ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บบอร์ด Thailand Aquatic Pets เว็บบล็อคสำหรับ คนรักสัตว์น้ำ ( และ สัตว์ที่อยู่ในน้ำ ) ประเทศไทยจ้า

ขนหัวลุก!! มารู้จัก 10 อันดับ "ผี" ที่คนไทยเห็นบ่อยที่สุด!!

เคยสงสัยกันบ้างไหม ว่า "ผี" จะปรากฎตัวในสถานที่แบบไหน และเป็นผีอะไรบ้าง?? วันนี้เราจะพามารู้จักกับ 10 อันดับผี ที่คนไทยเห็นบ่อยที่สุด

"ผี" เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ที่ยังคงเป็นความลับมาจนถึงทุกวันนี้ว่า "ผี" นั้นมีจริงไหม และเคยสงสัยกันบ้างไหมถ้า "ผี" มีจริงจะมีสถานที่ไหนบ้างที่เหมาะ... และสถานที่ไหนมักจะเป็นแหล่งที่คนพบเห็นผีได้บ่อยที่สุด วันนี้เราจึงเราจัด 10 อันดับ ผี และสถานที่ที่ "คน" พบกับ "ผี" มากที่สุดในประเทศไทย

อันดับ 10 ผีห้องน้ำ ใครบ้านไหนบ้างหนอ ที่อาบน้ำในโอ่งอยู่ดีๆ แล้วผีดัน มาหลอกไม่ก็ขอกุศลตอนนั้นแล้วไม่กลัวอะและอับดับที่เกิดนั้นมักอยู่ในโรงแรม ไม่ก็หอเสมอ โดยทั่วไปผีตนนี้มักโผล่ผลุบๆ โผล่ๆ จู่ๆ ประตูห้องน้ำก็ปิดโดยไม่มีลม ได้ยินเสียงน้ำไหลเอย เสียงชักโครกเอย เอาเป็นว่าเราก็กลัวเหมือนกัน

อันดับที่ 9 ผีบ้านร้าง แถวบ้านพวกคุณ(บางคนนะคะ)มักจะมีบ้านๆหลังหนึ่งมีต้นไม้คลุมมีซากไม้เก่าๆอยู่ หากแถวบ้านคุณมีลักษณะอย่างนั้นขอบอกว่าใช่เลย โดยปกติผีตนนี้มักจะโผล่แบบไม่ค่อยซ้ำแบบใครเท่าไร นั่นคือจะเห็นมีคนเดินไปเดินมาแถวบ้านนั้นเสมอ จะได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้อง เสียงเด็กร้องไห้หากคุณเจออย่างงั้นจะย้ายหนีหรืออยู่ต่อก็เชิญคะ

อันดับที่ 8 ผีข้างทาง ยามคุณกลับบ้านคนเดียวมันจะตามคุณมาเรื่อยๆยิ่งดึกยิ่งน่ากลัว 99% ของผีตนนี้มักจะถูกฆ่าเสมอ ผีตนนี้มักจะโผล่แบบสยองเอาเรื่องเหมือนกัน แบบว่า(สำหรับวินมอเตอร์ไซต์นะ)ผีตนนี้จะบอกให้ไปส่งที่บ้านแล้วก็.......

อันดับที่ 7 ผีญาติๆของคุณ หลังจากเผาเสร็จ 1-2 วัน นั่นแหละคือวันที่แผลงฤทธิ์แต่คุณอย่าคิดมาก(เหมือนเพลงของแดน-บีมอะ) ผีตนนี้มักปรากฎขึ้นมาเพื่อให้คุณรู้ว่า เขาต้องการให้คุณทำบุญไปให้

อันดับที่ 6 ผีเทพอารักขา(เทวดาที่หลายๆคนเชื่อว่าสิงสถิตตามต้นไม้)ผีแบบนี้ใครๆก็ชอบยิ่งออกรูปลักษณะแปลกๆ ยิ่งดี นั่นแหละชาวบ้านยิ่งขัดถูกันมัน

อันดับที่ 5 ผีจองเวรทั้งหลาย วิธีการหลอกของผีตนนี้สยองสุด ๆ มันจะทำให้คุณขนลุกพอ ๆ กัน แต่มันสยองสำหรับคนที่ดันไปจองเวรก่อนเค้าตาย แต่คนที่ไม่ได้ไปทำอะไรให้มันคับแค้นใจก็รอดไป การหลอกของผีตนนี้มักมีเป้าหมายคือ ฆ่าพวกที่ทำให้พวกเค้าเสียใจเท่านั้น

อันดับที่ 4 ผีของเก่า ๆ ที่คุณซื้อมา และ ที่สำคัญที่ทอปฮิตติดชาร์ตมากที่สุดคือ เตียงนอนและตู้ 1. เตียงนอนมันมักจะเริ่มจากที่คุณนอนไป 2-3 ชั่วโมงแล้วมันจะมานอนข้าง ๆ คุณ หรือไม่ก็ฉุดขาคุณ 2. ตู้ คุณลองเปิดตอนมืด ๆ ค่ำ ๆ สิ

อันดับที่ 3 ผีเด็ก คุณอย่าคิดนาๆว่าถึงเป็นผีเด็กนะแต่ทอปมาอยู่ที่3ได้นะความเฮี้ยนของเด็กมัก เริ่มจากความกุ๊กกิ๊กน่ารักเสมอ แล้วลิ้นก้อค่อยๆยาวขึ้นหรืออาจมีเลือดเต็มหน้า แล้วคุณก็เป็นลม

อันดับที่ 2 ผีที่วัด แน่นอนวัดคืออันดับ 2 ที่คุณจะเจอผีลองดูสิหันหน้าไปทางทิศตะวันตกหลังเมรุ แล้วก้มลอดระหว่างขาสิ

อันดับที่ 1 ผีโรงแรม ดาราหรือแม้กระทั่งคุณเองก้อเจอเช่นกัน โดยเริ่มจากคุณได้ยินเสียงเคาะประตู เมื่อคุณเปิดไปกลับไม่มีใครอยู่ หรือไม่ก็ผีผ่านหน้าต่างไปช้า ๆ ในห้องส่งกลิ่นเหม็น แน่นอนคุณต้องของเช็กเอาท์ทันที่หลังจากเกิดคืนแรก




 

Create Date : 01 ตุลาคม 2556   
Last Update : 1 ตุลาคม 2556 20:35:34 น.   
Counter : 3140 Pageviews.  

เรื่องแปลกของชาวญี่ปุ่นที่คุณไม่รู้

เรื่องแปลกของชาวญี่ปุ่นที่คุณไม่รู้




ลักษณะนิสัยของคนญี่ปุ่น (ขี้เกรงใจ รักษาน้ำใจ)

มนุษย์เงินเดือนของผู้ชายชาวญี่ปุ่นทั่วไป เตี้ย ตาตี่ ปากเล็ก ขี้อาย ไม่กล้าแสดงความรู้สึก และการประชุมในญี่ปุ่นจะไม่มีกำหนด เมื่อหลังจากประชุมเสร็จ ลูกน้องก็ไม่กล้าปัดที่เจ้านายจะชวนไปดื่มต่อ นิสัยขี้เกรงใจของชาวญี่ปุ่นมักจะทำให้คนอื่นที่เป็นต่างชาติ ทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว สมมุติเช่น คุณทำอาหารหรือขนมอะไรก็ได้ให้เขากิน พอเขากินแล้ว ถ้าอาหารนั้นอร่อยหรือไม่ก็ตาม เขาก็จะพูดว่า "โออิชิ" ตลอดๆ เพื่อรักษาน้ำใจของคุณ สืบมาว่า ที่คนญี่ปุ่นรักษาน้ำใจได้ดีขนาดนี้ ก็เพราะเมื่อพูดตรงไปจะทำให้บรรยากาศในช่วงนั้นชืดมืดเลยทีเดียว และจะไม่ไว้หน้าคนที่ทำเป็นอย่างยิ่ง จะดีไม่ดีก็ต้องรักษาน้ำใจไว้ก่อน มาวิจารณ์ทีหลังว่าไม่อร่อยเมื่อพ้นจากคนทำก็ว่ากันอีกที

ถ้าคุณมีเพื่อนเป็นชาวญี่ปุ่น ถ้าเขาพูดลักษณะเกรงใจกันแบบนี้ เขาอาจจะหมายถึง..

1. เมื่อคุณชวนเขามาเที่ยวที่บ้าน ถ้าบ้านคุณคนเยอะและมีเด็กซุกซนส่งเสียงเจ๊าะแจ๊ะ ถ้าเขาพูดว่า "บ้านคุณคนคึกคักจังเลยนะ อบอุ่นจัง" แต่ในใจเขาจะมีความหมายตรงกันข้ามคือ "รำคาญชะมัด ทำงานมาเหนื่อยๆ ยังต้องมาเจอคนพวกนี้อีก" 

2. ถ้าคุณชวนเขาไปเที่ยว ถ้าเขาพูดว่า "อืม ขอคิดดูก่อนนะ ฉันอาจจะไปก็ได้" นั้นคุณก็คิดไว้ได้เลยว่า "เขาไม่ไป"


สายตาคนญี่ปุ่น ทุกอย่างในโลกต้องมีคำว่า "คาวาอิ" (น่ารัก)

แม้แต่ก้อนหินริมทางที่ตกอยู่กลางถนน เขาพบแล้วก็ไม่วานที่จะพูดว่า "คาวาอิ" ได้ แล้วเอามาถ่ายรูปกันยกใหญ่ โอ้แปลกจุง ไม่มีอะไรที่ไม่มีคำว่า น่ารัก ในสายตาคนญี่ปุ่น ขนาดคุยกัน คู่สนทนาเป็นหวัดเสียงแหบแห้ง คนญี่ปุ่นยังต้องพูดว่า "เป็นหวัดสิท่า เสียงน่ารักจังเลย" และไม่ว่าคุณจะทำอะไรออกมาก็ตาม ไม่ว่าผลงานนั้นจะสวยไม่สวย เขาก็จะพูดว่า "คาวาอิ" ของทุกอย่างที่คนญี่ปุ่นจะดู ต้องพูดคำว่า "คาวาอิ" ก่อนที่หยิบขึ้นมาดู และถ่ายรูปกันยกใหญ่ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมประเทศญี่ปุ่น ถึงเหมือนดินแดนการ์ตูน และมีสิ่งของน่ารักๆ กันตรึม ก็เพราะมาจากคำว่า "คาวาอิ" นั่นแหล่

(ตัวอย่าง)   คนนิโกรแต่งชุดคอสเพลย์ - "คาวาอิ"                    
คนฟันหลอ ฟันผุ ฟันดำ - "คาวาอิ"
หน้าตาโกธรจัด ขมวดคิ้ว - "คาวาอิ"           
หกล้มจนเป็นแผลและติดพลาสเตอร์ลายการ์ตูน - "คาวาอิ"
ทำอะไรก็ตามที่แหวกแนว - " คาวาอิ"

ผมไปสืบมา ขนาดคนญี่ปุ่นส่งเมล์คุยกันในลักษณะแบบนี้ ยังต้อง "คาวาอิ"
A : ตอนนี้แฟนเธออยู่ไหม ?
B : อ๋อ ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียงน่ะ !!
A : เอ๋ะ เขาคงเหนื่อยสินะ
B : 555+ ใช่แล้ว นอนจนน้ำลายหยึดล่ะ เสียงกรนดังอย่างกับหมูร้อง 
A : "คาาาาาาา วาาาาาาาาา อิ" ถ่ายรูปมาให้ดูหน่อยสิ


ผู้หญิงญี่ปุ่น (วัยรุ่น / แม่บ้าน / นางเอก AV)

1.1) หากเป็นเด็กวัยรุ่นผู้หญิงญี่ปุ่น จะใส่บิ๊กอายส์ ถือกระป๋าแบรนด์เนม และมักหมกมุ่นอยู่กับการลดน้ำหนักวันหยุดทีไรจะนัดกันออกมาเดินช๊อปปิ้ง กินไอศกรีม ฯลฯ พวกเธอทำงานประจำเป็นชิ้นเป็นอัน หารายได้พิเศษและนำเงินนั้นมาอัพเดตแฟชั่น ซื้อชุดคอมเพลย์บ้าๆ บอๆ มาแต่งด้วยเงินส่วนตัวของพวกเธอเอง ไม่มีการขอจากพ่อแม่ 

1.2) แม่บ้านชาวญี่ปุ่น หลังจากแต่งงานมาแล้ว จะเปลี่ยนนามสกุลทันทีตามผู้ชาย และต้องลาออกจากงานประจำมาเป็นแม่บ้านเต็มตัว งานทุกอย่างในบ้าน พวกเธอต้องทำหมด ตั้งแต่สากกระบือยันเรือรบ ซื้อของ ทำกับข้าว แม้แต่ค่าใช้จ่ายในบ้าน พวกเธอยังต้องดูแล และบางครั้งก็จะจับกลุ่มเม้าส์มอยกับแม่บ้านใกล้ๆ กันเมื่องานเสร็จ

1.3) นางเอก AV ถ้าใครถามคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะผู้หญิง ด้วยคำว่า "ขอโทษนะครับ คุณมีเพื่อนหรือคนรู้จักเคยถ่าย AV บ้างไหม ?" คำตอบที่ได้กลับมาคือ สีหน้าเธอจะเปลี่ยน และเธอจะโกธรคุณมาก และจะไม่ยอมคุยกับคุณสักระยะ อย่างน้อยสุดก็ 2-3 วัน และที่น่าตกใจคือ เธอจะกลับมาให้คำตอบกับคุณทีหลังว่า "เคย อยากดูซีดีของเพื่อนเธอไหมล่ะ " !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เธอคงอยากจะตอบให้คุณให้หายข้องใจ หรือที่ว่า "ถ้านายอยากรู้นัก ฉันก็จะตอบให้" 555+


โตเกียว (ชั่วโมงเร่งด่วน)

ทางเท้า โตเกียวคือเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น เมื่อเทียบพื้นที่ 180 ตารางกิโลเมตร ถ้าในอเมริกา คนจะอยู่ได้ 1 คน แต่เมื่ออยู่ที่ญี่ปุ่นจะอยู่ได้ 11 คน ทุกๆ ชั่วโมงเร่งด่วน คนญี่ปุ่นจะข้ามถนนพร้อมกัน 3,000 คน คนต่างชาติที่หลงอยู่ในนั้น ยังต้องงงว่า ตกลงจะเดินไปกับใครดีหว่า เดินแบบเหมือนฝูงปลาแหวกว่ายกันกลางถนน ไม่รู้ทิศทาง ทางที่ดีคือ มีแผนที่ ที่ช่วยคุณได้

ทางรถไฟฟ้า ชั่วโมงเร่งด่วนในรถไฟฟ้า ถ้าใครจะไปเที่ยวในญี่ปุ่น กรุณาหลีกเลี่ยงที่จะนั่งรถไฟฟ้าในชั่วโมงเร่งด่วนของที่นีjจะดีกว่ามาก เพราะคนจะหนาแน่นเบียดเสียดอย่างกับปลากระป๋องยัดขวด ยัดกันแบบนั้นเกือบ 30 นาที หายใจไม่ออก เผลอๆ อาจจะโดนเหยียบเท้าจนบวมเที่ยวไม่สนุกกันไปเลยทีเดียว ยิ่งเป็นผู้หญิงขอให้ระวังพวกโรคจิตจะจับก้นคุณได้ซะดื้อๆ


อาหารการกิน 

ญี่ปุ่นมีอาหารทุกประเภท แต่ผลิตในประเทศแค่ร้อยละ 40 จำต้องนำเข้าส่วนหนึ่ง ชาวญี่ปุ่นกินได้เท่าที่อยากกิน และทิ้งเท่าที่กินไม่หมด จึงมีของเสียจากอาหารกว่า 23 ล้านตันต่อปี มากกว่า 4 เท่าของอาหารที่จะกินในแต่ละปี ในจำนวนนี้ของอาหารที่กินไม่หมด จะถูกส่งไปให้ประเทศที่ยากจน 5.9 ล้านตันต่อปี และส่วนใหญ่จะเป็นอาหารจำพวกสำเร็จรูป

น้ำ แม้ญี่ปุ่นจะเป็นเกาะ และมีน้ำดื่มพอเลี้ยงประชากรของประเทศได้เหลือเฟือ แต่ยังนำเข้าน้ำแร่จากยุโรป 580,000 กิโลลิตรทุกปี หรือประมาณ 1,160 ล้านขวดต่อปี (รวยกันจริงๆ ประเทศนี้)

ซูชิ สายพานซูชิตอนนี้มีทุกอย่างของอาหารญี่ปุ่น ทั้งซูชิ เนื้อย่าง พุดดิ้งด้วย ไม่รู้ทำไม เนื้อปลาทูน่าทั้งหมด 1.9 ตันทั่วโลก แต่ชาวญี่ปุ่นชาติเดียวก็บริโภค 710,000 ตันต่อปี หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของเนื้อทูน่าที่ประชากรทั้่วโลกบริโภค จึงทำให้ปลาทูน่าเป็นปลาที่จะถูกจัดเป็นปลาทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ในเร็วๆ นี้ ไม่เฉพาะทูน่า ยังมีวาฬ และปลาทะเลอื่นๆ เริ่มใกล้จะหมดไปในทะเลชายฝั่งประเทศญี่ปุ่น เพื่อรู้การณ์ถึงอนาคตจะไม่มีปลากิน รัฐบาลเลยส่งเสริมการเพาะเลี้ยงปลาทูน่าและปลาต่างๆ ในกระชังทั่วทั้งเกาะญี่ปุ่น และชาวญี่ปุ่นยังใช้ตะเกียบ 23,000 ล้านคู่ต่อปี หรือคนละ 200 คู่ต่อปี ซึ่งมากว่าชาวจีนถึง 3 เท่า




 

Create Date : 01 ตุลาคม 2556   
Last Update : 1 ตุลาคม 2556 20:35:03 น.   
Counter : 1304 Pageviews.  

“กุยบุรี” ซาฟารีเมืองไทย ช้างเยอะ กระทิงแยะ/ปิ่น บุตรี

                                           ป่ากุยบุรีสามารถพบเห็นช้างป่าได้ทั่วไป ช้าง เป็นสัตว์ประชาติไทย 

แต่ใครและใครหลายคนต่างอดน้อยใจแทนช้างไทยไม่ได้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้กระแส “แพนด้าฟีเวอร์”ได้บดบังรัศมีช้างไทยจนมิด ชนิดที่เจ้าของปางช้างบางคนถึงขนาดต้องนำช้างมาทาสีขาว-ดำให้คล้ายแพนด้า เพื่อประชดต่อความเป็นไปของสังคมไทย

       มาวันนี้แม้กระแสแพนด้าเงียบหาย(และจะถูกส่งกลับเมืองจีนอีกไม่นาน) แต่สถานการณ์ช้างไทยก็ไม่ได้ดีขึ้น

       ช้างบ้านเรายังคงถูกฆ่า ถูกทำร้าย ปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง

       อย่างไรก็ดีในข่าวร้าย ข่าวลบ เกี่ยวกับช้างไทย ก็ยังมีข่าวด้านดี ด้านบวก ของช้างไทยให้ชื่นใจกันบ้าง โดยหนึ่งในนั้นก็คือสถานการณ์ช้างไทยที่ “อุทยานแห่งชาติกุยบุรี” จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่วันนี้ถูกยกให้เป็น “ซาฟารีเมืองไทย”  

         ในอดีตเมื่อช้างป่ากุยบุรีขาดแคลนแหล่งอาหาร มันจึงเลือกลงไปกินสับปะรดของชาวบ้านจนเกิดเป็นปัญหาขึ้นมา 

กุยบุรีโมเดล

“...ช้างป่าควรอยู่ในป่า เพียงแต่ต้องทำให้ป่านั้นมีอาหารช้างเพียงพอ การปฏิบัติคือ ให้ไปสร้างอาหารช้างในป่าเป็นแปลงเล็กๆ และกระจาย กรณีช้างป่าออกมาที่ชายป่า ต้องให้ความปลอดภัยกับช้างป่า...”

       พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2542 ต่อการจัดการความขัดแย้งคนกับช้างป่า อุทยานแห่งชาติกุยบุรี

       พระราชดำรัสข้างต้นถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อการแก้ปัญหา บริหารจัดการความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่าแห่งผืนป่ากุยบุรี ซึ่งเดิมผืนป่าแห่งนี้มีความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่าสูงมากเพราะหลังจากผืนป่ากุยบุรีถูกทำลายเรื่อยมากว่า 60 ปีเพื่อใช้เป็นพื้นที่ปลูกสับปะรด ทำให้แหล่งอาหาร แหล่งหากินของสัตว์ป่าถูกทำลายลดน้อยถอยลง

สภาพป่ากุยบุรีในปัจจุบัน

       โดยเฉพาะในช่วงปี 2525-2528 เมื่อไร่สับปะรดรุกคืบผืนป่าอย่างหนัก ขยายเขตไปกินพื้นที่ป่าสงวนกุยบุรี(ยุคนั้นยังไม่ได้จัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติกุยบุรี) ช้างป่าที่ขาดแคลนแหล่งอาหารก็ออกจากป่าลงมาหากินสับปะรดตามไร่ของชาวบ้าน แถมพวกมันยังติดใจในรสชาติความหวานอร่อย ทำให้ช่างป่ากุยบุรีจำนวนมาก เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน หันมาเลือกกินสับปะรดของชาวไร่แทน จนชาวบ้านหลายคนแทบสิ้นเนื้อประตัวจากการถูกช้างป่ายกโขลงลงมากินสับปะรดในไร่ เพราะสิ่งที่พวกเขาเฝ้าเพียรปลูกมา ถูกโขลงช้างถล่มกินหมดสิ้นเพียงชั่วข้ามคืน

       นั่นจึงเกิดหนังชีวิตเรื่องราวความขัดแย้ง การเผชิญหน้าระหว่างคนกับช้างป่าเรื่อยมา มีช้างป่าถูกฆ่าตายไปหลายตัว ทั้งการวางยา ช็อตไฟฟ้า ยิง ฆ่า เผานั่งยาง ขณะที่ชาวบ้านที่ไม่ได้ฆ่าช้างนั้นพอตกกลางคืนก็ต้องเล่นเอาล่อเอาเถิดหาวิธีสารพัดมาไล่ช้างป่าไม่เป็นอันหลับอันนอน เสียสุขภาพไปตามๆกัน เพราะแรกๆช้างจะกลัวต่อวิธีการไล่รูปแบบใหม่ๆ แต่เมื่อพวกมันชินก็จะกลับลงมาถล่มไร่เหมือนเดิม 

ช้างป่า(ปูน)จำลอง จุดถ่ายรูปคู่ของนักท่องเที่ยว

       ความนี้เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ พระองค์ท่านจึงได้พระราชทานแนวพระราชดำริเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว อันเป็นที่มาของ“โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพป่า บริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ในปี พ.ศ. 2541

       พ่อหลวงของเราทรงให้แนวทางการแก้ปัญหาด้วยการฟื้นฟู สร้างความสมบูรณ์ให้กับผืนป่า ใช้วิธีการปลูกป่าแบบไม่ต้องปลูก คือให้ผืนป่าฟื้นตัวตามธรรมชาติ ที่สำคัญคือต้องสร้างแหล่งน้ำแหล่งอาหารให้กับช้างป่า สัตว์ป่า ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโป่งเทียม ปลูกพืชอาหารสัตว์ แหล่งน้ำของสัตว์

       ขณะที่ในส่วนของชาวบ้าน ชาวไร่ก็ช่วยเหลือด้วยการสร้างอ่างเก็บน้ำสำหรับเพาะปลูก ส่งเสริมพัฒนาอาชีพ เน้นความร่วมมือในทุกภาคส่วน โดยมีพระราชดำรัสที่หยิบยกมาข้างต้นเป็นดังจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผู้เกี่ยวข้องได้ฉุกคิด พิจารณา และน้อมนำพระราชดำรัสดังกล่าวมาเป็นแนวทางทั้งระยะสั้นและระยะยาวในการอนุรักษ์ช้างป่าและสัตว์ป่าอื่นๆในผืนป่ากุยบุรี ซึ่งต่อมาภายหลังได้เรียกว่า “กุยบุรีโมเดล” 

ช้างป่ากุยบุรีออกหากินยามเย็น

       กุยบุรีโมเดลประสบผลสำเร็จอย่างสูง สามารถลดความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่าลงไปมากโข ช้างป่ามีปริมาณเพิ่มมากขึ้นแต่ปริมาณการทำลายพืชไร่ของช้างป่ากลับลดลง ในขณะที่ปริมาณกระทิง และสัตว์ป่าอื่นๆก็เพิ่มขึ้น พบสัตว์ผู้ล่าอย่างเสือโคร่ง เสือดาวหรือเสือดำ อีกทั้งยังได้พบกับสัตว์ป่าหายาก สัตว์ป่าสงวน และสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ของโลกภายในพื้นที่อีกด้วย

       นอกจากนี้กุยบุรีโมเดลยังเปลี่ยนทัศนคติของชาวบ้านแถบนั้นจำนวนมากที่มีต่อช้างป่า อีกทั้งยังก่อให้เกิดกิจกรรมท่องเที่ยวในพื้นที่สร้างรายได้เสริมให้กับชาวบ้าน ที่นี่เด่นมากในเรื่องของกิจกรรมชมช้างป่า กระทิง และสัตว์ป่าอื่นๆ ซึ่งเหมาะสมกับฉายา“กุยบุรี ซาฟารีเมืองไทย” ที่ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)ชูให้เป็น 1 ใน 10 แหล่งท่องเที่ยว ที่น่ามหัศจรรย์ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 

กุยบุรีโมเดลช่วยฟื้นฟูป่ากลับมา ทำให้ช้างป่าไม่ต้องลงไปกินพืชไร่ของชาวบ้าน

ซาฟารีเมืองไทย 

       ผมไปป่ากุยบุรีครั้งแรกเมื่อกว่า 15 ปีที่แล้ว ตอนนั้นปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างยังดุเดือด แถมแนวทางแก้ปัญหาก็ดูมืดมนตีบตัน ไม่รู้ว่าช้างป่าจะต้องตายไปอีกกี่ตัว ไร่สับปะรดของชาวบ้านจะต้องเสียหายจากการถูกช้างป่าลงกินบุฟเฟ่ต์กลางดึกอีกเท่าไหร่

       หนังชีวิตเรื่องนี้แม้ยังไม่จบ แต่การกลับไปกุยบุรีของผมหนล่าสุดนี้ ดูเหมือนปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างจะคลี่คลายลงไปมาก 

น้องมายด์ : จุฑามาศ ณ ตะกั่วทุ่ง” ไกด์(น้อย)อาสา

       วันนั้นผมกับเพื่อนๆไปถึงอุทยานแห่งชาติกุยบุรีช่วงประมาณเกือบ 4 โมงเย็น พวกเราไปเจอกับคนขับรถพาชมสัตว์ตามที่นัดแนะไว้ โดยมี “น้องมายด์ : จุฑามาศ ณ ตะกั่วทุ่ง” ไกด์(น้อย)อาสามาเป็นผู้ช่วยนำชม

       น้องมายด์บอกกับผมว่า ปัจจุบันช้างป่าที่กุยบุรีประมาณ 230 ตัว (ราวๆ 20 ฝูง) และมีกระทิงประมาณ 150 ตัว ซึ่งเพิ่มขึ้นมากจากในอดีต เพราะจากข้อมูลที่ผมอ่านเจอ ในปี 2547 พบว่าที่ป่ากุยบุรีมีช้างป่าประมาณ 160 ตัว และกระทิงประมาณ 60 ตัว

       สำหรับจุดชมช้าง กระทิง ในอุทยานฯ มี 3 จุดหลักๆ คือ จุดโป่งสลัดได จุดหน่วยป่ายาง และจุดหน้าผา แต่เราสามารถพบเห็นช้างออกหากินได้ทั่วไปในระหว่างทาง

รถกระบะชาวบ้าน พานำชมช้างป่า กระทิง

       จากนั้นเมื่อทุกคนพร้อม รถกระบะได้ออกแล่นพาเรานั่งไปไปตามเส้นทางที่ทางอุทยานฯจัดไว้ โดยระหว่างทางมีเจ้าหน้าที่อุทยานฯที่ขับมอเตอร์ไซค์ล่วงหน้ามาจอดรอตรงทางแยกแห่งหนึ่ง พร้อมกับชี้ให้ดูช้างป่า 2 ตัวกำลังออกหากิน

       เพียงเห็นแค่นี้ก็ถือว่าสร้างความตื่นเต้นให้กับผมไม่น้อยแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเจ้าช้าง 2 ตัวนี่มันจะแค่มาหยั่งเชิง ดูต้นทางเท่านั้น เพราะสักพักก็มีช้างอีกหลายตัวเดินตามกันมาเป็นโขลง แถมมีลูกช้างน่ารักเดินตามมาอีก 2-3 ตัว 

ช้างป่ากับลูกน้อยที่พบระหว่างทาง

       นี่คือความประทับใจครั้งแรกต่อช้างป่าของทริปนี้ที่ผมเจอ และถือเป็นการเจอช้างป่าที่เยอะที่สุดในวันนั้น เพราะหลังจากนั้นก็เจอช้างออกหากินให้เห็นกันจะจะๆ ใกล้ๆ อีก 2-3 จุด รวมไปถึงกวาง และเนื้อทรายที่เดินโชว์เขาสวยของมัน

       น้องมายด์ให้คำแนะนำว่า การเจอช้างใกล้แบบนี้ ต้องตื่นตัวและสังเกตดีๆ เพราะช้างบางตัวมันดุ ถ้าหากมันออกอาการหูตั้ง มองตรงมา รถต้องรีบแล่นออกทันที เพราะนี่คืออาการเตรียมชาร์ตของเจ้าช้างป่าตัวนั้น 

นักท่องเที่ยวมาเฝ้ารอชมช้างป่าที่จุดหน้าผา

       หลังจากพบเจอช้างแบบโชคช่วยในระหว่างทางแล้ว พวกเราก็ไปเฝ้าที่บริเวณจุดหน้าผา ซึ่งเป็นจุดชมช้างป่า กระทิง มีลักษณะเป็นหน้าผาเตี้ยๆ มองออกไปเบื้องหน้าเป็นแนวป่าละเมาะ ถัดไปเป็นทุ่งหญ้ากว้าง มีฉากหลังเป็นขุนเขา นับเป็นจุดที่มีวิวทิวทัศน์ที่งดงามไม่น้อย แต่ประทานโทษ!!! ที่จุดหน้าผาในเย็นวันนั้น หลังเฝ้ารออยู่นานสองนาน เวลาก็ปาเข้าไป 5 โมงกว่า แต่ที่นี่ไม่มีวี่แววช้างหรือกระทิงสักตัวมาอวดโฉมให้เห็น 

เนื้อทรายออกหากินแถวหน่วยฯป่ายาง

       อย่างไรก็ดีความหวังเรายังไม่หมด เมื่อได้รับวิทยุแจ้งจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ว่า ได้ยินเสียงกระทิงดังอยู่แถวจุดโป่งสลัดได งานนี้เล่นเอาทุกคนหูผึ่ง พี่คนขับรีบนำพวกเราไปคอยท่ายังจุดนั้น ซึ่งเมื่อไปถึงผมเห็นเพียงทุ่งหญ้าป่าเขา ส่วนเจ้าหน้าที่ยืนยิ้ม บอกกระทิงเริ่มลงมาแล้ว พร้อมชี้ให้ดูจุดดำลิบๆใต้ต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปนับร้อยเมตร เห็นจุดดำๆ 2-3 จุด ค่อยๆเคลื่อนไหว

       จากนั้นเพียงอึดใจชั่วหม้อข้าวเดือด จุดดำๆค่อยๆเพิ่มทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว มองเห็นกระทิงฝูงใหญ่ขนาดใหญ่หลายสิบตัว ค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากดงไม้ เดินและเล็มทุ่งหญ้าอย่างคุ้นเคย กระทิงฝูงนี้พี่เจ้าหน้าที่บอกเป็นกลุ่มกระทิงฝูงใหญ่สุดในผืนป่ากุยบุรีมีประมาณ 80 กว่าตัว(ที่นี่มีกระทิงอยู่ 3 ฝูงด้วยกัน)

กระทิงเริ่มทยอยออกหากิน

       ระหว่างที่ผมยืนดูกระทิงนับสิบหากินอยู่เพลินนั้นๆ เบื้องบนท้องฟ้ามีเสียงนกแก๊กร้องดังสนั่น พร้อมๆกับมีนกแก๊กฝูงใหญ่ร่วม 30-40 ตัวค่อยๆบินผ่านหน้าไปเป็นแถวยาว นี่นับเป็นภาพที่ชวนประทับใจไม่น้อย เพราะเบื้องบนเห็นนกแก๊ก เบื้องล่างเห็นกระทิง ส่วนเบื้องหลังก็ไม่มีกระเทยมาคอยยืนให้หวาดเสียวเล่น

ฝูงกระทิงพร้อมลูกน้อย

       หลังนกแก๊กบินผ่านไปความตื่นเต้นยังมีอยู่เมื่อ เจ้าหน้าที่บอกว่าเห็นวัวแดง 1 ตัว มาออกหากินร่วมฝูงกับกระทิงด้วย วัวแดงตัวนี้เป็นตัวผู้มีสีดำกลืนไปกับกระทิง(วัวแดงตัวเมียจะมีสีแดงน้ำตาล) แต่จุดสังเกตคือตอนที่มันหันก้นมา จะเห็นเป็นวงหรือแพมเพิสสีขาว เหมือนดังการประกาศศักดาให้รู้ว่า ข้าคือวัวแดง ไม่ใช่กระทิง ก่อนที่มันจะเดินหากินกลมกลืนไปกับฝูงกระทิงแบบไม่สนใจมนุษย์ที่ยืนดูมันอยู่ลิบๆ ก่อนที่แสงแดดจะลาลับไปทำให้พวกเราต้องตัดใจล่ำลาจากพวกมัน แล้วออกจากป่าก่อนค่ำมืด เพื่อความปลอดภัย

วัวแดงก็มา

       ครับและนี่ก็คือเสน่ห์ของผืนป่า“กุยบุรี ซาฟารีเมืองไทย” ที่ผมขอยกให้นี่เป็นหนึ่งในจุดชมสัตว์ป่าที่ดีที่สุดในเมืองไทย เพราะนอกจากในพื้นที่จะมีช้างป่า กระทิง และสัตว์ป่าอื่นๆชุกชุมให้ชมแล้ว ที่นี่ยังมีการบริหารจัดการที่ดี มีเจ้าหน้าที่คอยลาดตระเวน และประจำตามจุดต่างๆที่ช้างมักออกหากิน เมื่อช้างหรือกระทิงออกตรงจุดไหน จนท.ก็จะวิทยุแจ้งกับคนขับรถนำเที่ยวมาเฝ้าดูบริเวณนั้น นั่นจึงทำให้โอกาสเจอช้างป่าและกระทิงของนักท่องเที่ยวมีมากถึง 70-80% แต่จะเจอมากเจอน้อยนั้นอีกเรื่องหนึ่ง 

เมื่อเห็นว่าปลอดภัย ฝูงกระทิงจะทยอยกันออกมาเลาะเล็มหญ้าหากิน

       บางคนโชคดีมากเจอช้างในหลักร้อย บางคนเจอหลักสิบ บางคนเจอหลักหน่วย และบางคนที่ดวงแตกไม่เจอช้างเลยสักตัวก็มี แต่ถึงยังไงที่นี่ก็ยังมีครอบครัวช้างปูน พ่อ-แม่-ลูก ยืนเด่นอยู่ที่ป้ายปากทางเข้า-ออกจุดตระเวนชมสัตว์ให้ดูเป็นการย้อมใจแบบเซ็งในอารมณ์พอสมควร

       ส่วนใครที่คิดว่าที่นี่มีแรด เพราะเคยได้ข้อมูลว่าเมื่อเร็วๆนี้มีแรดโผล่ที่ป่ากุยบุรีนั้น ผมก็ขอยืนยันอีกหนึ่งเสียงว่านั่นเป็นความเข้าใจผิด ที่กุยบุรีแม้จะมีช้างเยอะ กระทิงแยะ และมีสัตว์อื่นๆอีกมากหลาย

แต่ที่นี่ไม่มีแรด!!!ตามข้อมูลที่แชร์กันสนั่นเฟซบุ๊คแต่อย่างใด  

กระทิงฝูงใหญ่ที่สุดในผืนป่ากุยบุรี

       *****************************************
อุทยานแห่งชาติกุยบุรีประกาศจัดตั้งในปี พ.ศ. 2542 เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 90 ปัจจุบันมีเนื้อที่ 605,625 ไร่ หรือประมาณ 969 ตารางกิโลเมตร นอกจากช้างป่า และกระทิง ที่นี่ยังมีสัตว์ป่าอื่นๆชุกชุม โดยมีสัตว์น่าสนใจ อาทิ วัวแดง เสือโคร่ง เสือดาว เสือดำ หมาไม้ หมาไน เก้ง กวาง กระจง เนื้อทราย สมเสร็จ หมูป่า เม่นใหญ่ เป็นต้น นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นจุดดูนก มีนกแก๊กจำนวนมากให้ชม เป็นจุดดูผีเสื้อ อีกทั้งยังมีน้ำตกและเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้ผู้สนใจได้ออกเดินป่าทัศนาธรรมชาติ 

สำหรับผู้ที่ต้องการดูช้างป่า กระทิง สามารถติดต่อเช่ารถกระบะ(ของชาวบ้าน)ได้ในราคาคันละ 800 บาท(ราคา ณ เดือน ก.ย. 56) นั่งได้ประมาณ 8-10 คน หากใครจะขับรถชมสัตว์ป่าด้วยตัวเอง ต้องเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยเสียคันละ 100 บาท สำหรับค่าไกด์ท้องถิ่นพาชม และประสานงานกับเจ้าหน้าที่เวลาช้าง กระทิง ออก 

15.00-18.00 น. คือช่วงเวลาที่เหมาะสมในการออกชมช้างป่าและกระทิง

กิจกรรมชมสัตว์ป่าสามารถชมได้ตั้งแต่เวลา 09.00 -18.00 น. แต่เวลาที่ดีที่สุดจะอยู่ในช่วง 15.00 - 18.00 น. ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานฯกุยบุรี โทร. 0-3264-6292 และสามารถสอบถามข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆเชื่อมโยงกับอุทยานฯกุยบุรี ที่พัก ร้านอาหาร การเดินทางได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ โทร. 0-3251 3885, 0-3251-3871, 0-3251-3854

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของผู้จัดการท่องเที่ยว Travel @ Manager on Facebook รับข่าวสารทั้งเรื่องกินเรื่องเที่ยวแบบรวดเร็วทันใจ และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!!

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com

สุดยอดครับ หาไม่ได้อีกแล้ว ภูมิใจกับชาวกุยบุรีครับ สัตว์ป่าควรเป็นสมบัติของโลกเลยครับดีใจ กะ เยาวชน และ ชาวกุยบุรี ที่ช่วยกัน อนุรักษ์ ผืนป่าและสัตว์ป่า ให้เป็นธรรมชาติ และ อยู่ร่วมกันได้ ทุกสิ่งที่มีชีวิต ภูมิใจมากๆ อยากให้ คนภาคอื่นๆ รักษ์ และ เข้าใจธรรมชาติ ของตน ว่ามีคุณค่า มหาศาล

ที่มา: ขอขอบคุณเอเอสทีวี




 

Create Date : 29 กันยายน 2556   
Last Update : 29 กันยายน 2556 9:15:34 น.   
Counter : 2739 Pageviews.  

สุดน่ารัก ลูกหมีแพนด้าแรกเกิดนับสิบที่เมืองจีน

ซึ่งเป็นลูกๆแพนด้าสุดน่ารัก 14ตัว ที่ศูนย์เพาะพันธ์แพนด้า เฉินตู 

Giant panda cubs lie in a crib at Chengdu Research Base of Giant Panda Breeding in Chengdu, Sichuan province

Pleased to meet you! These pandas were all laid out with their fellow newborns

Make room for me! The pandas, which are practically blind when born, all snuggle together

Fourteen new joiners to the 128-giant-panda-family at the base were shown to the public today

The Chengdu Panda Base was founded in 1987 with six giant pandas rescued from the wild and today has increased their captive population

Panda cubs lie on a bed for members of the public to view at Chengdu Research Base for Giant Panda Breeding

Nap time: In 2013 twenty Panda cubs were born, with 17 of those cubs surviving

Breeders take care of giant panda cubs inside a crib at Chengdu Research Base




 

Create Date : 24 กันยายน 2556   
Last Update : 24 กันยายน 2556 18:05:58 น.   
Counter : 2415 Pageviews.  

เอิ่มม...กาแฟจากมูลช้าง ราคาสูงด้วยนะเนี่ยหนอ






















 

Create Date : 22 กันยายน 2556   
Last Update : 22 กันยายน 2556 10:42:27 น.   
Counter : 1128 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  

เหมียวกุ่ย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




ยินดีต้อนรับพี่ๆน้องๆทุกท่านเข้าเยี่ยมชม เว็บบล็อคแห่งนี้ หวังว่าทุกท่านจะมีความสุขในการชมบล็อคของกระผมนะครับ










View My Stats
New Comments
[Add เหมียวกุ่ย's blog to your web]