Group Blog
 
All Blogs
 
เรื่องธรรมดา (๒๑) คนช่างคุย

เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา (๒๑)

คนช่างคุย

" เพทาย "

วันนั้นผมไปที่แผนกเบี้ยหวัดและบำเหน็จบำนาญในเวลาเที่ยงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาพัก เจ้าหน้าที่ประจำยังไม่มีใครกลับมา จากการออกไปรับประทานอาหารกลางวันนอกสำนักงาน คงเหลือเจ้าหน้าที่ซึ่งรับประทานอาหารในสำนักงาน เพียงสองสามคน

ผมยื่นแบบฟอร์มขอเบิกเงินค่ารักษาพยาบาล ให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งในจำนวนนั้น พร้อมกับเอ่ยปากขออภัย ที่ต้องรบกวนเวลาพักของเขา ก็ได้ยินคำตอบที่ไม่คาดคิดว่า

" ไม่เป็นไรหรอกครับ หัวหน้า....พวกผมยินดีบริการให้เต็มที่อยู่แล้ว กรุณานั่งรอสักพัก เดี๋ยวบ่ายโมงนิดหน่อยก็เรียบร้อยครับ หัวหน้าเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว คราวนี้ให้ลูกหลานได้รับใช้บ้าง "

ผมถอยออกมานั่งที่ม้ายาวหน้าโต๊ะทำงานของเจ้าหน้าที่ ด้วยความอิ่มเอิบใจ ใน คำพูดอันเสนาะหูของเจ้าหน้าที่ผู้นั้น พลางก็นึกในใจว่า ถ้าสถานที่ราชการซึ่งให้บริการแก่ประชาชนทุกแห่ง มีเจ้าหน้าที่แบบนี้มาก ๆ ประชาชนก็คงจะมีความสุขขึ้นอีกไม่น้อยเลยทีเดียว

พอถึงเวลาเกือบจะบ่ายโมง สมศักดิ์ข้าราชการบำนาญผู้สูงอายุกว่าผม ซึ่งเคย ทำงานในหน่วยเดียวกัน ก็โผล่เข้ามาและทักทายผมด้วยเสียงอันดังตามนิสสัย ผมก็รับคำ ปฏิสันฐานของเขาตามมารยาท เพราะไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกันเท่าใดนัก แล้วก็เปลี่ยนไปนั่งทางท้ายสุดของม้ายาวตัวที่สอง

สมศักดิ์หยิบแผ่นแบบฟอร์มค่ารักษาพยาบาล มานั่งเขียนที่โต๊ะซึ่งเขาจัดไว้ให้ ขณะที่กรอกข้อความลงในแบบพิมพ์ ก็ต้องหัน ไปถามคนข้างเคียงถึงวิธีกรอก ทั้ง ๆ ที่เจ้าหน้าที่ได้ทำตัวอย่างแปะกระดาษแผ่นใหญ่ วางไว้ให้ดูบนโต๊ะแล้ว เมื่อยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ ก็ได้รับตอบที่สุภาพว่าให้รอสักครู่หนึ่ง คนทำเรื่องนี้ออกไปรับประทานอาหารกลางวันยังไม่กลับ สมศักดิ์ก็สำนองด้วยเสียอันดังว่า

" แน่นอนละครับ จะให้รอนานเท่าไรก็ต้องรอจนเสร็จเรียบร้อยไหน ๆ ก็ถ่อมาแล้วนี่ "

เจ้าหน้าที่ผู้นั้นก็ยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี

สมศักดิ์ถอยกลับมานั่งรอที่ม้ายาว ตรงข้ามกับที่ยื่นเรื่องราว เคียงข้างกับชายผู้หนึ่งแล้วก็ถามขึ้นว่า

" คุณมารับค่ารักษาพยาบาลเหมือนกันหรือ ? "

ก็ได้คำตอบรับว่าใช่

" แย่หน่อยนะ....เกษียณแล้วมันก็ไม่มีดีอะไรเลย ตาก็ฟางหูก็ตึงฟันก็โยก หลุดทีละซี่สองซี่ กระเพาะก็ไม่ไหวกินอะไรก็ไม่ย่อย ท้องอืดท้องเฟ้อ ข้อเข่าก็เสื่อม แข้งขาไม่แข็งแรงเดินย่องแย่ง แถมยังเป็นความดันสูง โรคหัวใจ เบาหวาน เข้าให้อีกละก้อ แย่ที่สุดละ "

สมศักดิ์บรรยายยาวแล้วก็ถามว่า

"....แล้วคุณล่ะเป็นโรคอะไร "

ก็ได้รับคำตอบว่ายังแข็งแรงดีอยู่ แต่มาเบิกค่ายาให้ภรรยาซึ่งเป็นโรคภูมิแพ้

"น่านน่ะซี ดูหน้าตาแจ่มใสไม่แก่เลยนี่.... เกษียณตั้งแต่เมื่อไรล่ะ "

ชายผู้นั้นตอบว่าเพิ่งเกษียณอายุปีนี้เองยังทำอะไรไม่ค่อยถูก สมศักดิ์ก็ชมว่า

" เออ...เดี๋ยวนี้เขาเกษียณกันแต่หนุ่ม ๆ เชียวนะ.."

ผู้ได้รับคำชมก็ยิ้มอย่างภาคภูมิ แต่ไม่ตอบว่ากระไร สมศักดิ์ก็เลยหันไปถามหญิง วัยดึกข้างซ้ายของเขาต่อไปว่า

" ไม่สบายเป็นอะไรหรือครับ "

หญิงผู้นั้นปฏิเสธว่าเธอเบิกค่าเล่าเรียนบุตร ไม่ใช่ค่ารักษาพยาบาล

" โอ...." สมศักดิ์อุทานด้วยเสียงดังระดับเดิม

" ยังมีบุตรที่เรียนหนังสืออยู่อีกหรือครับ "

หญิงวัยปลายตอบอย่างราบเรียบว่าบุตรสาวเรียนอุดมศึกษาปี ๔ แล้ว สมศักดิ์ก็ปรารภต่อไปว่า

" ยังดีนะครับ เพื่อนผมคนหนึ่งเมื่อเกษียณอายุ มีบุตรเพียง ๙ ขวบเท่านั้น เลี้ยงยังไม่ทันจะโต ตัวเองก็ตายภรรยาลำบากแย่เลย "

ขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาในห้องคนหนึ่ง บอกกับผู้ที่นั่งรออยู่ว่า ข้างหน้าประตูมีระเบียบใหม่ติดไว้ให้อ่าน เดี๋ยวนี้บำนาญตกทอดนั้น บุตรสามารถรับได้โดยไม่ต้องจำกัดอายุว่าบรรลุนิติภาวะหรือยัง ถ้าไม่มีบุตรก็สามารถใส่ชื่อคนอื่น ให้รับเงินได้อีกไม่เกินสามคน

" จริงหรือครับ " สมศักดิ์ร้องขึ้น

" วิเศษเลยผมจะได้ไม่ต้องหาเมียน้อยมาคอยรับเงินนั่น "

ว่าแล้วก็หันไปยังชายกลางคนอีกผู้หนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่ทางด้านขวามือ บ่นว่า

"คุณได้ยินที่เจ้าหน้าที่เขาบอกไหมครับ เป็นข่าวดีมากเลย ระเบียบเก่านี่ไม่ยุติธรรมจริง ๆ นะครับ ลูกก็โตหมดแล้ว พอเมียแก่ตายไปก็ไม่มีผู้ที่จะรับบำนาญตกทอด นอกจากผู้อยู่ในอุปการะ ก็ต้องหาบุตรบุญธรรมมาคอยรับ จะขอหลานมาเลี้ยง พ่อแม่เขาก็เป็นข้าราชการ ได้รับการช่วยเหลืออยู่แล้ว พอมาเป็นบุตรบุญธรรมของเรา เขาก็ตัดความช่วยเหลือหมด ต้องคอยจนกว่าเราจะตายจึงจะได้เงิน ครั้นจะไปเที่ยวหาเด็ก ที่เราไม่รู้หัวนอนปลายตีนมาเลี้ยงก็ไม่แน่ใจว่ามันจะรักเราจริงหรือเปล่า จะช่วยดูแลเราเมื่อเจ็บป่วยหรือเปล่า "

สมศักดิ์หยุดถอยหายใจ ชายผู้นั้นเพียงแต่ยิ้มไม่เสริมว่ากระไร

" เพราะฉะนั้น เมื่อใกล้จะตายก็เลยไม่สงบ ต้องเที่ยวหาผู้มารับเงินบำเหน็จตกทอดให้ได้ บางคนมีน้องเมียเป็นสาวแก่ ก็จะไปขอให้เขาจดทะเบียนสมรสด้วยใครเขาจะยอม อุตส่าห์อยู่มาตั้งนานสองนาน เมื่อถึงเวลาเข้าจริงก็ต้องหาคนมาให้เจ้าหน้าที่สอบสวนว่าเป็นผู้อยู่ในอุปการะจริง ก็โกหกกันทั้งเพ ใครซื่อก็อด "

สมศักดิ์กลืนน้ำลายอีกหนึ่ง แล้วก็อภิปรายต่อ

"ความจริงเงินนี้ก็ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เงินมรดก หลวงท่านจะให้แก่ทายาท แต่เมื่อไม่มีผู้รับก็คงอยู่ในคลังไม่ต้องจ่าย ท่านเลี้ยงเรามาตั้งแต่รับราชการ จนถึงเกษียณอายุแล้ว ยังตามมาเลี้ยงต่อจนตาย ก็น่าจะพอ แต่……ถ้าจะให้ก็ให้แก่ทายาทที่ยังอยู่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงอายุ อย่างระเบียบฉบับใหม่นี้ ก็ดีเหมือนกันนะครับ "

ชายคนที่นั่งข้างขวาของเขา ยังไม่ทันจะตอบ ก็ถูกเจ้าหน้าที่เรียกไปรับเอกสาร ทำให้มีที่ว่างเหลืออยู่มาก เขาจึงเขยิบตัวเลื่อนเข้าไปใกล้ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งนั่งอ่านหนังสือเล่มเล็กอยู่อย่างใจจดใจจ่อ และไม่ยอมละ
สายตามามองเขา

สมศักดิ์ขยับจะอ้าปากเจรจา ก็พอดีเจ้าหน้าที่เรียกชื่อ เขาจึงเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ ถามว่า

" เรียบร้อยแล้วหรือครับ "

เจ้าหน้าตอบอย่างเกรงใจว่า เดี๋ยวนี้การเบิกค่ารักษาพยาบาล ของโรงพยาบาลเอกชนนั้น จะต้องให้นายแพทย์ผู้ทำการรักษา ออกใบรับรองให้ชัดเจนว่าได้รักษาโรคอะไร จากเมื่อไรถึงเมื่อไร

" อ้าว...ใบเสร็จก็บอกแล้วไงว่ารักษากี่วัน เป็นเงินเท่าใด ค่าอะไรบ้าง ไม่เห็นหรือ ? "

เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่ง อธิบายเพิ่มเติมว่ามีระเบียบออกมาใหม่เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๑ นี่เอง และได้ขยายปิดประกาศไว้แล้วที่ข้างฝา ขอเชิญอ่านดูได้

ผมเองก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ตั้งใจว่าเดี๋ยวก่อนกลับจะแวะไปดูบ้าง ส่วนสมศักดิ์เมื่ออ่านแล้ว ก็ร้องออกมาด้วยระดับเสียงที่ดังเท่าเดิมว่า

" แพทย์ต้องรับรองว่า คนไข้ผู้นั้นถ้าไม่ได้รักษาที่โรงพยาบาลเอกชนนั้นทันที จะต้องเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต...ว้า...แล้วใครเขาจะกล้ารับรอง "

เขาหันกลับมาหาเจ้าหน้าที่ แล้วถามว่า

"งั้นถ้ารักษาไปสามสี่เดือนแล้วไม่ตาย แต่ก็ไม่หายกลายเป็นอัมพาต ก็เบิกไม่ได้ น่ะซี....ใช่ไหม ? "

เจ้าหน้าที่ผู้นั้นยิ้มอย่างใจเย็น แล้วบอกตามตรงว่า เขาเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ระเบียบว่าไว้อย่างนั้น

สมศักดิ์เก็บเอกสารเข้ากระเป๋าถือ แล้วก็หันรีหันขวางเหมือนอยากจะระบายความผิดหวัง พอหันมาสบตากับชายผู้อ่านหนังสือ ที่เพิ่งเงยหน้าขึ้น เขาจึงติงว่า

" คุณก็มัวแต่อ่านหนังสืออยู่ได้ ไม่เห็นสนใจอะไรเสียบ้างเลย "

เขาผู้นั้นยิ้มแล้วบอกกับสมศักดิ์ด้วยเสียงเบา ๆ ว่า

" ขอโทษครับ ผมยังไม่ได้เกษียณ ผมมาเป็นเพื่อนแม่ผมที่นั่งอยู่โน่นแน่ะ "

ยังไม่ทันที่สมศักดิ์จะว่ากระไร เขาก็บอกต่อไปว่า

” คุณก็ควรจะหาหนังสือมาอ่านเสียบ้าง เสียงของคุณจะได้ไม่รบกวนคนที่เขาต้องการจะอ่านหนังสือ อย่างเดี๋ยวนี้ไงครับ ”

สมศักดิ์อ้าปากค้าง เขาหันกลับเดินออกประตูห้องไป โดยไม่มีคำพูดใดลอดออกมาอีกเลย แม้แต่คำเดียว.

#########

จาก นิตยสารทหารปืนใหญ่
กรกฎาคม ๒๕๔๔




Create Date : 30 ตุลาคม 2550
Last Update : 30 ตุลาคม 2550 9:37:05 น.

Counter : 1 Pageviews. 4 comments

Add to








ิไม่รู้จะขำหรือว่าจะเห็นใจดี



โดย: ข้าวโพด IP: 202.123.145.203 วันที่: 6 มีนาคม 2551 เวลา:15:36:31 น.







ขำครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 7 มีนาคม 2551 เวลา:5:44:06 น.







คนกล้า เจอ ค้นกล้า

สมน้ำสมเนื้อครับ



โดย: พี่แต้ วันที่: 14 มีนาคม 2551 เวลา:18:54:02 น.







ผมเจอบ่อย ๆ คนที่ชอบคุยเสียงดังในที่สาธารณะ
แล้วมักจะชายตาดูคนรอบตัวว่าใครจะสนใจบ้างครับ.




โดย: เจียวต้าย วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:9:08:18 น.






Create Date : 08 มีนาคม 2553
Last Update : 31 มีนาคม 2553 6:35:48 น. 0 comments
Counter : 329 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.