ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บบอร์ด Thailand Aquatic Pets เว็บบล็อคสำหรับ คนรักสัตว์น้ำ ( และ สัตว์ที่อยู่ในน้ำ ) ประเทศไทยจ้า

สุมาอี้ ผู้ชนะทุกก๊ก !!!!

           พูดถึง"สามก๊ก"..บางคน"ลืม"ไปแล้วว่า สุดท้ายของการสู้รบ ใครชนะ !!!

           คำตอบของสุดยอดวรรณกรรมโลกของจีนเรื่องนี้ มีประโยคหนึ่งสรุปได้ชัดเจน นั่นคือ .."เล่า โจ ซุน ต่อสู้แย่งชิงกันไปชิงกันมา สุดท้ายสุมาได้ครองแผ่นดิน”

           ใช่แล้วครับ...สุดท้าย"สุมา" ได้ครองแผ่นดิน และชายผู้ชนะทุกก๊กก็คือ สุมาอี้ ...

           วิกิพีเดีย..เขียนถึง"สุมาอี้"..ไว้ว่า

          "สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้ (Sima Yi) (ค.ศ. 179-251) เป็นบุตรชายคนรองของสุมาฮอง ผู้ว่าการแห่งนครหลวงลั่วหยาง เป็นชาวอำเภออุน เมืองเหอเน่ย ( โห้ลาย ) มณฑลเหอหนาน มีชื่อรองว่า "ชงต๊ะ" มีลักษณะ แววตาแหลมเล็กคล้ายตาเหยี่ยว เป็นคนเฉลียวฉลาด ชำนาญตำราพิชัยสงคราม สุมาอี้เริ่มต้นจากการรับราชการตำแหน่งเล็กก่อนที่จะไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งเสนาธิการและแม่ทัพ อย่างไรก็ตาม ความสุขุมลุ่มลึกของสุมาอี้นั้น ทำให้แม้แต่โจโฉยังไม่ไว้วางใจ และเคยเตือนบุคคลรอบข้างให้ระวังสุมาอี้ เมื่อโจโฉและโจผีสิ้นลง โจยอยได้ขึ้นครองราชย์ สุมาอี้ได้รับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของวุยก๊ก และเป็นคู่ปรับคนสำคัญของขงเบ้ง.."

           ใช่แล้วครับ..หลัง"จิวยี่"เสียชีวิต คนที่ขงเบ้งต้องต่อกรและพ่ายแพ้จน"ตรอมใจตาย"ก็คือ"สุมาอี้"คนนี้แหละ

           "สงคราม"ระหว่างขงเบ้งกับสุมาอี้นั้น มีหลายครั้งหลายตอนที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ โดยครั้งหนึ่ง สุมาอี้เกือบตายเพราะแผนขงเบ้งที่หลอกกองทัพของสุมาอี้ไปใน"หุบเขาน้ำเต้า" โดยหวังจะสังหารสุมาอี้ทั้งกองทัพด้วยการคลอกไฟ พร้อมระเบิดภูเขาให้ถล่มทับทั้งหมด และทุกอย่างสำเร็จผล เมื่อสามารถลวงกองทัพสุมาอี้ไปในหุบเขาสำเร็จ แต่สุดท้าย...

           "คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต"..เพราะระหว่างที่ดินระเบิดกำลังถล่มกองทัพของสุมาอี้นั้น ก็เกิดฝนตกหนักจนดับไฟ

           สุมาอี้..จึงรอดตายเพราะสวรรค์เป็นใจ และกลับมารบจนชนะขงเบ้งถึงขั้น"จนมุม" ที่จุดยุทธศาสตร์เกต๋ง แต่กลับไม่ชนะเด็ดขาด เพราะเจอเกมลักไก่ของขงเบ้ง ที่"ขึ้นไปนั่งบนกำแพงแกล้งตีขิม พยักยิ้มให้ข้าศึกนึกฉงน" พร้อมเปิดประตูเมือง จนสุมาอี้ระแวงแล้วไม่กล้าบุกทัพเข้าไป ...ขงเบ้งจึงรอดตายในศึกนั้น

           แต่สุดท้าย ขงเบ้งก็ต้องตรอมใจตายเพราะกลยุทธ์"ไม่รบด้วย" แต่ยังสร้างหุ่นหลอกสุมาอี้จนแตกทัพ โดยเจ้าตัวยอมรับว่า"ข้าพเจ้าไม่เคยแพ้คนเป็น แต่ต้องแพ้คนตาย"

ขงเบ้ง ..คู่ปรับตลอดกาลของสุมาอี้

           น่าเสียดายที่หนัง"โจโฉแตกทัพเรือ" ไม่มีสุมาอี้ !!!

           เหตุการณ์นั้น เกิดขึ้นเมื่อ"สุมาอี้"ยอมมาเป็นขุนนางในกองทัพของ"โจโฉ"ในสถานะ"มหาอุปราช" ซึ่งเมื่อทำสงครามปราบปรามอ้วนเสี้ยวทางภาคเหนือสำเร็จจนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ควบคุมแผ่นดินภาคเหนือและกลางของประเทศได้ทั้งหมด โจโฉก็เตรียมตัวรุกลงใต้เพื่อรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว

           สุมาอี้เป็นคนเดียวที่ค้าน ในฐานะ"เสนาธิการทหาร"ของโจโฉ !!!

           "สุมาอี้"อธิบายว่า ตระกูลซุนแห่งง่อก๊ก ที่ปกครองภาคใต้นั้น มีความเข้มแข็ง และมีชัยภูมิดี ยากแก่การตีแตกได้ง่าย และที่สำคัญก็คือ กองทัพโจโฉก็เพิ่งจะปราบอ้วนเสี้ยวลงได้ ดังนั้น แม้จะอยู่ในช่วงฮึกเหิม แต่พลรบที่ได้มาจากอ้วนเสี้ยว ก็ยังไม่พร้อมที่จะทำการรบใหญ่กับพวกที่มีความเชี่ยวชาญพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้ำของง่อก๊กได้

           แต่โจโฉก็ตัดสินใจยกทัพไป"เซ็กเพ็ก" หรือ"ผาแดง" เพราะที่ปรึกษาเก่าๆไม่ได้ทัดทานจนพ่ายแพ้กลับมา

           โจโฉก็ระแวงคนๆนี้มาโดยตลอด !!!

           ความจริงแล้ว โจโฉระแวงสุมาอี้ก่อนร่วมงานด้วยซ้ำ เพราะในปี ค.ศ.201 ขณะที่"สุมาอี้"มีตำแหน่งเป็น"ส้างจีหยวน"ในเมืองลำหยง "โจโฉ" ซึ่งเป็นซือคง(หัวหน้ากองโยธาธิการ) ของพระเจ้าเ...้ยนเต้ ได้ทำหนังสือมาเรียนเชิญสุมาอี้ ที่มีสายรายงานว่ามีสติปัญญา เดินทางไปเมืองฮูโต๋ เพื่อเลื่อนเป็นขุนนางใหญ่

           แต่สุมาอี้ปฏิเสธ ...อ้างว่า"ป่วย" โดยบอกนายทหารของโจโฉไปว่า "บัดนี้ข้อแลกระดูกเราผิดประหลาดไป แต่จะลุกเดินให้จำเริญใจเป็นที่สบายก็ไม่ได้ ซึ่งจะให้ไปเป็นขุนนางอยู่เมืองหลวงนั้นเห็นขัดสนนัก.." 

           โจโฉได้รับแจ้งก็โกรธและคิดว่าสุมาอี้ไม่ยินดีร่วมงานด้วย จึงให้มือสังหารเข้าไปลอบฆ่าสุมาอี้ และเมื่อนักฆ่าปีนเข้าไปในบ้านสุมาอี้ ก็ย่องเข้าไปห้องนอนสุมาอี้ แล้วแทงดาบใส่สุมาอี้ ขณะที่สุมาอี้ที่เชื่อว่าโจโฉไม่พอใจและคงให้ทหารมาทำจะสังหารตัวเพื่อดูว่าป่วยจริงหรือไม่ก็นอนเฉย มือสังหารจึงกลับไปรายงานโจโฉ

           อย่างน้อยนั่นทำให้โจโฉลดความระแวงลงไป..บ้าง ...แต่สุมาอี้ก็เพิ่มความระวังตัวมากขึ้น

           กระทั่งปี ค.ศ.208 ทั้งสองผู้ยิ่งใหญ่จึงได้ร่วมงานกัน

           ในปีนั้น โจโฉเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น"ไจเสี่ยง" หรือผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน จึงให้มีโองการไปให้สุมาอี้เข้ามาเป็นที่ขุนนางเหวินเซียะหยวน ที่เมืองฮูโต๋ โดยคราวนี้ โจโฉสั่งความคนใช้ว่าเมื่อไปยื่นหนังสือให้สุมาอี้แล้ว หากเจ้าตัวบิดพลิ้วไม่ยอมมา ก็ให้จับตัวเอามาจงได้ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย

           คราวนี้สุมาอี้เป็น"นกรู้" เชื่อว่าการเชิญตัวครั้งนี้ หากไม่ไปแบบ"คนเป็น"ก็ต้องไปแบบ"คนตาย" เพราะคราวนี้ โจโฉมีอำนาจใหญ่ในพระนครหลวง หากปฏิเสธจนโจโฉโกรธขึ้นมา ก็มีอำนาจสั่งตัดศีรษะในข้อหาขัดพระบรมราชโองการ สุมาอี้จึงออกจากเมืองโห้ลาย ไปเมืองฮูโต๋ รับราชการในตำแหน่ง"หวงเหมินซื่อหลาง"

           แม้จะมาอยู่ใกล้ตัว แต่โจโฉก็ระแวงสุมาอี้ตลอด ถึงขั้นสุมาอี้ต้องแกล้งป่วยเพื่อให้โจโฉวางใจ ถึงขั้นแกล้งยอมกินฉี่กินอึของตัวเองเพื่อแสดงว่า"บ้าจริง" จนโจโฉยอมเชื่อ แต่ก่อนตาย โจโฉก็ยังสั่งโจผี บุตรชายที่สืบทอดอำนาจว่า"อย่าให้สุมาอี้คุมทหาร"

           เมื่อโจโฉตาย ก็ถึงโอกาสที่สุมาอี้รอคอย...ไม่ว่าจะนานกี่ปี

           โจโฉตายในปี ค.ศ.220 "โจผี" บุตรชายคนโตขึ้นสืบทอดอำนาจต่อ และสถาปนาตัวเป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์วุยฮั่น ชีวิตของ"สุมาอี้" ดูเหมือนจะดีขึ้น เพราะเขาสนิทสนมกับโจผี ในฐานะที่ปรึกษาคนสนิทมาก่อน จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในคณะเสนาบดีที่คอยดูแลบ้านเมือง

           แต่โจผีครองราชย์ไม่ถึง 10 ปีก็สิ้นพระชนม์ "โจยอย" ก็สืบราชบัลลังค์ต่อ แต่เนื่องจากเป็นฮ่องเต้ที่ลุ่มหลงในสุราและนารี และปกครองบ้านเมืองแบบโหดเหี้ยม จนมีขุนนางและประชาชนเริ่มต่อต้านตระกูลโจ และเมื่อโจยอยประชวร ก่อนตายก็ได้ฝากฝัง"โจฮอง" บุตรชายอายุ 9 ขวบให้สุมาอี้ดูแล พร้อม"โจซอง" บุตรชายของ"โจจิ๋น" อดีตแม่ทัพใหญ่ พระญาติใกล้ชิดที่เหลืออยู่ให้คอยดูแลควบคู่กัน แต่"โจซอง" ระแวงว่า"สุมาอี้"จะทำการใหญ่ จึงลิดรอนอำนาจด้วยการเลื่อนยศเขาให้ไปเป็นราชครู ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงแต่ไร้อำนาจทางทหาร

           "สุมาอี้"รู้ตัว และ"ยอมรับ"พร้อมให้ลูกชาย 2 คนคือสุมาสูและสุมาเจียว ลาออกจากราชการฝ่ายทหารไปร่วมกันพัฒนาบ้านเมือง และกลายเป็นขวัญใจประชาชน พร้อมซ่องสุมกำลังคนไว้อย่างลับๆโดย"โจซอง"ไม่รู้เรื่อง

อนุสาวรีย์สุมาอี้ที่เมือง ganzhou

           "สุมาอี้"รอคอยนานถึง 8 ปีจึงลงมือ !!!

           กระนั้นก็ตาม แม้จะถอนตัวจาก"วัง"ไปทำงานเป็น"ข้าราชการพลเรือน"นานถึง 8 ปี แต่ในปี ค.ศ. 249 โจซอง ก็ได้ส่งคนของตนไปตรวจสภาพของสุมาอี้ ซึ่งเจ้าตัวรู้ว่าคนของโจซองมาเยี่ยมที่บ้าน ก็แกล้งทำเป็นป่วยหนัก จนสามารถหลอกให้โจซองตายใจ และมั่นใจว่าหมดเสี้ยนหนาม โจซองจึงยกกองทัพออกไปล่าสัตว์นอกเมือง พร้อมทูลเชิญฮ่องเต้โจฮองไปด้วย

           เมื่อทราบเรื่อง สุมาอี้จึงสบช่อง ยกกองทัพของตนที่ซ่องสุมไว้ประมาณ 3 พันคนลงมือทันที โดยให้"กุยห้วย" แม่ทัพคนสนิทที่เคยนำทัพสู้กับขงเบ้งที่กิสาน นำกำลังพลเข้าควบคุมสถานที่สำคัญในเมืองหลวง โดยได้รับความร่วมมือจากนายทหารคนเก่าแก่ที่เคยร่วมงานกัน และเมื่อควบคุมจุดสำคัญในเมืองหลวงได้หมด สุมาอี้ก็นำกำลังไปดักพวกโจซองไว้ที่หน้าเมือง แล้วให้สุมาสูและสุมาเจียว บุตรชายเข้าไปอัญเชิญประกาศกล่าวโทษโจซองจากไทเฮาถึงในตำหนัก เพื่อความชอบธรรมในการลงมือครั้งนี้

           โจซองทราบเรื่อง เตรียมนำทัพเข้าสู้กับสุมาอี้ แต่สุมาอี้ส่งทูตเจรจาว่าต้องการยึดอำนาจการทหารคืนเท่านั้น หากโจซองยอมมอบตัวก็จะให้อยู่ต่อไปอย่างสุขสบาย แต่นั่นเป็นคำลวง เพราะสุมาอี้รู้ว่า หากจะตัดรากต้องถอนโคน จึงสั่งประหารญาติตระกูลโจ 7 ชั่วโคตร 

           การยึดอำนาจครั้งนี้ ประชาชนไม่ได้ต่อต้านสุมาอี้ เพราะที่ผ่านมา ชาวบ้านถูกโจซองใช้อำนาจผ่านฮ่องเต้กดขี่ต่อประชาชน

           2 ปีต่อมา คือปี ค.ศ.251 สุมาอี้ก็ล้มป่วยและถึงแก่กรรมในวัย 72 ปี ก่อนที่สุมาเอี๋ยน หลานชายสุมาอี้ ได้ล้มล้างราชวงศ์วุยของตระกลโจ และขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์จิ้น นามว่า"พระเจ้าจิ้นหวู่ตี้" ในปี ค.ศ.265 

           และแผ่นดินจีนที่แตกเป็นสามก๊ก ก็ถูกรวมเป็นหนึ่งเดียวในปี ค.ศ. 280 ในปกครองของฮ่องเต้จากตระกูล"สุมา"


 เครดิต : //board.postjung.com/697886.html




Create Date : 11 สิงหาคม 2556
Last Update : 11 สิงหาคม 2556 9:23:21 น. 0 comments
Counter : 1945 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เหมียวกุ่ย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




ยินดีต้อนรับพี่ๆน้องๆทุกท่านเข้าเยี่ยมชม เว็บบล็อคแห่งนี้ หวังว่าทุกท่านจะมีความสุขในการชมบล็อคของกระผมนะครับ










View My Stats
New Comments
[Add เหมียวกุ่ย's blog to your web]