Group Blog
 
All Blogs
 

ลูกน้องผู้ซื่อสัตย์

เสี้ยวสามก๊ก

ลูกน้องผู้ซื่อสัตย์
"เล่าเซี่ยงชุน"

หลายชีวิตที่เล่ามาแล้วนั้น ล้วนแต่เป็นผู้น้อยหรือตัวประกอบ ในสามก๊กทั้งนั้น แต่ก็มีพฤติกรรมที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ซึ่งจะได้ขุดคุ้ยแคะไค้ออกมาเล่าสู่กันอ่านได้ อีกหลายคน

ทางฝ่ายอ้วนเสี้ยวซึ่งเป็นใหญ่ในภาคเหนือนั้น เมื่อโจโฉได้เป็นมหาอุปราชของพระเจ้าเหี้ยนเต้ และเที่ยวขยายอำนาจออกไปในหัวเมืองต่าง ๆ มากขึ้นก็คิดจะยกทัพไปปราบปราม เพื่อตั้งตัวเป็นใหญ่บ้าง เพราะมีทหารนับร้อยหมื่น มีทหารเอกมากมาย และที่ปรึกษาหลายคน ในจำนวนนั้นมีอยู่สองคนที่มีความเห็นไปในทางเดียวกัน คือ เตียนห้อง กับ จอสิว เป็นผู้ที่คัดค้านไม่ให้อ้วนเสี้ยวยกทัพไป ด้วยเหตุผลที่ว่าการสงคราม ใช่จะมีชัยชนะด้วยทหารมากอย่างเดียว โจโฉนั้นถึงจะมีทหารน้อย แต่มีความคิด ชำนาญการสงครามลึกซึ้ง ยากที่จะเอาชนะได้ แต่อ้วนเสี้ยวไม่เห็นด้วย คงให้ยกทัพสามสิบหมื่นไปตั้งมั่นอยู่ที่ตำบลลิมหยง ใกล้เมืองฮูโต๋ของโจโฉตามความเห็นของที่ปรึกษาคนอิ่น ๆ โจโฉก็ยกทหารยี่สิบหมื่นไปตั้งยันไว้ห่างแค่แปดร้อยเส้น แต่ตั้งอยู่สองเดือนก็ยังไม่ได้รบกัน พอถึงหน้าหนาวก็แยกกันกลับเมือง จอสิวก็น้อยใจอ้วนเสี้ยวว่าปรึกษาราชการสิ่งใดก็ไม่เห็นด้วย

พอถึงฤดูร้อนเล่าปี่ขอให้อ้วนเสี้ยวยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋อีก เตียนห้องก็คัดค้านตามเคย อ้วนเสี้ยวก็โกรธจะฆ่าเสีย แต่เล่าปี่ขอร้องจึงให้เอาตัวไปขังคุกไว้ จอสิวก็เสียใจจึงเอาทรัพย์สินทั้งปวง แจกจ่ายแก่บุตรภรรยาญาติพี่น้อง เพราะคิดว่าคงไปตายแน่ คราวนี้อ้วนเสี้ยวยกทัพเจ็ดสิบหมื่นเศษไปตั้งที่ตำบลบู๊เอี๋ยง โจโฉก็ยกทหารเพียงเจ็ดหมื่นห้าพันไปตั้งรับที่ริมแม่น้ำฮองโห จอสิวก็แนะว่าเสบียงอาหารของโจโฉนั้นมีน้อย ให้รบหน่วงเวลาไว้จนทหารโจโฉระส่ำระสายจึงค่อยตีให้แตก อ้วนเสี้ยวก็โกรธให้เอาตัวไปขังไว้ในค่าย ถ้าชนะศึกเมื่อไรจะได้ฆ่าเสียพร้อมกันกับเตียนห้อง

คืนหนึ่งขณะอยู่ในที่คุมขัง จอสิวเห็นท้องฟ้าสว่าง และดาววิปริตก็ตกใจ ขอให้ผู้คุมคลายเครื่องจองจำ และพาไปหาอ้วนเสี้ยวซึ่งเสพสุราเมา แล้วนอนหลับอยู่ ต้องปลุกขึ้นมาบอกว่า วันนี้ดูดาวแล้วเห็นว่าจะมีเหตุร้าย ข้าศึกอาจจะลอบเข้าไปตีเอาเสบียงที่ตำบลอัวเจ๋าขอให้เร่งระวังป้องกัน อ้วนเสี้ยวก็โกรธว่าเป็นนักโทษดันสะเออะมาอวดรู้ดี เลยสั่งให้เอาผู้คุมไปฆ่าเสีย แล้วเอาจอสิวไปเข้าคุกดังเก่า

การณ์ก็เป็นไปตามคำพูดของจอสิว เพราะโจโฉแอบไปเผาเสบียงเสียสิ้น และการสงครามครั้งนี้ อ้วนเสี้ยวก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ต้องแตกกลับเมืองกิจิ๋วกับทหารเพียงแปดร้อยคนเท่านั้น ระหว่างที่เดินทางกลับ อ้วนเสี้ยวได้ยินทหารร้องไห้รำพันว่า ถ้านายเราเชื่อฟังคำเตียนห้อง ไหนเลยจะได้ความเดือดร้อนถึงเพียงนี้ ก็คิดอับอายไม่อยากดูหน้าเตียนห้อง จึงส่งกระบี่ให้ทหารรีบกลับเข้าเมืองไปฆ่าเตียนห้องที่ถูกขังอยู่ในคุกเสียก่อน

ส่วนจอสิวนั้นติดคุกอยู่ในค่ายที่โจโฉยึดได้โจโฉก็ให้ถอดเครื่องจองจำออก และเกลี้ยกล่อมให้เป็นพวกด้วย แต่จอสิวกลับด่าด้วยคำหยาบคาย โจโฉก็แกล้งทำเป็นไม่โกรธ และเลี้ยงดูเป็นอย่างดี พอถึงเวลากลางคืนจอสิวก็ลักม้าควบหนีไปจากค่าย แต่ถูกทหารโจโฉจับได้ โจโฉจึงต้องสั่งให้ประหารเสีย แล้วเอาศพฝังไว้ริมแม่น้ำฮองโห มีศิลาจารึกสรรเสริญว่าเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อนายเป็นอันมาก

ที่เมืองเสฉวนซึ่งเป็นเมืองใหญ่อยู่ทางตะวันตกนั้น เล่าเจี้ยงญาติของเล่าปี่เป็นเจ้าเมืองอยู่ ครั้นได้ข่าวว่าเตียวฬ่อเจ้าเมืองฮันต๋งจะยกทัพมาตีเมืองเสฉวน ก็คิดจะขอให้เล่าปี่เข้ามาช่วยทำศึก จึงส่งเตียวสงไปเชิญเล่าปี่ที่เมืองเกงจิ๋ว ทั้ง ๆ ที่มีผู้คัดค้านหลายคน อุยก๋วน อ้างว่าเล่าปี่นั้นเป็นคนแซ่เดียวกับเล่าเจี้ยงก็จริงแต่เป็นคนเจ้าปัญญาความคิดแยบคายมาก เหมือนหนึ่งเสือเฒ่าจำศีล แสร้งทำน้ำใจอารีอารอบให้คนนับถือ เห็นแต่ภายนอกก็ไม่รู้ว่าน้ำใจเล่าปี่นั้นคด อองลุย ก็ว่าเตียวฬ่อนั้นถึงจะเป็นศัตรูก็เหมือนกับหูดสิว อันเป็นแต่กายภายนอก เอาเล็บสะกิดเสียก็จะหายไป อันเล่าปี่จะเข้ามาตั้งในเมืองนั้น เหมือนวัณโรคอันเป็นยอดขึ้นในอก ยากที่จะรักษาได้ ด้วยเล่าปี่นั้นเป็นคนอกตัญญูมิได้รู้จักคุณคน โจโฉเอาไปเลี้ยงไว้ยังกลับคิดร้าย แล้วไปอาศัยซุนกวน ก็ชิงเอาเมืองเกงจิ๋ว มิได้ซื่อตรงต่อผู้ใด

เล่าเจี้ยงก็ไม่เชื่อ พอแจ้งว่าเล่าปี่มาถึงตำบลโปยเสีย เล่าเจี้ยงจะยกขบวนออกไปต้อนรับ อุยก๋วนก็ห้ามอีกและเอาหน้าโขกกับศิลาจนแตกเลือดไหล อีกทั้งกัดชายเสื้อไว้ชายเสื้อไว้ เล่าเจี้ยงก็กระชากชายเสื้อ จนอุยก๋วนฟันหักไปสองซี่ แล้วก็ให้ทหารจับตัวไป พอถึงประตูเมืองก็เจอกับอองลุยเอาเชือกผูกตัวแขวนเอาหัวห้อยลงมาแล้วส่งหนังสือฉบับหนึ่งมีความว่า ".....ข้าพเจ้าอองลุยคำนับไว้ถึงท่านให้แจ้ง ด้วยข้าพเจ้าได้ยินโบราณเล่าสืบกันมาว่า ยาดีกินขมปาก แต่เป็นประโยชน์แก่คนไข้ คนซื่อกล่าวคำไม่เพราะหู แต่เป็นประโยชน์แก่กาลภายหน้า ซึ่งท่านไม่ฟังคำข้าพเจ้าจะออกไปรับเล่าปี่ ณ เมืองโปยเสียนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเมื่อไปจะมีทางไปสะดวก แต่เมื่อจะกลับมาเห็น จะขัดสนไม่มีทางมา....."

เล่าเจี้ยงก็ไม่สนใจ อองลุยจึงเอากระบี่ตัดเชือกขาด ศรีษะปักลงมา คอหักตายคาที่ และสุดท้ายเล่าปี่ก็เข้ามายึดเมืองเสฉวนได้ แล้วขับไสไล่ส่งเล่าเจี้ยง ให้ออกไปอยู่เสียที่เมืองกองอั๋น ซึ่งเป็นเมืองเล็กนิดเดียว อองลุยก็เลยตายเปล่าไป โดยไร้ประโยชน์อันใดทั้งสิ้น

เมื่อตอนแรกได้เอ่ยชื่อบังเต๊กไว้นิดหน่อย บังเต๊กนั้นเป็นนายทหารรองของโจโฉ เดิมอยู่กับม้าเฉียวรบกับโจโฉ แต่ถูกจับตัวได้จึงสามิภักดิ์อยู่กับโจโฉได้ขออาสาเป็นแม่ทัพหน้าไปรบกับกวนอู โดยมี เสงโห เป็นคนสนิท แม่ทัพใหญ่คืออิกิ๋มนั้น ไม่ค่อยเชื่อฝีมือของบังเต๊ก และอิจฉาริษยาคอยกีดกัน กลัวจะมีความชอบมากกว่า พอรบได้เปรียบกวนอู ก็ส่งสัญญาณให้ถอยทุกที ครั้งหลังบังเต๊กเอาเกาทัณฑ์ยิงกวนอูที่ไหล่บาดเจ็บออกรบไม่ได้ แต่แทนที่จะเข้าตีค่ายกวนอูให้แตกหัก อิกิ๋มกลับให้ถอยทัพไปอยู่ที่หุบเขาใกล้แม่น้ำซงกั๋ง

บังเอิญเป็นฤดูฝนมีฝนตกทุกวัน เสงโหก็เตือนอิกิ๋มว่า ตั้งกองทัพอยู่ในที่ลุ่ม ถ้าเกิดน้ำมากท่วมค่ายทหารก็จะลำบาก หาที่อาศัยไม่ได้ อิกิ๋มก็ถืออำนาจแม่ทัพ หาว่าพูดให้ทหารเสียน้ำใจ ถ้าพูดอีกจะฆ่าเสีย เสงโหก็กลับมาบอกบังเต๊กให้เตรียมตัวย้ายกองทัพหน้าขึ้นไปยังที่ดอน
บังเต๊กก็เห็นชอบด้วย แต่ไม่ทันการคืนนั้นเองเกิดพายุฝนตกหนัก น้ำป่าทะลักลงมาจากภูเขาท่วมค่ายของอิกิ๋มและบังเต๊กจมมิด ทหารต้องตะเกียกตะกายเอาตัวรอด ไปอยู่บนที่สูงตัวใครตัวมัน บังเต๊กกับเสงโหและทหารรองอีกสองนายกับไพร่พลประมาณห้าร้อย อาศัยอยู่บนเนินเขาลูกหนึ่ง กวนอูซึ่งเตรียมกองเรือไว้แล้ว ก็เข้าโจมตีจนอิกิ๋มยอมแพ้ และเลยมาล้อมบังเต๊กไว้ แต่บังเต๊กก็ต่อสู้อย่างทรหดแม้จะถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์จนทหารตายไปมากกว่าครึ่ง นายทหารรองขอให้ยอมแพ้ บังเต๊กก็โกรธฆ่าเสียทั้งคู่ แล้วปลอบเสงโหว่า

"......อันขึ้นชื่อว่าทหารแล้วมิได้มีความย่อท้อแก่ข้าศึก อุตส่าห์รบเอาชัยชนะให้จงได้....."

เสงโหก็มีมานะควงง้าวออกหน้าทหารไปจนถูกเกาทัณฑ์ตาย ตัวบังเต๊กก็ถูกจับได้ แม้กวนอูจะนิยมความกล้าหาญและเกลี้ยกล่อมไว้บังเต๊กก็ไม่ยอมอ่อนน้อม จึงถูกประหารในที่สุด

ส่วนกวนอูนั้นในเวลาต่อมาก็ถูกกองทัพของซุนกวน ตีแตกต้องไปอาศัยอยู่ที่เมืองเป๊กเสียกับ ทหารเพียงห้าหกร้อยคน ฮองฮู ที่ปรึกษาก็แนะให้ส่งนายทหารสองนาย ไปขอความช่วยเหลือจากเล่าฮอง บุตรบุญธรรมของเล่าปี่ที่เมืองซงหยง แต่ก็หายเงียบไปเป็นเวลานาน กวนอูกับกวนเป๋งลูกเลี้ยงและเตียวลุยกับฮองฮู ก็ช่วยกันรบป้องกันเมือง จนทหารลดน้อยลงไปเหลือแค่สามร้อย จึงคิดจะล่าถอยออกจากเมืองกลับไปหาเล่าปี่ที่เมืองเสฉวน ซึ่งอยู่ห่างถึงสามสิบวัน และเป็นทางกันดารมีภูเขาและห้วยเหวกีดขวางมาก ฮองฮูก็เตือนว่าถ้าไปตามทางนี้ซึ่งเป็นทางแคบ อาจจะถูกข้าศึกซุ่มดักโจมตีได้ กวนอูก็ว่าไม่ต้องกลัวจะหักไปให้จงได้ ฮองฮูก็ร้องไห้บอกว่าให้ระวังตัวให้ดี ส่วนตนเองกับทหารร้อยเศษจะขอสู้ตายอยู่ในเมืองเป๊กเสีย ถึงแม้ว่าจะเสียเมืองก็จะไม่ยอมเป็นข้าซุนกวน จะพยายามหลบหลีกยับยั้งคอยท่าจนกว่ากวนอูจะนำทัพกลับมา

กวนอูก็คำนับลาฮองฮู นำกวนเป๋งกับเตียวลุยและทหารสองร้อยเศษบุกออกจากเมืองไปทางทิศเหนือ ให้ จิวฉอง นายทหารคนสนิท อยู่ช่วยฮองฮูรักษาเมืองเป๊กเสีย ในคืนนั้นฮองฮูก็ฝันเห็นกวนอูมายืนอยู่ตรงหน้า มีโลหิตอาบร่าง ก็ตกใจตื่นเล่าให้จิวฉองฟัง ว่ากวนอูจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ พอพูดขาดคำก็มีทหารของซุนกวนหิ้วศรีษะของกวนอูและกวนเป๋ง มาร้องเกลี้ยกล่อมอยู่ที่ริมกำแพงเมือง ฮองฮูกับจิวฉองก็เสียใจนักจึงว่ากันว่า เราหาที่พึ่งไม่ได้แล้วจะอยู่ไปใย ให้ตายในเงื้อมมีข้าศึกอีกเล่า แล้วจิวฉองก็เอาดาบเชือดคอตาย ส่วนฮองฮูนั้นโจนกำแพงลงไปตายต่อหน้าทหารข้าศึก

ทั้งหมดที่เล่ามานี้ ก็เป็นตัวอย่างส่วนหนึ่ง ของลิ่วล้อที่มีความซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย จนสละได้แม้กระทั่งชีวิตของตนเอง โดยไม่หวังผลตอบแทนแต่ประการใด.

##########

วารสารกองพลทหารม้าที่ ๑
พฤษภาคม ๒๕๔๔




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2559    
Last Update : 27 มิถุนายน 2559 15:33:18 น.
Counter : 595 Pageviews.  

ชีวิตที่ไร้ค่า

เสี้ยวสามก๊ก

ชีวิตที่ไร้ค่า
"เล่าเซี่ยงชุน"

วรรณคดีเรื่องสามก๊กนั้น ได้มีผู้นำมาเล่าในรูปแบบต่าง ๆ มากมายในรอบ ๒๐๐ ปีที่ผ่านมา แต่ลิ่วล้อผู้นี้จะขอเล่าถึงตัวประกอบ ที่ไม่มีใครรู้จักเพราะมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องเพียงสั้น ๆ เหมือนเราดูภาพรามเกียรติ์ จากฝาผนังระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามขอบ ๆ มุม ๆ ของภาพอันกว้างใหญ่ เท่านั้น

ดังเช่น เล่าโต๋ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของพระเจ้าเลนเต้ มาตั้งแต่ยังเยาว์ จนถึงคราวที่บ้านเมืองเกิดกลียุค มีพวกโจรเกิดขึ้นหลายก๊กหลายเหล่า พระเจ้าเลนเต้ ก็มิได้เอาใจใส่ คงเสพสุราเคล้านารีอยู่ในพระราชวัง กับขันทีสิบคนที่เป็นใหญ่อยู่ในวัง เล่าโต๋ได้ข่าวว่าพวกโจรโพกผ้าเหลือง ที่ถูกปราบปรามไปแล้วนั้น ยังไม่สิ้นทราก บางคนแอบไปตั้งตัวเป็นใหญ่ในเมืองอื่น ๆ ก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเลนเต้ในสวน กราบทูลให้ทรงทราบ และฟ้องว่าขันทีทั้งสิบคนที่ฮ่องเต้รักใคร่ไว้วางใจนั้น ไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรม ทำความเดือดร้อนให้แก่ราษฎร จึงเกิดจลาจลขึ้นอีก ขันทีทั้งสิบก็ทำเป็นเสียใจ ขอลาออกจากราชการ ฮ่องเต้ก็โกรธ หาว่าเล่าโต๋ใส่ร้ายขันทีคนโปรด จึงสั่งให้เอาตัวไปประหารชีวิตเสีย

ฝ่าย ตันต๋ำ ขุนนางผู้ใหญ่ได้ทราบเรื่องก็รีบเข้าวังมาขออภัยโทษ ด้วยเล่าโต๋เป็นพระพี่เลี้ยงได้ทำนุบำรุงสั่งสอนฮ่องเต้มาจนแก่เฒ่า พระเจ้าเลนเต้ก็ไม่ฟัง ตันต๋ำก็ย้ำว่าขันทีทั้งสิบคนนี้ประพฤติหยาบช้าจริง และขันทีที่ชื่อฮองสีก็เป็นใส้ศึก ให้แก่พวกโจรโพกผ้าเหลืองมาแล้วด้วย แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ยอมเชื่อ ตันต๋ำมีความน้อยใจจึงเอาศรีษะกระแทกกับแท่นที่ประทับ จนศรีษะแตกโลหิตไหล ฮ่องเต้ก็ยิ่งโกรธหนักขึ้น สั่งให้ตำรวจวังเอาตัวเล่าโต๋และตันต๋ำไปขังคุกเสียทั้งสองคน พอค่ำลงขันทีทั้งสิบคนก็เรียกผู้คุมมาสั่งให้ลอบเข้าไปฆ่าผู้เฒ่าทั้งสองเสียในเวลาสองยามคืนนั้นเอง สิ้นกรรมไปที

อ้วนเสี้ยวซึ่งเดิมเป็นเพื่อนกับโจโฉ เคยร่วมมือกันยกกองทัพฝ่ายหัวเมืองมาขับไล่ตั๋งโต๊ะมหาอุปราชคนแรกของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งสืบราชสมบัติต่อจากพระเจ้าเลนเต้ แต่ไม่สำเร็จเพราะพวกหัวเมืองทั้งสิบกว่าเมืองนั้น ไม่มีความสามัคคีร่วมมือร่วมใจกัน ต่างก็แก่งแย่งชิงดีอิจฉาริษยากัน แล้วก็พากันยกทัพกลับไปบ้านเมืองของตนจนหมด อ้วนเสี้ยวซึ่งได้รับยกย่องให้เป็นแม่ทัพ ก็เหลือแต่ตัวกับทหารอีกไม่มากมาตั้งหลักอยู่ที่เมืองโห้ลาย ซึ่งเป็นเมืองเล็กนิดเดียวแต่ได้อาศัยเจ้าเมืองกิจิ๋วคอยส่งเสบียงให้ไม่ขาด ลิ่วล้อของอ้วนเสี้ยวก็ยุให้เข้ายึดเมืองกิจิ๋วเสียเลยจะได้อยู่อย่างสบาย อ้วนเสี้ยวเห็นด้วยจึงมีหนังสือไปชวนกองซุนจ้าน เจ้าเมืองปักเป๋ง ให้ยกทหารมาตีเมืองกิจิ๋ว พอฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วรู้ข่าวก็ตกใจกลัวจึงมีหนังสือถึงอ้วนเสี้ยวให้ยกทหารไปช่วย อ้วนเสี้ยวก็ดีใจรีบยกพลจะเข้าไปอยู่ในเมืองกิจิ๋ว โดยมิต้องเสียเลือดเนื้อ แต่ขุนนางของฮันฮกสองคนคือ เก๋งบู กับ ก้วนซุน ไม่เห็นด้วยได้คัดค้านว่า

อ้วนเสี้ยวนั้นเป็นเป็นคนสิ้นความคิดอยู่แล้ว ซึ่งได้ตั้งตัวเลี้ยงทหารอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะท่านให้ส่งเสบียง อุปมาเหมือนทารกถ้ามารดามิให้นมกินแล้วทารกนั้นก็จะสิ้นแรงไป ซึ่งท่านจะให้อ้วนเสี้ยวมาช่วยรักษาเมือง เหมือนจับเอาเสือมาปล่อยไว้ในฝูงเนื้อ ฝูงเนื้อทั้งปวงก็จะมีอันตรายเป็นมั่นคง

แต่ฮันฮกไม่เชื่อฟังอ้างความกตัญญูว่า ตนได้เป็นเจ้าเมืองเพราะคนแซ่อ้วนช่วยเหลือ และเห็นว่าอ้วนเสี้ยวเป็นคนมีสติปัญญาดีกว่าตน จึงขอให้มาช่วยรักษาบ้านเมือง เมื่ออ้วนเสี้ยวยกทหารเข้าประตูเมืองกิจิ๋ว เก๋งบูกับก้วนซุนก็ไปแอบคอยทีอยู่ พออ้วนเสี้ยวผ่านมาก็ชักกระบี่จะฆ่าอ้วนเสี้ยว แต่ก็ไม่สำเร็จ ถูกทหารเอกของอ้วนเสี้ยวสองคนฆ่าตายไปทั้งคู่

และเมื่ออ้วนเสี้ยวยึดครองเมืองกิจิ๋วได้แล้ว ก็ถอดขุนนางเดิมออกจนหมดเอาแต่ที่ปรึกษาและทหารของตนมาครองตำแหน่งแทน ฮันฮกเห็นว่าอยู่ต่อไปคงจะเป็นอันตรายแน่ จึงทิ้งลูกเมียหนีไปอยู่เสียที่เมืองตันลิวแต่ผู้เดียว

ฝ่ายอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง เป็นน้องชายของอ้วนเสี้ยว ผู้ยิ่งใหญ่ทางภาคเหนือ เกิดโชคดีได้ตราหยกประจำองค์ฮ่องเต้มาจากซุนเซ็ก ก็คิดตนเองมีบุญจะตั้งตนเป็นฮ่องเต้ แต่จะต้องขยายอำนาจออกไปให้พอสมควรก่อน จึงหมายตาไปที่เมืองชีจิ๋ว ซึ่งลิโป้อัศวินผู้เก่งกล้า กับเล่าปี่เชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ยึดครองอยู่ ครั้นจะยกทัพไปตีเอาเมืองโดยตรง ที่ปรึกษาก็คัดค้านว่า จะต้องผูกมิตรกับลิโป้ก่อน แล้วจึงตีเล่าปี่ทีหลังก็จะสำเร็จโดยง่าย อ้วนสุดจึงแต่งทูตไปเจรจาขอบุตรสาวของลิโป้ ให้แต่งงานกับบุตรชายของตน ทูตผู้นั้นคือ หันอิ้น โดยให้คุมเอาสิ่งของที่ดีเป็นอันมาก ไปเป็นของหมั้น เมื่อลิโป้ฟังหันอิ้นเจรจาก็มีความยินดี รับเอาของเหล่านั้นไว้ และปรึกษากับภรรยาว่า อ้วนสุดเป็นผู้มีวาสนาต่อไปจะเป็นเจ้า บุตรสาวของเราก็จะมีความสุข จึงรีบส่งตัวบุตรสาวขึ้นเกวียนไม้หอม มอบให้หันอิ้นและให้นายทหารสองคนคุมสิ่งของตามธรรมเนียม กับมีทหารแห่กลับไปเมืองลำหยง แต่ไปได้ไม่นานลิโป้ถูกยุแหย่จากที่ปรึกษา ซึ่งไม่ชอบอ้วนสุดและเป็นพวกโจโฉ ลิโป้ก็ให้นายทหารเอกไปพาลูกสาวกลับเมืองชีจิ๋ว แล้วเอาหันอิ้นไปขังคุกไว้

ต่อมาโจโฉอยากจะเอาใจลิโป้จึงตั้งให้เป็น ทหารใหญ่ผู้ปราบโจรฝ่ายตะวันออก ลิโป้ก็จงรักภักดีต่อโจโฉ พออ้วนสุดให้คนมาทวงถาม เรื่องการส่งตัวบุตรสาวของลิโป้ ไปแต่งงานกับบุตรชายที่เมืองลำหยง แล้วจะได้ตั้งตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน ลิโป้ก็ว่าอ้วนสุดเป็นขบถจึงฆ่าทหารของอ้วนสุดเสีย แล้วเอาตัวหันอิ้นเข้าขื่อคาส่งไปให้โจโฉที่เมืองฮูโต๋ โจโฉต้องการให้ลิโป้ตัดขาดกับอ้วนสุด จึงให้เอาตัวหันอิ้นไปประหารชีวิตเสีย หันอิ้นซึ่งเป็นทูตของอ้วนสุดมาโดยสุจริต จึงต้องตายโดยไม่ได้ทำสิ่งใดผิดเลยแม้แต่น้อย

ขณะเมื่อโจโฉปรองดองกับเตียวสิ้วเจ้าเมืองอ้วนเซียจนเป็นมิตรกันได้แล้ว ก็คิดจะเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วต่อไป เมื่อถามที่ปรึกษาก็แนะให้ใช้ ยี่เอ๋ง ซึ่งเป็นชาวเมืองหล่อ อายุยี่สิบปีมีสติปัญญารู้หลักมาก เมื่อได้เห็นหรือได้ยินเรื่องราวใด ๆ ใจก็คิดได้ตลอดไม่ขัดขวาง ประมาณการถูกต้องทุกอย่าง โจโฉก็ตั้งให้เป็นขุนนางแล้วก็เอาตัวมาลองใช้ดู แต่ปรากฎว่ายี่เอ๋งพูดจาไม่เข้าหูโจโฉโดยตำหนิติเตียน ที่ปรึกษาและทหารเอกของโจโฉว่าไม่ได้เรื่องสักคน

เช่นซุนฮกควรใช้ให้ไปเยี่ยมศพเท่านั้น ซุนฮิวก็เป็นได้เพียงแค่สัปเหร่อ เทียหยกก็
น่าจะให้เฝ้าจำหล่อ กุยแกก็น่าจะให้เขียนโคลงและอ่านหมาย สี่คนนั้นเป็นที่ปรึกษาที่โจโฉไว้ใจมาก ส่วนทหารเอกยี่เอ๋งก็ถากถางว่า เตียวเลี้ยวนั้นเหมาะแก่การตีกลองและระฆัง เคาทูควรใช้ให้เลี้ยงวัวและม้าเท่านั้น ลิเตียนน่าจะให้เป็นคนอ่านคำฟ้อง ส่วนงักจิ้นก็น่าจะเป็นคนเดินหมาย ลิยอยก็แค่คนทำความสะอาดอาวุธ หมันทองนั้นชอบแต่เสพสุรากับกระดูกสุกร อิกิ๋มก็เหมาะสำหรับให้แบกไม้ไปทำค่าย ซิหลงถือขวานก็น่าจะให้ฆ่าสุกรขาย แฮหัวตุ้นเหลือตาข้างเดียวก็ควรที่จะระวังอย่าให้ข้าศึกมาตัดแขนขา หรือศรีษะไปได้ นอกจากพวกนี้ก็ล้วนแต่เหมาะสำหรับหาบเสบียงไปส่งกองทัพ สุดท้ายก็วกเข้ามาว่าแม้แต่โจโฉเองก็พูดกันไม่รู้เรื่อง เหมือนพูดกับคนบ้า โจโฉก็โกรธจึงแกล้งตั้งให้เป็นคนตีกลอง สำหรับรับแขกบ้านแขกเมือง

วันหนึ่งมีงานเลี้ยงขุนนาง ยี่เอ๋งใส่เสื้อขาดมาตีกลอง ทหารผ้ดูแลก็ว่า วันนี้มหาอุปราชเลี้ยงต้อนรับแขกเมืองทำไมจึงใส่เสื้อเก่าขาด ยี่เอ๋งก็เลยถอดเสื้อกางเกงออก เหลือแต่ตัวเปล่าเปลือยตีกลองต่อไป ขุนนางทั้งปวงก็พากันละอายแทน โจโฉเห็นดังนั้นก็โกรธด่าว่า ยี่เอ๋งก็แก้ว่ากายของตนนั้นเป็นที่สะอาด โจโฉถามว่าแล้วกายของผู้ใดโสโครกเล่า ยี่เอ๋งได้ทีก็เลยพรรณาความโสโครกของโจโฉ ทั้งตาหูและจิตใจว่า โจโฉนั้นตาบอดไม่รู้จักคนดีหรือคนชั่ว หูบอดเพราะทำการหยาบช้าใครห้ามปรามโดยสุจริตก็ไม่ฟัง ใจนั้นก็คิดทำการให้พระเจ้าเหี้ยนเต้เดือดร้อน

โจโฉทนไม่ไหวก็สั่งให้เอาตัวไปฆ่าเสีย แต่ที่ปรึกษาผู้แนะนำก็ขอโทษไว้ แล้วให้ส่งตัวไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวที่เมืองเกงจิ๋ว เมื่อจะออกจากเมืองฮูโต๋ ขุนนางและนายทหารที่ไปส่งก็ไม่พูดด้วย แล้วยังทำพิธีขับไล่ไสส่งเสียอีก

เมื่อไปถึงเมืองเกงจิ๋ว ยี่เอ๋งยังคงพูดจาดูหมิ่นเล่าเปียวเช่นเดิม เล่าเปียวจึงส่งตัวไปหาหองจอที่เมืองกังแฮ หองจอต้อนรับและจัดโต๊ะมา
เลี้ยงดู ยี่เอ๋งก็ไปพูดจาหมิ่นประมาทหองจอว่า ตัวหองจอนั้นอุปมาเหมือนเจว็ตอยู่บนศาล ถึงจะมีผู้เซ่นวักประการใด เจว็ตก็มิได้พูดจาด้วยผู้ซึ่งนับถือบวงสรวงนั้น อุปมาเหมือนไหว้ขอนไม้ หองจอเป็นคนโมโหร้ายเลยชักกระบี่ฟันเสียตายคาโต๊ะนั้นเอง สิ้นเวรไปอีกคนหนึ่ง.

โจโฉเป็นมหาอุปราชของพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่นานประมาณยี่สิบห้าปี จึงได้ถึงแก่ความตายเมื่อ พ.ศ.๗๖๓ โจผีบุตรชายคนโตก็ชิงราชสมบัติจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ เป็นฮ่องเต้สืบราชวงศ์ต่อมา เป็นพระเจ้าโจยอย พระเจ้าโจฮอง จนถึงพระเจ้าโจมอ ซึ่งมีสุมาเจียวเป็นมหาอุปราช และเกิดความอยากที่จะชิงราชสมบัติจากราชวงศ์วุยแซ่โจมาเป็นของตนบ้าง จึงเรียกคนสนิทชื่อแกฉงมาสั่งให้หาทางจัดการกับพระเจ้าโจมอเสีย แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร พระเจ้าโจมอรู้เรื่องก็โกรธ พาทหารประมาณร้อยคนจะไปฆ่าสุมาเจียวด้วยพระองค์เอง อองเก๋ง ขุนนางผู้ใหญ่ห้ามปรามก็ไม่ยอมฟัง พอดีสวนทางกับแกฉงที่พา เซงจุย กับ เซงเจ สองพี่น้องนายทหารคู่ใจ กับทหารมาเป็นพัน แกฉงก็สั่งให้ทั้งสองลุยทหารของพระเจ้าโจมอ และฆ่าพระเจ้าโจมอตายกลิ้งอยู่ริมทาง

สุมาเจียวก็ทำเป็นตกใจให้จัดการพระศพอย่างดีตามธรรมเนียม แล้วก็ให้หาตัวคนผิดมาลงโทษ ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งก็ว่าแกฉงเป็นต้นเหตุ สมควรให้ประหารชีวิตเสีย แต่สุมาเจียวก็ว่าแกฉงไม่ใช่ผู้ลงมือ เซงเจต่างหากเป็นผู้ปลงพระชนม์ฮ่องเต้ สมควรจะฆ่าเสียทั้งสามชั่วโคตรจึงจะควร เซงเจก็ซัดว่าแกฉงเป็นคนสั่งให้ฆ่า สุมาเจียวก็ไม่ฟังเสียงให้เอาตัวเซงเจและเซงจุยกับพรรคพวกพี่น้องไปประหารเสียทั้งตระกูล เซงเจก็ร้องด่าสุมาเจียวไปจนขาดใจตาย

แล้วให้เอาตัวอองเก๋งขุนนางผู้จงรักภักดีต่อพระเจ้าโจมอมาชำระอีก ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด อองเก๋งก็เข้าไปคำนับมารดาแล้วร้องไห้ มารดากลับบอกว่าเกิดมาแล้วจะหนีความตายไปไหนพ้น ตัวเราถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต เพราะมีความสัตย์กตัญญูต่อเจ้าก็จะมีชื่อต่อไปใน ภายหน้า สุมาเจียวก็ให้ทหารเอาตัวไปประหารเสียอีกโคตรหนึ่ง จะได้หมดเรื่องไป

ชีวิตของลิ่วล้อที่ไม่มีใครรู้จักชื่อเหล่านี้ น่าจะเป็นตัวอย่าง ทั้งที่ดีและที่เลวได้บ้างว่า ถึงอย่างไรก็ต้องจบลงด้วยความตายทั้งสิ้น .

##########

วารสารกองพลทหารม้าที่ ๑
กันยายน ๒๕๔๓




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2559    
Last Update : 27 มิถุนายน 2559 15:30:34 น.
Counter : 269 Pageviews.  

หัวอกลิ่วล้อ

ปกิณกะสามก๊ก

หัวอกลิ่วล้อ
" เล่าเซี่ยงชุน "

ผู้ที่อ่านสามก๊กฉบับของท่านเจ้าพระยาพระคลัง(หน)นั้น คงจะพบว่ามีชื่อตัวละครที่ได้ปรากฏอยู่บนสารบัญ ทั้ง ๗๘ ตอน เป็นจำนวนมากมายนับไม่ไหว และยังมีที่ไม่ปรากฏชื่ออีกเป็นก่ายกอง นับไม่ถ้วน สามก๊กจึงน่าจะเป็นได้เป็นวรรณคดีที่มีตัวละครมากที่สุด ก็ว่าได้

ครั้งแรกอ่านไปพบ ฮัวหยง ผู้อาสาลิโป้ออกรบกับกองทัพบ้านนอกของโจโฉ สองวันก็ฆ่าทหารเอกของข้าศึกตายไปถึงสี่คน พอมารบกับกวนอูท่านก็ว่า

...ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวงซึ่งอยู่ในค่ายนั้น ได้ยินเสียงกลองและม้าล่อดังอื้ออึง ก็ชวนกันไปดูกวนอูรบกับฮัวหยง ครั้นออกไปถึงประตูค่าย ก็เห็นกวนอูหิ้วเอาศีรษะฮัวหยง กลับมาทิ้งไว้ตรงหน้าค่าย......

แค่นี้เอง ตายแล้วก็กลิ้งอยู่กลางดิน

พอถึงคราว บังเต๊ก จะไปรบกับกวนอู ก็แบกเอาโลงศพไปด้วย ตั้งใจว่าจะฆ่ากวนอูให้ได้ จะเอาศพกวนอูหรือศพของตนเองใส่โลงกลับมา โจโฉก็ตักเตือนว่า อย่าประมาทแก่ข้าศึกซึ่งมีฝีมือเหนือกว่า บังเต๊กก็บ่นว่า

....กวนอูนี้เป็นคนกล้าปรากฏมาถึงสามสิบปีแล้ว บัดนี้เราจะมากำจัดเสียให้ได้ เหตุใดเจ้าเราจึงมาสรรเสริญกวนอูนักดังนี้....

และบังเต๊กก็เกือบจะเอาชนะกวนอูได้ แต่เป็นเพราะเขามีนายขี้ขลาด และริษยา ลูกน้อง เขาจึงต้องตายจนได้ ยังดีที่กวนอูเองชมเชยว่าเป็นคนกล้าหาญ

ยิ่ง พัวเจี้ยง นายทหารของซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งฝ่ายใต้ ซึ่งหลอกให้กวนอูหลบหลีกกับดักของตน จนไปตกหลุมพรางถูกจับตัวไปประหาร ตนเองก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุน และด้วยความซวยดันหนีไปเจอเอากวนหินลูกชายของกวนอู เข้าที่บ้านของตาแก่แห่งหนึ่ง ซึ่งกวนหินเข้าไปพักอาศัยอยู่ก่อน พอรู้ว่าเป็นพัวเจี้ยงกวนหินก็ฉวยดาบวิ่งเข้าใส่....พอพัวเจี้ยงจะหนีก็เห็นกวนอูผู้ตายถือง้าวมายืนขวางหน้าไว้...ตกใจโจนหลีกก็ล้มลงกวนหินก็ฟันถูกพัวเจี้ยงตายตามบิดาไป ใคร ๆ อ่านแล้วก็พากันสมน้ำหน้า

ลิ่วล้อของเตียวหุยสองคนคือ ฮอมเกียง กับ เตียวตัด ถูกบังคับให้จัดเครื่องขาวให้กองทัพ ที่จะยกไปแก้แค้นแทนกวนอูพี่กลาง เครื่องนุ่งห่มก็ขาว ธงทิวก็ต้องขาวยังพอไหว แต่ ม้าขาวนี่จะไปเกณฑ์มาจากไหนให้นายขี่ได้ทั้งกองทัพ พอมาขอต่อรองก็โดนเฆี่ยนเสียคนละห้าสิบที รุ่งขึ้นถ้าไม่ได้ตามสั่งเป็นหัวขาด ก็เลยชวนกันแอบย่องเข้าไปฆ่าเตียวหุยเสีย ทั้งกำลังหลับกรนครอก แล้วก็ตัดศีรษะเอาไปให้ซุนกวน หวังว่าจะได้บำเหน็จรางวัล สุดท้ายกลับถูกจับตัวใส่กรงกลับคืนมาให้เล่าปี่ ตัดหัวเซ่นศีรษะเตียวหุยเสียจนได้ ไม่มีใครพุทโธเหมือนกัน

เกิดมาเป็นลิ่วล้อก็อย่างนี้แหละ ลิซก เป็นทหารของตั๋งโต๊ะ แต่เป็นเพื่อนเก่าของ ลิโป้ ลูกเลี้ยงของเต๊งหงวนคู่อาฆาตของตั๋งโต๊ะ อุตส่าห์ไปเกลี้ยกล่อมให้ลิโป้ตัดหัวพ่อเลี้ยงมาให้ตั๋งโต๊ะก็ไม่ได้ดิบได้ดีอะไร พอลิโป้จะฆ่าตั๋งโต๊ะก็ใช้ลิซกไปหลอกลวงเอามากำจัดเสีย ก็ยังอยู่อย่างเดิม ครั้นถูกใช้ออกไปรบ พลาดท่าข้าศึกมาทีเดียว ก็ถูกประหารเสียอย่างง่ายดาย

ขุนนางอีกคนหนึ่งชื่อ ซัวหยง เดิมนั้นอยู่บ้านนอก แต่เป็นผู้มีสติปัญญาดี เมื่อ ตั๋งโต๊ะยึดอำนาจการปกครอง ในเมืองลกเอี๋ยงได้สำเร็จเด็ดขาดแล้ว ให้คนไปตามมาทำราชการ ซัวหยงก็บิดพริ้วไม่ยอมมา ตั๋งโต๊ะจึงให้คนไปบอกว่า ถ้าขัดขืนคำสั่งจะให้ทหารไปจับฆ่าเสียให้สิ้นทั้งครอบครัว ซัวหยงกลัวตายจึงเข้ามารับราชการ ตั๋งโต๊ะก็ไว้วางใจให้เป็นที่ปรึกษาการบ้านเมือง เดือนหนึ่งได้เลื่อนตำแหน่งถึงสามขั้น

ครั้นอ้องอุ้นคิดอุบายฆ่าตั๋งโต๊ะ แล้วทิ้งศพประจานไว้กลางเมือง ให้คนที่เกลียดชังมาทุบตีศพจนเปื่อยเละไป แต่ซัวหยงกลับมาร้องไห้อาลัยรักตั๋งโต๊ะ อ้องอุ้น ก็โกรธเอาตัวมาถามว่าเป็นศัตรูราชสมบัติหรือ

ซัวหยงก็ว่ามิได้คิดเช่นนั้น แต่คิดถึงคุณของตั๋งโต๊ะที่เอามาตั้งเป็นขุนนาง ครั้งนี้โทษ ผิดนัก แต่ขอชีวิตไว้ทำราชการสนองคุณแผ่นดินสืบไป อ้องอุ้นก็ว่าขืนยกโทษให้ กฎหมายก็จะฟั่นเฝือไป จึงให้เอาตัวไปขังคุกไว้ แล้วก็แอบสั่งให้ผู้คุมทารุณกรรม จนถึงแก่ความตายในคุกนั้นเอง

โจป้า เป็นขุนนางฝ่ายทหารของเมืองชีจิ๋ว พอเล่าปี่ยกทัพไปรบกับอ้วนสุด ก็ให้ เตียวหุยเฝ้าเมืองไว้ และกำชับว่าอย่าเสพสุรานัก เตียวหุยก็เชิญขุนนางฝ่ายทหารและพลเรือนมาเลี้ยงส่งท้าย ต่อไปจะเลิกเสพสุราแล้ว แต่โจป้าไม่กินสุรามาก่อน เตียวหุยก็บังคับให้กิน ต้องยอมกินไปจอกหนึ่ง พอเมาเต็มที่ก็บังคับให้โจป้ากินอีก โจป้าไม่ยอมกินก็สั่งเฆี่ยนเสียร้อยหนึ่ง ใครห้ามก็ไม่ฟัง

โจป้าก็ขอร้องให้เห็นแก่ลิโป้ผู้เป็นบุตรเขย พอได้ยินชื่อคู่อาฆาตเตียวหุยยิ่งโกรธ เร่งให้เฆี่ยนเพื่อกระทบไปถึงลิโป้ด้วย โจป้าเลยเจ็บตัวโดยไม่มีความผิด จึงส่งคนไปบอกลิโป้ให้มาตีเอาเมืองชีจิ๋วคืนนั้น ในขณะที่เตียวหุยยังไม่สร่าง พอรู้สึกตัวก็ฉวยทวนคู่มือโดดขึ้นม้าห้อแน่บไป แต่โจป้ารนหาที่คุมพวกไล่ตามไปจะแก้แค้น เลยถูกเตียวหุยแทงตกม้าตายแหง

โจอันบิ๋น เป็นหลานของโจโฉ เมื่อโจโฉไปตีเมืองอ้วนเซียครั้งแรก ก็ไปกับกองทัพด้วย เตียวสิ้วเจ้าเมืองไม่ต่อสู้ โจโฉจึงเข้าไปพักในเมืองอย่างสบาย อยู่มาวันหนึ่ง พอเมาได้ที่แล้วก็ถามหลานชายว่าในเมืองนี้มีหญิงรูปงามบ้างหรือไม่ โจอันบิ๋นอยากจะเอาใจ ก็ว่ามีอยู่คนหนึ่งเป็นแม่ม่ายชื่อเจ๋าซือ เป็นอาสะใภ้ของเตียวสิ้ว โจโฉก็ไม่ฟังเสียงให้ไปพาตัวมาพบ นางกลัวอำนาจก็ไม่กล้าขัดใจ โจโฉเลยพาออกไปอยู่ด้วยกันที่ค่ายนอกเมือง ขลุกอยู่แต่ในที่พักไม่โผล่หน้าให้ใครเห็น

เตียวสิ้วก็โกรธหาหนทางแก้แค้น โดยยกทหารเข้าโจมตีไม่ให้รู้ตัวจนค่ายแตก โจโฉต้องหนีเตลิดเปิดเปิงไป กว่าจะพ้นมือทหารของเตียวสิ้วได้ ก็ต้องเสียเตียนอุยนายทหารองครักษ์ โจงั่งบุตรชายคนโต และโจอันบิ๋นหลานชายปากสว่างไปทั้งสามคน เพราะตัณหาตัวเดียว

รายต่อไปชื่อ อองเฮา เป็นนายทหารกองเสบียงของโจโฉ เมื่อครั้งที่ยกทัพไปปราบปรามอ้วนสุดที่เมืองลำหยง อ้วนสุดรู้ว่าโจโฉยกทหารมาตั้งสิบเจ็ดหมื่นเข้ามาทางทิศเหนือ แล้วยังมีพันธมิตร คือซุนเซ็กยกทัพเรือมายันทางทิศตะวันตก ลิโป้ดักทางทิศตะวันออก เล่าปี่กวนอูเตียวหุยคอยอยู่ทางทิศใต้ จึงรีบพาครอบครัวอพยพไปอยู่ที่ตำบลห้วยหนำ ทิ้งให้ทหารเอกสี่คนกับทหารสิบหมื่นรักษาเมืองไว้

โจโฉล้อมเมืองลำหยงอยู่ถึงเดือนเศษ เสบียงก็หมดลงต้องไปยืมจากซุนเซ็ก เอามาให้อองเฮาแจกจ่ายให้ทหารกิน อองเฮาก็บอกว่าน้อยไปไม่เพียงพอแก่ทหาร โจโฉก็กระซิบว่าถ้ายังงั้นก็จ่ายให้น้อยลงอีกหน่อย อองเฮาก็ท้วงว่าถ้าทำเช่นนั้น ทหารทั้งปวงจะอิดโรยไม่เต็มใจสู้รบ โจโฉก็ว่าไม่เป็นไรมีวิธีแก้ พออองเฮาแจกเสบียงน้อยลงตามคำสั่งโจโฉ ทหารในกองทัพก็เสียน้ำใจชวนกันครหานินทาโจโฉเป็นการใหญ่ โจโฉจึงตามอองเฮามาแล้วถามว่า จะขอของรักสักสิ่งหนึ่งจะได้หรือไม่ อองเฮาก็ว่าตนเองไม่มีอะไรจะให้

โจโฉก็ขอยืมศีรษะอองเฮาเพื่อเอาใจทหารสักครั้ง ส่วนบุตรภรรยาและครอบครัวจะเอาไปเลี้ยงดูมิให้ขัดสน แล้วก็สั่งให้เอาตัวอองเฮาไปประหารเสีย และประกาศว่าอองเฮาเบียดบังทหาร จ่ายเสบียงให้น้อยกว่าที่กำหนด ทหารทั้งหลายก็สิ้นสงสัย มีกำลังใจเข้าตีเมืองจนแตก จับทหารเอกสี่คนที่รักษาเมือง มาประหารเสียที่กลางตลาด แล้วเผาเมืองเสียสิ้น

เค้าก๋อง เป็นเจ้าเมืองง่อกุ๋น เห็นว่าซุนเซ็กบุตรของซุนกวน เที่ยวไปตีเมืองต่าง ๆ ในแดนกังตั๋งขยายอาณาเขตออกไปถึงหกหัวเมือง จึงมีหนังสือลับไปบอกโจโฉว่าทิ้งไว้อาจเป็นขบถ บังเอิญซุนเซ็กจับได้เลยหลอกเชิญมากินเลี้ยงแล้วฆ่าเสีย พลทหารเลวลิ่วล้อของเค้าก๋องที่ติดตามมาด้วยสามคน รอดตายแล้วก็ไม่ยอมกลับเมือง แอบดักแก้แค้นแทนนายอยู่ในป่า ลอบยิงเกาทัณฑ์ปักหน้าผากซุกเซ็ก และช่วยกันรุมฟันแทงจนบาดเจ็บถึงสาหัส แล้วทั้งสามก็ถูกทหารของซุนเซ็ก สับเสียจนเละไปทั้งตัว แต่สุดท้ายซุนเซ็กก็ถึงแก่ความตาย ด้วยบาดแผลจากฝีมือ ลิ่วล้อนั้นเอง

ชัวต๋ง กับ ชัวโฮ เป็นน้องของชัวมอ ซึ่งพี่สาวใหญ่เป็นภรรยาของเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วชื่อนางชัวฮูหยิน เมื่อโจโฉยกทัพมาตีเมืองเกงจิ๋วนั้น เล่าเปียวได้ป่วยตายไปแล้ว ชัวมอสมคบกับพี่สาวยกเล่าจ๋องลูกของนางชัวฮูหยิน ซึ่งเป็นบุตรคนรองของเล่าเปียวให้เป็นเจ้าเมือง แล้วยอมอ่อนน้อมต่อโจโฉ โจโฉก็ตั้งให้ชัวมอเป็นแม่ทัพเรือจะไปตีเมืองกังตั๋ง แต่กลับให้นางชัว ฮูหยินพาเล่าจ๋องไปอยู่ที่เมืองอื่น แล้วก็ส่งลิ่วล้อตามไปฆ่าเสียทั้งสองแม่ลูก

พอจะรบกับจิวยี่ แม่ทัพของกังตั๋ง โจโฉส่งใส้ศึกเข้าไปหาจิวยี่ แต่กลับถูกซ้อนกลหลงฆ่าชัวมอตาย เมื่อรู้ตัวก็ส่งชัวต๋งกับชัวโฮไปเป็นใส้ศึกอีกครั้ง ก็โดนหลอกให้รับตัวอุยกาย ซึ่งนำเรือเชื้อเพลิงยี่สิบลำทำเป็นหนีจิวยี่มาอยู่กับโจโฉ แล้วก็เผากองทัพเรือของโจโฉเสียวอดวาย ชัวหุนพี่ชายถัดจากชัวมอก็ถูกยิงตกน้ำไปตั้งแต่เริ่มรบ พอจิวยี่จะเคลื่อนกองทัพเรือออกจากท่า ก็จับชัวต๋งกับชัวโฮตัดศีรษะเส้นธงชัยเสียทั้งคู่ สิ้นเวรสิ้นกรรมไปหมดทั้งตระกูล

แกหัว เป็นลิ่วล้อของลิห้อม นายทหารของซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋ง ตอนที่ซุนกวนคิดจะหลอกเล่าปี่ให้มาแต่งงาน กับนางซุนหยินน้องสาวต่างมารดา แล้วจะจับตัวไว้แลกกับเมือง เกงจิ๋ว เมื่อเล่าปี่มาถึงเมืองลำซี นางงอก๊กไถ้มารดานางซุนหยินก็ขอดูตัวเจ้าบ่าว โดยเชิญเล่าปี่ไปกินเลี้ยงที่วัดกำลอ ซุนกวนก็สั่งลิห้อมให้จัดทหารคอยจับตัวเล่าปี่ ลิห้อมก็สั่งให้แกหัวจัดการ

พอเล่าปี่รู้ตัวก็บอกกับว่าที่แม่ยายให้ช่วย นางงอก๊กไถ้เกิดชอบใจว่าที่ลูกเขย ก็เรียกซุนกวนมาถามว่าจะทำร้ายเล่าปี่หรือ ซุนกวนก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง พอเรียกตัวลิห้อมมาสอบสวน ลิห้อมก็ซัดว่าแกหัวคิดอ่านทำเอง นางงอก๊กไถ้จึงสั่งให้เอาตัวไปประหารเสีย เคราะห์ยังดีที่เล่าปี่ขอโทษเอาไว้ศีรษะจึงยังไม่หลุดจากบ่า

ลิ่วล้อที่ยกเอามาเล่าทั้งหมดนี้ มิได้มีชื่ออยู่ในสารบัญสามก๊กเลย ซึ่งก็ล้วนแต่แขวนชีวิตไว้กับอารมณ์ของเจ้านายทั้งสิ้น ถึงตาดีก็ได้เข้าตาร้ายก็ซวย ลงรอยกับทุภาษิตที่ว่า...

เป็นผู้น้อยค่อยก้มประนมกร เหนื่อยไปก่อนคงสบายเมื่อตายแล...นั่นเอง.

##########

วารสารกองพลทหารม้าที่ ๑
พฤษภาคม ๒๕๔๓




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2559    
Last Update : 27 มิถุนายน 2559 12:59:02 น.
Counter : 402 Pageviews.  

นางผู้มีรักเดีัยว (๓)

สามก๊กฉบับฮูหยิน

ชุด หญิงผู้มีรักเดียว

ตอนที่ ๓ จำใจจำจาก

เล่าเซี่ยงชุน

นางซุนฮูหยิน กับ เล่าปี่ และ จูล่ง พากันหนีทหารของ ซุนกวนและจิวยี่ มาจนถึง ชายทะเลตำบลเล่าลองไพ่ สุดเขตแดนเมืองฉสองกุ๋น จะเข้าเขตแดนเมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่ก็พาทหารเดินเลียบไปตามชายทะเลเพื่อจะหาเรือข้ามฟากไปเมืองเกงจิ๋ว แต่ก็ไม่มีเรือผ่านไปมาเลยก็คิดวิตกกลัวจะมีผู้ติดตามมาอีก จูล่งก็ปลอบใจว่า

"....เรามานี่ก็พ้นเมืองฉสองกุ๋น จะเข้าแดนเมืองเกงจิ๋วอยู่แล้ว เหมือนหนึ่งเสือหนีออกจากจั่นได้ ท่านอย่าคิดวิตกเลย เราทำสงครามเสร็จทั้งนี้เพราะความคิดขงเบ้ง บัดนี้เรามาถึงแดนเมืองเราแล้ว เห็นขงเบ้งจะคิดอ่านมาช่วยเราเป็นมั่นคง....."

เล่าปี่ก็คิดถึงความยากลำบากที่ผ่านพ้นมาได้ แล้วก็หวนคิดถึงความสุขที่ได้รับจากซุนกวนเมื่อก่อนจะจากมา ทั้งดีใจและเสียดายน้ำตาก็ไหลรินออกมาอีก พอดีได้ยินเสียงฝีเท้าม้าตามหลังมาเป็นอันมากก็ตกใจ บอกกับจูล่งว่า

".....เสียงทหารม้ายกตามมาเป็นอันมาก เราเห็นจะถึงที่ตายในครั้งนี้แล้ว....."

จูล่งเตรียมตัวจะต่อสู้ ก็พอดีมีเรือแล่นตามชายทะเลมาประมาณยี่สิบลำ มองดูเหมือนเรือสินค้า จูล่งก็ว่า

".....เป็นบุญของเรามีเรือแล่นมาแล้ว ให้ท่านเร่งขับทหารลงโดยสารเรือนี้ ข้ามไปเถิดจะได้พ้นอันตราย....."

เมื่อเรือแล่นเข้ามาใกล้ จึงเห็นเจ้าของเรือ โผล่ออกมาจากประทุนเรือก็มีความยินดีเพราะพ่อค้าผู้นั้นมิใช่ใคร ที่แท้คือ ขงเบ้ง นั่นเอง ขงเบ้งรีบเทียบเรือเข้ามารับ และหัวเราะบอกว่า

"....ข้าพเจ้าจัดทหารแต่งปลอมเป็นเรือลูกค้า มาคอยรับท่านอยู่นานหนักหนาแล้ว....."

เล่าปี่ก็พานางซุนฮูหยินกับทหารทั้งปวงรีบลงเรือ ทั้งยี่สิบลำ แล้วก็ถอยออกจากฝั่ง ฝ่าย เจียวขิม กับ จิวท่าย ซึ่งถือกระบี่อาญาสิทธิ์ของซุนกวน ได้รับคำสั่งให้ตัดศรีษะของสองสามีภรรยากลับไปให้ได้ เมื่อพบกับทหารเอกสองคนแรก ที่ปล่อยให้นางซุนฮูหยินกับเล่าปี่ผ่านไปแล้ว ก็รีบพากันติดตามมาจนถึงชายทะเล เห็นเรือที่มารับสองสามีภรรยากำลังถอยออกจากริมฝั่ง ก็ขับม้าเลาะชายฝั่งตามมา

ขงเบ้งจึงชี้มือร้องบอกไปว่า

"...ให้ท่านกลับไปบอกจิวยี่เถิดว่า เราคิดการมาก็นานอยู่แล้วพึ่งสำเร็จครั้งนี้ ซึ่ง จิวยี่ให้ท่านตามมาส่งเล่าปี่นั้นขอบใจนัก เล่าปี่มิได้เป็นอันตรายสิ่งใด อย่าให้จิวยี่คิดกลอุบายฉะนี้สืบไปเลย...."

ทหารบนฝั่งก็ยิงเกาทัณฑ์ไปยังเรือดังห่าฝน แต่ก็ไม่ถึงเสียแล้ว ขงเบ้งก็เร่งให้ทหารแจวเรือ ข้ามฟากไปยังฝั่งของเมืองเกงจิ๋ว

ขณะนั้นจิวยี่ได้แจ้งข่าวจากนายทหารของตนว่า เล่าปี่กับนางซุนฮูหยินหนีรอดไปลงเรือได้แล้ว จึงเร่งจัดทัพเรือติดตามมาอย่างรีบด่วน จวนจะทันกัน ก็พอดีเรือของขงเบ้งถึงฝั่ง พาเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินและจูล่ง ขึ้นบกรีบหนีไป
ถึงเขาลูกหนึ่ง ในตำบลลองจิ๋ว ก็พากันขึ้นไปอยู่บนเขา ซึ่งกวนอูนำทหารเอกอีกสองนายมาคอยรับอยู่

เมื่อจิวยี่พาทหารขึ้นบกยกตามมา กวนอูก็พาทหารลงจากเขาไปสกัดไว้ จิวยี่เกรงฝีมือกวนอู และทหารที่ตามมาก็เป็นทหารเรือ ไม่ทันสัดการรบบนบกและไม่มีม้าขี่ จึงต้องถอยกลับมาลงเรือ กวนอูก็พาทหารไล่ฆ่าฟันทหารจิวยี่ล้มตายไปเป็นอันมาก

เมื่อทหารของจิวยี่ลงไปในเรือหมดแล้ว กวนอูยืนม้าอยู่ริมฝั่งก็ให้ทหารร้องตะโกนเยาะเย้ยว่า

".....ท่านคิดกลอุบายจะลวงเรา ครั้นเราลวงบ้างก็แพ้ความคิดเรา แล้วมิหนำยังยกมาตามส่งเล่าปี่ ให้เสียทหารอีกเล่า นี่แลจะคิดอ่านปราบปรามแผ่นดินสืบไป....."

จิวยี่ได้ยินก็แลขึ้นไปบนเขา เห็นเล่าปี่และนางซุนฮูหยินกับหญิงคนใช้ยืนอยู่บนยอดเขาก็แค้นใจนัก มีมานะจะยกทหารขึ้นไปสู้รบอีก นายทหารเอกที่มาด้วยก็ห้ามเอาไว้ อัดอั้นตันใจจนล้มลงสิ้นสติไป ทหารทั้งปวงก็ช่วยกันแก้ไขจนฟื้นขึ้น จึงถอยกองเรือกลับไป

แต่จิวยี่ก็ไม่เลิกล้มความตั้งใจ ที่จะเอาเมืองเกงจิ๋วคืนให้ได้ แต่จะทำวิธีใดขงเบ้งก็รู้ทันและแก้ตกทุกครั้ง จิวยี่จึงเสียใจจนล้มป่วย และถึงแก่ความตายไป

นางซุนฮูหยินจึงได้อยู่กับเล่าปี่ที่เมืองเกงจิ๋ว อย่างมีความสุขสมดังใจ และ อาเต๊า บุตรชายคนเดียวของ นางกำฮูหยิน ซึ่งเป็นกำพร้ามารดาแต่ยังเยาว์ นางซุนฮูหยินก็รักดุจลูกของตน

จนกระทั่ง เล่าปี่ยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวน ซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่ทางภาคตะวันตก นางซุนฮูหยินต้องอยู่ที่เมืองเกงจิ๋วกับอาเต๊า เมื่อซุนกวนรู้ข่าวก็ปรึกษากับขุนนางฝ่ายทหาร จะยกกองทัพไปตีเมืองเกงจิ๋วอีกครั้ง นางงอก๊กไถ้ มารดานางซุนฮูหยินรู้เรื่องจึงว่ากับซุนกวนว่า

"...ผู้ใดคิดการดังนี้ ปรารถนาจะให้เล่าปี่ฆ่าลูกสาวเราเสียหรือ ชอบจะให้ตัดศรีษะเสีย....."

ซุนกวนยังไม่ทันจะตอบนางก็รำพันต่อว่า

".....น้องสาวเจ้าผู้เดียว เราสู้อุ้มท้องรักษามา ถนอมดังหนึ่งดวงชีวิต บัดนี้ก็ได้ยกให้เป็นภรรยาเล่าปี่แล้ว แลเจ้าจะมาเชื่อถ้อยคำคนทั้งปวงยุยงฉะนี้ จะฆ่าน้องสาวหรือ ตัวเจ้าได้สมบัติของพี่ เป็นใหญ่อยู่ในเมืองกังตั๋ง มีหัวเมืองขึ้นถึงแปดสิบเอ็ด ยังไม่อิ่มใจหรือ จึงจะไปเอาเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งเป็นสมบัติของผู้อื่นเล่า..... “

ซุนกวนได้ฟังมารดาว่า ก็คำนับรับว่า

"....ข้าพเจ้าผิดแล้วขอมารดาอดโทษเถิด....."

แต่ลับหลังนางงอก๊กไถ้แล้ว ซุนกวนก็ปรึกษากับ เตียวเจียว ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน ออกอุบายให้ส่งคนไปรับนางซุนฮูหยินมาให้ได้ แล้วให้พาอาเต๊าบุตรของเล่าปี่มาด้วย เล่าปี่ก็ต้องยอมเอาเมืองเกงจิ๋วมาแลกกับบุตรจนได้

วันหนึ่ง จิวเสี้ยน คนสนิทของซุนกวน ก็ถือหนังสือมาให้นางซุนฮูหยิน ที่เมืองเกงจิ๋ว ในหนังสือนั้นมีเนื้อความว่า

".....บัดนี้มารดาป่วยระลึกถึงอยู่ จะขอเห็นหน้าสักครั้งหนึ่ง ให้รีบมาทั้งกลางวันกลางคืนอย่าช้าได้ แล้วให้พาเอาบุตรเล่าปี่มาเมืองเราด้วย....."

นางก็มีความเศร้าโศกนักถามว่า มารดาป่วยนั้นเป็นประการใด จิวเสี้ยน ก็ว่า

"....มารดาท่านป่วยหนักอยู่แล้ว แม้มิได้เห็นหน้าท่านก็จะตายเสีย แล้วสั่งมาว่าจะขอเห็นหน้าอาเต๊าหลานชายด้วย....."

นางซุนฮูหยินจึงว่า

"....บัดนี้เล่าปี่ก็ไม่อยู่ ซึ่งเราจะไปนั้นจำจะบอกกล่าวขงเบ้งให้รู้ก่อน....."

จิวเสี้ยนก็ห้ามว่า

"....มารดาท่านป่วยหนัก จะรีบไปให้ทันเห็นใจ จะบอกแก่ขงเบ้งก่อน ถ้าขงเบ้งจะบอกไปถึงเล่าปี่ ก็ไปทางไกล กว่าหนังสือจะไปถึงและจะตอบมาจะมิช้านักหรือ ที่ไหนจะทันเห็นใจมารดาท่าน ก็จะเสียการไป.."

นางซุนฮูหยินนั้นมีความรักมารดาเป็นกำลัง ดังหนึ่งเพลิงสุมอยู่ในหัวใจ อยากจะใคร่ไปเห็นมารดาโดยด่วน จึงเห็นชอบด้วย รีบจัดแจงแต่งตัวและให้สาวใช้สนิทสามสิบคนที่มาด้วยกันจากเมืองกังตั๋ง แต่งตัวรัดกุมถือศาสตราวุธครบมือ อุ้มอาเต๊ามาขึ้นรถ ขับออกจากเมืองไปลงเรือของจิวเสี้ยน ซึ่งจอดรออยู่ที่ท่าเรือ

พอดีจูล่งรู้ข่าวว่านางซุนฮูหยินจะไปเมืองกังตั๋ง ก็คุมทหารสี่คนตามมาที่ท่าเรือ เห็นกำลังถอนสมอจะออกเรือ ก็ร้องเรียกไว้ว่า

"...อย่าเพ่อถอยเรือไป หยุดอยู่ก่อน เราจะขอพูดด้วยนางซุนฮูหยินสักสองคำ....."

จิวเสี้ยนไม่รู้จักจูล่ง ก็ตวาดว่า
".....เอ็งนี้ผู้ใด จึงบังอาจมาห้ามนายไว้ฉะนี้ มิได้ยำเกรง....."

แล้วก็ให้ทหารในเรือจับศัสตราวุธไว้พร้อมมือ พร้อมกับสั่งให้เรือออก จูล่งก็ขับม้าตามมาบนริมตลิ่งแล้วว่า

".....ท่านจะไปก็ไปเถิด แต่ว่าข้าพเจ้าจะขอเจรจาคำนับสักหน่อยก่อน....."

จิวเสี้ยนก็ไม่สนใจเร่งทหารให้แจวเรือรีบไป จูล่งขับม้าเลียบตลิ่งตามมาประมาณร้อยเส้น เห็นเรือหาปลาลำหนึ่งจอดอยู่ริมตลิ่ง ก็ลงจากหลังม้าพาทหารสี่คนลงเรือ แจวตามเรือจิวเสี้ยนไปโดยเร็ว ตนเองถือทวนเงื้อง่าอยู่หัวเรือ ทหารของจิวเสี้ยนยิงเกาทัณฑ์มา จูล่งก็เอาทวนปัดหมดมิได้ถูก พอเทียบกับเรือจิวเสี้ยนแล้ว ก็ชักกระบี่ฟาดฟันกับทหารบนเรือใหญ่ ให้ทหารของตนขึ้นบนเรือได้หมด ทหารของจิวเสี้ยนกลัวฝีมือก็ถอยไป

จูล่งจึงเข้าไปในห้องเรือ เห็นนางซุนฉูหยินอุ้มอาเต๊านั่งอยู่ ก็เอากระบี่สอดเข้าฝักเสีย แล้วคำนับถามว่า ท่านจะไปไหน เหตุใดจึงมิได้แจ้งให้ขงเบ้งรู้ก่อน นางซุนฮูหยินก็บอกว่า

"...มารดาเราป่วยหนักจะรีบไป ไม่ทันไปบอกแก่ขงเบ้งแล้ว..."

จูล่งจึงว่า

“.....ซึ่งท่านจะไปเยือนมารดาก็ชอบแล้ว เหตุใดจึงเอาอาเต๊าไปด้วยเล่า....."

นางซุนฮูหยินก็ว่า

"...อาเต๊านี้เป็นบุตรของเล่าปี่ ก็เหมือนบุตรของเรา ด้วยตัวจะไปแล้วจะทิ้งลูกไว้กับเมือง เล่าปี่รู้ก็จะน้อยใจ ว่าเรามิรักลูก ประการหนึ่งจะไว้ใจแก่ผู้ใดมิได้ เวลาเจ็บไข้ผู้ใดจะรักษาพยาบาล เราจึงพาเอามาด้วย....."

จูล่งก็บอกว่า

".....เล่าปี่นายข้าพเจ้ามีบุตรผู้เดียว ที่เป็นสายโลหิตในอกรักดังดวงใจ แลเมื่อครั้งทุ่งเตียงปันโบ๋ ข้าพเจ้าอุตส่าห์ตีฝ่าทหารร้อยหมื่น เข้าไปมิได้คิดแก่ชีวิต ก็เพราะประสงค์อาเต๊าแก้วตาของเล่าปี่ ปิ้มตัวข้าพเจ้าจะตายในท่ามกลางทหารโจโฉ ควรหรือท่านจะมาพาอาเต๊าดวงใจของเล่าปี่ไปด้วย....."

นางซุนฮูหยินฟังจูล่งพูดก็โกรธ ร้องว่า

"...เป็นแต่นายทหาร ควรหรือมาล่วงบังคับการในเรือเจ้าฉะนี้ โอหังหนักหนา ไสคอออกไปเสียให้พ้น....."

ว่าแล้วก็ให้สาวใช้เข้าไปฉุดจูล่ง จะให้ออกไปจากห้อง จู
ล่งสบัดสาวใช้ล้มกลิ้งกระเด็นไปสิ้นแล้วว่า

".....แม้ท่านจะขืนเอาอาเต๊าไป ถึงชีวิตของข้าพเจ้าจะตายอยู่ที่นี่ก็ตามเถิด ข้าพเจ้ามิให้เอาไป....."

พูดแล้วจูล่งก็โดดเข้าไปชิงอาเต๊า มาจากมือนางซุนฮูหยิน พาออกมายืนอยู่หัวเรือ แต่มิรู้ว่าจะขึ้นบกได้อย่างไร เพราะเรือที่ตนแจวตามมานั้น ก็ลอยไปไกลแล้ว จะเที่ยวฆ่าฟันทหารของจิวเสี้ยน ก็เกรงใจนางซุนฮูหยิน สาวใช้ที่มีฝีมือเข้มแข็งก็จะเข้ามาชิงเอาอาเต๊าคืนไป จูล่งก็ชักกระบี่ออกกวัดแกว่งป้องกันตัวอยู่ จิวเสี้ยนก็เร่งให้ทหาร แจวเรือข้ามไปฟากเมืองกังตั๋ง

พอดี เตียวหุย ซึ่งรู้เรื่องทีหลัง และยกพลลงเรือมาดักหน้าอยู่ จูล่งก็ดีใจ เมื่อเรือเข้ามาใกล้เตียวหุยก็คว้าทวนโจนขึ้นมาบนเรือ จิวเสี้ยนก็ชักกระบี่จะเข้าต่อสู้กับเตียวหุย เลยถูกเตียวหุยแทงล้มลง เตียวหุยก็ตัดศรีษะจิวเสี้ยนโยนเข้าไปในห้อง โดนนางซุนฮูหยิน นางก็ตกใจจึงว่าเหตุใดเตียวหุยจึงมาทำหยาบช้าต่อเราดังนี้ เตียวหุยจึงว่า

"..ท่านเป็นพี่สะใภ้ เมื่อมิได้รักพี่เราโดยสุจริต จะทิ้งเสียหนีไปเมืองมิได้ยำเกรงถึงเพียงนี้ เราว่าชอบกลับว่าทำหยาบช้าต่อท่านอีกเล่า..."

นางซุนฮูหยินจึงว่า

"....บัดนี้มารดาเราป่วยหนักจึงจะรีบไป ครั้นจะบอกพี่ท่านก่อนก็จะช้าอยู่ มิทันไปเห็นใจ ท่านทั้งสองจะขัดขวางไว้มิให้เราไป เราก็จะโจนน้ำตายเสีย....."

เตียวหุยปรึกษากับจูล่งแล้วก็เห็นใจ จึงว่าแก่นางซุนฮูหยินว่า

"...อันเล่าปี่พี่เราก็เป็นอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งท่านได้มาอยู่กับพี่เรา พี่เราก็กรุณาเอ็นดูมิสู้ได้ความอายนัก ถึงมาตรว่าตัวท่านจะไป ก็จงคิดถึงความอาลัยแต่หนหลัง ซึ่งได้เป็นภรรยาสามีกันตามประเพณีโลกทั้งปวง แล้วเร่งกลับมา....."

ว่าแล้วเตียวหุยก็เข้าอุ้มอาเต๊าพาจูล่งลงเรือกลับไป นางซุนฮูหยิน ก็เร่งทหารที่เหลือเพียงสิบคน ให้แจวเรือกลับไปเมืองกังตั๋ง

เมื่อได้พบกับซุนกวนพี่ชายแทนที่นางจะได้เห็นความเศร้าโศก และได้พบกับมารดา ซึ่งป่วยหนักรอเห็นใจอย่างที่คิด มารดากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย และเมื่อเล่าเรื่องการเดินทางกลับให้ฟัง ซุนกวนก็ว่า

"....บัดนี้น้องเรากลับมาได้แล้ว อันเล่าปี่กับเราก็ขาดจากประเพณี ที่จะผูกพันกันสืบไป เราจะยกทหารไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วคืนให้จงได้...."

นางซุนฮูหยินจึงเป็นแต่เพียงเครื่องมือ ที่ซุนกวนได้ใช้สำหรับจะต่อรองทางการเมืองกับเล่าปี่เท่านั้น นางจึงหมดโอกาสที่จะกลับไปหาเล่าปี่อีก ดังที่เตียวหุยได้ขอร้องไว้ แม้มิได้ตั้งใจแต่ก็เหมือนกับทรยศต่อสามี ไม่มีใครจะล่วงรู้ถึงความรู้สึกในจิตใจของนางได้

เมื่อซุนกวนยกกองทัพไปรบชิงเอาเมืองเกงจิ๋วคืนมา โดยจับกวนอูผู้รักษาเมืองมาประหารชีวิตเสีย

จนกระทั่งเล่าปี่ได้ครองเมืองเสฉวน และประชาชนยกขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งจ๊กก๊ก แล้วก็ยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋ง เพื่อแก้แค้นแทนกวนอูน้องร่วมสาบาน ซุนกวนซึ่งรู้ตัวว่าจะสู้ไม่ได้ จึงส่ง จูกัดกิ๋น ซึ่งเป็นพี่ชายของขงเบ้ง เป็นทูตไปเจรจาว่าจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ และย้ำว่า

"....อนึ่งนางซุนฮูหยินคิดถึงพระองค์นัก ซุนกวนใช้ข้าพเจ้ามาทั้งนี้ให้แจ้งเนื้อความแล้ว ให้กลับไปพานางซุนฮูหยินมาถวาย...."

พระเจ้าเล่าปี่ก็ไม่สนพระทัย ไล่ทูตกลับไปเสีย ตั้งใจจะตีเมืองกังตั๋งให้ราบเป็นหน้ากลองเท่านั้น แต่ในที่สุดซุนกวนกลับได้แม่ทัพที่มีสติปัญญา สามารถตีทัพของพระเจ้าเล่าปี่ แตกพ่ายไปอย่างยับเยิน ต้องหนีไปพักอยู่ที่เมืองเป๊กเต้และตรอมใจตาย

เมื่อนางซุนฮูหยินทราบข่าวตายของพระเจ้าเล่าปี่ ก็รำพึงว่า

"...เกิดมาเป็นผู้หญิง จะให้มีชายต้องถึงสองคนก็ไม่ควรนัก บัดนี้ผัวเราก็ตายแล้ว จะอยู่ไปก็เป็นเครื่องราคี อายแก่คนทั้งปวง....."

คิดแล้วก็ขึ้นรถ ขับไปริมฝั่งแม่น้ำแต่ผู้เดียว แล้วก็โจนลงแม่น้ำ ตายตามสามีไปอย่างเด็ดเดี่ยว

ชีวิตรักของนางซุนฮูหยิน จึงเป็นอมตะอยู่จนถึงบัดนี้.

##########

วารสารข่าวทหารอากาศ
กุมภาพันธ ๒๕๔๗




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2559    
Last Update : 2 พฤษภาคม 2559 17:24:50 น.
Counter : 435 Pageviews.  

นางผู้มีรักเดียว (๒)

สามก๊กฉบับฮูหยิน

ชุด นางผู้มีรักเดียว

ตอนที่ ๒ ความรักเหนือสิ่งอื่นใด

เล่าเซี่ยงชุน

เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว นางงอก๊กไถ้ ก็จัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต มีการเลี้ยงขุนนางอย่างทั้งปวง จนถึงเวลาค่ำขุนนางผู้รับเชิญกลับไปหมดแล้ว นางก็ให้จุดเทียนปักไว้สองข้างทางตั้งแต่ที่พักของ เล่าปี่ ไปจนถึงตึกของเจ้าสาว แล้วก็ให้คนใช้นำตัวเล่าปี่ไปส่ง ภายในตึกที่อยู่ของเจ้าสาวนั้น ประดับประดาไปด้วยเครื่องศัสตราวุธชนิดต่าง ๆ แขวนและพิงไว้ตามกำแพงเป็นอันมาก หญิงคนใช้ทั้งหลายก็แต่งกายรัดกุมทุกคน ต่างก็เหน็บกระบี่เหมือนจะเข้าสู่สงคราม ทั้งนี้เพราะ นางซุนฮูหยิน เป็นผู้รักการฝึกอาวุธมาแต่เล็ก จนมีฝีมือเข้มแข็ง

เล่าปี่เห็นดังนั้นถึงกับตกตลึงยืนนิ่งอยู่ พี่เลี้ยงผู้เฒ่าจึงบอกว่า

"…...ท่านอย่าตกใจ อันนางซุนฮูหยินผู้นี้ แต่น้อยมารักการสงคราม พอใจดูทหารรำอาวุธสู้รบกัน จึงฝึกสอนหญิงคนใช้ให้รำกระบี่ แลสู้กันด้วยเพลงอาวุธต่าง ๆ ...."

เล่าปี่จึงว่า

"....อันการรำอาวุธรบพุ่งกันนี้ หาควรที่นางซุนฮูหยินจะดูไม่ น้ำใจข้าพเจ้านี้คิดครั่นคร้ามนัก ให้เก็บเสียก่อนเถิด....."

พี่เลี้ยงผู้นั้นก็เข้าไปบอกนางซุนฮูหยิน นางก็หัวเราะว่า

"......ทำการสงครามมาถึงอายุปานนี้แล้ว เห็นเครื่องอาวุธยังกลัวอยู่อีกเล่า...."

แต่ก็ได้สั่งให้หญิงคนใช้ เก็บเครื่องอาวุธทั้งปวงไปเสีย และเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวให้สวยงามตามปกติ แล้วพี่เลี้ยงก็เชิญเล่าปี่ เข้าไปหานางซุนฮูหยิน เป็นการส่งตัวเจ้าบ่าวให้เข้าหอเจ้าสาว ตามประเพณี

นางซุนฮูหยินนั้นได้แต่งงานกับเล่าปี่ โดยมิได้รู้ถึงกลอุบายของ ซุนกวน พี่ชายผู้เป็นเจ้าเมืองกังตั๋ง ที่คิดอ่านกับ จิวยี่ ว่าจะล่อเล่าปี่เอามาเป็นตัวประกัน แลกกับเมืองเกงจิ๋ว และไม่ทราบด้วยว่าการที่เล่าปี่ยอมเข้ามาสู่กับดักแต่โดยดีนี้ ก็เพราะ ขงเบ้ง กุนซือผู้มีสติปัญญาของ เล่าปี่ ได้เตรียมแผนการณ์แก้ไขไว้แล้วถึงสามชั้น

นางได้เข้าพิธีแต่งงาน ด้วยความเห็นชอบของนางงอก๊กไถ้ผู้มารดา ตามธรรมเนียมของบุตรผู้มีกตัญญูต่อพ่อแม่ แล้วก็จะต้องรักและภักดี ซื่อสัตย์ต่อสามีตราบจนสิ้นชีวิต

หลังการแต่งงานแล้ว ซุนกวนก็จัดการก่อตึกใหญ่ และขุดสระน้ำปลูกบัว กับสร้างสวนดอกไม้ขึ้นใหม่ให้สวยงาม แล้วก็เชิญเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินเข้ามาอยู่ พร้อมกับจัดคนรับใช้หญิงชาย และมอบเงินทองสำหรับใช้สอยเป็นอันมาก กับมีหญิงรูปร่างงามสิบคนคอยขับร้องบำเรอความสุขเป็นประจำทุกวัน

นางงอก๊กไถ้เห็นซุนกวนแสดงความรักใคร่เล่าปี่และบุตรสาวของตนดังนั้น ก็มีความยินดีนัก

สองสามีภรรยาก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสบายยิ่ง เล่าปี่นั้นแต่เดิมก็เป็นคนยากจน เข็ญใจ และตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็มีแต่ความระกำลำบาก ต้องเดินทางเร่ร่อนรบพุ่งอยู่ ไม่เคยได้หยุดพัก เมื่อได้อยู่กินกับภรรยาผู้มีรูปโฉมงดงาม มีสมบัติพัสถานเป็นอันมาก รอบตัวมีแต่สิ่งสวยงาม ปรนนิบัติบำเรออยู่ ก็หลงระเริงไปมิได้คิดถึงเมืองเกงจิ๋วอีกเลย

จนเวลาล่วงไปถึงปีใหม่ วันหนึ่ง จูล่ง นายทหารเอกองครักษ์คู่ใจ ก็เข้ามาหาเล่าปี่ ปรึกษาหารือกันอยู่สักพักหนึ่งก็คำนับลากลับไป เล่าปี่ก็เข้ามาหาภรรยาแล้วร้องไห้ นางซุนฮูหยินก็ถามว่าท่านเป็นทุกข์สิ่งใดหรือ เล่าปี่ก็บอกว่า

"......ข้าคิดวิตกถึงมารดา เมื่อชีวิตยังอยู่ก็มิได้แทนคุณ ครั้นหาบุญไม่แล้วก็มิได้บูชาเหมือนมิได้มีกตัญญู ข้ามาอยู่กับเจ้าก็ช้านานจนเข้าปีใหม่แล้ว คิดวิตกรำลึกถึงคุณบิดามารดา จึงไม่มีความสบาย....."

นางซุนฮูหยินกลับว่า

".....ท่านอย่าลวงข้าพเจ้าเลย เนื้อความซึ่งจูล่งมาบอกท่านนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ยินอยู่แล้ว ท่านจะใคร่กลับไปเมืองเกงจิ๋วโดยเร็ว เหตุใดจึงมาบอกข้าพเจ้าดังนี้เล่า....."

เล่าปี่ก็ยอมสารภาพว่า

".....เนื้อความทั้งปวงเจ้าก็แจ้งอยู่แล้ว แม้ข้าไม่กลับไป เมืองเกงจิ๋วก็จะเป็นอันตราย คนทั้งปวงก็จะหัวเราะเยาะว่า หลงภรรยาจนเสียเมืองแก่ โจโฉ ครั้นจะไปบัดนี้เล่าก็มีความอาลัยถึงเจ้านัก....."

นางซุนฮูหยินจึงว่า

".....ตัวข้าพเจ้าเป็นภรรยาก็สิทธิ์ขาดอยู่แก่ท่าน แม้ท่านคิดอ่านประการใด ข้าพเจ้าจะตามทุกประการ....."

เล่าปี่ก็ว่า

"....เจ้าว่านี้ก็ชอบ แต่กลัวมารดาเจ้ากับซุนกวนจะไม่ให้ไป แม้เจ้ามีความเมตตามิให้ข้าได้เจ็บอายแก่คนทั้งปวง ก็ค่อยอยู่จงดีเถิด ข้าจะรีบกลับไปเมืองเกงจิ๋วจะได้คิดอ่านสู้รบกับโจโฉ.."

นางซุนฮูหยินเห็นน้ำตาเล่าปี่ก็ปลอบว่า

"....ท่านอย่าทุกข์ร้อนไปเลย ข้าพเจ้าจะไปอ้อนวอนลามารดา ก็เห็นจะยอมให้ไปกับท่าน...."

เล่าปี่ก็แย้งว่า

".....ถึงมารดาเจ้าจะยอมให้ไปแล้ว แม้ซุนกวนไม่ยอมให้ไปเจ้าจะคิดประการใด....."

นางซุนฮูหยินก็รับว่าเมื่อมารดาอนุญาตแล้ว ก็จะรีบหนีไปมิให้ซุนกวนรู้ตัว เล่าปี่ก็มีความยินดีจึงว่า

".....ไม่เสียทีที่ข้ารักใคร่มีอาลัยต่อเจ้า แม้เจ้าแก้ไขครั้งนี้ ถึงจะตายข้าก็ไม่ลืมคุณเจ้า....."

แล้วเล่าปี่ก็เรียกจูล่งมาสั่งว่า เมื่อถึงวันตรุษให้คุมทหารทั้งปวง ออกไปคอยท่าอยู่ที่ทางหลวงนอกเมือง ตนกับภรรยาจะหาอุบายหนีไปพบกัน แล้วจะได้ออกเดินทางไปพร้อมกัน

ครั้นถึงวันตรุษขึ้นปีใหม่วันแรก ซุนกวนได้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนาง และนายทหารทั้งปวงอยู่ เล่าปี่กับนางซุนฮูหยินจึงพากันไปหานางงอก๊กไถ้ คำนับมารดาแล้วนางซุนฮูหยินก็บอกว่า

".....เล่าปี่คิดถึงมารดาและคณาญาติทั้งปวงอันหาบุญไม่ ซึ่งฝังศพไว้ ณ เมืองตุ้นก้วน จะลาท่านไปเซ่นศพที่ชายทะเล แต่พอเป็นเหตุตามขนบธรรมเนียม ข้าพเจ้าจะลาไปด้วย...."

นางงอก๊กไถ้จึงว่า

".....ทั้งนี้เป็นประเพณีผู้รู้จักคุณบิดามารดา อนึ่งตัวเจ้าก็ยังหาได้คำนับบิดามารดาผัวไม่ จะไปก็ตามเถิด....."

นางซุนฮูหยินมีความยินดี รีบคำนับลามารดา กลับมาจัดแจงเงินทองสิ่งของเครื่องใช้ใส่ในรถ เล่าปี่ก็ขึ้นม้าให้ภรรยานั่งในรถกับคนใช้หญิงที่สนิท ออกจากเมืองลำชีไปตาทางที่นัดกับจูล่งไว้ เมื่อพบกันจูล่งก็จัดขบวนทหาร ป้องกันรักษาครอบครัวของเล่าปี่ เดินทางไปยังชายทะเล

ขณะนั้นซุนกวนเลิกจากงานเลี้ยง เมาสุรานอนหลับอยู่ ทหารที่รู้ว่าเล่าปี่พาภรรยาหนีไปแล้วก็ไม่กล้าปลุก ซุนกวนจึงรู้เรื่องในตอนเช้าก็โกรธ สั่งให้ทหารเอกสองนายคุมทหารติดตามไปจับตัวเล่าปี่มาให้ได้ แต่ที่ปรึกษาเห็นว่าคงไม่สำเร็จ จึงมอบกระบี่อาญาสิทธิ์ให้ทหารเอก อีกสองนาย ตามไปตัดศรีษะสองสามีภรรยากลับมาให้ได้

เล่าปี่พาขบวนเดินทางไปตลอดวัน จนถึงเวลาสองยามจึงหยุดพักทหารชั่วครู่หนึ่ง แล้วก็เดินทางต่อไปถึงแดนเมืองฉสองกุ๋น ที่จิวยี่รักษาอยู่ ในเวลาเช้าก็ได้ยินเสียงทหารของซุนกวนโห่ร้องตามมาข้างหลัง จูล่งก็ให้เล่าปี่พาภรรยาเดินทางต่อไป ตนจะต้านทานพวกที่ติดตามมาเอง แต่เล่าปี่ไปเจอเอาทหารของจิวยี่คอยดักอยู่ ต้องหวนกลับมาหาจูล่งอีก ถามว่าจะคิดอ่านประการใด จูล่งก็ว่า

".....ท่านอย่าวิตกเลย เมื่อเราจะมานั้นขงเบ้งให้หนังสือมาสามฉบับ ได้ดูสองฉบับแล้วก็ทำการมาถึงเพียงนี้ ยังหนังสือฉบับที่สามนี้ขงเบ้งสั่งมาว่า แม้ถึงที่อับจนจึงให้ฉีกออกดู บัดนี้ถึงที่อับจนแล้ว จำเราจะดูหนังสือขงเบ้ง ก่อนจะคิดทำการต่อไป....."

ว่าแล้วก็ฉีกหนังสือออกให้เล่าปี่ดู เล่าปี่อ่านแจ้งแล้ว ก็กลับไปบอกเล่าเนื้อความ ให้นางซุนฮูหยินฟังว่า

"....เดิมซุนกวนกับจิวยี่คิดกลอุบาย ว่าจะยกเจ้าให้เป็นภรรยาข้า หวังจะลวงข้าให้มา ณ เมืองลำชีแล้วจะจับตัวจำไว้ แม้คืนเมืองเกงจิ๋วได้แล้วก็จะฆ่าเราเสีย ใช่จะยกเจ้าให้โดยจริงนั้นหามิได้ เอาชื่อเจ้าเป็นเหยื่อไปล่อมา อนึ่งข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหญิงก็จริง แต่มีสติปัญญาความคิดยิ่งกว่าผู้ชายอีก จึงอุตส่าห์มานี้มิได้คิดถึงตัวกลัวความตาย นี่หากว่ามารดากับนางเกียวก๊กโลมีความเมตตา ข้าจึงรอดจากความตาย....."

เมื่อเห็นว่านางซุนฮูหยินเชื่อคำพูดของตนแล้ว เล่าปี่จึงบอกว่า

".....แลซุนกวนกับจิวยี่ยังคิดกลอุบายต่าง ๆ อยู่ หวังจะทำอันตราย ข้าเห็นจะอยู่ในเมืองลำชีไม่ได้ ก็คิดอ่านจะกลับไปเมืองเกงจิ๋ว จึงแกล้งบอกเจ้าว่าเมืองเกงจิ๋วเกิดศึกจะรีบไปเป็นการเร็ว เจ้าก็มีความสัตย์ติดตามข้ามา คุณเจ้าหาที่สุดไม่ ข้าก็ยังมิได้ตอบแทนคุณ....."

แล้วก็ใช้ไม้ตายอันสุดท้ายว่า

".....บัดนี้ซุนกวนก็ยกทหารตามมาเป็นอันมาก จิวยี่ก็ให้ทหารมาสกัดหน้าอยู่ ทหารทั้งสองฝ่ายนี้อยู่ในอำนาจของเจ้า แม้เจ้าไม่ช่วยแก้ไขครั้งนี้ ข้าจะตายอยู่ในที่นี้ อันจะได้ แทนคุณเจ้าซึ่งสัตย์ซื่อต่อข้านั้น หามิได้แล้ว....."

นางซุนฮูหยินได้ฟังดังนั้น ก็คิดน้อยใจซุนกวน จึงว่า

"....ซึ่งซุนกวนทำทั้งนี้มิได้มีอาลัย ที่จะเป็นพี่น้องกันสืบไป จะกลับไปหาซุนกวน กระไรได้ การครั้งนี้ข้าพเจ้าจะคิดอ่านแก้ไขให้พ้นอันตรายจงได้...."

ว่าแล้วนางก็ให้คนใช้ม้วนเอามู่ลี่ข้างรถขึ้น แล้วให้ขับรถไปข้างหน้าก็พบ นายทหารของจิวยี่สองนายขวางหน้าอยู่ จึงร้องออกไปว่าตัวทำการครั้งนี้จะทำร้ายเราหรือ ทหารเอกทั้งสองนายก็ตกใจ ลงจากหลังม้าวางอาวุธ คำนับนางซุนฮูหยินที่หน้ารถ แล้วว่า

"......ข้าพเจ้าจะคิดอ่านทำอันตรายท่านนั้นหามิได้ จิวยี่ให้ข้าพเจ้าคุมทหารมาคอยจับเล่าปี่....."

นางซุนฮูหยินก็ด่าจิวยี่ว่า

".....อ้ายผู้ร้ายมิได้มีกตัญญู ตัวมาอยู่เมืองกังตั๋งนี้ กินข้าวแดงแกงร้อนพี่เรา พี่เราก็ตั้งให้เป็นนายทหาร แล้วเลี้ยงดูมิให้อนาทร ควรหรือไม่รู้จักผิดแลชอบ เล่าปี่เป็นอาพระเจ้า เหี้ยนเต้ มารดากับซุนกวนก็ได้ยกให้เป็นสามีเรา เมื่อเล่าปี่จะพาเรามานั้น มารดาเรากับซุนกวนก็ได้รู้ ยอมให้เรามา แลจิวยี่เห็นว่าเราได้ทรัพย์สิ่งของมามากหรือ จึงให้ตัวทั้งสองคุมทหารปลอมเป็นโจรมาคอยตีชิงเรา......"

นายทหารทั้งสองก็แก้ตัวว่า

".....อันตัวข้าพเจ้าทั้งสองคนนี้ จะได้คิดร้ายต่อท่านหามิได้เพราะกลัวอาญาจิวยี่จึงมา ท่านจงเมตตายกโทษข้าพเจ้าเถิด.."

นางซุนฮูหยินก็ตวาดเอาว่า

"......ตัวเห็นว่าจิวยี่มีอาญาสิทธิ์ ฆ่าตัวได้ตัวจึงทำตาม แต่เรานี้จะฆ่าตัวไม่ได้ฉะนั้นหรือ จึงบังอาจมาทำการทั้งนี้...."

ว่าแล้วก็เร่งขับรถไป เล่าปี่กับจูล่งก็คุมทหารตามไป สองนายทหารเอกของจิวยี่ ทั้งกลัวนางซุนฮูหยิน และเกรงฝีมือจูล่งอันเป็นทีรู้กันทั่ว จึงมิอาจทำประการใด ต้องแหวกทางให้ผ่านไป

เดินทางมาได้อีกไม่ช้า ก็ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องอื้ออึงตามหลังมาอีก นางซุนฮูหยินก็บอกให้เล่าปี่พาทหารสามร้อยเดินทางต่อไปก่อน ตนเองกับจูล่งและทหารสองร้อยคอยต้านทานอยู่ข้างหลัง เล่าปี่ก็รีบไปตามชายทะเล จูล่งก็ขี่ม้าถือทวนอยู่เคียงข้างรถของนางซุนฮูหยิน ผู้ที่ตามมาคือนายทหารของซุนกวนสองคน รวมกับนายทหารของจิวยี่อีกสองคน และไพร่พลทั้งสองฝ่ายอีกจำนวนมาก

เมื่อมาถึงทหารเอกทั้งสี่นายก็ลงมาจากหลังม้า คำนับว่าซุนกวนขอเชิญให้กลับไปก่อน นางซุนฮูหยินก็ทำเป็นโกรธร้องว่า

"....เพราะคนเหล่านี้จะให้พี่น้องผิดใจกัน มารดาเรากับซุนกวน ก็แต่งให้เราเป็นภรรยาเล่าปี่ เมื่อเรากับเล่าปี่จะมานั้น มารดาก็อนุญาตให้เราไปอยู่เมืองเกงจิ๋วกับสามีเรา ใช่เราจะหนีมาตามอำเภอใจก็หาไม่ ถึงซุนกวนพี่เราก็เห็นจะว่ากล่าวตามขนบธรรมเนียม คงจะผ่อนเอาใจเราบ้าง แต่ตัวสองคนนี้แอบรับคำสั่งซุนกวน ยกทหารมาจะทำอันตรายเราหรือ....."

นายทหารทั้งสี่ก็ลังเลใจ เพราะไม่แน่ว่าถ้าแข็งขืนทำตามคำสั่ง แล้วภายหลังพี่กับน้องมารดากับบุตรหายโกรธกัน ตัวก็จะลำบาก อีกทั้งจูล่งก็ยืนคอยที่จะเข้ารบด้วย จึงต่างก็คำนับแล้วปล่อยให้ไป นางซุนฮูหยินก็เร่งตามสามีไปจนทันกัน

แต่ผู้ขัดขวางก็ยังมิได้หมดเพียงแค่นี้ ข้างหลังยังมี เจียวขิม ทหารเอกของซุนกวนที่ถือกระบี่อาญาสิทธิ์ สามารถตัดศรีษะเล่าปี่และนางซุนฮูหยิน ได้โดยเด็ดขาด แม้นมิได้ศรีษะทั้งสองสามีภรรยาคู่นี้ไป ก็จะต้องเสียศรีษะของตนเองแทน

จึงต้องคอยติดตามว่า นางซุนฮูหยินผู้ จงรักภักดีต่อสามี จะแก้ไขประการใดต่อไป.

########




 

Create Date : 30 เมษายน 2559    
Last Update : 30 เมษายน 2559 7:29:23 น.
Counter : 505 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.