Group Blog
 
All Blogs
 

คิดถึงเพื่อน

คิดถึงเพื่อน

คนที่หนึ่ง นายออด ยอดเจรจา
สติปัญญาเป็นเลิศประเสริฐหลาย
คราวคับขันเพื่อนฝ่าฟันอันตราย
แก้เรื่องร้ายให้คลายดีทุกทีไป

คนที่สอง นายสันต์ นั้นใช่ชั่ว
เป็นพ่อครัวฝีมือดีจะมีไหน
^
^
^
ชอบท่องเที่ยวทุกถิ่นแผ่นดินไทย
แต่ปากไว ไม่ว่าง ช่างวิจารณ์

คนที่สาม นายแมว มีแววหล่อ
เด็กติดกรอคนแก่รักชักยุ่งหนักหนา
ทั้งนอบน้อมถ่อมตนทนทุกครา
ใครเรียกหารีบช่วยด้วยจริงใจ

คนที่สี่นายต่อ หล่อเข้าท่า
ลูกทัพฟ้าแต่รักมั่นไม่หวั่นไหว
ยอดใจเย็นไม่เห็นโกรธลงโทษใคร
รินเรื่อยไปแต่ดื่มนิดไม่คิดเมา

คนที่ห้าคือนายชันนั้นเป็นครู
เพื่อสอนอยู่ ส.ก.ดูหล่อเหลา
จากสองศูนย์ได้พบกันมันไม่เบา
โอ้เพื่อนเราคงสบายขายกับข้าว

คนที่หก นาย สิทธิ์ มีฤทธิ์มาก
ทนลำบากอยู่ทีวีไม่มีเหงา
ทั้งถ่ายกล้องเก่งกาจมาดไม่เบา
อยู่นานเข้ากำกับเวทีเพื่อนชื่นชม

ทั้งหกคนดลมาเจอเป็นเกลอแก้ว
คบกันแล้วใกล้ชิดสนิทสนม
แม้ต่างวัยต่างจิตใจไม่ปรารมภ์
ร่วมอุดมคติทำสิ่งสำราญ

ต่างรักกันแน่นเหนียวเป็นเกลียวเชือก
มิได้เลือกยศศักดิ์อัครฐาน
มิตรภาพซาบซึ้งตรึงดวงมาน
ยั่งยืนนานคงมั่นนิรันดร

แม้ต่อไปได้ดีมีความสุข
แม้ทนทุกข์เทวษร้ายสุดถ่ายถอน
แม้ห่างกันแสนไกลไม่อาทร
แม้ม้วยมรณ์ชีพลับดับชีวา

เหลือนายห่อคนเดียวอยู่เดี่ยวโด่
เดินเซโซโรครุมเร้าเอาทุกท่า
ตั้งแต้หัวถึงเท้าแสนระอา
ขอเวลาคิดถึงเพื่อนเตือนจิตเอย.




 

Create Date : 14 สิงหาคม 2559    
Last Update : 14 สิงหาคม 2559 15:17:43 น.
Counter : 742 Pageviews.  

เรื่องของสุขา

เรื่องของสุขา

ฉากชีวิต

เรื่องของสุขา

“ เพทาย “

วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ถนนสีลมปิดห้ามรถแล่นปล่อยให้ถนนว่าง เพื่อใช้เป็นที่จัดงานแสดงศิลปวัฒนธรรม เป็นประจำทุกสัปดาห์ ผมลงจากรถโดยสารที่ใกล้กับพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาธีรราชเจ้า หน้าสวนลุมพินี ซึ่งเป็นวันก่อนที่จะมีพิธีวางพวงมาลาประจำปี เจ้าหน้าที่กำลังกางเต๊นท์ จัดเก้าอี้ และเดินสายไฟฟ้า กันทั่วไป

ผมเดินผ่านเข้าประตูมุ่งหน้าไปยัง ห้องสมุดประชาชน ของกรุงเทพมหานคร เมื่อผ่านสุขาสาธารณะก็แวะเข้าไปทำธุระ เป็นการไม่ประมาทต่ออนาคต ปรากฎว่ามีป้ายชี้แจงไว้ว่า ฟรีชั่วคราวจนกว่าจะเปิดประมูลใหม่ แต่บนโต๊ะเตี้ย ๆ ข้างหน้า มีผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ ปูอยู่และมีเหรียญบาท วางอยู่หลายเหรียญ จึงถามหญิงสาวมากที่นั่งกำกับอยู่ ได้ความว่าต้องบริจาคสองบาท ผมก็ไม่ได้โต้แย้ง ว่ามันขัดกับข้อความบนป้าย ยอมควักให้แต่โดยดี

แต่ขณะที่ทำธุระอยู่ก็อดที่จะคิดถึงเรื่องพรรค์นี้ไม่ได้ เพราะเมื่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนนี้ สมัยที่ยังเป็น ส.ส.กรุงเทพมหานคร ท่านได้ใช้งบประมาณสร้างส้วมสาธารณะหลายแห่ง และใช้อ้างในการหาเสียงด้วย ว่าจะต้องสร้างส้วมสาธารณะ ในที่ซึ่งมีคนสัญจรไปมามาก เช่นตามป้ายรถเมล์ แล้วจัดให้มีคนเฝ้า โดยให้เก็บเงินค่าบริการตามสมควร และอนุญาตให้ขายของเบ็ดเตล็ด เพื่อเป็นรายได้เสริมอีกด้วย เขาจะได้รับผิดชอบในความสะอาด โดย กทม.ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

แต่ผู้ว่าราชการคนก่อนนี้ ไม่เห็นด้วย สั่งให้เลิกเก็บเงินแม้จะมีคนเฝ้าเหมือนเดิม ซึ่งคงจะได้ค่าจ้างจาก กทม. แต่ขายของเบ็ดเตล็ดก็ไม่ได้ จึงอาจจะไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ ต้องแอบต้องซ่อนขาย กระดาษชำระบ้าง ลูกอมยาดมยาหม่องบ้าง และรอรับบริจาคค่าใช้บริการจาก ผู้ที่เข้ามาปลดทุกข์ ซึ่งก็ไม่มีผู้ใดปฏิเสธ เพราะทุกข์นี้เป็นเรื่องหนักหนาสาหัส ยิ่งกว่าราคาหุ้นตกมากนัก

เพื่อสนองนโยบายใช้ สุขาสาธารณะฟรี ทาง กทม.ยุคนั้นจึงสร้างสุขาเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่งทั่วกรุงเทพ แต่ไม่ต้องการให้ประเจิดประเจ้อ จึงเลือกที่ซึ่งไม่ค่อยเปิดเผยนัก และสร้างแบบไฮเทค ใช้ได้ทั้งคนดีและคนพิการ เป็นห้องที่ทำด้วยแสตนด์เลสทั้งหลังแต่มีขนาดเล็ก ห้องของชายหญิงก็อยู่ติดกันแค่มือเอื้อม และไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าดูแล จึงไม่ค่อยมีผู้คนเข้าไปใช้บริการเท่าใดนัก เพราะใช้ไม่ค่อยเป็น และอยู่ในที่ค่อนข้างเปลี่ยว โดยเฉพาะผู้หญิง คงกลัวว่าเข้าไปแล้วจะเปิดออกมาไม่ได้ หรือมีคนมาคอยดักจี้ชิงทรัพย์อยู่หน้าประตูก็ได้ ทั้ง ๆ ที่มีไฟแดงติดอยู่บนหลังคาทุกแห่ง ก็ตาม มาถึงสมัยนี้จึงมีตัวหนังสือสีแดงบอกว่า ค่าบริการสองบาท แต่ผมเคยลองเปิดดู ก็เปิดไม่ออก คงจะเก็บเงินและเปิดใช้ได้ เมื่อมีคนมาเฝ้ากระมัง

พอผู้ว่าราชการ กทม.ท่านนี้ได้เข้ามาดำรงตำแหน่ง ด้วยคะแนนท่วมท้น ท่านก็ยกเลิกการใช้สุขาฟรีแต่ไม่ฟรีจริง หมดทุกแห่ง แล้วติดป้ายที่ว่านั้น ดูเหมือนจะหลายเดือนมาแล้ว ยังไม่ได้ผู้ประมูลใหม่สักที จึงต้องเสียบ้างไม่เสียบ้าง ตามแต่ความสมัครใจของผู้ใช้บริการต่อไป

เมื่อผมมอบหนังสือสี่เล่ม ที่นำมาบริจาคให้ห้องสมุด และหยิบหนังสือบนชั้นมาพลิกดูเล่นสองสามเล่มแล้ว ก็คิดจะกลับเพราะมีผู้ใช้บริการค่อนข้างแน่น ถ้าลุกจากเก้าอี้แล้ว ก็ไม่มีทางได้กลับมานั่ง เพราะมีผู้รอให้ว่างอยู่แล้ว ส่วนอีกจำนวนหนึ่งนั้น ไม่แยแสว่าจะมีเก้าอี้ว่างหรือไม่ คงปักหลักนั่งกับพื้น หรือยืนอ่านกัน ตรงชั้นที่หยิบหนังสือออกมานั้นเอง และทุกคนสนใจกับหนังสือในมือของตนอย่างใจจดใจจ่อ ไม่มีใครมานั่งฟุบหลับให้เปลืองที่ เหมือนที่หอสมุดแห่งชาติ อันกว้างขวาง และเย็นฉ่ำเลย

เมื่อออกมาจากสวนลุมพินีแล้ว ผมก็เดินทอดน่องเข้าไปในถนนสีลม ซึ่งในวันนั้นเขาปิดการจราจร ให้เป็นถนนคนเดิน เพื่อดูว่าเขามีอะไรกันบ้าง ขณะนั้นเพิ่งจะบ่ายสามโมง จึงยังไม่ค่อยมีผู้คนมาเดินมากมายนัก ร้านค้าแบบแผงลอย วางทั้งสองฝั่งของเกาะกลาง ซึ่งเป็นแนวเสาที่วางรางรถไฟฟ้ามหานคร ของบริษัท BTS มีสินค้ามากมายหลายประเภท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ของตำบลต่าง ๆ ที่มาจากหลายจังหวัดในทุกภาค แต่ที่ผมสนใจก็คือการระบายสีบนแผ่นผ้าขนาดเล็ก ที่ใช้เป็นผ้าโพกผมหรือผ้าเช็ดหน้าบาง ๆ โดยเขียนแบบให้เด็กเล็กๆ เป็นผู้ระบาย และผู้ปกครองหลายคนก็นั่งช่วยลุ้น ลูกหลานของตนด้วย บางร้านก็เป็นการให้เด็กระบายสีตัวตุ๊กตาที่ทำด้วยปูนปลาสเตอร์สีขาว และอีกบางร้านก็เลื่อยไม้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ให้เด็กเอากาวติดต่อเป็นบ้านเรือน หรือรูปต่าง ๆ ตามใจชอบ

ผมเดินไปเรื่อย ๆ จนทะลุออกไปทางถนนอะไรก็ไม่ทราบ เพราะไม่เคยมาทางย่านนี้เลย และขึ้นไปบนสถานีช่องนนทรี เพื่อโดยสารรถไฟฟ้ากลับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยลงต่ออีกสายหนึ่งซึ่งมาจากซอยอ่อนนุช ที่สถานีสยาม ตลอดเส้นทางใช้เวลาเพียงไม่ถึงสิบห้านาที การเดินทางด้วยรถไฟฟ้านี้นับว่าคุ้มค่า เพราะราคาไม่แพงจนเกินไป และไม่ต้องติดการจราจรบนถนน หรือไฟแดงตามสี่แยก ให้หงุดหงิด ทั้งบรรยากาศบนรถก็ค่อนข้างเงียบ และเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศ เทียบกับรถโดยสารปรับอากาศ หรือรถแท็กซี่แล้วดูจะดีกว่า เสียแต่มีเส้นทางจำกัด ไปไม่ได้ไกล เห็นผู้ว่า กทม. คนปัจจุบันบอกว่าจะต่อออกไปถึงบางแค หรือไกลกว่านั้น แต่ถ้าสายเหนือต่อจากสวนจตุจักรไปถึงรังสิตก็ยิ่งดี ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ เพราะจะไปแย่งเส้นทางของโทลเวย์เขา

แต่เรื่องที่แย่กว่านั้น ก็คือสถานีรถไฟฟ้าทุกแห่ง ขาดสิ่งที่สำคัญที่สุด คือห้องสุขา ซึ่งคงไม่ใช่บริษัทไม่เห็นความสำคัญ แต่เนื่องจากเป็นที่ซึ่งมีคนผ่านไปมาอย่างมากมายทุกชั่วโมง คงจะเสียดายค่าสร้าง ค่ารักษาความสะอาด ค่ายามดูแลความปลอดภัยกระมัง เขาจึงไม่สร้าง

จากชานชลาสถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งมีผู้โดยสารลงกันมากมาย ผมเดินตามกลุ่มคนลงบันไดมาร่วมสี่สิบขั้น และเดินต่อไปบนสะพานลอย ซึ่งทอดยาวออกมาทางด้านโรงพยาบาลราชวิถี แล้วจึงลงบันไดอีกกว่าสี่สิบขั้น กว่าจะถึงทางเท้าข้างถนน ผมเดินลงมาจนเกือบถึงขั้นสุดท้าย ก็เห็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ตรงเชิงบันได นั่นก็คือสถานสุขาของกรุงเทพมหานคร

สวรรค์มาอยู่ตรงหน้าของผมแล้ว ความทุกข์ที่ผมอั้นมาจากถนนสีลม คงจะหมดสิ้นลงไปเสียที และวันอาทิตย์นี้ก็จะเป็นวันที่ผมมีความสุข อีกวันหนึ่งในชีวิต.

############




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2555    
Last Update : 30 สิงหาคม 2555 9:43:06 น.
Counter : 1876 Pageviews.  

เรื่องของนายห่อกับเจียวต้าย

บันทึกของคนเดินเท้า

เรื่องของนายห่อกับเจียวต้าย

“ เทพารักษ์ “

ผมเคยเล่าว่า ผมต้องออกจากโรงเรียนวัดสมอราย โดยที่ไม่จบชั้นมัธยมปีที่ ๖ และได้ทำงานเป็นลูกจ้างใช้แรงงาน ในแผนกที่ ๓ กรมพาหนะทหารบก ซึ่งเป็นคลังพัสดุ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดแก้วฟ้าจุฬามณี ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๙ อายุยังไม่ครบ ๑๖ ปี ใคร ๆ จึงเรียกผมว่าไอ้เปี๊ยก

ผมทำงานหนักอยู่ร่วมปี ก็มีผู้ใหญ่เมตตาเรียกไปใช้ในสำนักงาน ให้ทำหน้าที่ภารโรง ปิดเปิดสำนักงานและรับส่งหนังสือแทนเสมียน แต่ผมก็ยังนุ่งกางเกงก้นปะ และห่อข้าวไปกินมื้อกลางวันอยู่ พวกเสมียนหลายคนที่จบ ม.๖ ม.๘ เตรียมอุดม และนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ก็เมตตารับอุปถัมภ์ค้ำจุนผม ให้เป็นน้องเล็ก

และคนหนึ่งในจำนวนนั้นก็ตั้งชื่อผมว่า นายห่อ แต่เขาก็เรียกกันว่า ไอ้ห่อ แทน ไอ้เปี๊ยก เพราะผมห่อข้าวมากิน จึงมีนามสกุลว่า มากินานนท์ ซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ และใช้ต่อมาจนถึงปัจจุบัน

ที่บ้านสวนอ้อยของผมในสมัย พ.ศ.๒๔๘๔ ถึง ๒๔๙๖ นั้น ผมมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง แม่ของเราเป็นเพื่อนกันมาก่อน เขาชื่อนายเล็ก อายุอ่อนกว่าผมปีเดียว แม่ของเขาเรียกแม่ของผมว่าคุณพี่ ผมอาศัยกินข้าวบ้านเขาโดยจ่ายเงินเพียงเล็กน้อย เพราะที่บ้านผมมีแม่ป่วยไม่สามารถทำครัวได้ ผมต้องหิ้วกับข้าวจากบ้านนี้ไปให้แม่กินทุกเช้าเย็น ตลอดเวลาที่ผมทำงานที่ กรมพาหนะทหารบก

เมื่อแม่ผมตาย พ.ศ.๒๔๙๕ ผลก็มาเกณฑ์ทหารพร้อมกับเล็กใน พ.ศ.๒๔๙๖ แต่ได้พักรอเรียกทั้งปี กลับมาเข้ากองประจำการ พ.ศ.๒๔๙๗ เขาไปสังกัดกรมทหารราบที่ ๑๑ บางเขน ผมอยู่ กองร้อยกองบัญชาการกองทัพที่ ๑ ที่ตั้งโรงเรียนราชวินิจเดี๋ยวนี้

เมื่อผมออกรับราชการเป็นนายสิบทหารสื่อสาร เขาก็พ้นการเกณฑ์ทหารสองปี เราก็มาคบหาสมาคมกันอีก เขาอุปสมบทที่วัดส้มเกลี้ยง พ.ศ.๒๕๐๐ ขณะที่กำลังสร้างสะพานกรุงธน ข้างวัดนั่นเอง เมื่อออกพรรษา เขาก็ชวนเพื่อนที่บวชพร้อมกัน ซึ่งเป็นเด็กรุ่นน้องผม เรียนที่โรงเรียนวัดสมอราย ห่างจากผมห้าปี มาเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่ง คนนี้ชื่อนายออด อาชีพเป็นครูโรงเรียนราษฎร์

ส่วนนายเล็กไปทำงานเป็นลูกจ้าง กระทรวงคมนาคม แต่ครอบครัวของเขาย้ายบ้านไปอยู่แถวดินแดงห้วยขวางแล้ว เขาก็ยังแอบอยู่ที่บ้านเก่า ซึ่งยังไม่มีคนมาเช่าต่อ และถูกตัดไฟฟ้าไปแล้ว ต้องจุดเทียนกินเหล้ากันบ่อย ๆ จึงได้ชื่อเล่นใหม่จากผมว่า นายผี

ต่อมานายออดแต่งงานแล้ว ไปอยู่บ้านแม่ยายที่ซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท นายผีออกจากกระทรวงคมนาคม ไปเป็นนายท่ารถเมล์ขนส่ง ที่ซอยเอกมัย และไปอยู่กับครอบครัวที่ห้วยขวาง แต่เราก็ยังพบกันอยู่ และชวนกันไปเที่ยวทัศนาจร หรือขบวนการย้ายที่กินเหล้า กันอยู่เสมอ และในโอกาสหนึ่งเราได้รับรู้ว่าคำว่า เพื่อนสนิท นั้นคนจีนเขาเรียกว่า เจียวต้าย เราก็ชอบใจรับเอามาเป็นชื่อกลุ่มของเราซึ่งมีเพิ่มขึ้นมามากกว่าสามคนแล้ว

คนต่อมาคือพี่สันต์ เพื่อนผู้มีอาวุโสที่เคยอุปถัมภ์ผมมาก่อน จากกรมพาหนะทหารบกนั่นเอง เขาแก่กว่าผมประมาณห้าปี ผมก็ลากเขามาเข้าวงเหล้าของเรา เขาก็คุยกันได้ดีกับเพื่อนของผม ทั้งนายออด นายผี และเพื่อนจากกรมการทหารสื่อสาร คือ นายแมวและนายหงอก

นายแมวนั้นเข้ารับราชการ ในแผนกเดียวกับผมเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๙๘ ผมเพิ่งเป็นนายสิบใหม่ เขาเป็นข้าราชการพลเรือนตำแหน่งเสมียน ต่อมาเมื่อได้รับการฝึกวิชาทหารแล้ว เขาก็ติดยศสิบตรี ขณะที่ผมเป็นสิบโท เขามีอายุอ่อนกว่าผม ๖ ปี เมื่อทำงานร่วมกันไปเขาก็นับถือผมเป็นลูกพี่ เพราะผมมีวิชาเสมียนมาจากที่ทำงานเก่าหลายปี ผมก็เลยชวนเขาเข้ามาอยู่ในแก๊งเจียวต้าย พร้อมกับนายหงอก ซึ่งเป็นนักเรียนนายสิบนอนหมวดเดียว กองร้อยเดียวกับผม เขาอายุเท่านายแมว แต่ผมหงอกมาตั้งแต่หนุ่ม เขาเคยเรียนที่โรงเรียนวัดแจ้งด้วยกันมาก่อน ก็เลยเพิ่มเป็นหกคน

คนที่เจ็ดชื่อนายต๋อง ก็เป็นคนที่คุ้นเคย กับนายแมวมาก่อนเหมือนกัน ตั้งแต่เป็นวัยรุ่นอยู่แถวซังฮี้ด้านที่อยู่ใกล้แม่น้ำ ซึ่งเป็นวังของเจ้านายสมัยก่อน และนายแมวเคยเป็นศิษย์วัดขวิด ใกล้ท่าน้ำสามเสนด้วย เมื่อพบกับผมเขาทำงาน เป็นพนักงานขับรถของนายใหญ่ บริษัทผลิตสุราที่ได้รับสัมปทานจากโรงงานบางยี่ขัน

และคนที่แปดชื่อนายพึง เป็นเพื่อนครูเรียนสำเร็จปริญญาตรีมาด้วยกันกับนายออด สอนคนละโรงเรียน แต่มาสอนโรงเรียนผู้ใหญ่ที่วัดตรีทศเทพด้วยกัน ซึ่งสมัยนี้เรียกว่า การศึกษานอกโรงเรียน หรือ กศน.นั่นเอง ในพ.ศ.๒๕๐๙ ผมได้บันทึกเป็นบทกลอนไว้ว่า

อัน”เจียวต้าย”ความหมายเป็นไฉน จะบอกให้หายแคลงแจ้งประจักษ์
คือเพื่อนฝูงใกล้ชิดสนิทนัก ร่วมใจภักดิ์ไม่หลีกเร้นเป็น”เพื่อนตาย”

คนที่หนึ่ง นายออด ยอดเจรจา สติปัญญาเป็นเลิศประเสริฐหลาย
คราวคับขันเพื่อนฝ่าฟันอันตราย แก้เรื่องร้ายให้คลายดีทุกทีไป

คนที่สอง นายผี มีความซื่อ เพื่อนยึดถือความจริงไม่อิงไหน
ไม่กลับกลอกยอกย้อนให้อ่อนใจ ลงรักใครรักจริงไม่ทิ้งกัน

คนที่สาม นายสันต์ นั้นใช่ชั่ว เป็นพ่อครัวหัวมนคนขยัน
ชอบปีนป่ายเขาเล็กใหญ่ไม่สำคัญ แต่ปากนั้นไม่ว่างช่างวิจารณ์

คนที่สี่ นายแมว มีแววหล่อ เด็กติดกรอคนแก่ชมคารมหวาน
ทั้งนอบน้อมถ่อมตนทนรำคาญ ใครเรียกขานไม่ปัดขัดศรัทธา

คนที่ห้า นายพริ้ง ลิงไม่สู้ หน้าบู้หู้หัวหงอกเป็นดอกหญ้า
เพื่อนเข้าถึงที่ใดได้เฮฮา ฝอยเป็นบ้าน้ำเหลือเฟือเนื้อไม่มี

คนที่หก นายต๋อง รองนายพริ้ง เขาแน่จริงงามขำตัวดำปี๋
ชอบหัวเราะเยาะฟ้าท่าเข้าที พูดยวนยีอยู่โรงเหล้าเมาทุกเย็น

คนที่เจ็ด นายพึง เพิ่งซึ้งจิต เป็นบัณฑิตชั้นดีฝีมือเด่น
เรื่องโคลงกลอนเขียนง่ายไม่ลำเค็ญ เคยได้เห็นน้ำใจกว้างใหญ่ครัน

คนที่แปด นายห่อ พ่อหูกาง เป็นคนวางแผนเที่ยวไปดังใจฝัน
เรื่องกินดื่มเดินทางพักและควักตังค์ หมออยากดังเพื่อนว่าเก่งเลยเบ่งจม

ทั้งแปดคนดลมาเจอเป็นเกลอแก้ว คบกันแล้วใกล้ชิดสนิทสนม
แม้ต่างวัยต่างจิตใจไม่ปรารมภ์ ร่วมอุดมคติทำสิ่งสำราญ
ต่างรักกันแน่นเหนียวเป็นเกลียวเชือก มิได้เลือกยศศักดิ์อัครฐาน
มิตรภาพซาบซึ้งตรึงดวงมาน ยั่งยืนนานคงมั่นนิรันดร

แม้ต่อไปได้ดีมีความสุข แม้ทนทุกข์เทวษร้ายสุดถ่ายถอน
แม้ห่างกันแสนไกลไม่อาทร แม้ม้วยมรณ์ชีพลับดับชีวา
จะคบกันต่อไปไม่ทิ้งขว้าง จะช่วยกันทุกทางดังปรารถนา
จะคิดถึงกันไว้ไม่โรยรา จะรักษา”เจียวต้าย”ไม่หน่ายเอย.

คณะเจียวต้ายอยู่มาจนถึงเดือน มกราคม ๒๕๑๐ นายออดก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน ขณะจะขึ้นรถสองแถวไปทำงาน ฌาปนกิจศพที่วัดธาตุทอง เราจึงเอาวันเกิดของเขาคือ ๒๒ ธันวาคม เป็นที่ระลึกวันเจียวต้าย มีการนัดพบกันทุกปี

แต่ต่อมานายพึงได้พาเพื่อนครูโรงเรียนเทเวศร์มาเข้าพวกอีกคนหนึ่งคือ พี่มี ส่วนผมก็ได้เพิ่มอีกคน คือ นายต่อ เป็นพันจ่าทหารอากาศ และเมื่อถึง พ.ศ.๒๕๒๐ นายพึงก็ได้ชักชวนเพื่อนครูสวนกุหลาบ ที่เขารับราชการอยู่มาเข้าพวกเจียวต้ายอีกสองคน คือนายชัน และนายจินต์ ส่วนผมก็ได้ชักชวนเพื่อนร่วมก๊งมาเข้าพวกอีกสองคน คือ นายสิทธิ์ เป็นจ่าสิบเอกทหารสื่อสาร และ นายเหนียน เพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนวัดสมอราย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย

ผมได้เขียนสรรพคุณของเขาไว้ว่า

คนที่เก้า ครูมี รุ่นพี่ใหญ่ ซึ้งน้ำใจมานานเนไม่เหหัน
เพื่อนเอาไงเอาทุกท่าไม่ว่ากัน ความรู้นั้นแน่นหนาภาษาไทย

คนที่สิบ นายต่อ หล่อเข้าท่า ลูกทัพฟ้าแต่รักมั่นไม่หวั่นไหว
ยอดใจเย็นไม่เห็นโกรธลงโทษใคร รินเรื่อยไปแต่ดื่มนิดไม่ติดลม

ฯลฯ

ที่สิบเอ็ดคือนายชันนั้นเป็นครู เพื่อสอนอยู่ ส.ก.ดูหล่อเหลา
จากสองศูนย์ได้พบกันมันไม่เบา โอ้เพื่อนเราคงสบายขายข้าวแกง

ที่สิบสองนายจินต์ชอบกินผัก ดูน่ารักแม้ตัวใหญ่ไม่กำแหง
ทำตามกฎที่วางไว้ไม่คลางแคลง มีเรี่ยวแรงดื่มเท่าไรก็ไม่เมา

ที่สิบสามนาย สิทธิ์ มีฤทธิ์มาก ทนลำบากอยู่ทีวีไม่มีเหงา
ทั้งถ่ายกล้องเก่งกาจมาดไม่เบา อยู่นานเข้ากำกับเวทีเพื่อนดีใจ

คนสุดท้ายยอดชายคือนาย เหนียน เที่ยววนเวียนกับพวกเราเจ้ามือใหญ่
ศิษย์ราชาห้องเคียงข้างไม่ห่างไกล เพิ่งซึ้งในพงศ์เผ่าเหล่าเจียวต้าย

ปีสามแปดเอ่ยชื่อมาดังว่าแล้ว เป็นเพื่อนแก้วต่อไปไม่แหนงหน่าย
ปี่สี่แปดคงอยู่ได้ไม่วุ่นวาย แม้ลับหายชื่อคงอยู่คู่กันเอย.

เพื่อนกลุ่มที่ใช้สัญลักษณ์ว่า เจียวต้าย ได้คบหาสมาคมกันต่อมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ถึงสามสิบสี่ปี ใน พ.ศ.๒๕๔๔ ก็เหลืออยู่เพียงไม่กี่คน ตามหลักของความเปลี่ยนแปลงที่เป็นอนิจจัง

เดือนมีนาคม ๒๕๒๙ นายต่อก็เสียชีวิต ด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตก

เดือนสิงหาคม ๒๕๓๘ นายสิทธิ์ ก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในหลอดอาหาร

เดือน พฤศจิกายน ๒๕๓๙ พี่สันต์ ก็เสียชีวิตด้วยโรคอัลไซเมอร์

ซึ่งผมได้บันทึกไว้ตามลำดับ ดังนี้

อันเจียวต้ายความหมายไม่เคยเปลี่ยน คงวนเวียนอยู่ด้วยกันฉันท์เพื่อนเก่า
ตัวห่างไกลแต่ใจชิดติดเหมือนเงา รวมกันเข้าเป็นเพื่อนตายจนวายปราณ

ต่างผูกพันขันเกลียวเสี้ยวศตวรรษ เห็นหลัดหลัดเจ็ดหายไปเรียกไม่ขาน
สิ่งที่หวังตั้งไว้ไม่ยืนนาน เมื่อถึงกาลก็เปลี่ยนไปไม่คงทน

ออด สันต์ ต่อ และนายสิทธิ์ เพื่อนคิดจาก แล้วจึงพรากกันไปไม่เห็นหน
ส่วน นายผี กับ ครูมี อีกสองคน ท่านหลุดพ้นกิเลสแล้วจึงลาไกล

เหลือ นายแมว เพื่อนแก้วดื่มโซดา ดูเข้าท่าแม้ขัดเขินแต่เดินไหว
นายหงอก นั้นไม่ขาดงานแต่บ้านไกล ดื่มใสใสพอสนุกแล้วลุกลา

แต่ นายต๋อง นั่งเหงาต้องเฝ้าบ้าน เพื่อนเคยผ่านไปใกล้ให้ดูหน้า
เหมือน นายพึงหายไปใช่เฉื่อยชา เดินสามขาต้องอาศัยลูกชายส่ง

ส่วนนายชัน รับบำนาญพาลย้ายที่ ยังอยู่ดีด่านช้างไกลใช่ลืมหลง
พบ นายจินต์ ทีไรได้ตั้งวง แต่ไม่ชงกินน้ำหวานบานตะไท

เหลือ นายห่อ กับ นายเหนียน ชวนเวียนแก้ว ไม่คลาดแคล้วชนทุกทีที่ไหนไหน
ได้จ่ายทิปเด็กเสริฟที่ถูกใจ ถึงใกล้ไกลไปกันไม่หวั่นกลัว

อันเจียวต้ายอยู่มานานผ่านร้อนหนาว จนล่วงเข้าสามสิบสี่นี้ใช่ชั่ว
ฟื้นความหลังขึ้นมาเล่าใช่เมามัว อยากให้รู้กันทั่วเรื่องจริงจัง
สิ่งที่เกิดย่อมผันแปรแน่ทั้งหมด ธรรมดาปรากฏไม่ผิดหวัง
เหลือกี่คนอยู่กันไปไม่จีรัง เจียวต้าย ยังคงความหมายไม่คลายเอย.

ถัดมาอีกสี่ปี ถึง พ.ศ.๒๕๔๘ ผมก็เข้ามารู้จักอินเตอร์เนต และเวปพันทิป เมื่อสมัครเป็นสมาชิก จะใช้ชื่ออะไรก็ซ้ำ จึงหวนนึกขึ้นมาได้ถึงคำว่า เจียวต้าย ซึ่งกำลังจะสูญหายไป ด้วยความเสียดายในความหมายที่ติดตรึงอยู่ในจิตใจ มาเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษ จึงใช้ชื่อนี้เป็นนามปากกา หรือล็อคอิน ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครคิดมาซ้ำอย่างแน่นอน

และนามนี้ก็จะยืนยงคงอยู่คู่กับพันทิป ไปอีกนานแสนนาน แม้ว่าผมและเพื่อนสนิท ทุกคนในกลุ่มนี้

จะตายจากโลกนี้ไปจนหมดแล้วก็ตาม.

############









Create Date : 05 กันยายน 2552
Last Update : 6 กันยายน 2552 18:27:22 น. 9 comments
Counter : 40 Pageviews. Add to





แวะมาลงชื่อว่าอ่านแล้วค้าบ แง๊วววว

โดย: ข้าวโพดแมวติสต์แตก IP: 202.21.179.154 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:02:27 น.




ขอบคุณครับ เพิ่งเห็นครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 15 ธันวาคม 2552 เวลา:21:26:28 น.




เพื่อนแท้นั้น...ไม่เคยลืม ไม่เคยทิ้งกัน
แน่นอนตลอดทั้งชีวิต
เฉกเช่นกัน
ชื่อ " เจียวต้าย "
คงมั่นอยู่ในพันทิป
และในใจลูกหลานตลอดกาล

โดย: PANPISA วันที่: 26 มิถุนายน 2553 เวลา:22:45:26 น.




ที่สิบเอ็ดคือนายชันนั้นเป็นครู เพื่อสอนอยู่ ส.ก.ดูหล่อเหลา
จากสองศูนย์ได้พบกันมันไม่เบา โอ้เพื่อนเราคงสบายขายข้าวแกง

ถึงสิบเอ็ดมิถุนาปีห้าสาม
เพื่อนแจ้งความนายชันตายหัวใจแห้ง
อยู่ด่านช้างเมืองสุพรรณยังแข็งแรง
หกสิบแปดปีเหมือนแกล้งมาวายวาง
ขอเพื่อนจงเป็นสุขทุกสถาน
อยู่วิมานแดนไหนไม่หายห่าง
อยู่ในใจของเจียวต้ายไม่จืดจาง
ออด สันต์ ต่อ และสิทธิ์ ต่าง ร่วมวงศ์วานฯ

โดย: เจียวต้าย วันที่: 27 มิถุนายน 2553 เวลา:13:44:52 น.




ขอร่วมแสดงความอาลัยด้วยค่ะ

โดย: PANPISA วันที่: 27 มิถุนายน 2553 เวลา:15:19:05 น.




ขอบคุณครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 28 มิถุนายน 2553 เวลา:5:04:39 น.




รับทราบค่ะ

โดย: PANPISA วันที่: 28 มิถุนายน 2553 เวลา:20:13:56 น.




ได้อ่านและได้รู้ความหมายของคำว่า"เจียวต้าย"

ล็อคอินของผมไม่ได้ตั้งใจจะตั้ง ด้วยเพราะว่าชื่อต่างๆที่เตรียมไว้เป็นอันซ้ำทุกรายชื่อ
ก็ได้"บ้านหนองจันสอน"เป็นชื่อของหมู่บ้านผมเองครับ
ไม่ซ้ำใครด้วย
บ้านหนองจันสอน อยู่ที่ โคราชครับ


โดย: วิรุฬห์ IP: 124.122.77.197 วันที่: 1 ตุลาคม 2553 เวลา:21:27:49 น.




ชื่อที่มีความหมายเฉพาะของตัวเราเอง
มักจะไม่ซ้ำกับใครครับ

อย่างของผมมีเยอะ ใช้ในการเขียนเรื่องหรรษาสมัยทำหนังสือพิมพ์ทหารสื่อสาร เช่น

ห่อ ปูเค็ม, ป๋อง สวนอ้อย, กาง สนามเป้า, เป็นต้น ครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 2 ตุลาคม 2553 เวลา:12:48:44 น.





 

Create Date : 14 ตุลาคม 2554    
Last Update : 14 ตุลาคม 2554 18:36:53 น.
Counter : 444 Pageviews.  

เรื่องธรรมดา(๓๖) รำลึกถึงเพื่อนตาย

ฉากชีวิต

รำลึกถึงเพื่อนตาย

" เพทาย "

ผมเป็นคนมีเพื่อนมาก นับตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก ก็มีเพื่อนบ้านวัยเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอยู่หลายคน เท่าที่จำได้ดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงสี่ห้าคน เคยแก้ผ้าอาบน้ำคลองที่ไหลจากแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านท่าวาสุกรี สวนสุนันทา สวนดุสิต สวนพุดตาล จนโผล่ออกไปบรรจบกับคลองสามเสน ที่ข้างวัดแค มาด้วยกัน แต่พอเขาโตเป็นสาวรุ่นกะเตาะ นุ่งผ้ากระโจมอกกันแล้ว พวกเรายังไม่พ้นวัยเด็ก ยังไม่รู้จักนุ่งผ้าขาวม้าอาบน้ำ เขาก็เลยไม่ยอมมาเล่นน้ำกับเรา และลงท้ายก็พากันมีครอบครัวไปหมด เราก็เลยต้องคบหากับเพื่อนผู้ชายต่อไปตามประสา

เพื่อนผู้ชายที่ผ่านวัยรุ่นมาด้วยกัน คนที่เป็นกระเป๋าท้ายรถเมล์ ก็เปลี่ยนอาชีพไปทำอะไรไม่ทราบ ที่ต่างจังหวัด แล้วก็เลยขาดการติดต่อกันไป อีกคนหนึ่งที่เป็นคนหัดให้ผมสูบบุหรี่ ก็ย้ายไปอยู่ย่านอื่น เมื่อได้พบกันจึงได้ทราบว่า เป็นเถ้าแก่รับเหมาก่อสร้างร่ำรวยไปแล้ว อีกคนหนึ่งเมื่อเป็นเด็กจับกุ้งเก่งมาก ขนาดที่ก่อนจะลงคลองสามารถให้เพื่อนก่อไฟไว้ได้ รับรองว่าต้องมีกุ้งเผากินเล่นให้จมเขี้ยวไปเลย เดี๋ยวนี้อายุเลยเจ็ดสิบแล้ว ยังวนเวียนอยู่ระหว่างสนามมวยกับสนามม้าอย่างมีความสุข ส่วนอีกคนหนึ่งจากกันตั้งแต่เล็ก เพราะโดนลูกระเบิดลงข้างหลุมหลบภัยในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เสียชีวิตไปอย่างน่าอนาถ

ในสมัยสงครามครั้งนั้นเอง แม่ของผมซึ่งเป็นครูโรงเรียนราษฎร์ ต้องหยุดการสอนเพราะโรงเรียนปิด แล้วมาเปิดการสอนเด็กเล็กระดับชั้นมูลขึ้นที่ใต้ถุนบ้าน ผมอยู่ชั้นมัธยมแล้ว ก็ต้องช่วยสอน ก.ขอ ก.กา ด้วย มีเด็กลูกชาวบ้านใกล้เคียงมาสมัครเรียนร่วมยี่สิบคน ได้เงินค่าเล่าเรียนเล็กน้อย พอปะทังชีวิตไปได้ ผมจำได้เพียงสองสามคน คนหนึ่งอยู่บ้านตรงกันข้าม ต่อมาสำเร็จวิชาช่างก่อสร้าง เติบโตทำราชการรุ่งเรืองได้เป็นหัวหน้าแผนก อีกคนหนึ่งเข้าโรงเรียนนายเรือ เมื่อเกษียณอายุราชการเป็นถึงพลเรือตรี

อีกคนหนึ่งเป็นหญิงลูกครูเหมือนกัน แต่มาสมัครเรียนที่บ้าน เมื่อเติบโตขึ้นก็สำเร็จปริญญาด้านการศึกษา รับราชการเป็นครูตามมารดา แต่ได้สมรสกับนายทหารซึ่งมีชีวิตราชการก้าวหน้า จนเป็นแม่ทัพภาค และตัวเธอเองในฐานะประธานสมาคมแม่บ้านทหารบกของกองทัพภาค ก็ได้ปฏิบัติงานส่งเสริมศิลปาชีพติดต่อกันเป็นเวลานาน จนได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสสริยาภรณ์ชั้นสูง ได้เป็นคุณหญิง แต่เคราะห์ร้ายที่เป็นโรคมะเร็ง จึงได้เสียชีวิตไปก่อนวัยอันสมควร

เมื่อผมได้มีชีวิตอยู่มาจนเข้าปีที่เจ็ดสิบ ตามคำทำนายของอดีตลูกน้อง ซึ่งเป็นหมอดูอาชีพมีระดับอยู่ในสมาคมโหราศาสตร์ ผมก็หวนคิดถึงเพื่อนที่หายหน้าไป ด้วยความรักและความผูกพัน ที่มีต่อกันมาในกาลก่อน จนไม่อาจจะลืมได้

ในสมัยที่สงครามโลกครั้งที่สองเข้มข้น มีเครื่องบินสี่เครื่องยนต์ของสัมพันธมิตร มาทิ้งลูกระเบิดในพระนครถี่ ๆ ทั้งกลางคืนและกลางวัน ครอบครัวของผมก็อพยพ ไปกับครอบครัว ของเพื่อนบ้านในสวนอ้อย ซึ่งเขาอพยพไปอยู่ ที่คลองสามลาดกระบัง จนสงครามใกล้จะสงบจึงกลับมาอยู่ที่สวนอ้อยตามเดิม หลานชายของเจ้าของบ้าน ที่ผมอาศัยหลบภัยนี้เมื่อยามสงครามยังเป็นเด็กเล็ก พอสงครามสงบแล้ว ก็มาเข้าเรียนมัธยมปีที่ ๑ โรงเรียนเดียวกับผม แต่ขณะนั้นผมเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๖ แล้ว เราเดินไปโรงเรียนพร้อมกัน เขาเรียกผมว่าพี่

ผมออกจากโรงเรียนโดยไม่จบชั้นมัธยมปีที่ ๖ เพราะสอบได้เพียง ๔๖ เปอร์เซ็นต์ เข้าทำงานเป็นลูกจ้างใช้แรงงาน ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๙ ก็เลยไม่ได้คบหาสมาคมกัน เพราะเป็นคนละรุ่นไปแล้ว จนเวลาผ่านไปอีก ๑๒ ปี ผมบวชและผ่านการเกณฑ์ทหารออกรับราชการเป็นนายสิบแล้ว เขาก็จบการศึกษาจากโรงเรียนฝึกหัดครูมัธยม มาบวชที่วัดใกล้บ้านพร้อมกับเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งของผม เมื่อลาอุปสมบทแล้วเขาจึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของผมด้วย และเลิกเรียกผมว่าพี่ตั้งแต่นั้นมา

ครั้งแรกเขาเป็นครูโรงเรียนราษฎร์ ต่อมาสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลได้ ผมเป็นนายสิบติดแง่งปลาทูที่แขน เพื่อนของเราทั้งสองเป็นข้าราชการต๊อกต๋อยของกระทรวงคมนาคม เพราะเรียนไม่จบชั้นมัธยมปีที่ ๖ เหมือนกัน แต่เราสามคนก็คบกันอย่างสนิทแนบแน่น เขาเป็นคนมีไหวพริบปฏิภาณไว เก่งภาษาไทย แต่งโคลงกลอนคล่องแคล่ว เคยไปในงานบวชที่อยุธยา เขาสามารถบอกกลอนแปด ปากเปล่า ให้นักร้องวงดนตรีไทยเดิม ร้องทำนองเพลงนางนาค อวยพรเจ้าภาพได้ยาวตั้งหลายบท เขามีนิสัยอย่างที่เรียกกันเล่น ๆ ว่า รักธรรมชาติ ชอบเสียงเพลง เกลียดการดูถูกเหยียดหยามคนจน เขาไม่เอาเปรียบใคร แต่ก็ไม่ยอมเสียเปรียบใครเหมือนกัน และเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ใคร บางครั้งเขาจึงต้องโต้เถียงกับผู้อื่น ที่พยายามจะเอาชนะเขาจนเพื่อนอึดอัด แต่หลายครั้งเขากลับใช้คารมอันคมคายแก้เรื่องที่ทำท่าว่าจะร้าย ให้กลับกลายเป็นดีก็ได้เหมือนกัน แต่สำหรับเพื่อนสนิทแล้ว เขาเป็นคนร่าเริงแจ่มใส และมีอารมณ์ขันฟุ่มเฟือยเสมอ

เรามีความสามารถในการกินเหล้า อย่างดุเดือดเข้มข้นไม่แพ้กัน แต่เมื่อเมาแล้วมองเห็นโลกในแง่ดี ชอบต่อกลอน และร้องเพลงไทยเดิม ไทยสากล ตั้งแต่ยังไม่มีเพลงลูกทุ่ง จนกระทั่งเขามีอายุสามสิบเศษ และเพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีมาหมาด ๆ มีลูกหญิงสอง ชายหนึ่ง คนเล็กแก่กว่าลูกชายคนโตของผมเพียงปีเดียว เราตั้งใจว่าจะเอาลูกเข้าเรียนอนุบาลโรงเรียนเดียวกัน แถวบ้านญวน จะได้เป็นเพื่อนกันเหมือนพ่อ แต่ไม่สำเร็จ เพราะเขาย้ายบ้านไปอยู่กับแม่ยายแถวซอยทองหล่อเสียก่อน

แล้วเขาก็ต้องจากเพื่อนไปอย่างน่าอนาถ ด้วยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากความคะนองของกระเป๋ารถสองแถว ที่ขับรถมาชนเขาข้างหลัง ในขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นรถสองแถวคันหน้า เพื่อไปสอนหนังสือ ในเช้าวันหนึ่ง เขามีอาการสาหัสมาก อวัยวะแตกหักเสียหายหลายแห่ง ทนหายใจอยู่ได้ไม่ถึงเย็น ก็หมดลม ผมได้เห็นหน้าเขา ที่ห้องเก็บศพของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ไม่มีร่องรอยของความเจ็บปวดเหลืออยู่เลย ผมจึงทำใจได้ เพราะถ้าเขายังเหลือชีวิตอยู่ คงจะต้องทนทุกข์ทรมานมากทีเดียว วันนั้นเป็นวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๑๐

ก่อนหน้าที่ผมจะมาเป็นทหารสื่อสาร ผมทำงานอยู่ที่กรมพาหนะทหารบก ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นกรมการขนส่งทหารบก ผมมีเพื่ออยู่สองคนที่สนิทสนมกันมาก คนแรก เกิดปีเดียวกัน ทำงานหน่วยเดียวกัน และหัดกินเหล้าพร้อมกัน

เมื่อเขาเป็นพลทหารเกณฑ์ ได้อาสาสมัครไปรบในสงครามเกาหลี โดยมีทหารผลัดเดียวกันนามสกุลเดียวกันถึงสามคน คือพ่อเป็นจ่าสิบเอก พี่ชายเป็นสิบเอก และตัวเขาเป็นพลทหาร ระหว่างไปราชการเขาเขียนจดหมายเล่าเรื่องการสงครามและความหนาวเย็นของประเทศเกาหลีเหนือเส้นขนานที่ แบ่งเขตเกาหลีเหนือกับใต้ มาให้อ่านเป็นระยะ เขาไปได้ไม่นานก็มีการสงบศึก

พอหมดวาระเขาก็ได้กลับมาโดยได้ปรับอัตราเป็นนายสิบ อยู่หน่วยเดิม แต่ผมเป็นพลทหารหลังเขาหนึ่งปี และสมัครเป็นนักเรียนนายสิบทหารสื่อสาร การติดต่อจึงห่างกันไปบ้าง เขากลับมาไม่นานก็ถึงแก่กรรมด้วยความสาเหตุนิดเดียว คือทะเลาะกับเมียแล้วก็ไปกินยาฆ่าแมลงประชดเมีย เขาตายเพราะเข้าใจผิด คิดว่าเมียจะพาไปส่งโรงพยาบาลได้ทัน เท่านั้นเอง

อีกคนหนึ่งอายุแก่กว่าผมหลายปี เขาเป็นสิบเอกสามบั้งแล้ว ผมยังเป็นลูกจ้างใช้แรงงานอยู่ เขากินเหล้าอย่างหนัก และชวนผมไปกินด้วยเสมอ เพราะผมอาวุโสและเงินเดือนน้อยกว่าเขา ต่อมาเขาย้ายไปรับราชการทางปากน้ำโพ หรือจังหวัดนครสวรรค์ แล้วลาออกโดยไม่ทราบสาเหตุ ผมเจอเขาอีกทีก็งอมเต็มทนแล้ว แต่เขาไม่ได้ตายโดยโรคที่เกิดจากเหล้า ดูเหมือนจะตกน้ำตายหรืออย่างไรไม่ทราบแน่ชัด เพราะไม่มีใครยืนยัน

คนต่อมาเป็นนายทหารเหล่าทหารสื่อสาร มาพบกับผมตอนเข้าเรียนหลักสูตรนายทหารชั้นนายร้อยและนายพัน เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๓ และ พ.ศ.๒๕๑๖ จึงได้สนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดียิ่ง จนกลายเป็นคู่หูกันไปอย่างชนิดที่แยกกันแทบไม่ออก ทั้ง ๆ ที่ผมมีนิสัยผิดแผกแตกต่างกับเขาอย่างขาวกับดำ มีสิ่งที่ตรงกันอยู่อย่างเดียวก็คือ เป็นคนชอบกินเหล้าไม่แพ้กัน เรากินเหล้าด้วยกันเสมอทุกโอกาสเวลาและสถานที่ เว้นแต่เวลาเรียนเท่านั้น เขาเป็นคนที่มีรูปร่างเตี้ยกลมตะล่อมป้อม บุคลิกลักษณะอันเด่นชัดของเขาก็คือ เป็นคนเปิดเผย ซื่อตรง และมีความเชื่อมั่นในตนเองมาก พูดจาเสียงดังฟังชัด โผงผางผ่าซาก และค่อนข้างจะใช้สำนวนลูกทุ่งของ “ไม้เมืองเดิม” อยู่เสมอ ซึ่งแม้จะมีเพื่อนบางคนไม่ค่อยจะชอบ แต่ก็ไม่มีใครเกลียดเขาได้ลง เพราะเขาเป็นคนร่าเริง ใจคอหนักแน่นไม่เคยโกรธใคร ไม่ว่าจะโต้เถียงกันด้วยโวหารที่ดุเดือดเผ็ดร้อนเพียงใดก็ตาม โดยเฉพาะเป็นคนไม่หวงวิชาความรู้ เขาจะช่วยเหลือเพื่อนฝูงในวิชาที่เขาถนัดอยู่เสมอ เพราะเขาเรียนสำเร็จปริญญาตรีสาขาอิเล็กทรอนิคส์ และเป็นครูอาจารย์มาก่อนจะเป็นนายทหาร ความเป็นคนคงแก่เรียนของเขา เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน ด้วยการสอบได้เป็นที่ ๑ ในชั้นนายร้อย และเป็นที่ ๔ ในชั้นนายพัน

แต่เหล้าไม่เคยให้คุณแก่ใคร เมื่อจบหลักสูตรชั้นนายพันแล้ว ผมก็ต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคตับ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๗ แต่รักษาให้ทุเลาได้ภายในเวลา ๑ ปี ส่วนเพื่อนของผมคนนี้ ต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคเดียวกัน เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๐ ขณะที่มียศเป็นพันตรี อายุได้ ๔๕ ปี และเมื่อเข้าไปในห้องผ่าตัดแล้ว ก็ไม่ได้กลับออกมาอีกเลย

คนถัดไปเป็นทหารอากาศ เดิมเป็นชาวผักไห่อยุธยา เขาถูกเพื่อนชักนำให้มารู้จักกับผม ซึ่งเป็นทหารบก เราคบหาสมาคมกันด้วยความรัก และความปรารถนาดีต่อกันมาเป็นเวลาอันยาวนาน เขาเป็นคนที่มีอัธยาศรัยใจคอดีมาก เป็นที่รักของเพื่อนทุกคน มีความสุจริตจริงใจเสมอต้นเสมอปลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง คงไม่มีใครเคยได้ยินเขากล่าวร้ายนินทาหรือโกรธเกลียดผู้ใดเลย มีแต่ยิ้มหัวกระเซ้าเย้าแหย่ ให้ทุกกลุ่มที่เขาเข้าไปสัมผัสด้วย เกิดความสนุกสนานรื่นเริงอยู่เสมอ เขาไม่ใช่นักเลงกินเหล้า นอกจากจะดื่มตามโอกาสอันควรในสังคม และแม้ในหมู่เพื่อนฝูง เขาก็ไม่เคยมีอาการเมาให้เห็นเลย ไม่ว่าจะใช้เวลายาวนานเพียงใด

ในเวลาต่อมาเขารู้ว่าตนเอง เป็นโรคหัวใจ หมอบอกว่ากล้ามเนื้อหัวใจตาย ทำงานหนักไม่ได้ บางคราวเดินขึ้นลาดเชิงสะพานปิ่นเกล้าได้ครึ่งทาง ก็ต้องหยุดหอบตัวโยน เมื่อครั้งเข้าสอบคัดเลือกเพื่อเลื่อนเป็นนายทหารสัญญาบัตร ก็ผ่านการทดสอบสมรรถภาพมาได้อย่างยากเย็นเต็มที และตั้งแต่นั้นมาเขาก็ต้องระมัดระวังในการดื่ม เพราะมีโรคความดันสูงเพิ่มขึ้นมาอีก เขารู้ตัวดีว่าอายุคงจะไม่ยืนยาวนัก จึงไม่มีแฟนจนเพื่อนสงสาร เพราะหน้าตาก็พอดูได้ค่อนไปทางหล่อ เพื่อนกลุ่มอื่นของเขาพยายามเป็นแม่สื่อแม่ชักให้ ก็ไม่สำเร็จเพราะเขาเป็นคนขี้อาย สุดท้ายก็เลยได้แต่งงานกับน้องสาวของเพื่อนกลุ่มเรานั้นเอง

แล้ววันหนึ่งเขาไปกินอาหารกลางวัน กับเพื่อนที่เป็นลูกชายของผู้บังคับบัญชาของเขา เสร็จแล้วกลับมานอนหลับอยู่ในห้องรับรอง ของกองบัญชาการกองทัพอากาศ จนถึงเย็นจึงมีคนทราบว่าเขาป่วย จึงนำตัวส่งโรงพยาบาล กว่าลูกเมียญาติพี่น้องซึ่งอยู่แถวบางกรวย จะทราบเรื่องและมาเยี่ยมได้ก็เย็นค่ำแล้ว เขายังพูดคุยกับผู้มาเยี่ยมได้ แต่เขารู้ตัวแล้วว่าจะต้องเป็นอัมพาตครึ่งซีก เพราะเส้นโลหิตในสมองแตก เมื่อญาติพากันกลับไปในตอนดึก เขาก็อยู่อีกไม่นานเลยสองยามไปเพียงครึ่งชั่วโมง เขาก็หมดลมหายใจ ไม่ทราบว่าเขาตายด้วยโรคเส้นโลหิตแตก หรือโรคหัวใจ ขณะนั้นเขามียศเป็นเรืออากาศโท อายุได้ ๔๙ ปี วันนั้นผมจำได้ดีว่า เป็นวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๒๙ เพราะห่างจากวันเกิด ครบรอบ ๕๕ ปี ของผมเพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้นเอง
ลูกชายคนเดียวของเขา อายุยังไม่ถึงสิบขวบ มาถึงบัดนี้โตเป็นหนุ่มจบการศึกษา และทำงานการไปแล้ว เราก็ยังคิดถึงเขาอยู่เหมือนเดิม ไม่เคยลืม
คนต่อมาเป็นหญิงที่มีอายุน้อยที่สุดในกลุ่มเพื่อน ที่สมมุติว่ามีอยู่ด้วยกัน ๓๗๘ คน แต่ความจริงมีไม่ถึง กลุ่มนี้มีทั้งหญิงชายที่รับราชการอยู่ในกรมเดียวกัน คบหาสมาคมกันตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.๒๕๐๐ กว่า ๆ เธอผู้นี้เข้ารับราชการทีหลังเพื่อน ซึ่งผมเป็นผู้ดำเนินการบรรจุเข้ารับราชการด้วยตนเอง ตามหน้าที่หลักของผม เรารวมกลุ่มกันได้อย่างเหนียวแน่นจนถึงปัจจุบัน ที่เกือบทุกคนก็เกษียณอายุราชการไปตาม ๆ กัน เมื่อหลายปีมาแล้วผมเป็นผู้นำในการไปทัศนาจรต่างจังหวัด โดยเก็บเงินกันคนละเล็กละน้อย เที่ยวไปตามกำลังความสามารถ ด้วยรถสองแถวขนาดใหญ่ จุผู้โดยสารได้ร่วมยี่สิบคน เราไปกันทั้งครอบครัวลูกหลานยั้วเยี้ย จนสุดท้ายมีเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ และค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นจนจัดต่อไปไม่ได้จึงเลิกราไป แต่เราใช้วิธีจัดงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อน ซึ่งเกือบจะทุกเดือนในรอบปี โดยเพื่อนที่มาร่วมงานรวบรวมเงิน เป็นของขวัญแก่ผู้เกิด แทนการมอบของขวัญอย่างอื่น เริ่มตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.๒๕๒๖ จนถึงบัดนี้

เธอผู้นี้ก็จะเป็นต้นเสียงร้องเพลงอวยพรวันเกิด ทั้งภาคภาษาอังกฤษและภาคภาษาไทย ด้วยเสียงที่สูงจนเพื่อน ๆ ตามไม่ไหว จึงฟังดูคล้ายจะเป็นเพลงประสานเสียงในโบสถ์ของฝรั่ง เป็นผู้ที่ชอบชงเครื่องดื่มให้เพื่อนอย่างแก่จัด แต่ของตนเองจะชงอย่างอ่อน ๆ อยู่เสมอ จนเป็นที่ตำหนิติเตียน และบ่นว่าของเพื่อนฝูงอยู่เสมอ

ชีวิตส่วนตัวของเธอค่อนข้างจะอาภัพ แต่งงานแล้วมีบุตรชายคนหัวปี ก็อายุไม่ยืน ไม่ทันจะโตก็เสียชีวิตไปก่อน ต้องขอลูกผู้อื่นมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เพราะลูกคนแรกนี้คลอดยาก จึงต้องทำหมันปิดโรงงานไป ครอบครัวก็ไม่ค่อยอบอุ่น ต่อมาเมื่ออายุมากขึ้นก็ป่วยเป็นโรคหัวใจ ต้องงดการดื่ม และค่อนข้างจะหงอยเหงาลง ทั้ง ๆ ที่เป็นนักกีฬาเปตอง ได้รับรางวัลเสมอ อยู่มาวันหนึ่งผมทราบข่าวว่าไม่ค่อยสบายมาก ผมก็ไปเยี่ยมที่บ้านพักในกรม เธอต้องนอนคุยกับผม แต่ผมก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไร เธอปรึกษาผมว่าจะขอลาออกและรับบำเหน็จเอาเงินก้อน ผมก็ทักท้วงว่าควรจะรับบำนาญ และประชดเธอไปว่า ถ้าคิดว่าจะตายในเร็ว ๆ นี้ ก็ควรจะรับบำเหน็จ เธอก็ยิ้มเศร้า ๆ ทำให้ผมได้สติว่าไม่ควรจะพูดอย่างนั้น

แล้วเธอก็ต้องเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ โดยยังไปไม่ถึงโรงพยาบาล ในเช้าวันรุ่งขึ้นนั้นเอง ผมยังเสียใจไม่หายแม้ว่าเวลาจะผ่านมาตั้งหลายปีแล้วก็ตาม เธอเกิดเมื่อ ๑๓ สิงหาคม ๒๔๘๕ และเสียชีวิตเมื่อ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๓๙ อายุได้ ๕๔ ปี

ต่อไปเป็นคนรูปหล่อแบบชายงาม ผิวคล้ำไว้หนวดเรียวเหนือริมฝีปาก เขารับราชการในกรมเดียวกัน เกือบพร้อม ๆ กับผม แต่อยู่คนละหน่วย ต่อมาอีกร่วมสิบปีเราจึงได้มาคบกันเป็นเพื่อน จากนั้นเราก็สนิทสนมกันมากขึ้น จนถึงขั้นไปกินไปนอนที่บ้านญาติของเขาที่บางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา แล้วจึงได้ทำงานร่วมกันในสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง ๕ ในหน้าที่พนักงานกล้องถ่ายโทรทัศน์ เขาเข้าไปทำงานทีหลังผม ดังนั้นผมจึงเป็นพี่เลี้ยงของเขาในหน้าที่นั้น แต่เขาเป็นคนเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ได้รวดเร็ว จึงทำให้สามารถปล่อยเดี่ยวได้ในเวลาไม่นานนัก

ผมรักและนับถือเขา ในเรื่องความขยันหมั่นเพียร เอาใจใส่ในหน้าที่การงาน มีความกระตือรือร้น และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา เขาเป็นคนกล้าหาญ สามารถทำงานใกล้ชิดกับผู้บังคับบัญชาชั้นสูงได้อย่างไม่เคอะเขิน ทั้ง ๆ ที่มียศเป็นนายทหารประทวนเท่านั้น แสดงให้ผู้บังคับบัญชาเห็นถึงความซื่อสัตย์สุจริต และความจงรักภักดี เขาจึงได้รับความไว้วางใจและความเชื่อถือจากผู้บังคับบัญชาชั้นสูง ตลอดมา

ในงานด้านโทรทัศน์ นอกจากงานประจำที่เขาทำด้วยความกระฉับกระเฉง ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างว่องไวทันเวลาแล้ว เขายังได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ ให้ก้าวเข้าสู่วงการแสดง เริ่มจากเป็นตัวประกอบซึ่งเมื่อเขาได้รับค่าตอบแทนครั้งแรกใส่อยู่ในซอง เข้าไม่กล้าเปิดออกดู ได้ชวนผมกับเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่ง ไปนั่งที่ร้านข้าวต้มแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แล้วค่อย ๆ แกะซองนั้นออกมาด้วยความภาคภูมิใจต่อหน้าเราทั้งสอง มันเป็นเงิน ๑๕๐ บาท ซึ่งมากพอสมควรในสมัยยี่สิบปีก่อนโน้น แล้วเราก็ช่วยกันแสดงความยินดีด้วยสุราอาหาร จนหมดเงินจำนวนนั้น

เขาได้ร่วมแสดงภาพยนต์ทางโทรทัศน์ ของคณะรัชฟิล์มหลายเรื่อง ที่เด่นดังในยุคนั้น เช่น พิภพมัจจุราช หุ่นไล่กา เพื่อมาตุภูมิ และ ชุมทางชีวิต ถึงแม้เขาจะก้าวไปไม่ถึงระดับดารานำ แต่ฝีมือการแสดงของเขา ก็ไม่ด้อยไปกว่าดาวร้ายที่ไว้หนวดทั้งหลาย สุดท้ายเขาได้เลื่อนเป็นผู้กำกับเวที และทำงานทางโทรทัศน์อยู่จนถึงเวลาเกษียณอายุราชการเมื่อ ตุลาคม ๒๕๓๓

ในด้านส่วนตัวกับผมนั้น เขาให้ความรักและนับถือผม อย่างมั่นคงไม่มีเปลี่ยนแปลง ทั้ง ๆ ที่ผมมีอายุอ่อนกว่าเขา เขาจะทุกข์จะสุข มีกินหรือไม่มีกิน ก็ต้องบอกเล่ากันอยู่เสมอ ดูเหมือนเขาจะไม่มีความลับอะไรสำหรับผมเลย เราต่างเป็นที่ปรึกษาของกันและกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเมื่อมีโอกาส ตักเตือนแนะนำด้วยความสุจริตใจต่อกันทุกเรื่อง ตลอดเวลาที่คบกันมา

เขาเป็นคนมีความแข็งแรงสุขภาพดี เพราะได้ออกกำลังกายอยู่อย่างสม่ำเสมอ เมื่อผมเกษียณอายุราชการใน พ.ศ.๒๕๓๕ เขาก็ยังแนะนำให้ผมหมั่นออกกำลังกายทุกเช้า เพื่อร่างกายจะได้แข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน แต่ผมเป็นคนขี้เกียจตื่นเช้ามาแต่ไหนแต่ไร จึงละเลยคำแนะนำด้วยความหวังดีของเขาเสีย จนถึง พ.ศ.๒๕๓๗ เขาจึงเริ่มไม่สบาย ซึ่งเขาก็ปรับทุกข์
และขอคำแนะนำจากผมบ้าง เมื่อผมแสดงความคิดเห็นไปตามความรู้สึกส่วนตัว เขาก็พอใจที่จะปฏิบัติตามในหลายประการ แม้แต่การเข้ารับการผ่าตัดโรคมะเร็งที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ เพราะเขาพักอยู่ที่บ้านปากน้ำ

สุดท้ายเขาได้รายงานอาการป่วยให้ผมทราบทางโทรศัพท์ ว่ารับประทานอาหารไม่ค่อยได้ น้ำหนักลด และอ่อนเพลียไม่มีแรงแม้แต่จะเดิน ต่อมาอีกเกือบเดือนผมจึงได้ทราบว่าเขาเข้าไปนอนอยู่ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ผมก็ตกใจพยายามที่จะไปเยี่ยมเขาให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่ทันการ เขาหมดลมหายใจเสียในตอนเย็น วันจันทร์ ที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๓๘ แทนที่ผมจะได้ไปเยี่ยมเขาที่ปากน้ำ ในวันรุ่งขึ้นตามที่ตั้งใจไว้ เขากลับมานอนให้ผมรดน้ำที่วัดสังเวชแทน ผมจึงเห็นแต่ใบหน้าที่เรียบเฉย ผมขาวทั้งศรีษะ และหนวดก็ขาว สวมแว่นตาซึ่งไม่มีความจำเป็นสำหรับเขาอีกแล้ว เขาไม่เห็นและไม่รับรู้สรรพสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้แล้ว เขาไม่เห็นแม้แต่เพื่อนซึ่งรักเขา และเขาก็รักมากที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ตรงหน้า

ผมเขย่ามืออันเย็นชืดและแข็งทื่อของเขา เป็นการอำลา เหมือนที่เราเคยทำในคราวที่ต้องจากกัน แต่คราวนี้เป็นการลาครั้งสุดท้าย เขาไม่ได้บีบมือตอบผมเช่นเคย ผมเพียงแต่รู้สึกด้วยใจ ว่าเขาคงจะรับรู้ถึงความเสียใจและอาลัยของผม เช่นกัน

ถัดจากนั้นเป็นเพื่อนผู้มีอาวุโสของผม ตั้งแต่ผมเพิ่งลาออกจากโรงเรียนมาผจญโลกด้วยความรู้เพียงชั้นมัธยมปีที่สี่ จากโรงเรียนวัดสมอราย เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๙ แล้วเข้าไปเป็นคนงานใช้แรงงาน ที่กรมพาหนะทหารบก ขณะที่มีอายุเพียงสิบหกปี พี่เขาได้เอื้อเฟื้อเจือจานผม ซึ่งเป็นไอ้เปี๊ยกของเขา ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาถนัดจัดเจน จนได้มีความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนได้ประสบการณ์ของลูกผู้ชายในสมัยนั้น อย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา ๗ - ๘ ปี ที่ทำงานอยู่ด้วยกัน
และในภายหลังเมื่อผมย้ายมาเจริญเติบโต อยู่ทางฝั่งตรงข้ามของคลองเปรมประชากร อีกกว่าสามสิบปี

ผมสนิทสนมกับเขาตั้งแต่เขายังเป็นชายโสด รูปหล่อ ยิ้มเห็นฟันทอง ผู้มีประสบการณ์เกี่ยวกับอิสตรีอย่างโลดโผนพิสดาร จนกระทั่งแต่งงาน และมีบุตรชายหญิงเรียงลำดับไปจนครบ ๕ คน ไม่มีเรื่องใดเลยในครอบครัวของเขา ที่ผมจะไม่มีส่วนได้รับรู้ และช่วยเหลือกันไปตามประสายากจนด้วยกัน แม้ว่าเราจะมีความขาดแคลนอยู่พอ ๆ กัน แต่เราก็มีความสุขเสมอ บ้านของเขา ตั้งแต่ตรอกปูเค็ม จนถึงเรือนแถวของโรงเรียนทหารขนส่ง และแฟลตนายสิบ ของกรมการขนส่งทหารบก จึงเป็นสวนสวรรค์อันสำเริงสำราญ สำหรับเพื่อนฝูงตลอดเวลา จนกระทั่งผมได้ก้าวหน้าในชีวิตราชการ สูงขึ้นเป็นลำดับ โดยที่พี่เขายังคงเป็นจ่าสิบเอกอมตะอยู่เช่นเดิม แม้เมื่อภรรยาของเขาได้เสียชีวิตไปเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๙ และตัวเขาได้ลาออกจากราชการก่อนที่จะเกษียณอายุแล้วก็ตาม เราก็ยังคบหาไปมาอย่างสม่ำเสมอเหมือนเคย

ลูกคนโตของเขาเป็นหญิง แต่อาภัพเป็นโรคลมชักมาตั้งแต่เด็ก พออายุเข้าวัยรุ่นเกิดเป็นลมขณะรอรถเมล์ข้างถนน ล้มฟาดเอาศรีษะกระแทกกับขอบทางเท้า หมดสติเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ร่วมอาทิตย์ แล้วก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาลกลาง ผมก็ช่วยงานศพที่วัดบางยี่เรืออย่างเต็มกำลัง จนได้พบเพื่อนของแม่เขา ที่เป็นชาวบางยี่ขันอีกหกเจ็ดคน ซึ่งคบกันมาจนแก่เฒ่าและตายจากกันไปเกือบหมด โดยที่ผมยังอยู่ และผมสนิทสนมกับภรรยาของพี่เขามานานมาก จึงเป็นน้าของลูกชายสองและลูกสาวอีกสองของเขาจนถึงบัดนี้

เมื่อใกล้จะเกษียณอายุ เขาเบื่อที่จะคอยเลื่อนจากจ่าขึ้นเป็นนายทหาร เพราะเจ้านายเห็นเพื่อนร่วมงานดีกว่าอยู่หลายปี จึงลาออกมารับบำนาญ แล้วก็เป็นโรคไส้เลื่อนจึงมาปรึกษาผม ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเพราะผ่ามาแล้วทั้งสองข้าง ผมก็บอกว่าไม่มีอะไรน่ากลัว เป็นการผ่าตัดเล็ก นอนโรงพยาบาลสามวันก็กลับบ้านได้ ผ่าแล้วมันก็หายไม่ถ่วงร่างกายให้เสียดแทงอีกต่อไป เขาก็เชื่อ จึงไปนอนให้หมอผ่าเอาลำไส้ที่เที่ยวเพ่นพ่าน กลับมาอยู่ตามที่ทางของมันตามเดิม แต่ตลอดสามวันเกิดไม่ยอมฉี่ เพราะถ่ายบนที่นอนไม่ถนัด เกิดอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ต้องผ่าตัดแก้ไขกระเพาะปัสสาวะอีกครั้ง คราวนี้ให้น้ำเกลือแทนการกินอาหารทางปาก เกิดอาการถ่ายเป็นเลือด เพราะกระเพาะอาหารเป็นแผล ต้องผ่าเข้าไปรักษากระเพาะอาหารอีก แต่ครั้งแรกไม่สำเร็จ ยังคงถ่ายเป็นเลือดอยู่ จึงต้องผ่าครั้งที่สี่และให้เลือดทั้งหมดเป็นจำนวนมาก ผมและเพื่อนต้องเที่ยวหาผู้เสียสละโลหิต ไปช่วยบริจาคเลือดนับสิบคน จึงรอดตายกลับมาบ้านได้

ผมจำวันเกิดของเขาได้ดี ๒ สิงหาคม ของทุกปี ผมและเพื่อนฝูงจะไปเยี่ยมเยียนเขาที่บ้าน และสนุกสนานเฮฮากันอย่างสุดขีดทุกครั้ง เป็นเวลานานนับสิบ ๆ ปี ในระยะหลังเขาป่วยจากการที่ต้องรับการผ่าตัดเดือนเดียวถึงสี่ครั้ง เมื่ออายุมากจึงกลายเป็นโรคความจำเสื่อม เพื่อนฝูงไปหาก็จำไม่ได้ จึงเหลือแต่ผมคนเดียวที่ยังไปเยี่ยมเขาทุกปี ชวนคุยท้าวความหลังจำได้บ้างไม่ได้บ้าง ดื่มเบียร์กันคนละกระป๋องแล้วก็ลากลับ เป็นเช่นนี้อยู่ ๒ - ๓ ปีสุดท้าย

เมื่อ ๒ สิงหาคม ๒๕๓๙ ผมติดธุระจึงบอกกับลูกสาวคนสุดท้องว่า วันหลังจะหาเวลาว่างไปเยี่ยมอย่างเคย แต่ผมก็หลงลืมไปตามวัย จนกระทั่งอีก ๑๑๑ วันต่อมา เขาคงจะขี้เกียจคอยผม เลยเลิกหายใจไปเสียเฉย ๆ โดยไม่มีโรคร้ายแรงแต่อย่างใด ผมจึงรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง เป็นความเสียใจเพียงครั้งเดียวในชีวิต ที่ผมได้คบค้ากับพี่เขามาตลอดเวลา ๕๐ ปี เขาเสียชีวิตเมื่ออายุได้ ๗๐ ปี กับ ๓ เดือน ๒๑ วัน

อีกกลุ่มหนึ่ง เป็นเพื่อนนักเรียนเก่าร่วมชั้น ที่เรียกว่ารุ่นเดียวกันนั้น มีอยู่เป็นจำนวนมาก ระดับประถมศึกษานั้น ผมจำได้เพียงคนเดียว เพราะบังเอิญเขาได้เข้าไปรับราชการอยู่ในหน่วยเดียวกัน ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ และระดับมัธยมศึกษา ซึ่งผมเรียนชั้นสุดท้าย ซ้ำเป็นปีที่สอง แล้วก็ไม่สำเร็จนั้น ยิ่งมีมากขึ้นไปอีก แต่ผมก็ยังจำได้อยู่เพียงคนเดียว เพราะบังเอิญมีนิวาสสถาน อยู่ในย่านซังฮี้ด้วยกัน และเพื่อนผู้นี้เองที่ได้ชักนำเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่น ๆ ให้มารู้จักผมหรือให้ผมรู้จัก ตั้งแต่ประมาณยี่สิบปีมาแล้ว ซึ่งผมก็รับเอาไว้เป็นเพื่อน ทั้ง ๆ ที่ผมนึกถึงความหลัง ที่ได้เคยเกี่ยวข้องกัน ไม่ได้เลยก็ตาม

เพื่อนกลุ่มนี้ตามรายชื่อที่เขาพิมพ์ไว้เป็นหลักฐานครั้งแรก มีเหลืออยู่แค่ สามสิบกว่าคน ซึ่งเมื่อได้รวมกลุ่มกันนั้น แต่ละคนก็มี อายุ คุณวุฒิ และอาชีพที่แตกต่างกันไป และเมื่อได้อยู่มาถึงบัดนี้ ทุกคนก็ได้เกษียณอายุมาแล้วคนละหลายปี และอีกหลายคนก็ได้พ้นจากสภาพความเป็นมนุษย์ไปเสียแล้ว

เพื่อนที่ได้พบได้รู้จัก และคบหาสมาคมกันเป็นเวลาสั้นที่สุด จนแทบจะนึกหน้าไม่ออก เป็นอาจารย์ทางศิลปกรรม ดูเหมือนจะสอนอยู่ที่โรงเรียนเพาะช่าง ต่อมาได้เป็นโรคท้องเดิน แล้วหัวใจวายถึงแก่กรรมไปเมื่อปี ๒๕๒๐

คนถัดมานั้น เขาอยู่แถวศรีย่าน ไม่ไกลจากบ้านของผมนัก เป็นคนรูปร่างสูง เสียงทุ้มต่ำมีกังวานลึก ชอบสนุกสนานเฮฮากับเพื่อนเป็นอย่างดี แต่ทราบว่าเป็นมะเร็งในกล่องเสียง ครั้งสุดท้ายที่มาพบเพื่อนในงานบำเพ็ญกุศลประจำปี แด่บรรพบุรุษของเพื่อนคนหนึ่ง เห็นเอาสายยางที่เจาะลงไปในกระเพาะอาหารติดตัวมาด้วย เพื่อนฝูงก็เย้าแหย่ว่าให้เอาเบียร์กรอกลงไปตามสายยางนั้น จะได้เมาเท่า ๆ เพื่อน จำไม่ได้ว่าเขาทำตามหรือเปล่า แต่อีกไม่นานเขาก็ถึงแก่กรรมเมื่อปี ๒๕๒๕

อีกคนหนึ่งเป็น พันเอกพิเศษ เหล่าทหารการเงิน เป็นคนมีน้ำใจดี รักเพื่อนฝูง และเป็นคนมีรสนิยมในการดื่ม เขาจะพกเหล้าบรั่นดีชื่อดังของโลก ไว้ท้ายรถเสมอ ถ้าได้เข้ากลุ่มกับเพื่อนชุดนี้ เขาก็จะเอาขวดเหล้านั้นมาตั้งกลางวง โดยไม่ได้เรียกร้องอะไรเป็นพิเศษ แล้วก็จิบทีละน้อย ตามด้วยน้ำเย็น เพื่อนที่ชอบเหมือนกัน จะช่วยเขาดื่มด้วยก็ไม่ว่าอะไร ข้อสำคัญถ้าหมดขวดแล้ว ไม่มีใครสั่งตรานี้มาอีก เขาก็จะลากลับบ้าน เพราะไม่ถูกกับตราอื่น เขาป่วยอยู่ไม่นานก็ถึงแก่กรรม ด้วยโรคมะเร็งไม่ทราบว่าที่อวัยวะใดเมื่อปี ๒๕๓๑

อีกคนหนึ่ง เป็นนักเรียนรุ่นพี่แต่เพื่อนรุ่นเดียวกันคงจะมีที่ถูกใจน้อย จึงมาเข้าร่วมในรุ่นของผม เป็นคนรูปร่างสูงชลูดตูดปอด ไว้หนวดเฟิ้มคล้ายคนโบราณ ใจคอโอบอ้อมอารี มีความรักเพื่อนรุ่นน้องเป็นอย่างมาก ยินดีช่วยเหลือทุกคนที่ขัดข้อง ไม่ว่าเรื่องใด เขารับราชการที่การรถไฟแห่งประเทศไทย มีเหล้าฝรั่งกี่ขวดกี่ตรา ก็เอามาเปิดให้เพื่อนกินหมด เมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว ก็ออกไปทำงานส่วนตัวอยู่ที่ต่างจังหวัด เกิดอุบัติเหตุพลัดตกลงมา จากหอตั้งถังน้ำประปา ต้องกลับมานอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช แล้วก็ถึงแก่กรรม ผมไปเยี่ยมร่างของเขาเป็นคนแรก ก่อนที่ทางโรงพยาบาลจะรับเอาไปเป็นครูใหญ่ในโรงเรียนแพทย์ เมื่อปลายปี ๒๕๓๑

คนถัดมา แก่กว่าผมหนึ่งปี แต่เรียนอ่อนกว่าผมปีหนึ่ง เมื่อผมโดนเกณฑ์ไปเป็นพลทหารราบ เขาได้เป็นครูฝึกของผม หลังจากที่กลับจากไปร่วมรบ ในสงครามเกาหลีจนได้รับเหรียญกล้าหาญมาแล้ว เขาจำได้ว่าผมเป็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกับเขา จึงได้รับความเมตตาเป็นอย่างดี เขารับราชการทหารต่อมาจนได้รับยศร้อยเอก จึงเป็นโรคมะเร็ง แต่เขาชอบรักษาทางไสยศาสตร์ มากกว่าแผนปัจจุบัน ได้ถึงแก่กรรมลงในเดือนเดียวกับคนก่อนนั้นเอง

คนต่อไป เป็นสถาปนิก มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง การเงินค่อนข้างจะดี และมีน้ำใจกว้างขวาง เขาพูดเสียงดังฟังชัดว่ายินดีรับอุปถัมภ์การจัดเลี้ยงประจำเดือน ของเพื่อนกลุ่มนี้ ขัดข้องสิ่งใดบอกได้ทุกเมื่อ แต่จัดมาได้ร่วมสิบปี เขาก็ป่วยด้วยโรคตับและโรคหัวใจ ต้องนอนข้างถังอ็อคซิเยนอยู่เป็นปี ในงานวันเกิดครั้งสุดท้ายของเขา ด้วยความรักเพื่อน ถึงกับถอดสายช่วยหายใจ ออกมานั่งคุยด้วยพักใหญ่ จากนั้นไม่นาน เขาก็ถึงแก่กรรมเมื่อปี ๒๕๓๒

คนต่อจากนั้น รูปร่างสูงใหญ่ สมกับตำแหน่งอาจารย์ใหญ่โรงเรียนชาย ประจำจังหวัดนครสวรรค์ ได้ทำความเจริญให้แก่โรงเรียนไว้มากมาย เป็นที่รักของครูน้อย และบรรดาศิษย์ทั้งหลาย แต่เวลาอยู่กับเพื่อนฝูงก็คุยสนุกสนาน มีเรื่องโปกฮามาเล่าให้เพื่อนได้เฮกันเสมอ ถึงเวลาเกษียณอายุ มีการประชุมประกาศสดุดีเกียรติคุณ ที่สนามหน้าโรงเรียน เขามีความปิติยินดีท่วมท้น เกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน จนถึงแก่กรรมเมื่อปี ๒๕๓๓ ก่อนที่จะพ้นภาระไม่กี่วัน เพื่อนหลายคนยกขบวนไปร่วมงานศพ ที่ทางโรงเรียนจัดให้อย่างสมเกียรติ มีนิทรรศการรอบศาลาสวดพระอภิธรรม ผมเองซึ้งกับคำไว้อาลัยก่อนการพระราชทานเพลิง ถึงน้ำตาซึม

คนต่อมา เป็นทหารสื่อสาร แต่นั่งอ่านข่าวอยู่ทางวิทยุกระจายเสียงจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป พอทหารสื่อสารเปิดสถานีวิทยุโทรทัศน์ ก็เลยได้นั่งอ่านข่าวออกหน้าจอให้คนได้รู้จัก เคยไปทำข่าวสงครามในเวียตนาม เกือบได้รับเหรียญกล้าหาญเหมือนกัน แต่ติดขัดอะไรไม่ทราบได้ จึงไม่ได้เป็นนายทหารสัญญาบัตร เมื่อหนุ่มมัวเพลิดเพลินอยู่กับการเที่ยวเตร่ และร่วมการกุศลจนลืมมีเมีย พอถึงเกษียณอายุราชการ เพิ่งมีลูกอายุเพียงไม่กี่ขวบ เกิดเป็นเบาหวานถึงขั้นจะต้องถูกตัดขา แต่มีผู้ใหญ่ช่วยขอร้องทางโรงพยาบาล ให้ดูแลเป็นพิเศษจนหายได้โดยไม่ต้องตัดขา แต่กลับถึงแก่กรรมด้วยเส้นโลหิตในสมองแตก เมื่อปี ๒๕๓๕

อีกคนหนึ่ง เป็นนายตำรวจป่าไม้ ที่มีชื่อว่ามือสะอาด ขนาดเกษียณอายุราชการแล้วยังผ่อนบ้านไม่หมด มีรสนิยมในการกินเหล้าเคล้าเสียงเพลงมาก และเป็นผู้ที่รู้เรื่องต่าง ๆ นอกวงการป่าไม้อย่างกว้างขวาง เป็นที่ปรึกษาของเพื่อนได้อย่างดี เขามีขอบเขตการปฏิบัติงานอยู่ในหลายจังหวัด จึงสามารถพาเพื่อนไปทัศนาจรได้บ่อย โดยมีลูกน้องจัดการรับรอง หลังเกษียณอายุได้ประมาณสามปี อยู่ดี ๆ ก็มานอนป่วยที่วชิรพยาบาล พอผมไปเยี่ยมครั้งที่สองก็ไม่ได้คุยกันเสียแล้ว เขาถึงแก่กรรมในตอนเย็นวันหนึ่ง เมื่อปี ๒๕๓๖
คนต่อไป ร่างผอมเกร็งรับราชการทางกรมชลประทานสามเสน พบกับผมที่ร้านลูกชิ้นเนื้อวัวศรีย่านบ่อย ๆ แต่ไม่ค่อยได้ไปร่วมงานเลี้ยงประจำเดือนไม่ทราบว่าติดขัดด้วยเรื่องอันใด คนนี้ถึงแก่กรรมเมื่อปี ๒๕๓๘ หลังจากที่เกษียณอายุราชการได้ไม่ทันถึง ๓ ปี ด้วยโรคมะเร็งในลำไส้

คนต่อมาเป็นนายทหารอากาศ ผมคิดว่าได้เคยสนิทสนมกับเขาเมื่อตอนเรียนหนังสือ แต่นึกหน้าไม่ออก พอมารวมกลุ่มกันก็ไม่ค่อยได้เห็นหน้าเขา จึงแทบจะไม่ได้เสวนากันเลย จนเขาถึงแก่กรรมเมื่อปี ๒๕๓๙ หลังเกษียณอายุราชการถึง ๗ ปี

อีกคนหนึ่ง ตัวเล็กแต่ใจใหญ่มีความรักเพื่อนฝูงมั่นคง เคยเป็นนักมวยรุ่นเล็กของโรงเรียน เมื่อโตขึ้นก็เป็นนักบิลเลียดฝีมือเยี่ยม เคยได้ช่วยกิจการของโรงเรียนและสมาคมศิษย์เก่าอย่างเข้มแข็ง มาร่วมงานเลี้ยงรุ่นประจำเดือนสม่ำเสมอ เว้นแต่เมื่อเจ็บป่วย ครั้งสุดท้ายมานอนป่วยอยู่ที่วชิรพยาบาล โดยไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร เพื่อนไปเยี่ยมก็บอกว่า มาหนเดียวพอแล้วไม่ต้องมาอีก พอรุ่งขึ้นเพื่อนที่ไปเยี่ยมด้วยกัน ก็โทรมาบอกว่าเขาไปรออยู่ที่วัดโสมนัสแล้ว เขาถึงแก่กรรมเมื่อปี ๒๕๔๐

อีกคนหนึ่งผมนึกหน้าไม่ออกเลย แต่ได้ข่าวว่าไปช่วยเดินสายไฟฟ้า บนหลังคาวัดบุญศรีมุนีกรณ์ แถวถนนรามอินทรา กิโลเมตรที่ ๘ แล้วเกิดพลาดพลั้งหล่นลงมาถึงกระโหลก ศรีษะร้าว ถึงแก่ความตายที่ โรงพยาบาลนพรัตน์ เมื่อ ๙ เมษายน ๒๕๔๐

คนต่อมาเป็นนายทหารเหล่าสารบรรณ ทำงานอยู่ที่กรมสารบรรณทหารบก ผมเคยไปติดต่อกับเขาบ้าง เมื่อยังรับราชการอยู่ แต่เมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว เขาก็หายเงียบไปเลย ได้ข่าวว่าถึงแก่กรรมเมื่อ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๔ อายุ ๗๐ ปีพอดี

อีกคนหนึ่งเคยสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เขามีอาชีพอิสระดูเหมือนจะเป็นเจ้าของรถบรรทุกรับจ้าง แต่เจ้าตัวชอบแต่งกายด้วยชุดที่นำสมัยหล่อเหลาอยู่เสมอ เขาป่วยหลายโรค จนต้องเลิกดื่มไปหลายปี แต่เมื่อพบกันก็จะคุยสนุกสนานเฮฮาอยู่เสมอ เพิ่งจะเสียชีวิตเมื่อ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๕ อายุเกือบ ๗๓ ปี

เพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งของผม ก็คือเพื่อนรุ่นนักเรียนนายสิบ ซึ่งสำเร็จการศึกษาออกมารับราชการเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๘ มีอยู่ด้วยกันเกือบ ๓๐๐ คน แยกย้ายไปรับราชการ ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่เมื่อเริ่มรวบรวมเป็นกลุ่มเพื่อพบปะสังสรรค์ หลังจากที่จากกันไป ๒๐ ปีแล้ว ก็ได้รายชื่อมา ๒๐๐ คนเศษ และเมื่อรับราชการต่อมาอีก ๒๔ ปี ปรากฏว่าไม่ยอมหายใจไป ๕๗ คน ที่เหลือก็เกษียณอายุราชการทั้งหมด

ความจริงผมจำหน้าจำชื่อเพื่อนไม่ได้ทั้งหมดหรอก เมื่อเวลาจัดงานเลี้ยงรุ่นซึ่งมีผู้มาร่วมงาน ผลัดเปลี่ยนกันเพียง ๔๐ - ๖๐ คน ก็ต้องให้เขียนชื่อใส่กระดาษแข็ง กลัดติดหน้าอกไว้ จึงพอจะทักทายกันได้บ้าง

ส่วนคนที่จำชื่อจำหน้าได้ และรู้ประวัติกันดีพอควร นั้นมีไม่กี่คน และจากกันไปแล้วก็หลายคน อย่างเช่น คนแรกเป็นนักวิ่งชนะเลิศกองทัพบก ไปเข้าแข่งขันกีฬาซีเกมส์ สมัยที่ยังเรียกว่า เซียพเกมส์ กีฬาเอเชียนเกมส์ และโอลิมปิคเกมส์ที่กรุงโรมเมื่อนานมาแล้ว ต่อมาลาออกจากราชการไปประกอบอาชีพส่วนตัว อยู่กับภัตตาคารและสถานอาบอบนวด สมัยที่เข้ามาเฟื่องฟูในเมืองไทยยุคแรก ๆ ต่อมาสมัครเป็นทหารพราน ไปรบนอกประเทศ กลับมาเลยเป็นนักเขียนเล่าเรื่องสงครามมีชื่อเสียงโด่งดัง นามปากกา สยุมภู ทศพล ผมเจอเขาครั้งสุดท้ายในงานวันนักเขียน ที่สมาคมแถวบ้านผมเอง จำเขาแทบไม่ได้ เพราะผมบนหัวหายไปกว่าครึ่ง สุดท้ายก็ได้ไปในงานฌาปนกิจศพเขา ที่วัดแถวห้วยขวาง เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๓ ซึ่งมีแขกไปร่วมงานน้อย ไม่สมกับที่เป็นคนเคยมีชื่อเสียงโด่งดัง มาก่อนเลย

คนต่อมาเป็นเจ้าหน้าที่เสียง สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ตั้งแต่ยังเป็น ช่อง ๗ ขาวดำ จนพัฒนามาเป็นช่อง ๕ (สี ) เป็นคนรูปหล่อและเจ้าชู้ แต่ภรรยาดุมากเป็นพิเศษ ไม่ทราบว่าเขาชอบเถียงภรรยาหรือเปล่า เพราะสุดท้ายเขาพูดไม่มีเสียง ต้องเขียนหนังสือคุยกับเพื่อน และถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งในกล่องเสียง เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๗

คนต่อมารับราชการด้านหาข่าว ประจำอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิดและตั้งรกรากอยู่ตลอดชีวิต เขาสนิทสนมกับผมมาก ได้เคยไปพักอาศัยกินนอน เที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ที่บ้านเขาเพียงครั้งเดียว แต่ซาบซึ้งในอัธยาศัยอันโอบอ้อมอารีของเขาเป็นอย่างยิ่ง น่าเสียใจที่เขาเสียชีวิตด้วยโรคอะไรก็ไม่ทราบ และผมติดราชการไม่ได้ไปร่วมงานศพของเขา เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๘

คนถัดไปรับราชการทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก พร้อม ๆ กับคนก่อน แต่มีหน้าที่เขียนแผ่นสไลด์ ฉายคั่นเวลาที่จะเปลี่ยนรายการ เป็นภาพอะไรก็ได้ เขาเขียนสวยมากโดยไม่ได้ร่ำเรียนมาจากสถาบันไหนเลย เขาชอบเขียนใบหน้าผม เอาไปทำเป็นการ์ตูนตลกบ่อย ๆ เขาเป็นคนรักการเล่นกีฬา รักสวยรักงาม และชอบเติมชีวิตให้สดชื่นด้วยการหาสาวน้อย วัยเพิ่งจะพ้นการศึกษา มาเป็นเพื่อนใจอยู่เสมอ เมื่อก่อนจะเกษียณอายุราชการ เขาเขียนหน้าผมให้เป็นตัวละครในวรรณคดีเรื่องสามก๊ก สำหรับใช้กับนามปากกา “เล่าเซี่ยงชุน” ของผมไว้เป็นที่ระลึก แต่เขาก็ไม่ได้อยู่เห็นรูปนั้น ปรากฏในหนังสือที่ผมได้รับการพิมพ์เป็นเล่ม เพราะหยุดหายใจไปเสียก่อน ด้วยโรคมะเร็งร้าย เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๐

อีกคนหนึ่งเขาลาออกก่อน พ.ศ.๒๕๓๕ ไปตั้งบริษัทจำหน่ายเครื่องจักรกลเกี่ยวกับการเกษตร จากจีนแดง นัยว่ามีผู้ใหญ่ให้การสนับสนุน เขาชักชวนให้ผมไปเป็นหัวหน้าแผนกบุคคล แต่ผมไม่ถนัดในการปกครองพลเรือน จึงไม่รับคำชวนของเขา แต่ก็ได้ร่างภารกิจการจัดบุคลากรให้เขา ก่อนการก่อตั้งบริษัท ต่อมาหลังจากเดือนพฤษภาคมผ่านไป บริษัทของเขาคงจะพบอุปสรรคบางประการ เรื่องนี้ก็หายเงียบไป เขาจึงประกอบธุรกิจอย่างอื่น จนเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๐ วันเดือนเดียวกับคนที่แล้ว อย่างน่าอัศจรรย์

อีกคนหนึ่งเป็นผู้ที่สนิทสนมกับผมมาก เพราะเมื่อผมเป็นประธานรุ่นอยู่ ๑๔ ปี ก็ได้เขาเป็นรอง และช่วยให้คำปรึกษาหารือในเรื่องต่าง ๆ เป็นประจำ เขามีสมองที่ว่องไวคิดแก้ปัญญาได้รวดเร็ว และถูกต้องเหมาะสมอยู่เสมอ เมื่อผมเกษียณอายุราชการ ผมก็ยัดเยียดตำแหน่งประธานรุ่นให้เขาเป็นต่อ เขาเป็นอยู่ ๓ ปี ก็โอนให้เพื่อนที่อายุน้อยที่สุดในรุ่น เป็นต่อไปจนถึงปัจจุบัน ครั้งสุดท้ายเขากับผมนั่งปรึกษาเรื่องกิจการของรุ่น พร้อมด้วยประธานคนใหม่ ที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งทางบางโพ ผมปรารภกับเขาถึงเพื่อนคนที่จะตายต่อไป ซึ่งจะต้องจ่ายเงินช่วยเหลือหลายพันบาท และเงินของรุ่นก็ร่อยหรอลงไปมาก เพราะไม่มีรายได้เพิ่ม และดอกเบี้ยก็น้อยเต็มที เขาว่าตัวเขาเป็นโรคหัวใจและเบาหวาน แต่ไม่ร้ายแรง และคุมอยู่ ส่วนผมเป็นโรคกระเพาะ เขาไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ ผมก็ไม่สูบบุหรี่แต่กินเบียร์ เราพูดกันเล่น ๆ ว่าเราสองคน ใครจะตายก่อนกัน ปรากฏว่าอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ เขากินข้าวกลางวันแล้วนั่งดูโทรทัศน์ เกิดอยากนอนจึงลงนอนที่เก้าอี้ยาว แล้วก็สิ้นใจไปเฉย ๆ โดยไม่มีอาการร้ายแรงแต่อย่างใดเลย เหตุนี้เกิดขึ้นเมื่อ ปลายปี พ.ศ.๒๕๔๓ นี้เอง

อีกคนหนึ่งที่จะนำมาเล่าเป็นคนสุดท้าย เพราะเป็นเพื่อนที่เก่ามากของผม ซึ่งเกือบจะลืมไปแล้ว เขาแก่กว่าผมเพียงปีสองปี เคยร่วมทำงานเป็นลูกจ้างใช้แรง ที่กรมพาหนะทหารบก มาด้วยกัน แต่ผมแยกมาเป็นทหารสื่อสาร และก้าวหน้าไปเป็นนายทหารสัญญาบัตรแล้ว ส่วนเขายังเป็นลูกจ้างอยู่ที่หน่วยเดิม บ้านของเขาอยู่หลังวัดน้อยนพคุณ ไม่ไกลจากที่ทำงานของผม ลูกสาวของเขาซึ่งผมเอาไปบรรจุเป็นนายสิบการเงินสื่อสาร มาตามผมให้ไปดูพ่อซึ่งป่วยเป็นมะเร็ง อาการหนักแล้ว ต้องออกจากโรงพยาบาลมานอนอยู่ที่บ้าน

ผมก็รีบไปแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้เขาได้ เพราะเขานอนหลับตานิ่ง หายใจเบา ๆ มีเพียงหน้าท้องที่เคลื่อนไหวเล็กน้อย จนแทบจะมองไม่เห็น ที่แสดงว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แม่ของเขาซึ่งเป็นป้าของภรรยาผม นั่งเฝ้าอยู่ชิดร่างกายของเพื่อนซึ่งกำลังรอวาระสุดท้าย แล้วในที่สุดแกก็บอกเบา ๆ ว่า มันไปแล้ว นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตของผม ที่ได้เห็นคนตายอย่างใกล้ชิดที่สุด และภายหลังจึงได้รู้ว่า อย่างนี้เองที่เขาเรียกว่า ถึงแก่ความตายด้วยอาการอันสงบ

เมื่อผมได้อยู่มาจนถึง วันนี้แล้ว ก็ตระหนักแน่แก่ใจว่า ความเป็นจริงที่แท้และแน่นอนของชีวิตนั้น ก็คือการเกิด แล้วก็ต้องแก่ แล้วก็ต้องเจ็บป่วย ลงท้ายก็ต้องตาย โดยไม่รู้ว่าใครกำหนด ชีวิตของเพื่อนที่นำมารวมกันไว้นั้น แตกต่างกันออกไป ทั้งการเกิด การดำเนินชีวิต การเจ็บป่วย และการสิ้นสุดของอายุขัย ซึ่งน่าจะเชื่อได้ว่า กรรมของเขาเหล่านั้นเอง ที่เป็นผู้กำหนดเส้นทางชีวิตให้เป็นไปเช่นนั้น ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม

ผมจึงบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับความตาย ของเพื่อนเหล่านี้ไว้ เพื่อรำลึกถึงความผูกพัน ที่เคยมีต่อกันมาในอดีต ตามประสาของคนรักเพื่อน และจะต้องติดตามเขาเหล่านั้นไปเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะได้มีโอกาสพบกันอีกหรือไม่ก็ตาม.

##########


Create Date : 13 เมษายน 2553
Last Update : 13 เมษายน 2553 6:47:55 น. 6 comments
Counter : 52 Pageviews. Add to






โดย: TREE AND LOVE วันที่: 13 เมษายน 2553 เวลา:9:28:57 น.




ขอบคุณสำหรับคำอวยพรวันสงกรานต์ครับ
ขอให้คุณประสบแต่สิ่งที่ดีงามตลอดไปครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 13 เมษายน 2553 เวลา:9:53:47 น.




สุขสันต์วันสงกรานต์ คิดสิ่งใดขอให้สมปารถนา มีพระรัตนไตรคุ้มครอง ร่ำรวยๆๆๆ นะครับบบบ



โดย: oneshot วันที่: 13 เมษายน 2553 เวลา:10:18:32 น.




มากราบขอพรปีใหม่ค่า...




โดย: phaclam วันที่: 13 เมษายน 2553 เวลา:12:26:00 น.






โดย: thanitsita วันที่: 13 เมษายน 2553 เวลา:14:06:42 น.




ขอบคุณ คุณ oneshot คุณ phaclam และคุณ thanitsita
สำหรับคำอวยพรวันสงกรานต์
ขอให้คุณทั้งสามจงมีความสุขสงบเย็นตั้งแต่วันนี้ตลอดไปครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 14 เมษายน 2553 เวลา:5:47:27 น.





 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2553 9:02:02 น.
Counter : 547 Pageviews.  

เรื่องธรรมดา (๓๕) เรื่องที่น่าจดจำ

เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา (๓๕)

เรื่องที่น่าจดจำ

เพทาย

ผมมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่ ซอย ๑๖ ถนนลาดหญ้า คลองสาน เมื่อเวลาที่ผมไปเยี่ยมเยือนเขา จากซอยหน้าวชิรพยาบาล ผมจะขึ้นรถ ปอ.๕๐๕ เก่าไปจนสุดสาย ซึ่งเป็นระยะทางยาวและอ้อมวกวนมาก

ซึ่งผมได้ทราบว่าถ้าขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอส ไปลงที่สถานีสุรศักดิ์แล้ว จะมีรถโดยสารของบริษัทไปส่งถึงวงเวียนใหญ่ โดยไม่ต้องเสียค่าโดยสาร ผมจึงทดลองใช้เส้นทางนี้ โดยขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไปลงที่สถานีสุรศักดิ์

ความที่ผมไม่คุ้นเคยกับเส้นทางนี้ ผมจึงไม่รู้ว่ารถเมล์ที่จะต่อไปวงเวียนใหญ่นั้น จอดอยู่ป้ายไหน ผมลงบันไดของสถานีรถไฟฟ้าแล้ว จึงถามชายหนุ่มคนหนึ่งที่รอรถเมล์อยู่แถวนั้นว่า รถเมล์ของบีทีเอสที่จะต่อไปวงเวียนใหญ่นั้นจอดตรงไหน เขาก็ชี้ให้ผมเห็นว่าอยู่ฝั่งเดียวกันนั้นเอง

ผมก็ขอบคุณเขาแล้วก็เดินไปตามที่หมาย

พอเดินไปได้สองสามก้าว ก็มีเสียงร้องเรียกลุง ๆ อยู่ข้างหลัง เมื่อหยุดเหลียวไปดู ก็เห็นชายหนุ่มผู้นั้น เดินตามเข้ามาใกล้แล้วบอกว่า จะขึ้นรถนี้ต้องมีบัตรนะครับ

ผมก็ว่าไม่เห็นมีใครให้มาเลย เขาก็บอกว่าต้องซื้อตั๋วเดือนจึงจะได้ แต่วันนี้คุณลุงเอาที่ผมไปใช้ก่อนเถอะ และเขาก็ควักกระเป๋ากางเกงหยิบตั๋วใบเล็ก ๆ ปึกหนึ่ง ออกมาฉีกให้ผม แล้วเขาก็หันกลับไปจนผมขอบคุณแทบไม่ทัน

เขาให้ตั๋วผมมาตั้งสิบเอ็ดใบ

ถัดมาจากคราวก่อนหลายเดือน ผมต้องไปหาเพื่อนคนเดิมอีกครั้ง ผมก็ขึ้นรถไฟฟ้าจากสถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไปลงที่สถานีสุรศักดิ์เหมือนเดิม

คราวนี้ผมพกเอาตั๋วโดยสารรถเมล์ของ บีทีเอส ที่ได้มาคราวก่อนไปด้วย

แต่เมื่อขึ้นรถไปแล้วก็เห็นป้ายประกาศ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแบบตั๋วโดยสารใหม่ ผมอ่านจบแล้วก็เหงื่อแตก เพราะตั๋วที่ผมพกพามาด้วยนั้น ใช้ไม่ได้เพราะเขายกเลิกไปแล้ว

พอดีมีหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งอยู่ใกล้ที่สุด จึงตีหน้าเซ่อยื่นตั๋วสีส้มให้เธอดูแล้วถามว่า ตั๋วนี้ยังใช้ได้หรือไม่ เธอบอกว่าเดี๋ยวนี้ใช้ตั๋วใหม่ แล้วเธอก็ให้ดูตั๋วของเธอซึ่งเป็นสีม่วง ผมก็ว่างั้นผมก็ไปไม่ได้ เธอบอกว่าไม่เป็นไรใช้ของเธอก็ได้

แล้วเธอก็ฉีกตั๋วแบบใหม่ให้ผม ซึ่งผมก็ถือไว้รอให้เขาตรวจ ปรากฎว่าเมื่อผู้โดยสารขึ้นมา เขาก็หย่อนตั๋วลงไปในกล่องข้างคนขับ เช่นเดียวกับรถปรับอากาศขนาดเล็กนั่นเอง

เมื่อผมลงจากรถแล้ว ผมจึงได้ตั๋วสีม่วงติดมือมา เป็นที่ระลึกในน้ำใจของเธอผู้นั้น

และตั๋วใบนั้นยังอยู่จนบัดนี้

เรื่องที่เล่ามานั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว ตั้งแต่รถโดยสารปรับอากาศ สาย ๕๐๕ ยังแล่นข้ามสะพานสาทร ไปจอดที่คลองสาน ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนปลายทางเป็นสวนลุมพินีแล้ว

แต่ในสมัยปัจจุบัน ที่รถไฟลอยฟ้าได้ต่อรางข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ไปอีกสองสถานีคือ สถานีกรุงธนบุรี และสถานีวงเวียนใหญ่ ผมก็มีเรื่องที่น่าจดจำเกิดขึ้นที่วงเวียนใหญ่นี้อีกเช่นกัน

วันนั้นผมกับนายหงอกจะต้องไปเผาศพญาติของนายแมว ที่วัดโพธิ์แก้ว แถวบางปะแก้วสามแยกถนนพระราม ๒ หรือหัวถนนธนบุรี – ปากท่อเดิมนั่นเอง นายหงอกนั้นบ้านอยู่ ทุ่งสีกัน ดอนเมือง อุตส่าห์นั่งรถมาหาผมที่บ้านสวนอ้อย ตั้งแต่บ่ายสองโมง เพื่อจะได้ไปพร้อมกัน เพราะไม่รู้จักวัดนี้ทั้งสองคน แล้วก็พากันขึ้นรถปรับอากาศสาย ๓ ที่ผ่านหน้าโรงพยาบาลวชิระ ไปลงป้ายวงเวียนใหญ่เมื่อเวลาบ่ายสามโมง

เวลายังเหลืออีกเยอะกว่าจะถึงกำหนดวางเพลิง..ขอโทษ....ประชุมเพลิง ห้าโมงเย็น เราจึงคอยมองข้างรถเมล์ที่แล่นเข้ามาจอดป้ายทุกคัน ว่าสายไหนไปถึงไหน และผ่านที่ใดบ้าง นายแมวได้แนะนำว่าให้ขึ้นสาย ๖๘ จะเลี้ยวขวาไปจอดหน้าวัดเลย แต่เราก็ไม่เห็นมีผ่านมาสักคัน

ขณะนั้นมีพระภิกษุรูปหนึ่งยืนรอรถเมล์อยู่ใกล้ ๆ กัน ท่านจึงเมตตาถามว่า โยมจะไปไหนกัน นายพริ้งก็บอกจุดหมายให้ท่านทราบ แล้วก็เลยคุยกับท่านต่อไป ถึงรถเมล์สายโน้นสายนี้ ท่านก็ออกความเห็นว่าควรจะไปสายไหนได้บ้าง และจะต้องลงที่ไหน ต่อรถสายไหนไปอีก เพราะท่านก็ไม่รู้จริงเหมือนกัน จนกระทั่งมีรถสายที่ท่านต้องการจะขึ้นมาจอดตรงป้าย ท่านจึงร่ำราเราก็ยกมือไหว้คารวะในน้ำใจอันดีของท่านที่เป็นห่วงเรา

เมื่อรถเมล์คันนั้นเคลื่อนที่ออกจากป้ายไปแล้ว เราก็หันไปมองทางขวารอดูรถคันอื่นต่อไป แต่มีผู้ที่ยืนรออยู่ด้วยกันชี้มือบอกว่า ลุงรถคันนั้นเขาเรียก เราก็หันไปดูเห็นรถคันที่พระท่านขึ้นไปเมื่อกี้ จอดรออยู่ไม่ห่างนัก มีแขนคนใส่เสื้อขาว ๆ กวักมือมาที่เราสองคน

นายหงอกจึงชวนผมก้าวยาว ๆ ไปขึ้นรถคันนั้น พอเราสองคนขึ้นไปยืนหอบอยู่บนรถแล้ว กระปี๋ซึ่งเป็นคนโบกมือจึงบอกว่า พระท่านบอกว่าลุงจะไปวัดโพธิ์แก้วใช่ไหม เราก็รับคำแล้วไปหาที่นั่งด้านหน้าบันได เพราะมีผู้โดยสารไม่กี่คน

เมื่อชำระค่าโดยสารในราคาผู้เยาว์ เอ๊ย..ผู้เฒ่าแล้ว นายตรวจหญิงซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าซ้ายใกล้คนขับ หันหน้ามาเห็นเราก็ทักทายปราศรัยไต่ถาม อย่างมีไมตรี

พอรู้ว่านายหงอกมาจากดอนเมือง จะไปบางปะแก้วก็คงจะมีเมตตา ว่าอุตส่าห์ถ่อสังขารมาตั้งไกลถึงเพียงนี้ โดยที่ไม่รู้จักถนนหนทางอะไรเลย เธอจึงอธิบายถึงรถเมล์สายต่าง ๆ ที่ผ่านเส้นทางนี้ เป็นการสาธิต นายหงอกก็ต้องพยักหน้าหงึกหงักไปอย่างเดียว จนไม่ทันสังเกตว่าพระภิกษุผู้ใจดีรูปนั้นลงจากรถไปตั้งแต่เมื่อไร เมื่อรถแล่นผ่านดาวคะนองใกล้จะถึงทางแยก เธอก็บอกว่า

“ เดี๋ยวเลิกงานแล้วลุงเดินข้ามสะพานลอยมาฝั่งตรงข้าม แล้วเดินเลาะมาถึงป้ายนี้นะ “

เธอชี้มือประกอบการบรรยายไปยังป้ายจอดรถเมล์ฝั่งตรงข้าม

“ แล้วจะขึ้นรถสายอะไรก็ได้ แต่มีอยู่สายหนึ่ง ไปถึงอนุสาวรีย์ชัยฯ เลย ลุงจะได้ต่อไปดอนเมืองง่ายดี “

แล้วเธอก็บอกเบอร์รถสายนั้นให้ แต่ผมก็ไม่ได้จำ ขณะนั้นรถก็เลี้ยวขวาแล้วหยุดรอไฟแดงอยู่ครู่หนึ่ง นายตรวจหญิงก็บอกคนขับว่า ให้จอดป้ายหน้าให้ลุงสองคนนี่ลง แต่พอได้ไฟเขียวรถก็แล่นไปจนเลยป้าย คนขับรีบบอกว่า

“ รอแป๊บผมจะจอดให้หน้าประตูวัดเลย เดี่ยวจะหาวัดไม่ถูกอีก “

ผมกับนายหงอกกล่าวขอบคุณ ผู้หวังดีทั้งสาม ก่อนก้าวลงมายืนบนพื้นถนนเมื่อรถจอดสนิท ตรงหน้าประตูวัดโพธิ์แก้ว ด้วยความซาบซึ้งในความเมตตาอารี ซึ่งหาได้ยากยิ่งเช่นนี้

แม้จะไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนามของเขาและเธอเหล่านั้น แต่ผมก็คงจะจดจำรถโดยสารคันนี้ ไปอีกนาน

เพราะผมเห็นหมายเลข ๑๗๓ – ๑๙ ที่ข้างตัวถังรถอย่างชัดเจน.

###############



ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๑๗ มกราคม ๒๕๔๘



Create Date : 20 สิงหาคม 2550
Last Update : 20 กันยายน 2552 17:56:03 น.

Counter : 95 Pageviews. 4 comments

Add to







เกือบพลาดเรื่องนี้ไปนะเนี่ย เป็นเรื่องที่น่าจดจำจิงๆด้วย
โพดระลึกความหลังได้เรื่องนึง ตอนนั้นยังเด็กและซนด้วย พอแม่ไม่อยู่บ้านโพดชอบออกมาเดินแถวปากซอย แล้วไปเจอคนขายถ่านบนรถสามล้อ ไปคุยกะเค้านั่งรถไปกะเค้า วนเวียนอยู่ในซอย พอเจอร้านค้า เค้าก้อซื้อน้ำสไปร์ใส่ถุงให้กิน แล้วถามแม่ค้าว่าโพดลูกใคร แม่ค้าไปบอกยายเสร็จสรรพ วันนั้นเลยโดนตีด้วยก้านมะยมโทษฐานไปกับคนแปลกหน้า แต่ทุกวันนี้ยังจำหน้าน้าผู้หญิงคนนั้นได้อยู่เลย ตัวดำแต่ใจข๊าว ขาว



โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.242.19 วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:17:03:43 น.







เรื่องพันธุ์อย่างนี้
เขียนเมื่อไรก็มีคนอ่านครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:10:38:09 น.







ได้ตั๋วที่ระลึกมา 2 ครั้งทีเดียวนะครับ



โดย: พี่แต้ วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:14:55:24 น.







ผมก็เก็บไว้เป็นที่ระลึกอยู่นานครับ.




โดย: เจียวต้าย วันที่: 19 มิถุนายน 2551 เวลา:20:06:32 น.






 

Create Date : 22 มีนาคม 2553    
Last Update : 31 มีนาคม 2553 6:45:42 น.
Counter : 441 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.