Group Blog
 
All Blogs
 

เรื่องธรรมดา (๑๔) เรื่องไม่เป็นเรื่อง

ความหลังริมคลองเปรม

เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา (๑๔)

เรื่องไม่เป็นเรื่อง

" เพทาย "

ผมเป็นคนชอบเขียนหนังสือ ผมหัดเขียนเรื่องสั้นมาตั้งแต่อายุสิบหก แล้วก็เขียนเรื่องอะไรต่ออะไรเรื่อยมาจนบัดนี้ แม้จะได้ลงพิมพ์ในวารสารต่าง ๆ ตามโอกาส แต่ก็ไม่มีชื่อเสียง ไม่เคยมีเรื่องรวมเล่มที่ขายได้มาก เป็นหมื่นเป็นแสนกับใครเขา แต่ผมก็ไม่เลิกเขียน

ในปัจจุบันเรื่องที่ผมชอบเขียน ก็คือเรื่องของตนเอง เพราะผมคงไม่รู้จักผู้ใดในโลกนี้ มากเท่ากับตนเอง แล้วก็ขยายวงออกไปเป็นเรื่องของเพื่อน เรื่องของผู้คนรอบตัวที่ผมได้สัมผัส เรื่องของหนังสือที่ผมชอบอ่าน เรื่องในแวดวงที่ผมเคยทำงาน เรื่องของนาย เรื่องของลูกน้อง เพียงแต่ว่า ผมไม่ได้เขียนทุกเรื่องที่ผมรู้เห็น ผมจะเขียนแต่เรื่องราวที่ดี ๆ ของผมเท่านั้น

เมื่อผมเลิกรับราชการแล้ว ผมก็สมัครเข้าเป็นสมาชิกขาประจำในคลีนิคสูงอายุของโรงพยาบาล และตลอดเวลาหลายปีหลังจากนั้น สุขภาพของผมก็ดีมากมาตลอด ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นโรคที่คนแก่ชอบเป็นกันเลย ความดันปกติ น้ำตาลไม่เกินเกณฑ์ ไขมันในเส้นเลือดอยู่ในระดับปลอดภัย ยูริคเท่านั้นที่ดูเหมือนจะสูงสักนิด คือใกล้ขีดที่กำหนดให้สูงได้ กระดูกไม่ผุ แม้แต่ต่อมลูกหมากก็ทำงานอย่างปลอดโปร่ง โล่งใจได้

แต่มีโรคเกี่ยวกับดวงตา มักจะเกิดอาการเคืองตาแสบตาอยู่บ่อย ๆ หมอก็ให้ยาหยอดตาแก้ระคายเคือง หรือที่เรียกว่าต้อลมมาหยอด ทุเลาไปได้ไม่กี่วันก็เป็นอีก ผมจึงต้องใส่แว่นตาดำมาก ๆ เพื่อตัดแสงแดด ช่วยให้ลดอาการระคายเคืองในเวลากลางวัน และต้องเปลี่ยนเป็นแว่นสายตาไกลสีจาง ในเวลากลางคืน ครั้นจะอ่านหนังสือก็ต้องใส่แว่นใสสำหรับอ่านอีกอันหนึ่ง เป็นเรื่องยุ่งยากมาก

วันหนึ่งผมทนระคายเคืองไม่ได้ จึงไปหาหมอรักษาโรคตาโดยตรง ที่โรงพยาบาลตำรวจ เมื่อผ่านกรรมวิธีวัดสายตาสั้นสายตาเอียง และวัดความดันลูกตาแล้ว ก็เข้าไปหาคุณหมอซึ่งมียศเป็นพันตำรวจเอกพิเศษ ท่านก็ส่องกล้องขยายดูดวงตา และแก้วตาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็บอกว่า ไม่ได้เป็นโรคอะไรหรอก แต่เนื่องจากหนังตาด้านบนมันหลุบลงมา ทำให้ขนตาทิ่มเข้าไปโดนดวงตา จึงเกิดอาการระคายเคืองเป็นประจำ แล้วท่านก็สั่งให้พยาบาลจัดการให้ ผมต้องไปนอนให้นางพยาบาลแหกตา ถอนขนตาเส้นที่มันเกเรไม่เข้าที่เข้าทาง ทนเจ็บนิดหน่อย พอ ๆ กับถอนขนจมูก ชั่วเวลาเดี๋ยวเดียวก็เรียบร้อย หายระคายเคืองเป็นปลิดทิ้ง

แต่ความสบายของดวงตานั้น ก็คงอยู่ไม่นานพอขนตางอกขึ้นมาใหม่ อาการเช่นนั้นก็เกิดขึ้นอีก เวลาผมไปหาหมอ เห็นท่านให้การรักษาคนไข้ที่เป็นโรคตา ชนิดต่าง ๆ ถึงขั้นผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์แล้ว ก็รู้สึกกระดากเพราะตนเองไม่มีโรคร้ายอะไรเลย ต้องทำให้คุณหมอและพยาบาลมาเสียเวลา กับเรื่องขี้ประติ๋วของผม จึงถามคุณหมอว่าถ้าจะแก้ไขให้หายขาดจะต้องทำอย่างไร ท่านก็บอกว่ามีสองวิธี คือผ่าตัดหนังตาด้านบน แล้วเย็บให้มันร่นสูงขึ้นไป อีกวิธีหนึ่งก็ใช้ไฟฟ้าจี้ให้มันละลายถึงราก มันก็จะไม่ขึ้นมาใหม่

ซึ่งผมไม่เห็นด้วย ทั้งสองวิธี เพราะกลัวเจ็บและเสียวไส้ ผมจึงเลิกไปหาหมอแล้วใช้ให้ลูกชายคอยถอนขนตา เวลาที่เคืองตาจนทนไม่ได้ ก็พอประทะประทังไปเป็นครั้งคราว เพราะลูกชายก็มือไม่เที่ยงถอนไม่เรียบร้อย ถ้ามีบางเส้นที่ขาดเป็นตอ เวลามันงอกก็จะยิ่งทิ่มตาให้เจ็บมากกว่าขนที่ขึ้นใหม่เสียอีก

วันหนึ่งผมมาร่วมวงกับเพื่อนอีกสองคน คือนายแมวกับนายหงอก กินกันตั้งแต่เที่ยงจนถึงหกโมงเย็น ที่ร้านไก่ย่างแถวบางขุนนนท์ พวกเขายังมันอยู่ ผมจึงขอแยกตัวกลับก่อน เด็กเสริฟสาวจึงคล้องแขนประคองออกมาส่งที่หน้าร้าน แล้วก็เรียกแท็กซี่กลับบ้านไป คนขับคงไม่ทันมองเห็นผม จึงจอดรถเลยออกไปหน่อยหนึ่ง ผมก็ไม่ได้เดินตามเพราะจะข้ามไปฝั่งพระนคร เด็กจึงกวักมือเรียกให้รถถอยหลังมา ผมบอกคนขับว่าจะไปที่สี่แยกการเรือนหลังสวนรื่น โชเฟอร์ถามว่าจะไปทางไหน ผมก็บอกว่ากลับรถไปออกแยกบางขุนนนท์ แล้วเลี้ยวไปทางพาต้าปิ่นเกล้า ขึ้นสะพานพระรามแปด โชเฟอร์ก็ไม่ว่าอะไร กลับรถไปแต่โดยดี

รถแล่นมาตามเส้นทางที่ผมบอก แต่แม้ผมจะชวนคุยอย่างไร โชเฟอร์ก็ไม่เออออด้วย คงนั่งนิ่งเงียบ จนรถขึ้นสะพานพระรามแปดแล้ว จึงถามว่าจะไปทางไหน ผมก็บอกว่าลงสะพานแล้วก็เลี้ยวซ้ายที่แยกวัดตรี เมื่อรถลงมาตามลาดสะพานแล้ว โชเฟอร์ก็ถามว่าแยกนี้นะ ไม่ใช่ถนนราชดำเนินหรือ ผมก็ย้ำว่า

“ เชื่อผมเถอะเลี้ยวแยกหน้า แล้วไปตรงเด่ถึงบ้านผมเลย “

คนขับกลับเอียงหน้ามาถามว่า

“ แล้วจะลงบ้านถูกไหมเนี่ยะ “

ผมชักฉุนจึงตอบว่า

“ ทำไมจะไม่ถูก ลงสะพานแล้วเลี้ยวซ้าย ที่วัดตรี ผ่านแยกไปห้าไฟแดง ก็ถึงบ้านผม “

คนขับบ่นอุบอิบในลำคอว่า ไม่ค่อยได้ผ่านมาแถวนี้ ดังนั้นเมื่อผ่านแยกไฟแดง ไม่ว่ารถจะติดหรือไม่ติด ผมก็เลยอบรมมาตลอดทาง แยกแรกเรียกว่าแยกเมล์แดง เพราะว่าเมื่อก่อนที่จะมีการรวมรถเมล์มาเป็นรัฐวิสาหกิจนั้น บริษัทรถเมล์แดงของเอกชน มีสำนักงานอยู่ตรงหัวมุมนี้

เมื่อข้ามสะพานแล้ว แยกถัดไปเรียกว่าแยกวังแดง เพราะที่ตั้งของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น เดิมเรียกว่าวังแดงกำแพงวังก็ทาสีแดง

แยกต่อไปเป็นที่ตั้งของกองพลที่หนึ่ง รักษาพระองค์ สี่แยกนี้อีกมุมหนึ่งเป็นที่ตั้งของหอประชุมกองทัพบก อีกมุมหนึ่งเป็นวังสวนกุหลาบ อีกมุมหนึ่งเป็นภัตตาคารเก่าแก่ เศรษฐกิจจะตกต่ำอย่างไรก็ไม่มีวันเจ๊ง เพราะมีชื่อว่าไทยเจริญ

แยกถัดไปเป็นแยกอู่ทอง เพราะถนนที่ตัดขวางเข้ามา ถึงสวนอัมพรด้านหลัง ชื่อถนนอู่ทอง

แล้วก็ถึงแยกสุดท้ายที่มีชื่อว่าแยกการเรือน เพราะอยู่ตรงกับสถาบันราชภัฏสวนดุสิต ซึ่งเดิมเรียกว่าโรงเรียนการเรือน สอนแต่วิชาของลูกผู้หญิง เช่นเย็บปักถักร้อยและอาหารการกิน แต่เดี๋ยวนี้เป็นมหาวิทยาลัยไปแล้ว

เมื่อผ่านไฟแดงก็จะเห็นสมาคมหนังสือพิมพ์ ที่ตั้งมาเก่าแก่และเป็นพิพิธภัณฑ์หนังสือพิมพ์ด้วย เลยไปอีกนิดเดียวผมก็บอกให้จอด ตรงกับตรอกที่จะเข้าบ้าน

พอชำระค่าโดยสารตามมิเตอร์ โดยไม่รับเศษเงินทอน และอวยพรให้โชเฟอร์โชคดีแล้วก็เลยแถมว่า แยกที่อยู่ข้างหน้านี่แหละ ที่เรียกว่าแยกสวนรื่น โชเฟอร์ก็ขอบคุณแล้วบอกว่าเดินดี ๆ นะครับ

เมื่อจะก้าวเข้าซอย ผมก็แปลกใจว่า ทำไมมันมืดกว่าปกติ พอรู้สึกตัวก็ถอด แว่นตาสีดำ ที่ใส่มาตั้งแต่กลางวันออก จึงค่อยมองเห็นภูมิประเทศได้รอบตัว ที่สว่างพอควรด้วยแสงไฟจากเสาไฟฟ้า เช่นปกติ

ผมจึงได้เข้าใจว่าที่โชเฟอร์แท็กซี่พูดมาทั้งหมดนั้น ก็ด้วยความเป็นห่วง แกนึกว่าผมเป็นคนตาบอด เพราะเห็นเด็กต้องคอยประคองให้เดิน และสวมแว่นตาสีดำมืดนี่เอง อนิจจา

ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นคือนายหงอก เพราะเส้นผมบนศรีษะของผม เป็นสีขาวมาตั้งแต่หนุ่มแล้ว นายคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกับนายแมวมาตั้งแต่เด็ก เพราะเรียนหนังสือที่วัดแจ้ง รุ่นเดียวกัน จบชั้นมัธยมออกมาพร้อมกัน และเข้ามารับราชการหน่วยเดียวกันแต่คนละกอง เขาเป็นนักเรียนนายสิบรุ่นเดียวกับผม ก็เลยนับไม่ค่อยถูกว่า ใครเป็นเพื่อนใครกันแน่ แต่ว่าเราก็เป็นเพื่อนกันทั้งสามคนนั่นแหละ

วันหนึ่งเขาโผล่หน้ามาเข้าวงกับเพื่อนแล้วไม่ยอมยิ้ม ได้ความว่าฟันหน้าของเขาหายไปสามสี่ซี่ เมื่อเพื่อนถามเขาก็บอกสั้น ๆ ว่าหมากัด

เพื่อนก็ตกอกตกใจไปตาม ๆ กันว่า หมากัดอย่างไรถึงฟันหัก เขาบอกว่าไม่ใช่ฟันจริงหรอก เป็นฟันปลอม ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เพื่อนยังไม่หายข้องใจ หมาอะไรมากัดเอาจนฟันปลอมหลุดไปได้ แล้วปากคอไม่เยินไปหมดหรือ

เขาก็เลยต้องเล่ารายละเอียดให้ฟัง อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

เขาว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง เมียของเขาซื้อกระดูกหมูมาต้มยำ หอมน่าอร่อย แต่ยังไม่ทันจะเปื่อยดี เขาอยากจะกินมื้อนั้น แต่ก็แทะไม่ค่อยจะออก จึงถอดฟันปลอมออกวางไว้ แล้วก็กินอย่างเอร็ดอร่อย อิ่มแล้วเหลือแต่กระดูกกองโต ก็เอาไปทิ้งถังขยะหน้าบ้าน พอล้างปากจะหาฟันปลอมใส่ก็หาไม่เจอ

เพื่อนก็ซักว่าแล้วหมามันมากัดตอนไหน นายหงอกโบกไม้โบกมือพัลวัน แล้วก็บอกว่า

“ คืองี้…เวลากินกระดูกหมูแล้ว ก็กองเศษกระดูกไว้กับฟันปลอม พอเอาไปทิ้ง ก็กอบไปทั้งกอง กว่าจะนึกขึ้นมาได้รีบวิ่งไปดู ที่ไหนได้มีไอ้หมาเวรตัวหนึ่ง กำลังกัดแทะฟันเราเพลินไปเลย “

เสียงหัวเราะก็ประสานขึ้นเกือบพร้อมกัน บางคนถึงกับสำลักเบียร์ บางคนน้ำตาไหลต้องเอากระดาษมาเช็ด บางคนกำลังจะซดต้มแซ่บ ต้องทิ้งช้อนลงในชาม เว้นแต่ตัวผู้เล่า คนเดียว ไม่ยอมยิ้มเพราะยังไม่ได้ใส่ฟันใหม่ แทนชุดเก่าที่หมาเคี้ยวแตกไปแล้ว

ผมชอบเขียนแต่เรื่องพรรค์อย่างนี้แหละ จึงไม่มีใครเขาเอาไปรวมเล่ม

และที่เล่ามาทั้งหมดนั่น เป็นเรื่องเพื่อนของเพื่อน ซึ่งดู ๆ ไม่น่าจะเป็นเรื่อง

แต่ก็ดันเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้

แล้วจะส่งไปที่ไหนดีละนี่.

##########

นิตยสารทหารปืนใหญ่
กรกฎาคม ๒๕๔๗






Create Date : 30 กันยายน 2550
Last Update : 27 กรกฎาคม 2551 20:55:44 น.

Counter : Pageviews. 12 comments

Add to







ขอปริ้นนะคะ อ่านบนจอไม่ไหวอ่ะ



โดย: beautiful civil วันที่: 30 กันยายน 2550 เวลา:19:41:10 น.







ยินดีครับ.



โดย: เจียวต้าย (เจียวต้าย ) วันที่: 1 ตุลาคม 2550 เวลา:6:32:13 น.







เรื่องคุณจียวต้ายอ่านสนุกดี ใครไม่รวมก้อไม่เป็นไร ถ้าคุณเจียวต้ายอยากให้รวมเดี๋ยวโพดปริ้นและรวมเป็นเล่มให้



โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.242.19 วันที่: 7 มีนาคม 2551 เวลา:12:56:27 น.







ขอบคุณอย่างยิ่งครับ
ผมถ่ายเอกสารกระดาษ เอสี่ เย็บเล่มเก็บไว้อ่านเอง
และถ่ายแจกเป็น ส.ค.ส.มาหลายปีแล้วครับ

พร้อมกับเตรียมต้นฉบับไว้สำหรับพิมพ์แจก
ในงานศพแล้วด้วยครับ.

ขออนุญาตจารึกชื่อ คุณข้าวโพด ไว้ในสารบบ
แฟนพันธุ์แท้ของ เจียวต้าย นะครับ.





โดย: เจียวต้าย วันที่: 7 มีนาคม 2551 เวลา:19:56:01 น.







อ้าวทำไมคุณเจียวต้ายมองการณ์ไกลซะขนาดนั้นเลยล่ะ โพดใจเสียเลย



โดย: ข้าวโพด IP: 202.123.145.203 วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:11:18:52 น.







ผมคิดว่ากว่าจะถึงงานศพของผม
ค่าพิมพ์ก็คงแพงกว่าเดี๋ยวนี้อีกเยอะเลย
เจ้าภาพเขาจะหมดเปลืองโดยใช่เหตุ

พอดีได้ค่าพิมพ์เรื่องสุดท้าย
ก็เลยเอาไปจ่ายเป็นค่าพิมพ์หนังสืองานศพเลย
จะได้หมดห่วงครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:13:22:50 น.







จริงๆด้วย อีกสามสิบปีกว่าๆข้างหน้าค่าพิมพ์คงแพงมากๆ



โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.242.19 วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:17:37:25 น.







เป็นเรื่องสั้นขำขัน

ผมเคยเห็นเรื่องทำนองนี้เป็นเรื่องสั้นในหนังสือต่วยตูน

ที่มักจะเล่าโดยคุณรงษ์ วงศ์สวรรค์ ครับ



โดย: พี่แต้ วันที่: 14 มีนาคม 2551 เวลา:22:01:06 น.







อีกไม่ถึงสามสิบปีหรอกครับ คุณข้าวโพด





โดย: เจียวต้าย วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:9:51:30 น.







ผมก็เคยลงเรื่องเหล่านี้ในต่วยตูนตั้งแต่
พ.ศ.๒๕๔๐-๒๕๔๗ หลายเรื่องเหมือนกันครับ
จำได้เรื่องแรกคือ เพื่อนบ้านครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:9:52:00 น.







คร้านจะเถียงกับคุณตาเจียวต้าย คุณตาโพดยังอายุตั้ง87แน่ะ คุณตาเจียวต้ายเพิ่งจะ75เอง แถมยังแข็งแรงอีกต่างหาก



โดย: ข้าวโพดแมวติสต์แตก วันที่: 16 มีนาคม 2551 เวลา:17:41:04 น.







ขอบคุณในความหวังดีครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 18 มีนาคม 2551 เวลา:11:00:29 น.






 

Create Date : 03 มีนาคม 2553    
Last Update : 25 มีนาคม 2553 10:43:59 น.
Counter : 1166 Pageviews.  

เรื่องธรรมดา (๑๓) เรื่องของ(นม)หนู

เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา (๑๓)

เรื่องของ(นม)หนู

เพทาย

ในที่ทำงานของผม ซึ่งมีลูกน้องหญิงตั้งมากมายหลายคนนั้น สุพิดา นับว่าเป็นเสมียนที่มีความขยัน เอาใจใส่การงานเป็นที่สุด แต่งตัวก็เรียบร้อย มีมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานดีมาก

อยู่มาวันหนึ่งเผอิญผมออกจากที่ทำงาน จะหารถแท็กซี่ไปประชุมที่กระทรวง เพราะรถหลวงไม่ว่าง และเวลาก็สายเกือบสี่โมงเช้าตามเวลานัดประชุมแล้ว เกิดสวนทางกับ สุพิดาอย่างกระชั้นชิด เธอรีบเปลี่ยนกระเช้าถักที่โปร่งและรกรุงรังไปด้วยหมูเห็ดเป็ดไก่และผักหญ้าประดามี ที่จับจ่ายมาจากตลาด ไปไว้ทางมือซ้าย แล้วยกมือไหว้ทำความเคารพ อย่างว่องไวและสวยงาม

“ สวัสดี ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ล่ะ…หนู “

ผมทักทายอย่างอารมณ์ดี

“ หวัดดีฮ่ะ…ฟามจิงหนูมาตั้งนานแล้วละฮ่ะ หัวหน้า นี่หนู
ออกไปจ่ายตลาดมาน่ะฮ่ะ “

“ อ้าว…ทำไมไม่ไปตอนเย็นล่ะ จะได้กลับบ้านไปเลย “

“ แหม…หัวหน้าเก๊าะ ตอนเย็นฝ่าจะเลิกงานตลาดก็วายหมดแล้ว จะหาซื้ออะไลได้ล่ะฮะ มีแต่ของจะเน่าทั้งนั้น “

ผมพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นอกเห็นใจลูกน้องคนโปรด แล้วก็ผ่านเลยไป

เผอิญอีกเหมือนกันที่วันนั้น ต้องประชุมทั้งรอบเช้ารอบบ่าย กว่าจะเลิกเวลาก็ล่วงไปเกือบบ่ายสามโมง จึงแวะกลับมาที่สำนักงาน เผื่อจะได้เซ็นหนังสือที่ค้างในแฟ้มเสียหน่อย พอลงจากรถประจำทาง ก็เจอสุพิดาลูกน้องคนสวย กำลังยืนรอรถอยู่ที่ป้ายพอดี

“แฮ่ะ..แฮ่ะ..หวัดดีฮ่ะ หัวหน้ากับมาอีกทำไมล่ะฮะ เย็นป่านนี้แล้ว “

“ เย็นอะไรกัน เพิ่งสามโมงกว่าเท่านั้น วันนี้ยังไม่ได้ทำงานเลย มัวแต่ประชุม แล้วหนูทำไมรีบกลับนักล่ะ “

ผมถามพร้อมกับมองไปที่ถุงรุงรังในมือ

“ ก้อ…เอ้อ…ก้อ…หัวหน้าฮะ แหมหนูจ่ายกับข้าวตั้งก๊ะเช้า ขืนกับเย็นเดี๋ยวของสดมันก็จะเน่าหมดน่ะซีฮะ…ลถมาแล้ว หนูไปละฮ่ะ “

ว่าแล้วเธอก็ก้าวขึ้นรถประจำทางไป ปล่อยให้ผมอ้าปากค้างอยู่คนเดียว

ที่ทำงานของแผนกผมนั้น เป็นห้องโล่ง ๆ ยาวร่วม ๑๐ เมตร มีเสมียนพนักงานชายหญิงหลายคน แต่มีหัวหน้างานอยู่พียง ๓ คนเท่านั้น เราจึงเอาตู้มากั้นแทนฝาห้อง แบ่งส่วนให้เขาทำงานกันอย่างสบายใจ โดยไม่มีนายมาขวางลูกตา เราขอที่แคบ ๆ พอตั้งโต๊ะเก้าอี้ ๓ ชุดเท่านั้น บังเอิญแผนกเราโชคดี ได้รับบริจาคตู้เย็นตู้เบ้อเริ่ม จากผู้มีจิตศรัทธาแต่ไม่ประสงค์ออกนาม ๑ ตู้ ก็เลยเอามาเรียงต่อจากตู้หนังสือที่กั้นห้องไว้ หันหน้าออกไปทางที่มีคนมาก ผมก็เจ้ากรรมดันไปนั่งโต๊ะที่หันหลังติดกับตู้เย็นเสียด้วย มันก็เลยมีกรรมต้องได้ยินเสียงอะไรที่มันพิลึกพิลั่น ชวนให้รำคาญใจอยู่เรื่อย

อย่างเช่นเมื่อ ๒ - ๓ วันก่อน เวลาพักเที่ยงผมสั่งบะหมี่แห้งชามน้ำชาม มาจัดการที่โต๊ะทำงานเรียบร้อยแล้ว ก็เหยียดเท้าพักหนังตา กำลังเพลินใกล้จะเคลิ้ม ก็มีเสียงกระซิบกระซาบดังผ่านโสตประสาทที่กำลังหรี่ พอได้ยิน

“ นี่นมเธอเหลอ “

เสียงเหมือนเจ้า พัน ลูกน้องชายคนหนึ่งของผม

“ ฮื่อนมเลาเองแหละ เย็นดีมั้ย “

เสียงนี้เป็นผู้หญิง หูผมชักจะผึ่งขึ้น แต่ยังไม่ลืมตา

“ ฮื่อ แข็งบึ๋งเลย ให้เลานะ “

“ เอาซี ดูดเลย “

เอท่าจะหลับไม่ลงเสียแล้ว เสียงดูดดังจ๊วบ ๆ สองครั้ง พลันอีกเสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามา

“ นี่ตาพัน ของเจ๊ก็ดีนะ ลองดูมั้ย “

“ อย่ามาขัดจังหวะน่ะเจ๊ กำลังหล่อยนมของดาเขาอยู่ “

“ เซ่อ ของฉันดีกว่านะ ไม่เชื่อดูนี่ซี่ “

“ ฮ้า…นมเหลอนั่นน่ะ “

“ ใช่แล้ว “

เห็นท่าจะไม่ได้งีบแน่วันนี้

“ เอาเฮอะ อมเล่นก็ได้ง่ายดี ทีละเม็ดนะ “

“ ฮื่อ…ฮื่อ…ดีแฮะ ขอบคุณนะเจ๊ “

ผมอดรนทนไม่ได้ ต้องลุกจากเก้าอี้เดินอ้อมไปทางหน้าตู้เย็น เจอจำเลยทั้งสามคนเข้าพอดี

“ เฮ้…พัน อะไรกันวะ อั๊วจะงีบซักหน่อย ส่งเสียงกวนประสาทจริง แกนี่ “

เจ้าพันยิ้มแห้ง หนูสุพิดายิ้มเจื่อน แม่สุดสี ยิ้มแหยไปตาม ๆ กัน

“ ผม…อ้า…ผม…คือ ดาเค้ายกนมหนองโพให้ผมน่ะคับ มันแช่เย็นจนแข็ง เขาเลยขี้เกียจกิน พอดีเจ๊สีเขาก็เอานมของจิตรลดาที่ทำเป็นเม็ดมาให้อีก ผมเห็นมันแปกดี ก็เลยลองเปี่ยนดู หัวหน้าลองมั่ง มั้ยฮะ “

ผมสบัดหน้าพรืด

“ เฮ้ยไม่เอา ขี้เกียจอม…เอ๊ยไม่เอา จะนอนซะหน่อย “

“ เชิญคับ แฮ่ะ…แฮ่ะ …ขอโทษคับ “

เรื่องทำนองนี้ ในที่ทำงานของผม มีอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปจนผมลืมเรื่องนั้นแล้ว คราวนี้ก็ถึงตาของ เวทนา ลูกน้องสาวค่อนข้างสวยอีกคนหนึ่งของผม ซึ่งเพิ่งจะเข้ามาทำงานได้ไม่นาน ก็กระมิดกระเมี้ยนเข้ามานั่งร้องไห้ผะอืดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของผม ด้วยอาการที่น่าสงสารชวนให้อยากจะปลอบโยนเสียเป็นที่ยิ่งนัก แต่ด้วยความเจียมสังขาร จึงต้องนั่งรออยู่อย่างกระวนกระวายใจ จนกระทั่งเช็ดน้ำตาและสั่งขี้มูกฟืดฟาดเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ยังสะอื้นอยู่ฮัก ๆ เรื่องราวที่เป็นสาเหตุจึงได้หลุดออกมาจากปากของเธอว่า

“ หัวหน้าขา…อีตาพัน เขาแก้งหนูฮ่ะ หัวหน้าฮะ “

เธอหมายถึงสิบเอกพัน ตัวแสบของผมนั่นเอง

“ ทำไมล่ะ ไอ้พันมันทำอะไรหนู บอกหัวหน้าเถอะ จะจัดการให้เอง “

“ เขา…เขาแอบดูดนมหนูฮ่ะ “

“ จิ…จริงหรือหนู “

“ จิงซีฮะ หนูจะมาโกหกหัวหน้าได้ยังไง เรื่องน่าเกียดยังงี้ “

“ มันทำ…เอ้อ…เมื่อไหร่ ที่ไหนบอกมา จะได้ขังเสียให้เข็ด “

“ ที่ตู้เย็นน่ะซีฮะ “

“ ตู้เย็น…แถวตู้เย็นน่ะเรอะ “

“ ในตู้เย็นฮ่ะ “

ลูกตาของผมคงจะมีเครื่องหมายคำถามอยู่หลายอัน เธอจึงขยายความว่า

“ หนูเอานมช็อคกาแล็ตก่องแช่ไว้ในตู้เย็นตั้งก๊ะเช้า ตอนกางวันเขายังถามเลยว่านมใค หนูก็บอกว่านมหนู พอตอนบ่ายหนูเปิดตู้เย็นจะเอามากิน เหลือแต่ก่องป่าว แถมยังมีหลอดดูดคาอยู่อีก “

เธอสั่งขี้มูกเสียอีกพรืดหนึ่ง แล้วจึงว่าต่อ

“ หนูถามป้าสีว่าใคมายุ่งกะนมของหนู อีตาหมู่พันลีบยื่นหน้ามา บอกว่าผมเอง แล้วยังทำหน้าทะเล้นบอกว่าจะซื้อใช้ให้…..หนูไม่ยอม…..หัวหน้าขา…. หนูไม่ย้อม….ฮือ….”

ผมถอนหายใจ เฮือกใหญ่ ค่อยโล่งอกไปหน่อย เรื่องไม่ร้ายแรงอย่างที่นึก แต่ ผมกุ้ม …เอ๊ย..กลุ้มอยู่อย่างเดียว คือเด็กพวกนี้พูดไม่มีลอเลือ….ขอโทษ…รอเรือ กันเลยคับ...เฮ้อ.

############

นิตยสารทหารปืนใหญ่
เมษายน ๒๕๔๗

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๑๗ เมษายน ๒๕๔๘

.














Create Date : 07 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2550 13:45:08 น.

Counter : 5 Pageviews. 6 comments

Add to







office นี้แต่ละคนพูดไม่มี ร เรือ เลยจริง ๆ ^-^



โดย: blackguard IP: 124.157.245.1 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2550 เวลา:15:19:08 น.







ถึงพูดไม่ชัด แต่ก็คงมีสุขภาพดีนะครับ
เพราะชอบดูด..เอ๊ย..ดื่มนมกันแทบทุกคนครับ.




โดย: เจียวต้าย วันที่: 10 พฤศจิกายน 2550 เวลา:6:13:28 น.











โดย: ข้าวโพด IP: 202.123.145.203 วันที่: 3 มีนาคม 2551 เวลา:15:41:28 น.







มีแต่ผมกับลูกน้องชายอีกสองสามคน
ที่ชอบดื่มอย่างอื่นครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:19:59:44 น.







นมมีทั้งดูด ทั้งแบบอม

มันก็น่าให้สงสัยครับ

ว่าแต่มีตู้เย็นใหญ่ขนาดนั้น ต้องมีของสดที่เลขาไปจ่ายตลาดมาเก็บไว้ในตู้แน่เลย

ลองเปิดดูบ้างไหมครับ



โดย: พี่แต้ วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:23:10:54 น.







ผมไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์จากตู้เย็นใบนี้
เลยไม่ค่อยได้เปิดดูครับ.



โดย: เจียวต้าย IP: 58.9.203.88 วันที่: 27 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:59:24 น.






 

Create Date : 02 มีนาคม 2553    
Last Update : 25 มีนาคม 2553 10:37:22 น.
Counter : 452 Pageviews.  

เรื่องธรรมดา (๑๒) คนรักสวน

เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา(๑๒)

คนรักสวน

เพทาย

กรุงเทพมหานครจะมีพื้นที่ทั้งหมดเท่าไรก็ไม่ทราบแน่ แต่ก็นับว่ากว้างขวางมากพอสมควร เมื่อรวมกับพื้นที่ซึ่งเดิมเป็นจังหวัดธนบุรี อดีตราชธานีของไทย รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในอนาคตอาจจะรวมไปถึงเมืองบริวารเช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ก็ได้ เพราะการคมนาคม อย่างถนนวงแหวนรอบนอก ก็ติดต่อเชื่อมโยงถึงกันหมดแล้ว

ในมหานครแห่งนี้เต็มไปด้วยมลพิษมากมาย โดยเฉพาะในย่านใจกลางเมืองที่เป็นแหล่งธุรกิจการค้า อันเต็มไปด้วยตึกรามสูงเสียดฟ้า ซึ่งต่างก็ติดตั้งเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ และแข่งกันพ่นรังสีความร้อนออกมาสู่ภายนอกที่เต็มไปด้วยควันพิษอยู่แล้ว ให้เลวร้ายลงไปอีกหลายเท่า

ด้วยความห่วงใยในประชากรที่อยู่กันอย่างแออัด ให้ได้มีอากาศบริสุทธิ์ สำหรับหายใจ ให้ปอดได้รับการซักฟอกชะล้างสิ่งปฏิกูลภายในบ้าง จึงต้องมีการจัดสวนสาธารณะขึ้น ในนครหลวงของเรานี้ หลายต่อหลายแห่ง

สวนที่อยู่ใกล้บ้านผมที่สุด และเปิดมาเก่าแก่ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กชาย ก็คือสวนสัตว์ดุสิต หรือเขาดินวนาข้างรัฐสภาไทยนี่เอง เมื่อสมัยเรียนหนังสือชั้นมัธยมนั้น นักเรียนที่เบื่อการเรียนบางวิชาและการสอนของครูบางคน หรือพวกที่มาโรงเรียนสาย แล้วไม่กล้าเสนอหน้าไปเข้าแถว เพราะกลัวถูกทำโทษที่หน้าเสาธง ก็พากันหลบไปพักผ่อน และหาความรู้เรื่องสัตววิทยาในเขาดินแห่งนี้เป็นประจำ รวมทั้งผมด้วย

เมื่อโตขึ้นมีครอบครัวแล้ว ก็ได้พาลูกเข้าไปพักผ่อนให้ลูกได้ชมสัตว์พวกจตุบาท และทวิบาทต่าง ๆ ที่มีเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก แล้วก็ให้ไปเล่นชิงช้า ไม้ลื่น และเครื่องออกกำลังกายสำหรับเด็กอีกหลายชนิด หรือเที่ยววิ่งเล่นซ่อนหาหรือไล่จับกันตามสุมทุมพุ่มไม้ โดยให้แม่เขาคอยดูแล แล้วผมก็นั่งดื่มโซดาผสมยาบำรุงพยาธิในลำไส้ ไปพลาง ๆ

จนมาถึงปัจจุบันได้เห็นท่านผู้อำนวยการมาออกโทรทัศน์ ประกาศว่า ในปีแห่งผู้สูงอายุสากล จะงดเก็บค่าผ่านประตูสวนสัตว์ทุกแห่ง แก่ผู้สูงอายุทุกคน ผมจึงแอบย่องไปสังเกตุการณ์ ที่หน้าประตูทางเข้าด้านถนนราชวิถี ที่มีประกาศติดเอาไว้ว่า ผู้สูงอายุตั้งแต่ ๖๕ ปีขึ้นไป ไม่เสียค่าผ่านประตู ก็รู้สึกดีใจเพราะผมมีอายุสูงกว่าประกาศนี้ ตั้งหลายปี จึงเข้าไปถามผู้ขายบัตรว่า ผมจะต้องแสดงเอกสารอย่างใดหรือไม่ เขาบอกว่าอะไรก็ได้ ไปเถอะ แต่พอผมควักบัตรรับบำนาญให้ผู้รักษาประตู เขาก็ไม่ยอมดูแต่รีบชี้มือเชื้อเชิญให้เข้าไปเลย สงสัยหน้าตาของผมคงจะบอกยี่ห้อชัดเจน ผมจึงมีโอกาสได้เข้าไปนั่งดื่มเบียร์กระป๋องแกล้มความหลัง ย้อนไปในวัยที่ล่วงมาแล้วตั้งหลายสิบปีอย่างมีความสุขยิ่ง

สวนที่อยู่ไกลจากบ้านผมมากที่สุด ก็คือสวนธนบุรีรมย์ เข้าถนนประชาอุทิศแถวบางปะกอก ไปทางทิศตะวันตกของกรุงธนบุรีอีกลิบโลก ผมเคยไปครั้งเดียวเมื่อยังไม่ทันแก่ เพราะลูกชายคนเล็กเรียนอยู่ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าบางมด ถึงเดี๋ยวนี้ก็นึกภาพภูมิประเทศไม่ออก เพราะลูกจบการศึกษามาเกือบสิบปีแล้ว ก็ไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเยือนอีกเลย แม้แต่สถาบันของลูกก็เปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยไปแล้ว

สวนทางทิศตะวันออกของสถานีรถไฟหัวลำโพง ที่เก่าแก่ที่สุด และผมสามารถเดินทางไปถึงได้ด้วยรถโดยสารประจำทางทอดเดียว ก็คือสวนลุมพินี ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ พระมหาธีรราชเจ้า มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีมาตลอดเวลาหลายทศวรรษ เคยเป็นที่พักอาศัยของทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามมหาเอเซียบูรพา หรือสงครามโลกครั้งที่สอง เคยเป็นทั้งสถานที่จัดการประกวดนางงาม และเคยเป็นแหล่งทำมาหากินของ หญิงอีกประเภทหนึ่ง รวมทั้งสาวประเภทสอง ที่มีราคาค่าบริการต่ำที่สุด เคยมีภัตตาคารกลางน้ำที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพ ซึ่งมีรูปนางกินรีเปลือยอกตระหง่านอยู่ด้านหน้า ต่อมาเมื่อภัตตาคารดังกล่าวถูกไฟไหม้ ก็ไม่ได้สร้างขึ้นทดแทนใหม่ และได้ใช้พื้นที่ในสวนเป็นที่ออกกำลังกายประเภทต่าง ๆ ของผู้คนที่อยู่โดยรอบปริมณฑล กับให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ของประชาชนทุกเพศทุกวัย ทุกชาติชั้นวรรณะ เคยเกือบจะถูกแบ่งพื้นที่ไปเป็นอู่รถไฟฟ้ามหานคร แต่ถูกคัดค้านหรือด่าจากทุกสารทิศ จึงได้เลิกล้มความคิดนี้ และยังคงเป็นสมบัติของประชาชน อยู่จนถึงทุกวันนี้

ผู้คนส่วนใหญ่ที่ชื่นชมสวนลุมพินี ก็เพราะสามารถเข้ามาทำกิจกรรมได้หลายประการ มีต้นไม้ใหญ่น้อยมากมายร่มรื่น และเงียบสงบสำหรับพักผ่อนหาความวิเวก แต่ก็แบ่งพื้นที่ไว้ให้ออกกำลังกายหลายอย่าง ทั้งเดินวิ่ง และขี่จักรยาน ตลอดจนเล่นเสก็ต ตามถนนที่จัดไว้ให้เป็นสัดส่วน มีพื้นที่สำหรับเล่นกีฬากลางแจ้ง ทั้งแบดมินตัน ฟุตบอล และอื่น ๆ แม้กระทั่งสถานที่เพาะกาย ของชายผู้รักความงดงามของมัดกล้าม ก็มีอยู่ด้วยและยังมีส่วนที่เป็นห้องสมุด กับร้านอาหารสำหรับผู้ที่ไม่รักการลดความอ้วนอยู่อีกมุมหนึ่ง ซึ่งสามารถขับรถเข้า ไปจอดได้อย่างสะดวกสบาย

เมื่อถึงฤดูหนาว ทางกรุงเทพมหานครก็จะจัดให้มี การแสดงดนตรีกลางแจ้ง ทั้งวงดนตรีไทยสากล ดนตรีประเภทลูกทุ่ง ดนตรีไทยแท้ที่เรียกว่าไทยเดิม และดนตรีสากลระดับแจ๊ส และซิมโฟนีออเคสตรา ซึ่งบรรเลงเพลงที่มีชื่อเสียงระดับโลกให้ประชาชนฟัง ในวันอาทิตย์ตอนเย็นแดดร่มลมโชย เป็นเวลาเกือบ ๒๐ ครั้ง

ผมเองก็ชอบไปนั่งพักผ่อนฟังเพลงประเภทหลังนี้อยู่ทุก ๆ ฤดูกาลมาหลายปีแล้ว เป็นความสุขที่ไม่ต้องเสียเงินมาก และไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางดนตรี มากมายหรือลึกซึ้งแต่อย่างใด ฟังกันแต่สำเนียงเสียงที่ไพเราะของดนตรี พร้อมกับดื่มเบียร์กระป๋องที่ผู้อุปถัมภ์รายการจัดมาจำหน่ายในบริเวณนั้น ถ้ารู้สึกว่าไพเราะมากก็ปรบมือให้ดังหน่อย ถ้าไม่ค่อยเข้าหูก็ปรบมือพอเป็นพิธี ถ้าฟังไม่รู้เรื่องเลย ก็ทำเป็นลืมธรรมเนียมสากลเสีย ก็พอจะมีความสุขในช่วงเวลายามสนธยาสายัณห์ตะวันรอนนั้นได้เป็นอย่างดี

บริเวณที่แสดงดนตรีนั้นเป็นลานโล่งริมน้ำ มีต้นไม้ล้อมรอบ แม้จะยังมี แสงแดดอ่อนยามเย็นก็ไม่รู้สึกร้อน เพราะมีลมพัดเฉื่อยฉิวตลอดเวลา พื้นที่หน้าเวทีตรงกลาง จะเป็นที่นั่งสำหรับผู้ชมผู้ฟังที่นั่งกับพื้นหญ้าอ่อนนุ่ม อาจจะหาเสื่อสาดหรืออะไรมาปูรอง แล้วก็นั่งกันตาม อัธยาศัย บางครั้งก็มีเสื่อผืนยาว ๆ ที่ใช้กันตามวัด ซึ่งเจ้าของรายการนำมาปูไว้ให้เป็นบางส่วน พวกที่นั่งแถวนี้จะเป็นผู้ที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้า ไม่เลิกไม่ลุก ด้านหลังของพวกนี้ จะเป็นเก้าอี้ที่จัดไว้สำหรับคอดนตรี ที่ฟังอย่างเอาจริงเอาจัง เป็นชัยภูมิที่ดีมาก ได้ฟังเสียงที่ชัดเจน และได้เห็นนักดนตรีทั้งวง รวมทั้งวาทยกร หรือผู้อำนวยเพลง หรือคอนดัคเตอร์ ด้วย

รอบ ๆ พวกที่นั่งกลางนี้ก็จะมีพวกที่ยืนซ้อนกันอยู่ เพราะฟังกันอย่างฉาบฉวย และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนระหว่างพวกที่กลับไป และพวกที่มาใหม่ ด้านหลังสุดของที่นั่งมีพื้นสนามเหลืออยู่อีกพอสมควร เป็นพวกที่ฟังก็ได้ไม่ฟังก็ได้ แต่ละกลุ่มทั้งไทยและเทศ จะตั้งวงกันบนพื้นสนามหญ้าอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ขนเครื่องกินเครื่องดื่มมากันเพียบพร้อม ทั้งวิสกี้โซดา บรั่นดีเบียร์ชื่อดังระดับโลก หรือไวน์สีสวยสะดุดตา บางวงอาจมีแชมเปญด้วยซ้ำไป แถมด้วยหมอนหนุนหมอนอิง หมอนข้าง มานอนเอกเขนกด้วย เพราะขนกันมาทั้งครอบครัว ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ลูกหลาน แม้แต่ทารกที่ต้องนั่งอยู่ในเก้าอี้เข็น ก็ยังอุตส่าห์หอบเอามาด้วย

แต่ที่มากันเพียงสองหนุ่มสาวก็มีหลายคู่ และเขามักจะมีความสุขอยู่ตามลำพัง โดยไม่สนใจใคร ราวกับว่ามีแต่เพียงเขาสองคนเท่านั้น ในสวนแห่งนี้

ผมมักจะหาที่แทรกตัวอยู่แถวหลังนี้ พร้อมด้วยถุงย่ามที่บรรจุเครื่องขบเคี้ยวประกอบน้ำมังสะวิรัต เพราะนอกจากหูจะได้ฟังเสียงดนตรี อันไพเราะจากลำโพงชั้นดีของเครื่องขยายเสียงแล้ว ตาก็ยังได้ดูภาพชีวิตต่าง ๆ รอบตัวที่หาดูที่ไหนไม่ได้อีกด้วย บางครั้งบางคราวก็อาจจะได้เพื่อนคุย ที่มีรสนิยมเดียวกัน ซึ่งดูลักษณะท่าทางน่าจะเป็นนักศึกษา ที่มาคนเดียวไม่มีเพื่อน และมักจะเป็นสาวน้อยซึ่งมีอายุคราวลูกหลาน เพราะจะเรียกลุง ยังไม่ถึงกับเป็นปู่ตา หรือพ่อแก่ อย่างที่คนอีสานชอบเรียก คงจะเห็นว่าน่าไว้ใจได้มากกว่า ที่จะเสี่ยงคุยกับหนุ่มแปลกหน้าก็เป็นได้

นอกจากสวนดุสิตและสวนลุมพินีแล้ว ก็ยังมีสวนสาธารณะขนาดย่อมอีกหลายแห่ง อย่างสวนจตุจักรซึ่งอยู่ใกล้สถานีขนส่งสายเหนือนั้น เดิมเป็นถิ่นที่มั่วสุมของผู้คน ที่หากินกับคนต่างจังหวัด ซึ่งเดินทางเข้ามาหางานทำในกรุงเทพ แต่ปัจจุบันเมื่อย้ายสถานีขนส่งเข้าไปอยู่ทางถนนกำแพงเพชรแล้ว สวนแห่งนี้ก็ค่อนข้างจะเงียบเหงาลงไป เหลือแต่ผู้ที่ชอบวิ่งหรือเดินออกกำลังกายเท่านั้น เพราะถูกแบ่งพื้นที่ เพื่อก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรก ที่ถูกไล่มาจากสวนลุมพินีอย่างเร่งรีบ เมื่อสร้างสถานีต้นทางที่ใต้ดิน ให้เชื่อมกับสถานีต้นทางของรถไฟลอยฟ้า และคืนพื้นที่ผิวดินให้เป็นสวนสาธารณะดังเดิมแล้ว ประชาชนก็สามารถจะใช้ประโยชน์ได้มาก ทั้งสองประการ

สำหรับสวนหลวง ร.๙ นั้นอยู่ที่ถนนศรีนครินทร์เกือบจะเข้าเขตจังหวัดสมุทรปราการ ผมเคยไปสำรวจเมื่อสร้างเสร็จใหม่ ๆ รู้สึกว่าต้องเดินทางไปไกลมาก จึงยังไม่ได้ไปสัมผัสอีกเลย เช่นเดียวกับสวนสมเด็จพระบรมราชชนนี ถนนตัดใหม่ใกล้กับทางแยกไปจังหวัดปทุมธานี

สวนที่เล็กลงไปกว่านั้นเช่นสวนสราญรมย์ อันเก่าแก่พอกันกับสวนลุมพินี ใกล้กับพระบรมมหาราชวัง สวนรมณีย์นาถ ซึ่งสร้างขึ้นแทนที่เรือนจำกลางคลองเปรม หรือคุกลหุโทษ ที่กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว สวนเบญจสิริ แถวถนนสุขุมวิทใกล้ซอย ๓๓ และสวนสันติภาพ ใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในพื้นที่อาคารสงเคราะห์ซอยรางน้ำแต่เดิม ซึ่งไม่เป็นที่ชื่นชมสำหรับผมเลย

ผมจึงไปอาศัยพักผ่อนอยู่อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่แม้แต่จะให้เป็นสวนหย่อม คงเป็นเพียงเนินดินที่เขาทำไว้ป้องกันน้ำท่วม ที่สองข้างเชิงสะพานพระปิ่นเกล้าฝั่งธนบุรี ซึ่งเป็นท่าเรือด่วนที่แล่นขึ้นล่องแม่น้ำเจ้าพระยา กับเรือข้ามฟากไปขึ้น ท่าพระอาทิตย์ ท่าบางลำพู และท่า พระจันทร์ ทางฝั่งพระนคร แล้วก็เลยปลูกไม้ยืนต้นไว้ให้เกิดความร่มรื่น พอให้ผู้คนได้พักอาศัยคลายร้อนบ้าง เมื่อหลายปีมาแล้ว มีผู้คนผ่านไปมา แวะเข้าไปนั่งพักผ่อนที่เขื่อน ริมแม่น้ำกันพอสมควร

ผมมักจะหาหนังสือเล่มเล็ก ๆ กับเบียร์ตัวใหญ่ ไปนั่งอยู่ริมเขื่อนที่ว่าง ชมทิวทัศน์ในท้องน้ำ ที่มีเรือหลายชนิดแล่นผ่านไปมา ทั้งเรือโยง เรือเมล์ เรือทัศนาจร เรือหางยาว และเรือของกรมเจ้าท่า ตลอดจนเรือเก็บขยะของกรุงเทพมหานคร พอให้ได้รับละอองน้ำจากฝอยคลื่น ที่ซัดเข้ามากระทบเขื่อนซึ่งทำเป็นขั้นหลายขั้น และรับลมเย็นชื่นใจ ในเวลาที่แสงแดดอ่อนลงรำไร ด้วยเงาไม้และเงาของสะพาน ก่อนที่พระอาทิตย์จะลับเหลี่ยมลงไปในไม่ช้า

แต่เดี๋ยวนี้ สถานที่นั้นได้กลายเป็นที่พักพิงของผู้ยากไร้ ซึ่งคงจะขาดที่อยู่อาศัย เขาจะหาที่นอนกันตามโคนต้นไม้อันร่มเย็น เอาห่อผ้าเล็ก ๆ หนุนหัว เวลาที่ต้องการจะชำระล้างร่างกาย ก็ถอดเสื้อผ้ากองไว้ริมเขื่อน แล้วนุ่งผ้าขาวม้าหรือผ้าถุง ลงอาบน้ำในแม่น้ำ ทั้งชายหญิง บางคนก็เลยซักเสื้อผ้า แล้วตากไว้ตามรั้วใต้สะพานแถวนั้น เวลาหิวเขาก็จะหาพวกไก่ย่างหมูปิ้งส้มตำกับข้าวเหนียว มานั่งกินกันอย่างง่าย ๆ แต่ไม่ทราบว่าเวลาถ่าย เขาจะทำกันอย่างไร

บางครั้งก็จะพบคน ที่เดินเข้ามายื่นมือขอเงินเอาดื้อ ๆ และขอทีละสิบบาทเสียด้วย ทำให้เสียสมาธิในการทำวิเวกเป็นอย่างยิ่ง และจะปฏิเสธก็เกรงใจ ผมจึงต้องยอมสละสิทธิ์ให้เขาอยู่กันตามสบาย แล้วลงเรือข้ามฟากมาขึ้นที่ท่าพระอาทิตย์ ดีกว่า

ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำเจ้าพระยา เยื้อง ๆ กับสะพานพระปิ่นเกล้า เลยไปทางปากคลองบางลำพู มีสวนสาธารณะที่สร้างใหม่เอี่ยม อีกแห่งหนึ่งคือบริเวณป้อมพระสุเมรุ ซึ่งจัดสวนขนาดย่อมกระทัดรัด อยู่บริเวณริมแม่น้ำหน้าป้อมนั้นเอง เรียกว่า สวนสันติชัยปราการ เป็นสวนที่มีความสำคัญแก่ชาวบางลำพูอย่างยิ่ง เพราะได้อนุรักษ์ต้นลำพูเก่าแก่ไว้ต้นหนึ่ง ซึ่งว่ากันว่าเป็นต้นสุดท้ายของกรุงเทพเสียด้วย

สวนแห่งนี้มีอาณาเขตติดกับแม่น้ำ จึงได้บรรยากาศที่แปลกแตกต่างจากสวนทุกแห่ง ที่มีมาก่อนทั้งสิ้น และกรุงเทพมหานคร ในยุคของอดีตหัวหน้าพรรคการเมืองดังของกรุงเทพ ได้กรุณาจัดดนตรีในสวนเช่นเดียวกับ ที่มีอยู่ในสวนลุมพินี มีดนตรีประเภทต่าง ๆ ผลัดเปลี่ยนกันมาบรรเลง ให้ความสุขแก่ประชาชนทั้งชาวบางลำพู และตำบลอื่น ในยามเย็นที่แสงอาทิตย์อ่อนลง และมีลมจากแม่น้ำโชยเฉื่อย ในวันเสาร์เกือบตลอดปี

นอกจากนี้ยังมีการจัดงานในเทศกาลต่าง ๆ ด้วย ตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ วันลอยกระทง และวันสำคัญอื่น ๆ อีกหลายงาน โดยทำการปิดถนนตั้งแต่พระสุเมรุ ถนนพระอาทิตย์ ไปจนถึงถนนราชินี เช่นเดียวกับที่เคยจัดในถนนสีลม หรือถนนพระจันทร์ ที่คนกรุงชื่นชอบมาแล้ว และมีการแสดง ละคร ลิเก หรือนาฏศิลปไทย บนเวทีกลางแจ้งข้างหน้าป้อม ให้ดูฟรีอีกด้วย

ผมจึงชอบสวนสาธารณะแห่งนี้เป็นพิเศษ เพราะไปมาด้วยรถเมล์ สะดวกที่สุด ทั้ง ๆ ที่มีข้อจำกัดเช่นเดียวกับสวนขนาดเล็กอื่น ๆ เช่นห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้าไปในสวน ห้าม ขี่จักรยาน หรือเล่นเสก็ต และห้ามสูบบุหรี่ ข้อสำคัญที่สุด ก็คือห้ามดื่มสุราและเสพของมึนเมาในสวน แต่สำหรับสวนสันติชัยปราการนี้ ผมสามารถจะออกไปดื่มเครื่องดื่มที่ผมชอบ ที่ทางเดินริมแม่น้ำ ซึ่งยาวเหยียดไปจนถึงเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ได้โดยไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

เพราะถึงแม้ว่าผมจะเลิกสูบบุหรี่ มาตั้งนานหลายปีแล้วก็ตาม

แต่ผมก็ยังอุดหนุนเบียร์ไทยอยู่หลายยี่ห้อนี่ครับ.

##########

วารสารข่าวทหารอากาศ
มิถุนายน ๒๕๔๗

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๖ เมษายน ๒๕๔๘




Create Date : 11 ตุลาคม 2550
Last Update : 11 ตุลาคม 2550 9:58:08 น.

Counter : 7 Pageviews. 6 comments

Add to







ชอบเหมือนกัน



โดย: tik IP: 203.146.116.101 วันที่: 18 ตุลาคม 2550 เวลา:18:33:32 น.







ของผมเติมโซดาด้วยครับ คออ่อนครับ.



โดย: เจียวต้าย (เจียวต้าย ) วันที่: 20 ตุลาคม 2550 เวลา:6:49:16 น.







คิดถึงสวนลุม ชอบไปฟังเพลงเหมือนกัน แต่สวนอื่นไม่ค่อยได้ไป



โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.242.19 วันที่: 7 มีนาคม 2551 เวลา:9:56:54 น.







เมื่อผู้ว่า กทม.คนก่อนโน้นท่านจัดให้มีดนตรีในสวนลุม
ทุกอาทิตย์ ผมไปเสมอจึงเอามาเล่า

ต่อมาผมไปวัดทุกอาทิตย์ และรักษาศีลห้า
ก็เลยไม่ได้ไปฟังเพลง เพราะมันจะอยากดื่มเบียร์

ปัจจุบันดูเหมือนเขามีวันเสาร์
แต่ดนตรีเปลี่ยนไป ไม่ใช่แนวที่ผมชอบแล้ว
ก็เลยไม่ได้ไปครับ.




โดย: เจียวต้าย วันที่: 7 มีนาคม 2551 เวลา:19:28:22 น.







ไปหลายสวนนะครับ

สวนสาธารณะ จะมีใหม่แถวบางขุนนนท์ด้วยครับ กำลังสร้างอยู่เยื้องกับ

โรงพักบางขุนนนท์ครับ ใกล้กับกรมส่งเสริมการทำสวนยาง (ชื่อนี้หรือเปล่าไม่รู้)

ว่าง ๆ คุณอามาเที่ยวได้ น่าจะเสร็จปี 2552 ครับ



โดย: พี่แต้ วันที่: 14 มีนาคม 2551 เวลา:20:37:25 น.







ใกล้ดีครับ คงจะได้ไปแน่
เพราะแถวนั้นผมผ่านเสมอครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:9:27:12 น.






 

Create Date : 01 มีนาคม 2553    
Last Update : 25 มีนาคม 2553 10:36:38 น.
Counter : 434 Pageviews.  

เรื่องธรรมดา (๑๑) เรื่องของสุขา

เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา (๑๑)

เรื่องของสุขา

“ เพทาย “


วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ถนนสีลมปิดห้ามรถแล่นปล่อยให้ถนนว่าง เพื่อใช้เป็นที่จัดงานแสดงศิลปวัฒนธรรม เป็นประจำทุกสัปดาห์ ผมลงจากรถโดยสารที่ใกล้กับพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาธีรราชเจ้า หน้าสวนลุมพินี ซึ่งเป็นวันก่อนที่จะมีพิธีวางพวงมาลาประจำปี เจ้าหน้าที่กำลังกางเต๊นท์ จัดเก้าอี้ และเดินสายไฟฟ้า กันทั่วไป

ผมเดินผ่านเข้าประตูมุ่งหน้าไปยัง ห้องสมุดประชาชน ของกรุงเทพมหานคร เมื่อผ่านสุขาสาธารณะก็แวะเข้าไปทำธุระ เป็นการไม่ประมาทต่ออนาคต ปรากฎว่ามีป้ายชี้แจงไว้ว่า ฟรีชั่วคราวจนกว่าจะเปิดประมูลใหม่ แต่บนโต๊ะเตี้ย ๆ ข้างหน้า มีผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ ปูอยู่และมีเหรียญบาท วางอยู่หลายเหรียญ จึงถามหญิงสาวมากที่นั่งกำกับอยู่ ได้ความว่าต้องบริจาคสองบาท ผมก็ไม่ได้โต้แย้ง ว่ามันขัดกับข้อความบนป้าย ยอมควักให้แต่โดยดี

แต่ขณะที่ทำธุระอยู่ก็อดที่จะคิดถึงเรื่องพรรค์นี้ไม่ได้ เพราะเมื่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนปัจจุบัน สมัยที่ยังเป็น ส.ส.กรุงเทพมหานคร ท่านได้ใช้งบประมาณสร้างส้วมสาธารณะหลายแห่ง และใช้อ้างในการหาเสียงด้วย ว่าจะต้องสร้างส้วมสาธารณะ ในที่ซึ่งมีคนสัญจรไปมามาก เช่นตามป้ายรถเมล์ แล้วจัดให้มีคนเฝ้า โดยให้เก็บเงินค่าบริการตามสมควร และอนุญาตให้ขายของเบ็ดเตล็ด เพื่อเป็นรายได้เสริมอีกด้วย เขาจะได้รับผิดชอบในความสะอาด โดย กทม.ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

แต่ผู้ว่าราชการคนก่อนนี้ ไม่เห็นด้วย สั่งให้เลิกเก็บเงินแม้จะมีคนเฝ้าเหมือนเดิม ซึ่งคงจะได้ค่าจ้างจาก กทม. แต่ขายของเบ็ดเตล็ดก็ไม่ได้ จึงอาจจะไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ ต้องแอบต้องซ่อนขาย กระดาษชำระบ้าง ลูกอมยาดมยาหม่องบ้าง และรอรับบริจาคค่าใช้บริการจาก ผู้ที่เข้ามาปลดทุกข์ ซึ่งก็ไม่มีผู้ใดปฏิเสธ เพราะทุกข์นี้เป็นเรื่องหนักหนาสาหัส ยิ่งกว่าราคาหุ้นตกมากนัก

เพื่อสนองนโยบายใช้ สุขาสาธารณะฟรี ทาง กทม.ยุคนั้นจึงสร้างสุขาเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่งทั่วกรุงเทพ แต่ไม่ต้องการให้ประเจิดประเจ้อ จึงเลือกที่ซึ่งไม่ค่อยเปิดเผยนัก และสร้างแบบไฮเทค ใช้ได้ทั้งคนดีและคนพิการ เป็นห้องที่ทำด้วยแสตนด์เลสทั้งหลังแต่มีขนาดเล็ก ห้องของชายหญิงก็อยู่ติดกันแค่มือเอื้อม และไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าดูแล จึงไม่ค่อยมีผู้คนเข้าไปใช้บริการเท่าใดนัก เพราะใช้ไม่ค่อยเป็น และอยู่ในที่ค่อนข้างเปลี่ยว โดยเฉพาะผู้หญิง คงกลัวว่าเข้าไปแล้วจะเปิดออกมาไม่ได้ หรือมีคนมาคอยดักจี้ชิงทรัพย์อยู่หน้าประตูก็ได้ ทั้ง ๆ ที่มีไฟแดงติดอยู่บนหลังคาทุกแห่ง ก็ตาม มาถึงสมัยนี้จึงมีตัวหนังสือสีแดงบอกว่า ค่าบริการสองบาท แต่ผมเคยลองเปิดดู ก็เปิดไม่ออก คงจะเก็บเงินและเปิดใช้ได้ เมื่อมีคนมาเฝ้ากระมัง

พอผู้ว่าราชการ กทม.ท่านนี้ได้เข้ามาดำรงตำแหน่ง ด้วยคะแนนท่วมท้น จากข้อความบนแผ่นป้ายหาเสียงที่ว่า ถ้าจะใช้ผม โปรดเลือกผม ท่านก็ยกเลิกการใช้สุขาฟรีแต่ไม่ฟรีจริง หมดทุกแห่ง แล้วติดป้ายที่ว่านั้น ดูเหมือนจะหลายเดือนมาแล้ว ยังไม่ได้ผู้ประมูลใหม่สักที จึงต้องเสียบ้างไม่เสียบ้าง ตามแต่ความสมัครใจของผู้ใช้บริการต่อไป

เมื่อผมมอบหนังสือสี่เล่ม ที่นำมาบริจาคให้ห้องสมุด และหยิบหนังสือบนชั้นมาพลิกดูเล่นสองสามเล่มแล้ว ก็คิดจะกลับเพราะมีผู้ใช้บริการค่อนข้างแน่น ถ้าลุกจากเก้าอี้แล้ว ก็ไม่มีทางได้กลับมานั่ง เพราะมีผู้รอให้ว่างอยู่แล้ว ส่วนอีกจำนวนหนึ่งนั้น ไม่แยแสว่าจะมีเก้าอี้ว่างหรือไม่ คงปักหลักนั่งกับพื้น หรือยืนอ่านกัน ตรงชั้นที่หยิบหนังสือออกมานั้นเอง และทุกคนสนใจกับหนังสือในมือของตนอย่างใจจดใจจ่อ ไม่มีใครมานั่งฟุบหลับให้เปลืองที่ เหมือนที่หอสมุดแห่งชาติ อันกว้างขวาง และเย็นฉ่ำเลย

เมื่อออกมาจากสวนลุมพินีแล้ว ผมก็เดินทอดน่องเข้าไปในถนนสีลม เพื่อดูว่าเขามีอะไรกันบ้าง ขณะนั้นเพิ่งจะบ่ายสามโมง จึงยังไม่ค่อยมีผู้คนมาเดินมากมายนัก ร้านค้าแบบแผงลอย วางทั้งสองฝั่งของเกาะกลาง ซึ่งเป็นแนวเสาที่วางรางรถไฟฟ้ามหานคร ของบริษัท BTS มีสินค้ามากมายหลายประเภท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ของตำบลต่าง ๆ ที่มาจากหลายจังหวัดในทุกภาค

แต่ที่ผมสนใจก็คือการระบายสีบนแผ่นผ้าขนาดเล็ก ที่ใช้เป็นผ้าโพกผมหรือผ้าเช็ดหน้าบาง ๆ โดยเขียนแบบให้เด็กเล็กๆ เป็นผู้ระบาย และผู้ปกครองหลายคนก็นั่งช่วยลุ้น ลูกหลานของตนด้วย บางร้านก็เป็นการให้เด็กระบายสีตัวตุ๊กตาที่ทำด้วยปูนปลาสเตอร์สีขาว และอีกบางร้านก็เลื่อยไม้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ให้เด็กเอากาวติดต่อเป็นบ้านเรือน หรือรูปต่าง ๆ ตามใจชอบ

ผมเดินไปเรื่อย ๆ จนทะลุออกไปทางถนนอะไรก็ไม่ทราบ เพราะไม่เคยมาทางย่านนี้เลย และขึ้นไปบนสถานีช่องนนทรี เพื่อโดยสารรถไฟฟ้ากลับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยลงต่ออีกสายหนึ่งซึ่งมาจากซอยอ่อนนุช ที่สถานีสยาม ตลอดเส้นทางใช้เวลาเพียงไม่ถึงสิบห้านาที การเดินทางด้วยรถไฟฟ้านี้นับว่าคุ้มค่า เพราะราคาไม่แพงจนเกินไป และไม่ต้องติดการจราจรบนถนน หรือไฟแดงตามสี่แยก ให้หงุดหงิด ทั้งบรรยากาศบนรถก็ค่อนข้างเงียบ และเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศ เทียบกับรถโดยสารปรับอากาศ หรือรถแท็กซี่แล้วดูจะดีกว่า เสียแต่มีเส้นทางจำกัด ไปไม่ได้ไกล

เห็นผู้ว่า กทม. คนปัจจุบันบอกว่าจะต่อออกไปถึงบางแค หรือไกลกว่านั้น แต่ถ้าสายเหนือต่อจากสวนจตุจักรไปถึงรังสิตก็ยิ่งดี ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ เพราะจะไปแย่งเส้นทางของโทลเวย์เขา

แต่ที่แย่ที่สุดก็คือสถานีรถไฟฟ้าทุกแห่ง ไม่มีห้องสุขา เขาใจว่าไม่ใช่บริษัทไม่เห็นความจำเป็น แต่คงจะเป็นเพราะไม่อยากหมดเปลืองค่าใช้จ่าย ในการสร้าง การรักษาความสะอาด และการรักษาความปลอดภัย กระมัง

จากชานชลาสถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งมีผู้โดยสารลงกันมากมาย ผมเดินตามกลุ่มคนลงบันไดมาร่วมสี่สิบขั้น และเดินต่อไปบนสะพานลอย ซึ่งทอดยาวออกมาทางด้านโรงพยาบาลราชวิถี แล้วจึงลงบันไดอีกกว่าสี่สิบขั้น กว่าจะถึงทางเท้าข้างถนน ผมเดินลงมาจนเกือบถึงขั้นสุดท้าย ก็เห็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ตรงเชิงบันได

นั่นคือสถานสุขาของกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ และนั่นก็คือสวรรค์บนดินของผมดีดีนี่เอง ผมจะได้ปลดทุกข์อันหนักหน่วงที่อั้นมา ตั้งแต่สถานีช่องนนทรีออกเสียที....สาธุ.

############

เรื่องของวันอาทิตย์
นิตยสารโล่เงิน
มิถุนายน ๒๕๔๗

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๒๐ มกราคม ๒๕๔๘

เรื่องของวันอาทิตย์
ห้องไร้สังกัด พันทิป
๒๔ พศจิกายน ๒๕๕๒ เวลา ๐๕.๐๐ เศษ

เมื่อถึงเวลา ๐๘.๐๐ น.เศษ ของวันอังคารที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
นายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร
และ อดีตนายกรัฐมนตรี ท่านที่ ๒๕ อายุ ๗๔ ปี
ก็ถึงแก่อนิจกรรม ด้วยโรคมะเร็งตับ ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กรุงเทพ

จึงขอวางคำไว้อาลัยไว้ ณ ที่นี้

หลับให้สนิทเถิดท่านสมัคร
ไม่ว่าชังหรือรัก ก็ไม่ทำให้ท่านหวั่นไหว
จะดีหรือชั่ว ก็รู้กันอยู่ทั่วไป
ขอไว้อาลัย แด่คนกล้าวาจาจริง ฯ

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 16:29:42


หลับให้สนิทเถิดท่านสมัคร
ใครจะรักใครจะชังก็ช่างเขา
ทุกสิ่งที่ทำไปมั่นใจเรา
ใครจะเศร้าใครจะหยามไม่ยลยิน.

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 05:21:08

ความคิดเห็นที่ 15

หลับสนิทเสียเถิดเพื่อนมนุษย์
ในที่สุดทั้งชังรักหักหายสิ้น
เขาจะด่าจะยอก็ไม่ยลยิน
พอชาชินแค่ร้อยปีก็ลืมเลือน.

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 16:51:42





Create Date : 20 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2552 8:31:23 น.

Counter : 8 Pageviews. 4 comments

Add to







เข้ามาให้กำลังใจคุณเจียวต้าย ค้าบบบบ



โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.227.70 วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:15:14:54 น.







ขอบคุณครับ ที่ติดตามอ่านวันเดียวเกือบหมดกลุ่มเรื่องสั้นเลยครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:19:50:03 น.







คุณอาแวะเข้าห้องน้ำห้างหรือโรงพยาบาลแถวอนุสาวรีย์
ก็มีห้องน้ำเยอะอยู่นะครับ

ห้องน้ำกทม. บางทีก็ไม่ค่อยสะอาดเท่าในห้างครับ

เนื่องจากคนใช้เยอะ



โดย: พี่แต้ วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:22:13:05 น.







เขาสะอาดพอใช้ได้ครับ
ดีกว่าโคนเสาไฟฟ้าเยอะเลยครับ.



โดย: เจียวต้าย IP: 58.9.203.88 วันที่: 27 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:42:51 น.






 

Create Date : 01 มีนาคม 2553    
Last Update : 25 มีนาคม 2553 10:35:52 น.
Counter : 479 Pageviews.  

เรื่องธรรมดา (๑๐) ผู้บำเพ็ญประโยชน์

เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา (๑๐)

ผู้บำเพ็ญประโยชน์

" เพทาย "

หมู่บ้านที่ผมอาศัยอยู่นี้ ไม่ใช่มีทางเข้าออกเพียงทางเดียวหรือสองทาง เหมือนอย่างหมู่บ้านสมัยใหม่ทั่ว ๆ ไป แต่มีซอยกว้างขวางให้รถวิ่งสวนกันได้ ผ่ากลางหมู่บ้าน จากถนนใหญ่สายหนึ่งไปยังถนนใหญ่อีกสามสายถึงสิบซอย ดังนั้นจึงมีรถที่แล่นผ่านเข้าซอยนี้ไปออกซอยโน้น ตลอดทั้งวันเป็นปริมาณ
มากมายนับไม่ถ้วน จนถึงกับทางผู้มีหน้าที่จัดการจราจร ต้องออกกฎเกณฑ์ ห้ามเลี้ยวขวาบ้าง ห้ามออกในเวลาที่กำหนดบ้างเกือบจะทุกปากซอย

ทีนี้ผู้ขับขี่รถยนต์ทั้งส่วนตัวและสาธารณะ ที่ไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศ แลเห็นถนนซอยกว้างขวางดี ก็คิดจะหาทางลัด เมื่อเจอเอาป้ายห้ามต่าง ๆ เข้า ก็ต้องวนไปตั้งต้นใหม่ ส่วนผู้ที่ตามหลังมาด้วยความไม่รู้เช่นกัน ก็ต้องถอยเข้าถอยออกติดเป็นแพ ตำรวจจราจรก็ไม่มีมาช่วยจัดการ จึงเกิดมีอาสาสมัคร ช่วยเป่านกหวีดโบกไม้โบกมือ ชี้ทางให้บ่อย ๆ ชี้ถูกบ้างผิดบ้างไปตามเรื่อง

ชายผู้นั้นมีอายุเข้าวัยชราแล้ว ผมเผ้าที่ตัดเกรียนติดหนังศรีษะ มีเส้นสีขาวแซมอยู่ทั่วไป แต่ร่างกายยังแข็งแรง นุ่งกางเกงขาสั้นสีดำ สวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวตุ่น ยืนเป่านกหวีดอยู่ได้ครึ่งวันค่อนวันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ชาวบ้านเรียกชื่อเล่นว่า ก๋อย ตาก๋อยหรือลุงก๋อยคนนี้ มีลักษณะคล้ายคนปัญญาอ่อน แต่ไม่มากนัก ข้อสำคัญคือเสียงพูดจะอู้อี้ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็พอจะเดากันได้ แกไม่ได้ทำงานการอะไร บางครั้งจะเห็นแกขายสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือผลการออกสลากกินแบ่ง ซึ่งบางทีก็เป็นคนละงวดกับที่เขาออกกันในวันนั้น และบางวันก็ขายหนังสือพิมพ์ ที่ป้ายรถเมล์นั้นเอง

บางคราวก็จะถือเครื่องวิทยุ หรือเครื่องขยายเสียงขนาดเล็ก ที่ต่อกับไมโครโฟนได้ เที่ยวเดินร้องเพลงไปตามถนนในซอย โดยไม่มีใครฟังออกว่า เพลงที่แกร้องนั้นเป็นเพลงอะไร ในบางโอกาสก็จะเป่าแคนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ซึ่งมีแค่สองเสียงคือดูดกับเป่าเท่านั้น และถ้ามีวงดนตรีของคนตาบอด มายึดทางเท้าบรรเลงเพลง เรียกร้องให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาบริจาคเงิน แกก็จะถือโอกาสเข้าไปเป็นคอนดัคเตอร์ หรือผู้อำนวยเพลงโดยไม่ได้รับเชื้อเชิญ และนักดนตรีก็ไม่มีโอกาส จะรู้ด้วย ประชาชนที่เดินผ่านไปมา ก็จะสนใจมองดูพฤติกรรมของแก แต่ถ้าเป็นชาวบ้านที่คุ้นเคยกันอยู่ ก็ไม่มีใครให้ความสนใจ เพราะเห็นเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว

อีกเรื่องหนึ่งที่แกชอบทำ คือเมื่อหมู่บ้านนี้มีงานเพื่อส่วนรวม เช่นทำบุญเลี้ยงพระประจำปี แกก็จะเป็นผู้ช่วยมัคทายก ยกอาหารหรือเครื่องไทยธรรมถวายพระสงฆ์ ที่มาร่วมพิธี ถ้าเป็นการทำความสะอาดถนนสายต่าง ๆ ในหมู่บ้าน เนื่องจากวาระอะไรก็ตามแต่ แกก็จะหิ้วโทรโข่งส่วนตัว เดินประกาศเรียกชาวบ้านที่ผ่านไป ให้ออกมาร่วมมือด้วยภาษาที่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องของแก แทบทุกครั้ง และแม้เมื่อมีการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นระดับหมู่บ้าน ระดับมหานคร หรือระดับชาติ แกก็จะทำหน้าที่นั้น ด้วยความเต็มใจโดยไม่ต้องออกปากไหว้วาน ซึ่งทำความขบขันให้แก่คนนอกหมู่บ้านให้ยิ้มหัวว่า หมู่บ้านนี้ช่างไปหาคนประเภทไหน มาทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์

ยังมีอีกคนหนึ่งซึ่งหนุ่มกว่ามาก ชาวบ้านเรียกว่า นายด้อง หรืออาจมีคำนำหน้าเป็นอย่างอื่นก็ได้ รายนี้ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้สังคมเลย ดีแต่เที่ยวเดินชี้หน้าว่าคนโน้นคนนี้ ด้วยภาษาและประโยคที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร ด้วยหน้าตาที่รกครึ้มไปด้วยหนวดเครา และผมที่ยาวยุ่งเหยิงรุงรัง กับท่าทางที่ถมึงทึงและน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้คนที่ไม่คุ้นเคยต้องสะดุ้งอยู่บ่อย ๆ แต่ถ้าตั้งใจฟังเข้าจริง ก็ไม่รู้ว่าเขาตวาดเอาด้วยเรื่องอะไร และถ้าเป็นผู้หญิงสาว ๆ ผ่านมา เขาก็จะแสดงท่าทางขึงขังให้น่ากลัวยิ่งขึ้น ทำให้แตกหนีไปคนละทาง แต่ก็เช่นเดียวกัน ชาวบ้านเห็นเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่สมควรจะต้องเสียเวลาให้ความสนใจเท่าไรนัก

เขาจะนุ่งกางเกงขายาวกระดำกระด่าง เป็นประจำ แต่ใส่เสื้อทหารหรือตำรวจเพียงครึ่งท่อน ซึ่งไม่ทราบว่าไปเอามาแต่ไหน บางทีก็มีแฟ้มหรือแผ่นกระดาษอยู่ในมือ ชี้โบ๊ชี้เบ๊หรือจดอะไรไปตามเรื่องตามราว

บางคราวเขาจะหายหน้าไปเดือน ผู้รู้บอกว่าญาติส่งไปเข้าโรงพยาบาล เพื่อบำบัดอาการดังกล่าว แต่เมื่อกลับมาก็ไม่เห็นเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแต่อย่างใด ต่อมาเขาไม่พูดจากระโชกโฮกฮากเพียงอย่างเดียว แต่มีการออกท่าทางเหมือนอย่างมวยไทย ทั้งชกทั้งเตะต่อย ตีศอกและขึ้นเข่าไปตามลมตามแล้ง ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมาต้องเลี่ยงให้ห่างออกไปอีก เพราะถ้าเคราะห์ร้ายถูกลูกหลง ก็ไม่รู้จะเจรจาเอาความกันได้อย่างไร

ทำอย่างนั้นอยู่ได้ไม่นาน วันหนึ่งก็มีผู้พบว่านายด้อง มีอาการป่วยหน้าตาเขียวช้ำ โดยเฉพาะโหนกแก้มขวาบวม และดวงตาข้างนั้นก็แดงก่ำ ราวกับถูกใครลงมือลงไม้มา ชาวบ้านที่พบเห็นก็พากันสงสารเวทนา แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าไปโดนอะไรเข้า ก็ได้แต่เดาว่าคงจะเป็นผู้ที่เขาไม่รู้ว่าเป็นคนเสียสติ
และนึกว่าจะถูกทำร้ายเอานั่นเอง

เมื่อนายด้องโคจรมาพบตาก๋อยเข้า บางครั้งก็คุยกัน แต่บางทีก็มีการถกเถียงกัน ด้วยภาษาพูดคนละภาษา ที่ไม่มีใครทราบว่าเขารู้เรื่องกันหรือไม่ ซึ่งเป็นที่ขบขันเฮฮาสำหรับพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอย ที่ตั้งขายของอยู่บนทางเท้าในซอยนั้น

ในวันที่ตาก๋อยกำลังทำหน้าที่ จัดการจราจร ด้วยการเป่านกหวีดไล่รถให้เลี้ยวหลบซอยที่ห้ามออก ไปทางซอยอื่นอยู่อย่างขะมักเขม้นนั้น นายด้องโผล่จากไหนไม่ทราบ เดินบ่นมาตามข้างถนนในซอยที่แดดร้อนเปรี้ยง

พอแลเห็นตาก๋อยที่หัวมุมซอย ก็ถลาเข้าไปหาโดยตัดหน้ารถแท็กซี่อย่างกระชั้นชิด จนโชเฟอร์ต้องเบรคเสียงสนั่น พร้อมกับบีบแตรดังลั่น ทำให้นายด้องสดุ้งโหยง รีบหยุดกึกแล้วหันขวับมาชี้หน้าพลขับ พร้อมกับตะโกนเสียงโหวกเหวก อย่างเคย

โชเฟอร์แท็กซี่ได้ยินไม่ถนัด นึกว่าคนเดินตัดหน้าแล้วยังจะเอาเรื่องอีก ก็เปิดประตูผางออกมา และปรี่เข้าหานายด้อง ซึ่งก็ไม่มีทีท่าว่าจะถอยเหมือนกัน

ตาก๋อยรีบปล่อยนกหวีดหลุดจากปาก วิ่งเข้ามาฉุดนายด้องให้ถอยห่างออกไป พร้อมกับว่า

" ไอ้อ้า เอินไอ้อูอ๊ดอูอา เอี๋ยวโอนอั๊บอายอ่า "

โชเฟอร์จึงชะงักอยู่กับที่ เมื่อตาก๋อยเข้ามายกมือไหว้ แล้วพูดว่า

" อ่าอื๋ออันเอยอั๊บ ไอ้อ้องอันเอ็นอนอ้า "

ในขณะนั้นเองที่พ่อค้าแม่ค้าซึ่งอยู่ใกล้ กับชาวบ้านที่ผ่านมาเห็น ก็ช่วยกันร้องบอกโชเฟอร์ทำนองว่า อย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนใบ้เลย เขาจึงหัวเราะออกมาได้และเดินกลับมาขึ้นรถ ขับเคลื่อนออกไปจากที่นั้น รถที่ตามหลังมาต่างก็ต้องเหลียวดูชายไม่สมประกอบทั้งสอง ด้วยความขบขันและสังเวชในใจ เมื่อนายด้องได้รอดจากมือเท้า ของโชเฟอร์แท็กซี่เลือดร้อนผู้นั้นแล้ว ก็เดินตะโกนอะไรเรื่อยเปื่อยต่อไป โดยไม่ได้สนใจตาก๋อย ซึ่งช่วยให้ตนพ้นภัยมาได้เลย

ส่วนตาก๋อยนั้น ผมเองเห็นว่า ถึงแม้จะป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ไม่ค่อยได้สติสตัง แต่ก็ยังมีค่าต่อสังคม รู้จักบำเพ็ญประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ และช่วยเหลือคนที่มีสติน้อยกว่า แม้ว่าจะเป็นคนที่ไม่ชอบขี้หน้าเท่าไรนักก็ตาม ทั้งยังรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ ด้วยการคว้านกหวีดที่คล้องคออยู่ เอามาเป่าเป็นสัญญาณประกอบกับมือ ที่โบกให้รถแล่นไปตามทิศทางที่ถูกต้องต่อไป โดยปล่อยให้นายด้อง เดินบ่นบ้าอยู่ต่อไปแต่ผู้เดียว อย่างไม่สนใจใยดีเหมือนกัน

ขณะนั้นผมกำลังหิ้วถุงโอวเลี้ยงสองถุงเพื่อไปฝากแม่บ้าน ผ่านมาถึงพอดี แกเลยขอเอาไปถุงหนึ่ง ยกขึ้นดูดด้วยความกระหายน้ำ รวดเดียวเกือบแห้ง แล้วก็ส่งคืนพร้อมกับยิ้มเห็นฟัน ที่เหลืออยู่สองสามซี่ พร้อมกับโบกมือไล่

" ออบไอโอ๊ย ไอไอ้อ๊น อ่าอาอืนอ๋างอาง อ๊ดอิดอายอ่า "

ผมรีบแอบเข้าข้างทาง ตามคำสั่งของแก โดยไม่รู้จะเถียงแกให้เสียเวลาไปทำไม ก็เห็นกันมาตั้งแต่เด็กนี่ครับ.

##########


นิตยสารโล่เงิน
พฤษภาคม ๒๕๔๗




Create Date : 03 ตุลาคม 2550
Last Update : 7 มีนาคม 2551 19:46:52 น.

Counter : 5 Pageviews. 4 comments

Add to







เข้ามาเม้นอีกรอบ อ่านให้เข้าใจว่าแกพูดว่าอะไรน่ะอิอิอิ



โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.242.19 วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:16:29:43 น.







"ขอบใจโว๊ย ไปให้พ้น อย่ามายืนขวางทาง รถติดตายห่า"

เดาถูกไหมครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:10:15:28 น.







พอเดาได้ เหมือนคนลิ้นไำก่สั้น พูดไม่ชัด



โดย: พี่แต้ วันที่: 14 มีนาคม 2551 เวลา:21:25:16 น.







ทุกวันนี้แกถือวิทยุคู่กับเครื่องขยายเสียงขนาดเล็ก
เดินถ่ายทอดวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ ไปทั่วสวนอ้อยครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:9:39:38 น.






 

Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 24 มีนาคม 2553 20:34:27 น.
Counter : 546 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.