นไพร่เลี้ยงม้าและกระบือเสีย แล้วให้ยกกองทัพอีกสิบหมื่น ไปสมทบกับทัพเมืองซินโลก๊ก

ฝ่ายเพงไซอ๋องเมื่อมีชัยชนะครั้งแรก ก็ทำหนังสือกราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบ ฮ่องเต้ก็ดีพระทัยมีรับสั่งให้ยกกองทัพไปตีเมืองซินโลก๊กก่อน เมื่อได้เมืองซินโลก๊กแล้วจึงยกไปตีเมืองไซหยงต่อภายหลัง เพงไซอ๋องก็ยกพลไปตามรับสั่ง จึงพบกับกองทัพของทั้งสองเมืองที่บรรจบกัน มีทหารรวมยี่สิบหมื่น

ครั้งนี้เพงไซอ๋องส่งทหารเอกของตน เข้ารบกับทหารเอกของกองทัพเมืองซินโลก๊ก ก็ฆ่าทหารเอกข้าศึกตายไปสามคนและจับเป็นเชลยได้คนหนึ่ง กองทัพเมืองไซหยงก็ยกออกมารบบ้าง เพงไซอ๋องก็ให้ทหารเอกออกรบหลายยก จึงจับตัวแม่ทัพใหญ่มาประหารชีวิตเสีย ต่อมากองทัพเมืองซินโลก๊กก็ส่งทหารเอกที่มีวิชาอาคมมาก ออกมารบอีกคนหนึ่ง

คราวนี้สามารถจับตัวทหารเอกของเพงไซอ๋องทั้งห้าคน ติดอยู่ในค่ายปีศาจได้ แต่เพงไซอ๋องก็ใช้กระจกวิเศษที่อาจารย์ให้ไว้ แก้เอานายทหารเอกของตนรอดมา และฆ่านายทหารของฆ่าศึกได้อีกสามคน กับจับตัวมาประหารอีกคนหนึ่ง

ครั้นแม่ทัพเมืองซินโลก๊กยกพลเข้าปล้นค่ายของเพงไซอ๋อง ก็ถูกโอบล้อมตีแตกกระจาย แล้วเพงไซอ๋องก็ยกพลเลยเข้าตีค่ายใหญ่ของทัพเมืองซินโลก๊ก ฆ่านายทหารตายไปอีกสองคน และค่ายก็แตกพ่าย มัวมั่วฮั่นก็พาทหารที่เหลือ หนีกลับไปที่ด่านเบ็กก๊วนหน้าเมือง ซินโลก๊ก

แต่นายด่านไม่ชอบกันจึงไม่ยอมเปิดประตูด่านให้ และเยาะเย้ยว่า ท่านอวดฝีมือว่าเข้มแข็งแล้ว เหตุใดจึงวิ่งหนีมา พาเอาทหารไปล้มตายมากมายนัก จงกลับไปรบกับเพงไซอ๋องให้ชนะก่อน จึงจะให้เข้ามาในด่าน ถ้าแพ้แล้วเราไม่เปิดประตูด่านให้ มัวมั่วฮั่นมีความแค้นนัก จึงเอากระบี่เชือดคอตาย ตรงหน้าด่านนั้นเอง

เพงไซอ๋องก็ยกกองทัพมาใกล้ด่านประมาณยี่สิบลี้ คิดเสียดายชีวิตของทหารทั้งสองฝ่าย จึงไม่เข้าตีด่านเบ็กก๊วน และแต่งหนังสือไปถึงเจ้าเมืองซินโลก๊ก มีความว่า

เมืองซินโลก๊กไม่มีข้อขัดเคืองกับเมืองเปียนเหลียง และเมืองเปียนเหลียงนั้นเป็นศัตรูกับเมืองไซหยงต่างหาก เหตุใดจึงมาพลอยเจ็บร้อนด้วย ช่วยยกกองทัพมาสมทบกับเมือง ไซหยงตีด่านซำก๋วน บัดนี้พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ขัดเคือง ให้เรายกกองทัพมาปราบปรามเสียให้ราบคาบ ถ้ารู้สึกตัวกลัวตายก็ให้ยอมสวามิภักดิ์เสียโดยดี ซึ่งเรามีหนังสือมาทั้งนี้ด้วยความเมตตาปรารถนาจะไม่ให้มีความยากแค้น เดือดร้อนแก่อาณาประชาราษฎร

เจ้าเมืองซินโลก๊กแจ้งความในหนังสือแล้ว ก็ปรึกษากับขุนนางทั้งปวง เห็นว่าการยกกองทัพไปช่วยเมืองไซหยงนั้น เป็นการผิดมากอยู่ และนายทหารเอกของตนก็ตายหมดแล้ว ไม่มีผู้ใดจะออกไปสู้ได้อีก จึงยอมทำหนังสือขออ่อนน้อมแก่เพงไซอ๋อง มีความว่า

ซึ่งข้าพเจ้าแต่งให้มัวมั่วฮั่นเป็นแม่ทัพคุมทหารไปตีเมืองซำก๋วนนั้น ด้วยเสียไมตรีเจ้าเมืองไซหยงไม่ได้ จึงได้เป็นไปดังนี้ โทษข้าพเจ้าผิดขอท่านได้อภัยกับข้าพเจ้าเถิด ตั้งแต่นี้ไปข้าพเจ้าขอยอมเป็นเมืองขึ้น ถวายเครื่องบรรณาการพระเข้าแผ่นดินซ้องทุกปีมิได้ขาด

แล้วก็จัดสิ่งของที่ดีมีค่าเป็นเครื่องบรรณาการ มอบให้ขุนนางนำไปส่งให้ เพงไซอ๋องที่ค่ายหน้าด่านเบ็กก๊วน เพงไซอ๋องก็ให้เมงเตงก๊กคุมเครื่องบรรณาการ กับหนังสือ กราบทูลฮ่องเต้ ไปส่งที่เมืองเปียนเหลียง แล้วก็ยกทัพออกจากแดนเมืองซินโลก๊ก เพื่อตีเมือง ไซหยงต่อไป.

##########

นิตยสารโล่เงิน
สิงหาคม ๒๕๔๗




 

Create Date : 03 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 3 พฤษภาคม 2551 8:16:58 น.
Counter : 425 Pageviews.  

ตอนที่ ๑๘ ศึกติดเมือง

หลากชีวิตในพงศวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๑๘ ศึกติดเมือง

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมืองเปียนเหลียงอยู่เป็นสุขมาไม่นาน ม้าใช้เมืองซำก๋วนก็นำหนังสือจาก ชิงชิว เจ้าเมือง มากราบทูล พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ มีความว่าเมืองซินโลก๊กกับเมืองไซหยง ยกกองทัพมีพลประมาณยี่สิบหมื่นมาตีเมืองซำก๋วน ได้คุมทหารออกรบก็สู้กำลังข้าศึกไม่ได้ ต้องรักษาเมืองมั่นไว้ ถ้าช้าวันไปเมืองซำก๋วนจะเสียแก่ข้าศึก ขอให้กองทัพเมืองเปียนเหลียงยกไปช่วยโดยเร็ว ฮ่องเต้ได้ทราบแล้วก็ตกพระทัย จึงรับสั่งให้หาขุนนางมาประชุมพร้อมกัน แล้วตรัสปรึกษาว่าบัดนี้กองทัพเมืองไซหยงยกมาติดเมืองซำก๋วน คนถึงยี่สิบหมื่น ชิงชิวผู้รักษาเมืองฝีมือก็อ่อน จะได้ผู้ใดออกไปสู้รบกับข้าศึกดี

พวกขุนนางทั้งปวงก็กราบทูลว่า

“……..แต่ก่อนทัพศึกมีมาก็ได้ เอียจงเปา ครั้นเอียจงเปาตายแล้วก็ได้ เต็กเซง ครั้นเต็กเชงตายก็ไม่เห็นผู้ใด เห็นแต่ พังหอง เป็นขุนนางผู้ใหญ่ควรจะออกไปสู้รบได้……..”

พังหอง ได้ฟังก็ตกใจด้วยไม่เคยออกทัพออกศึก จึงกราบทูลฮ่องเต้ว่าตนเป็นแต่ขุนนางฝ่ายพลเรือน รู้ราชการบ้านเมืองไม่เข้าใจการศึกสงคราม บุนง่วนภัก ขุนนางนายทหาร ผู้เฒ่าจึงกราบทูลว่า

“……..ข้าพเจ้าก็แก่ชรา ครั้นจะรับอาสาออกไปรบกับข้าศึก สนองพระเดชพระคุณ ก็เห็นจะสู้ข้าศึกไม่ได้ แต่ก่อนก็ได้เต็กเซง บัดนี้เต็กเซงก็ถึงแก่กรรมแล้ว ยังอยู่แต่ทหารของเต็กเซง คือเจียเง็ก เตียตง หลีหงี เล่าเข่ง เจียวเทงกุ้ย เมงเตงก๊ก หกคนนี้พอจะออกไปสู้รบกับข้าศึกได้………..”

ฮ่องเต้ได้ฟังก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงตรัสให้ปรึกษาหารือกัน แล้วสืบหาดูว่าผู้ใดจะมีฝีมือเข้มแข็งอีกบ้าง จะได้จัดทัพให้ออกไปสู้รบกับข้าศึกต่อไป ตรัสแล้วก็เสด็จเข้าข้างในด้วยความไม่สบายพระทัย ครั้นเสด็จไปถึงตำหนัก นางเชาฮองเฮา มเหสีใหญ่ นางก็ออกมารับเสด็จเข้าไปในตำหนัก ดูกิริยาฮ่องเต้เห็นไม่สบายพระพักตร์เศร้าหมอง จึงกราบทูลถามว่าพระองค์ทุกข์ร้อนด้วยสิ่งใดหรือ

พระเจ้าซ้องยินจงก็ตรัสเล่าให้ฟังว่า กองทัพเมืองไซหยงยกมาตีเมืองซำก๋วนไม่มีผู้ใดจะออกไปสู้รบกับข้าศึก เราจึงวิตกนักด้วยเมืองซำก๋วนเป็นด่านหน้าอันสำคัญ ถ้าเสียแก่ ข้าศึกแล้วเมืองเปียนเหลียงก็จะเป็นอันตราย แต่ก่อนได้ เอียจงเปา กับ เต็กเซง เดี๋ยวนี้ก็ตายไปหมดแล้วไม่เห็นใครเลย

นางเชาฮองเฮาจึงกราบทูลว่า พระองค์ไม่ควรจะกำจัดเต็กเซงเสีย เต็กเซงมีคุณต่อแผ่นดินมากนัก ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

“……..อันเต็กเซงนั้นแต่เดิมเรากำลังโทโส สั่งให้เอาตัวไปฆ่านั้นจริง ครั้นนางเต็กไทเฮามาขอโทษเราก็ให้ไม่ฆ่าฟัน ถอดออกจากที่เพงไซอ๋อง เนรเทศให้ออกไปอยู่ตำบลอิวเลงเอียนนอกเมือง ครบสามปีจะให้กลับมาเป็นขุนนางตามเดิม………”

นางเชาฮองเฮากราบทูลว่า

“………เต็กเซงอายุยังไม่ควรที่จะตาย ถ้าแม้นพระองค์ไม่ถอดเนรเทศไป ให้อยู่เป็นขุนนางในเมืองเปียนเหลียงก็เห็นจะยังไม่ตาย เต็กเซงตายครั้งนี้ด้วยความตรอมใจ ซึ่งว่า เต็กเซงเอาธงปลอมถวายนั้น ถ้าสงสัยให้เต็กเชงกลับไปเอาธงสำหรับเมืองมาก็จะได้………”

ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

“……….ข้อนี้เราผิดจริง ด้วยไม่ทันตรึกตรอง ไหน ๆ เราก็ได้ผิดไปแล้ว เดี๋ยวนี้ทัพศึกมีมาเข้มแข็งนัก จะคิดอ่านอย่างไรดี……..”

นางเชาฮองเฮาก็กราบทูลว่า การนี้สุดแล้วแต่ขุนนางจะคิดอ่านกัน ฮ่องเต้ก็จนใจมิรู้ที่จะตรัสประการใดต่อไป

ฝ่าย ชุยสิน ขุนนางตำแหน่งโหรรู้วิชาเชี่ยวชาญ ในการที่จะดูฤกษ์และดาวเหตุการณ์ดีและร้ายทั้งปวง ได้ไปหา เปาบุ้นจิ้นในเวลาบ่าย พูดคุยกันถึงเรื่องทัพเมืองไซหยงมาติดเมืองซำก๋วน เปาบุ้นจิ้นก็ว่าเราเสียดายเต็กเซงนัก ถ้าแม้นอยู่แล้วการทัพศึกมีมาก็ไม่วิตก

ซุยสินจึงว่าเมื่อคืนนี้ได้พิเคราะห์ดูดาวประจำตัวเพงไซอ๋องยังไม่ดับสูญ ปรากฎอยู่ข้างทิศตะวันออกเฉียงใต้ สงสัยว่าเต็กเซงจะไม่ตายจริง แต่เปาบุ้นจิ้นไม่เห็นด้วย บอกว่าเมื่อวันไปคำนับศพได้ดูเห็นแน่แล้วว่าเต็กเซงตาย แต่ประหลาดที่หน้ายังสดชื่นอยู่ ซุยสินก็ยืนยันว่าถ้าไม่เชื่อ เวลาค่ำวันนี้จงดูดาวด้วยกัน จะได้ชี้ให้ดู

เวลานั้นเย็นจวนจะค่ำแล้ว เปาบุ้นจิ้นจึงชวนซุยสินให้อยู่กินอาหารเย็นด้วยกันที่บ้าน พอค่ำมืดลงซุยสินก็พาเปาบุ้นจิ้นขึ้นไปบนหอสำหรับดูดาว แล้วชี้บอกดาวประจำตัวเพงไซอ๋อง ให้ดูแล้วว่า

“………อันตำราดาวซึ่งข้าพเจ้าได้เล่าเรียนสังเกตุไว้นั้น ถ้าแม้นเห็นดาวสำหรับตัวผู้ใดยังมีอยู่แล้ว ถึงจะตายไปก็อย่าเพ่อเชื่อก่อน คงจะกลับเป็นขึ้นมา ครั้งนี้ถ้าเต็กเซงตายเป็นแน่แล้ว ตำราควรจะต้องเผาไฟเสีย ถึงจะเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ท่านจงไปสืบดูข้างทิศตะวันออกเฉียงใต้ เผื่อจะได้ความบ้างดอกกระมัง ถึงได้เห็นแก่ตาว่าเต็กเซงตาย ข้าพเจ้าก็ยังเชื่อตำราอยู่…”

ครั้นเวลารุ่งเช้าเปาบุ้นจิ้นกับนายทหารคนสนิทแปดคน ก็ไปที่ตำบลอิวเลงเอีย เมื่อไปถึงเป็นเวลาเย็น ก็เข้าไปหา เฮงเจีย ผู้รักษาตำบลบอกว่าเรามีธุระมาเวลาก็จวนค่ำ จะต้องอาศัยพักอยู่ที่นี้สักคืนหนึ่ง ต่อเวลาพรุ่งนี้เช้าจึงจะไป เฮงเจียก็จัดที่พักให้อยู่

เปาบุ้นจิ้นก็ถามว่าท่านมาเป็นขุนนางอยู่ตำบลนี้ ผู้ใดจัดแจงแต่งตั้งให้มาเป็น เฮงเจียบอกว่าพังหองเป็นผู้แต่งตั้ง เปาบุ้นจิ้นก็ว่า เจ้าเป็นพวกพ้องพังหอง อันเต็กเซงตายนั้นก็เป็นคู่พยาบาทกับพังหอง ท่านทำกลอุบายเอายาพิษวางหรือจึงตาย เฮงเจียก็ว่าไม่ได้ทำเลย

เปาบุ้นจิ้นก็บอกว่าเต็กเซงมาเข้าฝันบอกว่า พังหองให้ท่านทำอุบายเอายาพิษวางเต็กเซงจึงได้ตาย เฮงเจียก็บอกว่า เดิมพังหองมีหนังสือมาถึงตนหลายครั้ง จะให้คิดอุบายฆ่าเต็กเซง แต่ตนเห็นว่าเต็กเซงเป็นคนดี มีคุณต่อแผ่นดินเป็นอันมากจึงไม่ยอมทำ ขออย่าได้สงสัยเลย เมื่อเต็กเซงป่วยตนก็ได้หาหมอมารักษา เต็กเซงนั้นตายด้วยอำนาจปีศาจเป็นแน่

เปาบุ้นจิ้นถามว่าหนังสือที่พังหองมีมาถึง ได้เก็บไว้หรือไม่ เฮงเจียก็ว่าหนังสือนั้นเมื่อตนอ่านรู้ความแล้วเขาก็เอากลับไป เปาบุ้นจิ้นก็มิได้ซักถามต่อไป

ครั้นเวลารุ่งเช้า เปาบุ้นจิ้นให้ทหารไปสืบรู้ว่าศพเต็กเซงอยู่ที่ศาลเทียนฮองเบี้ย ซึ่งเป็นศาลร้าง พอถึงเวลาค่ำก็พาทหารแปดคนไปที่ศาลเจ้า เห็นประตูปิดอยู่จึงให้ เตียกิด นายทหารคนหนึ่งปีนกำแพงศาลย่องขึ้นไปบนหลังคา ค่อย ๆ แหวกกระเบื้องมองลงไปดู เห็นแสงไฟและมีเสียงพูดกันอยู่หลายคน จับความได้ว่าเป็นการปรับทุกข์กันถึงเรื่องที่พังหองคิดอาฆาตพยาบาท จะล้างผลาญเต็กเซงอยู่ตลอดเวลา มีคนหนึ่งพูดว่า

“…….ข้าพเจ้าจะอาสาแอบเข้าไปตัดศรีษะพังหองมาให้แก่ท่านจงได้………”

ก็มีเสียงตอบว่า

“……..ท่านอย่าทำเลยจะร้อนถึงราษฎร กับอนึ่งเฮงเซียนเล่าโจ๊วผู้เป็นอาจารย์ของเราได้บอกไว้ว่า เวลานี้วาสนาชะตาพังหองกำลังขึ้น………”

อีกคนหนึ่งก็ว่า

“……..วันนี้เราไปเยี่ยมนางเมงสีผู้มารดาท่าน เมื่อเดินมาตามทางได้ยินราษฎรชาวบ้านพูดกันว่า กองทัพเมืองไซหยงยกมาติดเมืองซำก๋วน ชิงชิวไม่อาจออกสู้รบรักษาเมือง มั่นไว้ มีหนังสือมาขอกองทัพเปียนเหลียงให้ยกไปช่วย ก็ยังไม่เห็นผู้ใดออกไป………”

คนหนึ่งพูดว่า

“………อาจารย์ของท่านได้บอกไว้ว่า ตัวท่านกำลังเคราะห์ให้ซุ่มอยู่สักปีหนึ่ง จึงออกหน้าให้คนทั้งปวงเห็น ตั้งแต่ท่านมาอยู่ที่นี่ก็นานเห็นจะได้ปีหนึ่งแล้ว จงออกรับอาสาตีทัพเมืองไซหยงให้แตกเอาความชอบ……..”

อีกคนหนึ่งก็ขัดว่า

“……….เราไม่อยากได้ความชอบแล้ว แต่ทำราชการมาก็นาน แล้วความชอบในแผ่นดินก็มาก ยังไม่พ้นความผิด อันความชอบของเรานั้น เปรียบเหมือนหนึ่งเมฆเห็นปรากฎ บัดเดี๋ยวใจก็หายสูญไป………”

เตียกิดก็กลับออกมาเล่าความที่ได้ยินนั้น ให้เปาบุ้นจิ้นฟังทุกประการ เปาบุ้นจิ้น ก็พาทหารกลับที่พัก ครั้นรุ่งเช้าก็พาทหารทั้งแปดคนนั้นกลับไปที่ศาลนั้นอีก เมื่อเห็นประตูปิดอยู่ก็ร้องเรียกให้เปิดและบอกว่า นางเม่งสี ผู้มารดาให้คนมาเยี่ยมเต็กเซง คนข้างในก็เปิดประตูรับ เปาบุ้นจิ้นกับทหารก็ถลันเข้าไป หลีหงี ซึ่งเป็นคนเปิดประตูก็ตกใจถามว่าท่านมาธุระสิ่งใด

เปาบุ้นจิ้นก็ว่าเหตุใดท่านเอาเต็กเซงของเรามาซ่อนไว้ หลีหงีว่าเต็กเซงตายแล้วแต่เปาบุ้นจิ้น ไม่ฟัง บอกว่าเรารู้แล้วว่าเต็กเซงยังไม่ตาย แล้วก็เดินเข้าไปข้างใน จึงพบตัวเต็กเซงซึ่งหลบไม่ทัน

เต็กเซงก็คำนับเปาบุ้นจิ้นแล้วถามว่า ทำไมจึงได้รู้ว่าตนยังไม่ตาย เปาบุ้นจิ้น ก็หัวเราะแล้วว่า ท่านทำอุบายหลอกแต่คนอื่น อย่ามาหลอกเราเลย แล้วก็เล่าความที่มีกองทัพเมืองไซหยงมาติดเมืองซำก๋วน แต่ไม่มีผู้อาสานำทัพไปรบข้าศึก ฮ่องเต้กับขุนนางทั้งปวงก็ปรารภถึงเต็กเซงทุกคน และซุยสินดูดาวสงสัยว่ายังไม่ตาย จึงมาสืบดูจึงรู้ความจริง

เต็กเซงก็ว่าจงนึกว่าตนดับสูญไปแล้วเถิด เปาบุ้นจิ้นก็ว่า

“…….ซึ่งท่านจะคิดเช่นนี้ไม่ควร ด้วยเรารู้ความอยู่ว่า แต่ก่อนเทือกเถาเหล่ากอท่าน แต่ล้วนทำราชการอาสาแผ่นดินมีความชอบสิ้นทั้งนั้น ทุกวันนี้ท่านเปรียบเหมือนอกไก่ เมืองเปียนเหลียง ถ้าไม่ได้ท่านแล้วเห็นว่าจะเป็นเชลยแก่ข้าศึก ซึ่งท่านจะละเลยทิ้งเสียไม่เป็นธุระนั้นไม่ได้……….”

เต็กเซงก็ว่า

“……….ท่านมาสรรเสริญข้าพเจ้าดังนี้เห็นจะเหลือเกินนัก ตัวข้าพเจ้าเป็นเด็กอ่อนความคิด ซึ่งไปทำศึกเมืองไซหยงมีชัยชนะนั้น ใช่ว่าจะเป็นด้วยอำนาจข้าพเจ้าเมื่อไร เป็นด้วยบุญบารมีพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ปกแผ่คุ้มเกรงรักษาจึงไม่มีอันตราย ข้าพเจ้าไปทำราชการสนองพระเดชพระคุณก็ช้านาน ความชอบมีมากแล้ว แต่ก่อนก็ดีใจหมายว่าจะได้ความสุขสบาย กลับมาได้ความทุกข์เสียอีก ข้าพเจ้าคิดว่าจะไปทำสวนทำนาค้าขาย พอได้เลี้ยงบุตรภรรยา กับปรนนิบัติมารดากว่าจะหาชีวิตไม่ ซึ่งจะทำราชการต่อไปอีกนั้น ข้าพเจ้ากลัวความผิดนัก…….”

เปาบุ้นจิ้นก็แย้งว่า

“…….ท่านจะคิดอย่างนี้ไม่ชอบ พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้พระองค์ก็ตั้งอยู่ในยุติธรรม ประกอบด้วยความเมตตากรุณาประชาราษฎรเป็นอันมาก ตั้งพระทัยจะให้มีความสุข ทั่วกัน อนึ่งผู้ซึ่งเป็นข้าราชการตั้งอยู่ในความสัตย์สุจริต มีคุณต่อแผ่นดินแล้ว ก็ทรงพระกรุณาเมตตาชุบเลี้ยง ใช่ว่าจะเข้าด้วยผู้กระทำผิดไปทีเดียวเมื่อไร แต่การครั้งนี้เพราะด้วยท่านเสียทีแก่พังหอง หาเหตุใส่โทษเอาด้วยปัญญาโกง จึงได้เป็นไป ครั้งนี้เราก็ไม่เห็นใครที่จะต้านทานกับ ข้าศึกศัตรู เห็นแต่ท่านผู้เดียว ถ้าจะออกตัวไม่เอาธุระเสียแล้ว ก็เหมือนหนึ่งปราศจากความเมตตาแก่อาณาประชาราษฎร และไม่มีความกตัญญูต่อพระเจ้าแผ่นดิน………”

เต็กเซงได้ฟังก็นิ่งอยู่ แต่นายทหารคนสนิททั้งหลายก็ว่า ซึ่งจะให้พวกตนออกสู้รบกับข้าศึกเหมือนแต่ก่อนนั้น ไม่ยอมแล้ว ให้ฮ่องเต้กับพังหองออกไปรบกับข้าศึกเองเถิด

เมื่อแม่ทัพและเหล่าทหารเอกคู่ใจทั้งหมด มีความเห็นดังนั้น ท่านเปาบุ้นจิ้น จะเกลี้ยกล่อมอย่างไรต่อไป.

##########

นิตบสารโล่เงิน
กรกฎาคม ๒๕๔๗




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 3 พฤษภาคม 2551 8:15:33 น.
Counter : 808 Pageviews.  

ตอนที่ ๑๗ ตายให้พ้นภัย

หลากชีวิตในพงศาวดารจีน

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๗ ตายให้พ้นภัย

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อ เฮงเจีย นายบ้านตำบลอิวเลงเอียได้ทราบว่า เต็กเซง จะต้องตายภายในสามวันก็ตกใจมาก รีบขึ้นม้ากลับเข้าไปในเมืองเปียนเหลียง แจ้งให้ นางเม่งสี มารดาของเต็กเซง ทราบว่าเต็กเซงป่วยมากหาหมอมาก็ไม่รับรักษา ขอท่านจงคิดอ่านเถิด นางเม่งสีก็ตกใจยิ่งนัก จึงให้คนใช้รีบไปบอกกับนายทหารคนสนิททั้งสามนาย คือ เตียตง เมงเตงก๊ก เจียวเทงกุ้ย ให้ทราบเรื่องโดยเร็ว ทั้งสามนายก็พากันมาเยี่ยมเต็กเซง

เมื่อเห็นว่ามากันพร้อมหน้าแล้ว เต็กเซงจึงบอกว่า เราป่วยมากเห็นจะไม่รอด ถึงจะตายขอให้มีความสบายสักหน่อยเถิด บัดนี้ทหารเมืองไซหยงซึ่งถูกฆ่าตาย เป็นอสูรกายมา รบกวน ไม่มีความสุขเลย ขอจงขับไล่ให้ไปเสียเถิด เจียวเทงกุ้ยกับเมงเตงก๊กก็ชักกระบี่ไล่ฟันแทงไปตามประตูหน้าต่างฝาตึก ทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน สมมุติว่าขับไล่ปีศาจ

เมื่อทั้งสองนายออกไปพ้นแล้ว เต็กเซงก็เล่าความลับกับเตียตงว่า เมื่อคืนวันก่อน เฮงเซียนเล่าโจ๊ว ผู้เป็นอาจารย์ได้มาปรากฎกายให้เห็น แล้วบอกเราว่าเวลานี้เราเคราะห์ร้ายนัก ให้ซุ่มซ่อนเสียอย่าให้ผู้ใดรู้ ให้ยาไว้เม็ดหนึ่งถ้ากินแล้วเข้าไปแล้วก็ปรากฎดุจดังว่าตาย อีกเม็ดหนึ่งกินเข้าไปให้กลับฟื้นคืนมาได้ แล้วกำชับเตียตงว่า

“……บัดนี้ยาเม็ดที่กินตายเราได้กินเข้าไปแล้ว ยังอีกเม็ดหนึ่งสำหรับจะแก้ให้ฟื้นขึ้นมานั้น ท่านจงเก็บไว้ให้ดี แม้นเราตายไปคนทั้งปวงรู้ปรากฎทั่วกันแล้ว จงเอายานี้กรอกเราเข้าไปก็จะกลับฟื้นขึ้นมาดังเก่า แล้วจะได้ไปซุ่มซ่อนเสีย ไม่ให้ผู้ใดรู้เห็น ต่อถึงกำหนดเราจึงจะออกหน้าให้ปรากฎว่ายังอยู่ อนึ่งความเรื่องนี้เจ้าจงไปบอกมารดาเรา กับนางเต็กไทเฮาให้รู้ด้วย นอกนั้นอย่าให้ผู้ใดรู้เลยเป็นอันขาด………”

ครั้นเต็กเซงบอกความลับกับเตียตงแล้ว เจียวเทงกุ้ยกับเมงเตงก๊กกลับเข้ามา เต็กเซงจึงร้องว่าเราเหลือที่จะเจ็บปวดเวทนา ปีศาจจะมาเอาชีวิตเราไป เห็นจะไม่รอดครั้งนี้แล้ว เมงเตงก๊กก็ตกใจกลัวเต็กเซงจะตาย จึงร้องขอโทษกับปีศาจทั้งปวงว่า อย่าผูกใจเจ็บกับเต็กเซงเลย มิใช่ว่าจะแกล้งจงใจฆ่าฟันท่านทั้งปวงเมื่อไร เป็นการรับสั่งขัดไม่ได้ เกรงพระราชอาญาจึงจำเป็นต้องทำ ขอท่านจงมีเมตตาอย่าเพ่อเอาชีวิตเต็กเซงไปเลย

ฝ่ายเต็กเซงก็ขาดลมหายใจ นิ่งแน่ไปด้วยกำลังยาวิเศษ ปรากฎเหมือนหนึ่งตาย ทั้งสามนายก็ร้องไห้อาลัยรัก รวมทั้งเตียตงก็พลอยแสร้งทำด้วย ครั้นคลายความโศกแล้ว เจียวเทงกุ้ยจึงพูดกับเฮงเจียว่า

“………เต็กเชงตายครั้งนี้ด้วยโรคปัจจุบัน เราสงสัยมากอยู่ด้วยตัวท่านก็เป็นพวกพ้องพังหอง คู่สาเหตุกับเต็กเซง จะคิดอ่านกันวางยาให้เต็กเซงตายดอกกระมัง ถ้าแม้นทำจริงก็รับเสียโดยดี ถ้าไม่รับเราจะฆ่าเสีย……..”

เฮงเจียจึงว่า

“……..ท่านอย่าได้มีความสงสัยข้าพเจ้าเลย อันตัวข้าพเจ้าอยู่ในบังคับพังหองจะว่าเป็นพวกพ้องก็จริง แต่ข้าพเจ้ามีความรักใคร่เต็กเซงมากนัก ด้วยเห็นว่าเป็นคนดีมีคุณต่อแผ่นดินมาก ท่านอย่าได้มีความสงสัยเคลือบแคลงในข้าพเจ้าเลย……..”

เจียวเทงกุ้ยก็ไม่เชื่อพูดจาขู่เข็ญต่าง ๆ เตียตงจึงห้ามว่า

“……..ท่านอย่าสงสัยเลย เฮงเจียนี้ถึงเป็นพวกพ้องพังหองก็จริง แต่เขาไม่เป็นเช่นนั้นดอก ซึ่งเต็กเซงตายครั้งนี้ ด้วยอำนาจปีศาจมาเอาชีวิตไป……..”

เจียวเทงกุ้ยก็ยอมเชื่อ จึงรีบขึ้นม้าเข้าไปในเมืองเปียนเหลียง บอกความกับนาง เม่งสีผู้มารดา และ นางเต็กไทเฮา ผู้เป็นอาให้ทราบความตั้งแต่เต็กเซงป่วยจนตาย ทั้งสองนางก็ร้องไห้เศร้าโศกรำพันต่าง ๆ แล้วเจียวเทงกุ้ยก็ไปบอก เปาบุ้นจิ้น และขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยให้รู้ทั่วกันว่าเต็กเซงตายแล้ว เวลานั้นเฮงเจียก็ทำหนังสือแจ้งมา ให้เปาบุ้นจิ้นได้ทราบความเช่นเดียวกัน

เปาบุ้นจิ้นแจ้งเรื่องเต็กเซงตายแล้ว วันรุ่งขึ้นก็เข้าเฝ้ากราบทูลให้ พระเจ้าซ้องยินจง ทรงทราบว่าเต็กเชงตายเสียแล้ว ฮ่องเต้ก็ตกพระทัยตรัสว่า

“……..เต็กเซงยังเป็นหนุ่มอยู่ทีเดียวไม่ควรจะตายเลย เราเสียดายนักด้วยมีคุณต่อแผ่นดินเป็นอันมาก เมื่อครั้งนั้นเราให้ทหารพาไปฆ่าด้วยกำลังโทโส ต่อมานางเต็กไทเฮามาว่า จึงคิดขึ้นมาได้ ไม่ฆ่าให้ถอดออกเสียจากที่เพงไซอ๋อง เนรเทศไปอยู่ที่ตำบลอิวเลงเอียสามปี จะให้กลับเข้ามาเป็นเพงไซอ๋องทำราชการตามเดิม เราคิดไว้ว่าจะไม่ให้เต็กเซงอยู่ถึงสามปีดอก หมายว่าจะให้ไปอยู่สักห้าหกเดือน ก็จะให้กลับมาเป็นเพงไซอ๋องดังเก่า บัดนี้มาตายเสียดายนัก…….”

เปาบุ้นจิ้นเห็นฮ่องเต้รำพันดังนั้น ก็กราบทูลว่า

“………เต็กเซงเป็นโรคปัจจุบันตาย ข้าพเจ้านึกสงสัยอยู่ เกลือกจะมีผู้ทำร้ายให้ตาย ด้วยยาพิษดอกกระมัง ข้าพเจ้าขอรับพระราชทานไปพิจารณาชันสูตรดูให้สิ้นสงสัย……”

ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

“……..ท่านอย่าไปชันสูตรให้วุ่นวายเลย ไหน ๆ เต็กเซงก็ตายเสียแล้ว เวทนาแก่ศพ คิดอ่านกันไปคำนับศพเต็กเชงเถิด……….”

เปาบุ้นจิ้นจึงกราบถวายบังคมลาออกไปจัดการศพเต็กเชงตามรับสั่ง

ฝ่ายเตียตงก็ให้เฮงเจียกับเมงเตงก๊ก อยู่เฝ้าศพเต็กเซงที่บ้าน ตนเองรีบขึ้นม้าไปหานางเม่งสี และนางเต็กไทเฮา เล่าความลับตามที่เต็กเซงสั่งไว้ให้ฟังทุกประการ ทั้งสองนางแจ้งแล้วก็หายความเศร้าโศก แล้วเตียตง เจียเง็กและเจียวเทงกุ้ย ก็พานางเมงสี กับ โลฮวยอ๋อง ตัวแทนของนางเต็กไทเฮาไปจัดการศพที่ตำบลอิวเลงเอีย

เมื่อขณะจะยกศพใส่หีบนั้น นางเม่งสีเห็นเหมือนกับ
คนตายจริง ๆ ก็มีความวิตกขึ้นอีก จึงกระซิบถามเตียตงว่าเต็กเซงไม่ตายจริงหรือ ดูไม่เห็นผิดกับคนตายเลย เตียตงก็กระซิบตอบว่า อย่าทุกข์ร้อนไปเลย ด้วยเต็กเซงกำหนดไว้ว่าให้เอายาซึ่งให้ไว้นั้น แก้ในสี่สิบเก้าวันตามคำที่อาจารย์สั่ง นางเมงสีก็ค่อยคลายวิตก

ขณะนั้นขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย พากันมาคำนับศพมากมาย เปาบุ้นจิ้น จึงพูดกับศพเต็กเชงว่า

“……..ตัวเจ้ายังหนุ่มอยู่ไม่ควรจะตายเลย หรือคนที่มีข้อสาเหตุคิดกลอุบายให้เจ้าตาย ด้วยยาพิษหรืออุบายสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าแม้นทำกับเจ้าแล้วจงมาเข้าฝันบอกให้เรารู้ด้วย จะได้ชำระเอาตัวผู้ซึ่งกระทำกับเจ้า มาลงโทษแก้แค้นให้……..”

พังหองได้ยินเปาบุ้นจิ้นพูดกับเต็กเซงดังนั้น ก็หัวเราะแล้วว่า

“……..ตัวท่านก็ประกอบด้วยสติปัญญา สารพัดจะรู้การทั้งปวง เหตุใดจึงพูดกับศพ ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นว่าศพพูดด้วยสักคำ ก็นอนนิ่งอยู่ตามธรรมดา เมื่อท่านสงสัยว่าจะมีผู้ทำร้ายให้เต็กเซงตาย ก็จงชำระเอาให้ได้ตัวเถิด จะต้องพูดให้มากมายไปทำไม……..”

เปาบุ้นจิ้นจึงว่า

“……..แม้นเราได้พิจารณาชันสูตรดูซากศพแล้ว แม้นมีผู้ทำกับเต็กเซงจริง คงจะเห็นพิรุธในศพ นี่เป็นจนใจด้วยรับสั่งห้ามไม่ให้ชันสูตร ครั้นจะขืนทำก็กลัวความผิด ถึงกระนั้นถ้าจะชันสูตรจริงก็ได้ จะมีโทษประการใดจึงค่อยรับพระราชอาญาต่อภายหลัง……..”

นางเม่งสีเห็นเปาบุ้นจิ้นพูดจาแข็งแรง กลัวว่าจะเปิดหีบออกชันสูตรศพ จึงห้ามว่า อย่าชันสูตรเลย เวทนาแก่ศพ เต็กเซงตายครั้งนี้ด้วยกำลังปีศาจ ท่านอย่าสงสัยเลย เปาบุ้นจิ้นก็ไม่อยากจะขัดใจ จึงงดความคิดของตนไว้

ครั้นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยคำนับศพ และพากันกลับ
ไป เจียวเทงกุ้ยกับเมงเตงก๊กก็พานางเม่งสีกลับไปส่งที่บ้านแล้ว เตียตงกับเจียเง็กจึงเที่ยวเดินดูที่ซึ่งจะเอาศพ เก็บไว้ เมื่อเดินไปได้ประมาณสามสิบลี้ ก็พบศาลเทพารักษ์แห่งหนึ่งไม่มีคนเฝ้า รกรุงรังอยู่ในที่ลี้ลับชอบกล มีหนังสือเขียนไว้ที่หน้าศาลว่าเทียนอองเบี้ย เตียงตงกับเจียเง็กก็เดินเลยไปถามชาวบ้านใกล้เคียง ชาวบ้านก็บอกว่า ศาลเทียนอองเบี้ยนี้รกร้างมาช้านานได้สักห้าปีมาแล้ว ด้วยปีศาจดุร้ายนักไม่มีใครจะมาอยู่ได้ จนชั้นแต่เฮียกงผู้ดูแลศาลก็ทนปีศาจไม่ได้ จึงเป็นศาลร้างอยู่ดังนี้

เตียตงกับเจียเง็กจึงพากันกลับมาหามเอาหีบใส่ศพเต็กเซง ไปไว้ที่ศาลเทพารักษ์นั้น แล้วก็ช่วยกันเปิดหีบขึ้น เตียตงก็เอายาซึ่งเต็กเซงให้ไว้ ละลายน้ำกรอกปากเข้าไปประมาณครู่หนึ่ง เต็กเซงก็ฟื้นลุกขึ้นออกมาจากหีบนั่งอยู่เป็นปกติ แล้วก็พูดว่า เมื่อตายไปนั้นเปรียบเหมือนนอนหลับเคลิ้มไป เมื่อขุนนางทั้งปวงมาประชุมพร้อมกันนั้น เขาพูดกันได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง แล้วจึงถามว่าศาลนี้เหตุใดจึงรกร้างไม่มีผู้คน คนสนิททั้งสองก็เล่าความที่ชาวบ้านบอกมาทุกประการ เต็กเซงก็ว่า

“………ข้าพเจ้าจะต้องซุ่มซ่อนอยู่ในศาลนี้ กว่าจะถึงกำหนดซึ่งเฮงเซียนเล่าโจ๊วมาบอกไว้ จึงจะได้ออกให้คนทั้งปวงรู้เห็น ท่านทั้งสองจะไปมาเข้าออกที่ศาลนี้แล้ว แม้นผู้ใดถามก็บอกว่ามาเฝ้าศพเรา แต่ปีศาจที่ศาลนี้รบกวนนัก คนทั้งปวงจะได้ไม่ไปมา…….”

เตียตงก็ว่าจะไปเก็บข้าวของที่ตกค้างอยู่ที่ตำบลอิวเลงเอียมาไว้ที่ศาลนี้ เต็กเซง จึงสั่งเจียเง็กว่า

“……..เวลาพรุ่งนี้ท่านจงเข้าไปในเมืองเปียนเหลียง บอกความกับมารดาข้าพเจ้า และนางเต็กไทเฮาให้รู้ด้วย ว่าข้าพเจ้ากลับ เป็นขึ้นมาดังเก่าแล้ว บัดนี้ซ่อนตัวอยู่ในศาลเทพารักษ์เทียนอองเบี้ย……..”

ในคืนนั้นก็มีปีศาจปรากฎตัวขึ้น แต่ทั้งสามนายก็ต่อสู้ป้องกันตัว จนปีศาจต้องหนีไป ครั้นรุ่งเช้าเจียเง็กก็เข้าไปในเมืองเปียนเหลียง แจ้งความตามที่ได้รับคำสั่งทุกประการ แล้วก็เข้าไปเฝ้าฮ่องเต้ในเวลาเสด็จออกว่าราชการ กราบทูลว่า

“………ข้าพเจ้ากับเต็กเซงเข้ามาสวามิภักดิ์ ทำราชการสนองพระเดชพระคุณช้านาน ได้ทรงพระกรุณาโปรดชุบเลี้ยงให้มียศศักดิ์ พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ แต่บัดนี้เต็กเซงก็ถึงแก่กรรมแล้ว ข้าพเจ้าจะขอถวายบังคมลาออกจากราชการ ไปอยู่เฝ้าศพสนองคุณเต็กเซง……..”

พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ก็ตรัสว่า ซึ่งท่านจะลาออกเสียจากราชการนั้นไม่ได้ พังหองซึ่งเฝ้าอยู่ด้วยก็ทูลว่า

“………..อันธรรมเนียมคนซึ่งเกิดมาแล้ว ก็ย่อมประกอบด้วยความกตัญญูต่อเจ้านาย บิดามารดา มิตรสหาย จึงจะเป็นที่สรรเสริญแก่เทพยดาและมนุษย์ ซึ่งเจียเง็กจะขอลาออกจากราชการ ไปเฝ้าศพเต็กเซงด้วยความกตัญญู ขอพระองค์จงโปรดให้เจียเง็กไปเถิด……….”

ฮ่องเต้จึงตรัสว่า

“……….ซึ่งท่านว่านั้นก็ถูกต้องด้วยแบบอย่าง ทุกวันนี้ทัพศึกก็ไม่มีบ้านเมืองก็อยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งเจียเง็กจะไปเฝ้าศพเต็กเชงก็ตามใจ……..”

เจียเง็กก็มีความยินดีถวายบังคมลามาบ้านนางเม่งสี ก็พบกับ เล่าเข่ง และ หลีงีซึ่งถือรับสั่งฮ่องเต้ให้ไปรับ นางโปยโปกงจู๊ ภรรยาของเต็กเชงกลับมา และเข้าแจ้งแก่นางเม่งสีว่า มารดาของนางโปยโปกงจู๊ถึงแก่กรรม จะต้องจัดการศพมารดาก่อน ต่อขึ้นปีใหม่จึงจะเข้ามามาเฝ้า เจียเง็กจึงเล่าความเรื่องเต็กเซงตาย ให้ทั้งสองฟังทุกประการ นายทหารคนสนิทของเต็กเซงทั้งสองนาย ก็รีบเข้าไปเฝ้าฮ่องเต้ กราบทูลเรื่องภรรยาของเต็กเซงต้องทำศพมารดา จะเข้ามาเฝ้าเมื่อขึ้นปีใหม่ แล้วก็ทูลลาออกจากราชการไปเฝ้าศพเต็กเซงทั้งสองคน ฮ่องเต้ก็โปรดให้ไป

เจียเง็กจึงให้เจียวเทงกุ้ยกับเมงเตงก๊ก อยู่เป็นเพื่อนนางเม่งสี และดูแลป้ายชื่อ เต็กเซงซึ่งปักไว้บูชาเซ่นไหว้ ส่วนตนเองกับเพื่อนอีกสองคน ก็พากันไปอยู่ที่ศาลเทียนอองเบี้ย ตั้งแต่นั้นมาเต็กเซง เจียเง็ก กับเตียตง หลีงี และเล่าเข่ง ก็อาศัยอยู่ที่ศาลเป็นสุขสบาย เหมือนกับไปตั้งบ้านอยู่ใหม่ ไม่มีใครกล้ำกรายมารบกวนเลย.

##########





 

Create Date : 01 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 1 พฤษภาคม 2551 6:12:58 น.
Counter : 789 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.