ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บบอร์ด Thailand Aquatic Pets เว็บบล็อคสำหรับ คนรักสัตว์น้ำ ( และ สัตว์ที่อยู่ในน้ำ ) ประเทศไทยจ้า

"10 อันดับ เรื่องลึกลับของโลกที่เราไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่"

10. Shanti Deva

ในปี 1930 ซานติ เทวี หญิงสาวอายุ 4 ขวบ จากนิวเดลี ประเทศอินเดีย ได้บอกพ่อแม่ของเธอว่า ชาติก่อนเธอเป็นแม่ลูกสาวที่ตายจากการคลอด โดยสามีของเธอคือเกฐานารถ ทั้งเธอและสามีอาศัยอยู่ในเมืองมัตทรา(หรือ Mathura)

ตอนแรกพ่อแม่ของเธอนึกว่าเป็นบ้า จึงพาเธอไปพบกับแพทย์ และเมื่ออยู่ต่อหน้าแพทย์เธอก็เล่าเรื่องของเธออย่างละเอียดยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการตั้งครรภ์ลูกคนแรก วัยที่เธอตายในระหว่างเด็กอยู่ในท้องเมื่อ 1925 ซานติได้รับการตรวจสอบจากแพทย์ถึง 6 คนด้วยกัน แต่ไม่มีแพทย์คนใดหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอได้เลย

อย่างไรก็ดีญาติของซานติเริ่มตรวจสอบสิ่งที่เธอเล่าโดยตามหาชายที่ซาติอ้าง ว่าเป็นสามีของเธอ ก่อนจะพบว่ามีชายคนที่ว่าอยู่เมืองมัตทราจริง และเขามีลูกสองคนจริง แต่ชายดังกล่าวไม่กล้าไปพบกับชาติภรรยากลับชาติมาเกิดของเขา เขาเลยส่งญาติไปและเมื่อญาติไปถึงซาติก็จำเขาได้ทันทีและเล่ารายละเอียด ต่างๆ เกี่ยวกับญาติคนนี้ ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าการระลึกชาติมีอยู่จริง  หากแต่กระนั้นครอบครัวของซานติ และครอบครัวของสามีชาติที่แล้วของซานติก็ไม่ได้เกี่ยวดองกัน หรือมีเรื่องกันแต่อย่างใด สุดท้ายซานติได้ใช้ชีวิตเด็กหญิงธรรมดาในชาติใหม่ของเธอจนถึงปัจจุบัน

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

9. Creepy Gnome

ในปี 2008 กล้องวีดีโอมีการจับภาพสิ่งมีชีวิตลึกลับในจังหวัด Salta ประเทศอาร์เจนตินาได้ ถ่ายทำโดย Jose Alvarez   โดยในหนังสือพิมพ์บอกว่า ตอนนั้นเขากำลังคุยกับเพื่อนในการเดินทางตกปลาครั้งล่าสุด มันเป็นตอนเช้า เขาเริ่มคุยโทรศัพท์มือถือในขณะที่คนอื่นๆ คุยและล้อเล่น ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนคนปาหิน เรามองไปที่มาของเสียง ก็พบว่าหญ้ามีการเคลื่อนไหว

ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามันคือสุนัข แต่เมื่อเราได้เห็นเจ้าของเสียงออกมาก็พบว่ามันน่ากลัวจริงๆ โดยคาดว่าสิ่งมีชีวิตที่จับภาพคือ โนมภูตขนาดเล็ก ที่มักปรากฎในนิทาน รูปร่างคล้ายคนแคระ ชอบอาศัยอยู่ในถ้ำคอยเก็บรักษาสมบัติล้ำค่า ต่อมาวีดีโอเทปนี้ถูกนำไปทำคลิปและถูกแพร่ไปตามเว็บต่างๆ และคุณสามารถดูคลิปไปที่นี้ 

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

8. Freddy Jackson’s Ghost

ภาพถ่ายผีที่น่าขนลุกนี้ถูกฝ่ายขึ้นในศตวรรษที่ 1919 ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1975 โดยเซอร์ วิกเตอร์ กอดดาร์ก นายทหารเกษียณอายุ ภาพถ่ายดังกล่าวมาจากการถ่ายหมู่ของทหารใต้บังคับบัญชาบนเรือ HMS กอดดาร์ดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งภาพนี้คงไม่โด่งดังไปทั่วโลก ถ้าในแถวบนสุดด้านหลังของทหารคนที่สี่จากซ้ายปรากฏร่างของชายลึกลับคนหนึ่ง ที่กำลังยิ้มยิงฟันขาวรวมอยู่ด้วย โดยผีนี้คาดว่าเป็นนาย เฟรดดี้ แจ๊คสันที่เพิ่งเสียชีวิตในปี 1919 อย่างกะทันหันจากใบพัดเครื่องบินไปเมื่อสองวันก่อน ว่ากันว่าวิญญาณแจ๊คสันอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองตายแล้ว จึงยังมาปรากฏตัวถ่ายรูปกับเพื่อนๆ......

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

7. Overtoun Bridge

“สะพานสุสานสุนัข” เป็นสะพานโค้งสร้างในปี 1859 ในมิลตัน, ดัมบาร์ดัน สก็อตแลนด์ ที่มันได้ชื่อฉายานี้เพราะอดีตที่ผ่านมามีสุนัขหลายตัวไปฆ่าตัวตายโดยการโดด จากสะพานแห่งนี้อย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่การศึกษาพบว่าสุนัขในแถบนั้นนั้นเริ่มมีพฤติกรรมฆ่าตัวตายโดยโดดจากสะพาน

เริ่มในช่วง 1950 หรือ 1960 เฉลี่ยหนึ่งตัวต่อหนึ่งเดือน(อาจสิบตัวต่อหนึ่งเดือน) โดยจุดที่กระโดดนั้นนำไปสู่ความสูงกว่าสิบห้าฟุตทำให้สุนัขตายทันที แม้สุนัขบางส่วนรอดก็จริงแต่มันก็กลับมากระโดดฆ่าตัวตายอีก และที่น่าสนใจคือสุนัขที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่จะเป็นสายพันธุ์ที่จมูกยาว(บนโลก จะมีสุนัขกี่ตัวที่จมูกสั้นหว่า??) ทำให้หลายคนเชื่อว่าสะพานนี้มีผีสิง และอาจเป็นคำสาปของเด็กคนหนึ่งที่ถูกโยนตกสะพานในปี 1994(และคนโยนก็มีพฤติกรรมอยากฆ่าตัวตายด้วย) และนอกจากนี้ยังมีคนเชื่อว่าสะพานแห่งนี้เป็นที่กั้นระหว่างโลกคนเป็นกับคน ตายซึ่งเป็นสายตรงหากจะข้ามไป ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้ได้รับความสนใจจากต่างประเทศ สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์ได้ส่งคนเข้ามาตรวจสอบ ก็พบว่าบริเวณนั้นเป็นผู้อยู่อาศัยของหนูและตัวมิงเยอะ

จากการตรวจสอบพบว่าพวกมันมีกลิ่นที่สุนัขไม่ชอบ และนี้คือสาเหตุที่ทำให้สนุขมีความคิดอยากฆ่าตัวตายหรือไม่นั้นก็ไม่สามารถ ตรวจสอบได้ มีแม้กระทั้งสารคดี 

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

6. An Unfinished Race

เป็นตำนานการหายตัวของเจมส์ โวสสัน(James Worson ) โดยตามตำนานเล่าว่าเขาเป็นช่างทำรองเท้าอยู่ใน Leamington Spa , Warwickshire , อังกฤษ

โดยมีพยานสำคัญสองคนคือแฮมเมอร์สัน เบิร์นส และบาร์แฮม ไวส์ เป็นคนรู้เห็นการหายไปของเขาครั้งนี้และไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไรกัน แน่?   วันนั้นเป็นวันที่ 3 กันยายน 1873 ชายสองคนดังกล่าวเป็นพยานให้แก่เจมส์ที่บอกว่าเขาสามารถวิ่งไม่หยุดจาก Leamington Spaไปโคเวนทรีที่อยู่ห่างระยะทางประมาณ 9 ไมล์โดยไม่เหนื่อยได้

โดยเขาขอพิสูจน์โดยการวิ่งในระยะทางดังกล่าว เขาเริ่มวิ่งพร้อมกับผู้ติดตาม(ขี่ม้าหลายคน)เพื่อตามมาดูดังกล่าว(เห็นว่า มาพร้อมช่างกล้องด้วย) ระหว่างแข่งเจมส์สะดุดล้มลง และจู่ๆ เขาก็ร้องไห้กรีดร้องอย่างน่ากลัว(พยานในเหตุการณ์วันนั้นบอกว่ามันเป็น เสียงกรีดร้องที่น่ากลัวที่สุดที่เขาเคยได้ยิน) และเขาหายไปอย่างลึกลับโดยไม่ยืน และไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย มีการจัดกำลังค้นหาเจมส์หลายครั้งแต่พวกเขาก็ไม่พบร่องรอยของเจมส์เลย

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

5. Devil’s Footprints

ในช่วงเช้าวันที่ 8-9 ในช่วงฤดูหนาวเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1855 มลฑลเดวอน ประเทศอังกฤษ

เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้ เมื่อแถบบริเวณแม่น้ำเอ็กซ์ มีรอยเท้าประหลาดปรากฏอยู่ทั่ว มันเป็นรอยเท้าที่พึ่งเหยียบมาใหม่ รูปร่างเหมือนรอยเท้าของลา ขนาดของมัน 4 นิ้ว กว้าง 2 นิ้วเศษ ลักษณะของรอยเท้านั้นมีทั้งด้านซ้ายและด้านขวาขนานกันไป รอยเท้าเดี๋ยว ๆ เท้าข้างหนึ่งเดินตามรอยของเท้าอีกข้างหนึ่งซึ่งเป็นแถวเดียว ระยะห่างของรอยเท้าแต่ละรอยก็เท่ากันหมด และรอยประหลาดเหล่านี้จะผ่านเส้นตรงกว่า 100 ไมล์ โดยผ่านไปยังสวนหลังบ้าน หลังคาบ้าน หรือลอมฟาง และกำแพงสูง

โดยอุปสรรคแต่ละเส้นทางที่เจ้าของรอยเท้านี้ผ่านไปต้องกระทบกระเทือนเลย และไม่ทำให้ระยะห่างของรอยเท้าแต่ละก้าวเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย มันเดินราวกับว่ากำแพงที่ขวางกั้นนั้นไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางการเดินทาง แม้กระทั่งรั้วกั้นสูงๆ ประตูที่ปิดกุญแจไว้ มันก็สามารถทะลุผ่านได้ ทำให้หลายคนขนาดมันว่ารอยเท้าของปีศาจ ส่งผลทำให้คนในพื้นที่นั้นหวาดกลัวกันมาก ทำให้เวลานั้นพวกพ่อค้าและคนอื่นๆ ต่างพาถือปืนและไม้พลองออกลาดตระเวณแกะรอยเท้าประหลาดนี้เพื่อหาเจ้าของรอย เท้า แต่ผลสุดท้ายก็ไม่พบ

และเมื่อเร็วๆ นี้ในคืน 12 มีนาคม 2009 ก็ปรากฏรอยเท้าแปลกๆ อีกครั้ง(ภาพข้างบน) กลับมาอีกครั้งในเดวอนและเช่นเคยไม่มีใครอธิบายคำตอบนี้ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

4. FeliciaFelix-Mentor

เฟลิกเซีย เฟลิกซ์-เมนเทอร์เป็นเธอผู้หญิงชาวไฮติที่เชื่อว่าถูกทำให้เป็นซอมบี้ ในตอนต้นศตวรรษที่ 20

โดยจากรายงานอย่างเป็นทางการระบุว่าเธอเสียชีวิตเมื่อวันที่ 1907 หลังจากเจ็บป่วยกะทันหันโดยเชื่อว่าเป็นคำสาปของหมอผีชาวไฮติที่ทำให้คนกลาย เป็นซอมบี้ ในปี 1936 มีคนพบเธออยู่ท้องถนน(ในรายงานไม่ระบุว่าเธอเปลือยหรือใส่เสื้อผ้ามอมแมม เพราะหลายเว็บตามระบุเรื่องเหล่านี้ไม่ตรงกันเลย) เธอเดินทางไปฟาร์มของพ่อโดยเธอยืนยันว่าเธอคือเฟลิกเซีย เฟลิกซ์-เมนเทอร์ที่เสียชีวิตเมื่อปี 1907 เนื่องจากสุขภาพไม่ดีเธอเลยถูกส่งไปโรงพยาบาลของรัฐ และจากการตรวจสอบพบว่าเธอมีพฤติกรรมที่ประหลาดคือเธอไร้อารมณ์ความรู้สึก และบ่อยครั้งมากที่เธอพูดถึงตนเองหรือบุคคลที่สามโดยปราศจากความรู้สึกใดๆ และค่อนข้างชาชินกับโลกและสิ่งรอบตัวของเธอ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

3. Chupas

Chupas คือวัตถุลึกลับที่คล้ายยูเอฟโอที่ถูกหลายคนอ้างว่าสามารถพบได้ในตอนกลางคืน ที่ป่าตะวันออกของบราซิล(ส่วนใหญ่) พวกเขาอธิบายว่ามันเป็นวัตถุที่มีลักษณะคล้ายโลหะขนาดเล็กและบินได้ มันทำเสียงฟู่เหมือนตู้เย็นหรือหม้อแปลงไฟฟ้า

เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่แถบนั้นมักออกไปข้างนอกตอนกลางคืนเพื่อ ล่ากวางเป็นอาหาร ดังนั้นพวกเขามักปีนบนต้นไม้เพื่อรอเหยื่อของพวกเขา และมันมักโผล่มาในเวลานี้ โดยมันจะเปล่งแสงสีขาวสว่างและพวกเขาชื่อว่าแสงนี้อาจทำให้พวกเขาตาย และบางคนเกิดอาการปวดทุกอย่างทั้งวัน(หรือบางคนทั้งปี) ในขณะที่นักล่าส่วนใหญ่พยายามยิงสิ่งนั้นแต่ปรากฏว่ามันไม่มีผลกับมันใดๆ ทั้งสิ้น

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

2. SS Ourang Medan

ในเดือนกุมภาพันธ์ 1948 มีได้รับข้อความช่วยเหลือจากบรรทุกสินค้าของชาวดัตช์ Ourang Medan ที่ลอยเหนือน่านน้ำอินโดนีเซีย ในสภาพเรือแตก โดยมีข้อความ SOS คือ “All officers including captain are dead lying in chartroom and bridge Possibly whole crew dead.”    

แปลว่า “เจ้าหน้าที่ทุกคนรวมทั้งกัปตัน นอนตายอยู่ในห้องนั่งเล่นและสะพานเรือ เป็นไปได้ว่าลูกเรือทั้งหมดตายแล้ว”

ข้อความนี้เป็นรหัสมอร์สซึ่งเป็นข้อความ ไม่เข้าใจความหมายสุดท้ายที่น่ากลัว และเมื่อมีคนขึ้นไปเรือดังกล่าวก็พบเรื่องประหลาดเมื่อลูกเรือทั้งหมดและ กัปตันเรือดังกล่าวตายหมดแล้วตาของพวกเขาเปิดโพลงใบหน้ามองไปยังดวงอาทิตย์ แขนยื่นออก(บางคนเอามือชี้ไปยังสิ่งที่มองไม่เห็น)และใบหน้าของเขาแสดงสี หน้าหวาดกลัวสุดขีด

แม้แต่สุนัขบนเรือก็ตายโดยสภาพเหมือนกับว่ามองเห็นศัตรูที่มองไม่เห็น บางอย่างที่ห้องหม้อไอน้ำ ระหว่างที่ช่วยเหลือลูกเรือก็พบว่าหนาวทั้งๆ วันนั้นอากาศร้อน และระหว่างกลับก็มีควันออกจากเรือระหว่างนั้นด้วย ซึ่งจากการสันนิษฐานพบว่าลูกเรืออาจถูกโจมตีโดยยูเอฟโอหรือพื้นที่สาม เหลี่ยมอาถรรพณ์ แต่คนไม่เชื่อก็บอกว่าอาจเกิดพิษคาร์บอนมอนอกไชด์ หรือเรืออาจบรรทุกสินค้าวัสดุอันตรายจำพวกพิษที่ทำให้หายใจไม่ออกและเกิด รั่วขึ้น แต่จนถึงทุกวันนี้เรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือ Ourang Medan และลูกเรือทั้งหมดของเรือยังคงลึกลับ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1. GEF

GEF หมายถึงการพูดคุยหรือการติดต่อสื่อสารกับผีพังพอน(สัตว์ลึกลับ, ผี หรือเรื่องหลอกลวง)ได้ โดยรายงานนี้มาจากครอบครัวที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านดาลบีที่เกาะแมน(Isle of Man)

ในเดือนกันยายน ครอบครัวเออร์วิง—ที่ประกอบด้วยเจมส์ มากาเร็ต และลูกสาว Voirrey (อายุ 13 ปี) อ้างว่าได้ยินเสียงข่วนประหลาด ซึ่งเป็นเสียงกรอบแกรบหลังบ้านสวนของพวกเขาที่พุ่มไม้และด้านหลังโรงนาที่ทำ ด้วยไม้ของพวกเขา ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าเป็นหนู

หากแต่เมื่อเห็นก็พบว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อนและ มันทำท่าทางเหมือนจะคาย หรือคุ้ยเขี่ย ชอบคำรามเหมือนสุนัข และกลั้นคอเหมือนทารก นอกจากนี้มันยังสามารถพูดเป็นภาษามนุษย์ได้อีกด้วย!! โดยมันแนะนำว่าตนเองเป็นพังพอน ชื่อ GEF อ้างว่าเกิดที่นิวเดลี อินเดีย ในปี 1852 โดย Voirrey เป็นบุคคลเดียวที่เห็นเจ้าพังพอนนี้ชัดที่สุด(และติดต่อกับมันสนิทที่สุด)

โดยมันมีขนาดเล็กเท่าหนู มีขนสีเหลือง และหางเป็นพวงขนาดใหญ่(ความจริงพังพอนอินเดียมีขนาดใหญ่กว่าหนูและไม่มีหาง เป็นพวง) เจ้าพังพอนตนนี้ยังคงเป็นมิตรต่อครอบครัวของเด็กสาว

และเจมส์ได้เขียนบันทึกประจำวันเกี่ยวกับพังพอนนี้ไว้ระหว่างปี 1932-1935 ซึ่งปัจจุบันนี้บรรทึกที่ว่าอยู่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยลอนดอน และเจ้าพังพอนนี้ก็กลายเป็นที่นิยมที่ช่วยเรียกนักข่าวและฝูงชนไปยังเกาะ แห่งนี้เพื่อดูสัตว์ดังกล่าว แต่กระนั้นหลายคนก็บอกว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง เนื่องจากเพื่อนบ้านออกมาสัมภาษณ์ว่าพวกเขาไม่เคยหรือได้ยินพังพอนที่ ว่า(แต่เพื่อนบ้านบางคนบอกว่าเคยได้ยินเสียงแปลกๆ รอบบ้านของพวกเขาเหมือนกัน) และนอกจากนี้ยังมีรูปถ่ายบางส่วนที่เป็นร่องรอยของพังพอน ส่วน Voirrey เด็กหญิงที่เห็นพังพอนดังกล่าวได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 2005 และในช่วงสุดท้ายของชีวิตเธอก็ยังยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง

.................................................................................................................................................

ซ้ำโปรดอภัยขอบคุณที่ติดตาม^^............

ที่มา: เพจ สาระรอบโลก around The World




 

Create Date : 13 พฤศจิกายน 2556   
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2556 19:24:44 น.   
Counter : 1449 Pageviews.  

สาวกล่อมฉลามอ้าปาก ล้วงคอปลดตะขอเบ็ด

ประดาน้ำสาวสะกดจิตฉลามจนเข้าภวังค์ ล้วงมือปลดขอเบ็ดในหลอดอาหาร เผยมีประสบการณ์กล่อมฉลามมานานร่วม 20 ปี แต่ยังใส่เสื้อเกราะเผื่อเจอกัด

คริสตินา เซนาโต ได้ช่วยเหลือเจ้าปลานักล่าที่หมู่เกาะบาฮามาส ปลดเบ็ดที่ติดในทางเดินอาหารของมัน ท่ามกลางฝูงฉลามที่ว่ายวนเวียน

นักดำน้ำผู้เกิดในอิตาลีผู้นี้ ใช้เทคนิคกล่อมฉลาม ด้วยการใช้มือถูที่ปากและจมูก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีรูขุมขนรับสัญญาณไฟฟ้า ทำหน้าที่ตรวจหาเหยื่อที่เข้าไปในสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารอบตัวปลา

เมื่อรูขุมขนที่มีเยลลีอยู่ภายในเหล่านี้ถูกลูบไล้ เจ้านักล่าจะเคลิ้มหลับได้นานถึง 15 นาที

เธอมักสอนประดาน้ำคนอื่นๆให้รู้กลเม็ดในการดึงปรสิต หรือขอเบ็ดตกปลา ออกจากปากของฉลาม แต่คราวนี้ออกจากยากสักหน่อย เพราะเบ็ดติดอยู่ลึกถึงในหลอดอาหาร

แม้กระนั้น เจ้าฉลามก็แน่นิ่ง ไม่ได้งับมือ เมื่อเธอล้วงเข้าไปในปากของมัน

เธออยู่กับฉลามมานานเกือบ 20 ปีแล้ว แต่ยังคงสวมชุดว่ายน้ำที่ทอด้วยสายโซ่ ป้องกันฉลามกัด

เพราะชำนาญเรื่องนี้ เธอจึงเคยออกสารคดีทางทีวีหลายครั้ง เช่น บีบีซี, ดิสคัฟเวอรี, แนทจีโอ ปัจจุบัน เธอเป็นหัวหน้าทีมประดาน้ำของสมาคมนักสำรวจใต้น้ำ หรือยูเน็กโซ (Underwater Explorers Society) บนเกาะแกรนด์บาฮามาส

by sathitm




 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2556   
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2556 16:56:54 น.   
Counter : 1697 Pageviews.  

รวม 10 อันดับ คาเฟ่แมว รอบโลก!

รวม 10 อันดับ คาเฟ่เหมียวน่ารักแจ่มแมวรอบโลก!!!

รวม 10 อันดับ คาเฟ่แมว รอบโลก!

เดี๋ยวนี้ร้านกาแฟที่มีน้องเมี้ยวน่ารักๆ นั่งเล่นนอนเล่นในร้าน กลายเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ รูปแบบใหม่สำหรับคนรักสัตว์ไปเสียแล้ว การได้นั่งจิบเครื่องดื่มถูกใจ พร้อมกับนั่งชมอิริยาบถของแมวเหมียวไปด้วย มันเหมือนกับการได้บำบัดจิตใจ หายเหนื่อย และลืมเรื่องวุ่นวายภายนอกได้แบบปลิดทิ้ง

แม้ในประเทศไทยจะยังเป็นของใหม่อยู่ แต่ร้านคาเฟ่แมวนั้นได้รับความนิยมในต่างประเทศมานานแล้ว วันนี้จึงขอเสนอ "10 ร้านคาเฟ่แมวรอบโลก"ให้ได้ลองชมกันว่า ที่ไหนๆ ก็มีทาสแมวเหมือนกันหมด! 

รวม 10 อันดับ คาเฟ่แมว รอบโลก!

1.ญี่ปุน : Neko no Mise

ร้านคาเฟ่แมวแห่งแรก ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เปิดตั้งแต่ปีค.ศ.2005 ปัจจุบันเฉพาะในเมืองนี้ก็มีคาเฟ่แมวเกือบ 40 ร้านแล้ว ยังไม่รวมเมืองใหญ่อย่างเกียวโต หรือโอซาก้า (รวมทั้งประเทศประมาณ 160 แห่ง) สาเหตุที่คนญี่ปุ่นนิยมชมชอบร้านลักษณะนี้มาก ก็เพราะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าส่วนใหญ่ ที่อาศัยอยู่ในที่พักเล็กๆ และไม่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ เลยต้องออกมาเติมเต็มความต้องการที่ร้านกาแฟแมวนั่นเอง

คาเฟ่แมวในญี่ปุ่นนั้นให้ความส่วนตัวกับแมวภายในร้านสูงมาก ขนาดที่ว่าห้ามแตะเนื้อต้องตัวน้องแมวเลยทีเดียว (แต่ถ้าน้องแมวมาเล่นด้วย ก็ OK!) อีกทั้งกฎข้อห้ามของบางร้านก็ยาวเหยียดจนน่าปวดหัว ซึ่งก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคของเหล่าทาสแมวแต่อย่างใด

รวม 10 อันดับ คาเฟ่แมว รอบโลก!

2.ไต้หวัน : (ไม่มีข้อมูลชื่อร้าน)

เรามักเข้าใจว่าคาเฟ่แมวแห่งแรกของโลกนั้นก่อตั้งที่ญี่ปุ่น ความจริงแล้วเริ่มที่กรุงไทเป ประเทศไต้หวันต่างหาก ตั้งแต่ปี ค.ศ.1998 แล้ว และได้รับความนิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยว จนมีผู้ริเริ่มนำแนวคิดร้านกาแฟ+แมวไปใช้ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น และได้ผลตอบรับที่ดีจวบจนปัจจุบัน    

รวม 10 อันดับ คาเฟ่แมว รอบโลก!

3.ออสเตรีย : Cafe Neko

ร้านกาแฟแมวเหมียวแห่งแรกของออสเตรีย (นับเป็นที่แรกของยุโรปด้วย) ตั้งอยู่ที่กรุงเวียนนา โดยผู้ก่อตั้งชาวญี่ปุ่น ที่กว่าจะขออนุญาตจากทางการจนได้เปิดร้าน ก็ปาเข้าไป 3 ปี เหล่าพนักงานหรือน้องแมวทั้ง 5 ตัวในร้านนั้น ก็พามาจากสถานรับเลี้ยงสัตว์ทั้งสิ้น ปัจจุบันกลายเป็นที่โปรดปรานของเหล่าคนรักแมวในเวียนนาไปแล้ว

รวม 10 อันดับ คาเฟ่แมว รอบโลก!

4.เกาหลีใต้ : Gio Cat

แม้แต่ชาวเกาหลีเองก็ต้อนรับเจ้าเหมียวอย่างอบอุ่น ร้าน Gio Cat นั้นเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ในย่าน Hongdae แต่จำนวนของแมวในร้านนั้นมีเป็นโหลเลย!

รวม 10 อันดับ คาเฟ่แมว รอบโลก!

5.ไทย : Charming Cats Cafe and Pet Shop

ร้านคาเฟ่แมวร้านแรกๆ ในกรุงเทพฯ มีแมวหลายสายพันธุ์ให้ชม แต่เดิมเป็นร้านขายของสำหรับสัตว์เลี้ยงอย่างเดียว แล้วจึงขยายเพิ่มเป็นร้านเครื่องดื่มด้วย 

รวม 10 อันดับ คาเฟ่แมว รอบโลก!

6.จีน : Sirena Bar

หลังจากร้านกาแฟแมวแห่งแรกเปิดในประเทศจีนเมื่อ 6 ปีที่แล้ว จำนวนของร้านประเภทนี้ก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หนึ่งในร้านที่มีชื่อในกรุงปักกิ่ง คือร้าน Sirena Bar แมวส่วนใหญ่ในร้านนี้เคยเป็นแมวจรจัดมาก่อน จึงยังติดนิสัยขี้ระแวงอยู่บ้าง 

รวม 10 อันดับ คาเฟ่แมว รอบโลก!

7.จีน : Shanghai’s Cat & Jazz Coffee Caf?

เมื่อจับเอาดนตรี jazz และแมวมารวมกัน สิ่งที่คุณจะได้คือความชิลล์แบบสุดๆ บรรยากาศของร้านออกแนวอบอุ่นชวนให้ผ่อนคลาย 

รวม 10 อันดับ คาเฟ่แมว รอบโลก!

8.รัสเซีย : Cat’s Republic

ร้านคาเฟ่แมวร้านแรกในรัสเซีย ตั้งอยู่ไม่ห่างจากจัตุรัส St. Isaac’s กรุง St. Petersburg ร้านนี้ถูกใจคนรักสัตว์ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ ลูกค้าขาประจำจะแวะมาที่ร้านกันทุกวันช่วงเย็น

รวม 10 อันดับ คาเฟ่แมว รอบโลก!

9.แคนาดา : Small Things CATS and Books

ร้านนี้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยเหล่าอาสาสมัครชุมชน ที่ตั้งใจให้เป็นที่สำหรับคนรักแมวได้มาพบปะสังสรรค์กัน แมวทั้งหมดในร้านมาจากศูนย์พักพิงสัตว์ที่ชื่อว่า Greater Sudburyเปิดโอกาสให้ผู้ใจบุญมารับแมวไปดูแล ดังนั้นร้านนี้จึงไม่มีพนักงานแมวประจำร้าน เพราะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนแมวอยู่เรื่อยๆ นั่นเอง

รวม 10 อันดับ คาเฟ่แมว รอบโลก!

10.อังกฤษ : Lady Dinah's Cat Emporium 

ร้านคาเฟ่แมวแห่งแรกของอังกฤษ ณ กรุงลอนดอน เพื่อความถูกสุขลักษณะทางร้านจึงแบ่งออกเป็นสามส่วน หนึ่งคือส่วนที่พักสำหรับแมว สองคือส่วนที่ให้แมวกับลูกค้ามาเล่นกันได้ และสามคือส่วนปลอดแมว ไว้ให้ลูกค้ารับประทานอาหาร แม้ปัจจุบันจะอยู่ในระหว่างก่อสร้าง แต่ก็เป็น talk of the town อันดับต้นๆ ในลอนดอนเลยทีเดียว


ที่มา: //www.sanook.com




 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2556   
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2556 16:54:46 น.   
Counter : 1862 Pageviews.  

แพทย์เผย "ในหลวง-พระราชินี" พระอาการดีขึ้นตามลำดับ พระพักตร์แจ่มใส

ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในฐานะหัวหน้าคณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระอาการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เปิดเผยว่า

ขณะนี้พระอาการโดยรวมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ดีขึ้นตามลำดับ เป็นที่น่าพอใจของคณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา ล่าสุด จากการติดตามพระอาการพบว่า

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงบังคับเก้าอี้ไฟฟ้าที่ประทับได้ด้วยพระองค์เอง และเสด็จพระราชดำเนินทรงให้อาหารปลาทุกเย็นที่บริเวณศาลาแปดเหลี่ยมริมชายทะเล ด้วยพระพักตร์แจ่มใส แย้มพระสรวลให้กับข้าราชบริพารที่ตามเสด็จ


"พระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดีขึ้นมาก จากที่คณะแพทย์ที่ต้องติดตามพระอาการทุกวัน เปลี่ยนมาเป็นติดตามพระอาการสัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่ยังคงมีคณะแพทย์และพยาบาลถวายการดูแลอย่างใกล้ชิดเช่นเดิม

" ศ.คลินิก นพ.อุดมกล่าว และว่า ส่วนพระอาการของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระอาการดีขึ้นอยู่ในเกณฑ์ปกติเช่นกัน ทรงพระดำเนินได้ด้วยพระองค์เองเป็นระยะทาง 700-800 เมตร พระอาการโดยรวมถือว่าเป็นที่น่าพอใจ ดังนั้น ขอให้ประชาชนอย่าได้เป็นห่วง 

ศ.คลินิก นพ.อุดมกล่าวอีกว่า ทั้ง 2 พระองค์ จะยังไม่มีหมายกำหนดการเสด็จฯไปประทับที่โรงพยาบาลศิริราช ในระยะนี้แน่นอน

ภาพหาดูยากในหลวง-ราชินีทรงรับขวัญเหลน

ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม(ซ้าย) ซึ่งเป็นธิดาคนเดียวในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ นำหลานเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ

ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม ซึ่งเป็นพระธิดาคนเดียวในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ นำบุตรชาย ร.อ.จิทัศ ศรสงคราม และสะใภ้ เจสสิก้า ศรสงคราม นำหลาน ซึ่งมีศักดิ์เป็นเหลนของสมเด็จพระพี่นางฯ และในหลวง เข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ 

ทั้งนี้ร.อ.จิทัศ สมรสกับคุณเจสสิก้า เมื่อ 5 มิถุนายน 2553 ได้รับพระราชทานน้ำสังข์จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 14 โรงพยาบาลศิริราช

ทั้งสองน่าจะให้กำเนิดบุตรในราวกลางปี 2554 ส่วนเหตุการณ์เข้าเฝ้าฯดังในภาพ"ควรจะ"เกิดขึ้นในราวกลางปี หรืออย่างช้าปลายปี 2554

(ที่มา:ภาพที่ส่งต่อทางอินเตอร์เน็ต ไม่ปรากฎสถานที่ และวันเวลาถ่ายภาพ แต่พิจารณาจากเสื้อของท่านผู้หญิงแล้วน่าจะเป็นสถานที่และวันเดียวกัน)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เเละ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ 

ย้อนความที่ประทับใจ..........

ครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2549 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสในการออกรับการถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย พระราชวังดุสิต ความตอนหนึ่งซึ่งผมยังจำได้มาจนถึงทุกวันนี้ โดยทรงมีพระราชดำรัสถึงสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ว่า

"…พี่สาวนี่เคยบอกว่า ถึงเวลาอายุ 80 ไม่ไหว ท่านอายุ 84 ก็ไม่ค่อยสบาย ก็เลยต้องพูดถึงท่าน ขอให้ท่านสบาย และประสบความสำเร็จในการรักษาตัว เดี๋ยวนี้ คนที่เป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าเหลือคนเดียว คือพี่สาว คนอื่นไม่เป็นผู้ใหญ่แล้ว…"

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2556   
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2556 17:46:19 น.   
Counter : 7670 Pageviews.  

ไทยซิวแชมป์สวรรค์ต่างชาติทำงาน-อยู่อาศัย

ผลสำรวจพบไทยเป็นประเทศดีที่สุดในโลกสำหรับต่างชาติที่เข้ามาทำงาน-ใช้ชีวิต เหตุค่าครองชีพต่ำ โอกาสหารายได้สูง
อ้าแขนรับชาวต่างชาติเข้าสู่ดินแดนอันเต็มไปด้วยรอยยิ้มและวัฒนธรรมอันงดงามได้อย่างเต็มภาคภูมิจริงๆ สำหรับประเทศไทย เจ้าของฉายาสยามเมืองยิ้ม ที่เพิ่งได้รับการจัดอันดับโดยธนาคาร HSBC ให้เป็นดินแดนในฝันอันดับหนึ่งของชาวต่างชาติ
จากการสำรวจความเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 7,000 คน จากทั้งหมด 100 ประเทศทั่วโลก พบว่าเมืองไทยของเราเป็นประเทศดีที่สุดในโลกสำหรับชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานและใช้ชีวิตอยู่ หรือที่เรียกกันว่า“เอ็กซ์แพต” (Expat)
เหตุผลหลักๆ ก็คือ ค่าครองชีพต่ำ โอกาสในการหารายได้ที่สูง การใช้ชีวิตในสังคมที่เป็นไปอย่างสบายๆ และมีความเป็นกันเอง การคมนาคมที่สะดวกรวดเร็ว และการหาเพื่อนที่ง่ายแสนง่าย ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกในการตัดสินใจสำหรับชาวต่างชาติที่จะย้ายเข้ามาปักหลักอยู่ในไทยเป็นการถาวร
สำหรับอันดับ 2 รองจากไทยก็คือ บาห์เรน และอันดับ 3 คือ จีน ส่วนประเทศในแถบเอเชียอื่นๆ เช่น สิงคโปร์ อินเดีย และไต้หวัน ก็ขึ้นมาอยู่ใน 10 อันดับแรกของประเทศที่ชาวต่างชาติอยากเข้ามาย้ายถิ่นฐานและทำงานมากที่สุด
นีล แมคคาร์ธี ชายชาวสหรัฐ วัย 46 ปี เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีสภาพอากาศที่ดีและภูมิทัศน์ทางทะเลที่สวยงาม อีกทั้งร้านอาหารและระบบสาธารณูปโภคของประเทศก็มีมาตรฐาน จึงคิดไม่ผิดที่ย้ายมาอยู่ที่ไทย และตอนนี้ก็อยู่มานานถึง 12 ปีเต็มแล้ว
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เอเชียกลายเป็นทวีปที่มีเศรษฐกิจแข็งแรงมากที่สุด จึงเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดให้ชาวต่างชาติตัดสินใจเลือกเข้ามาอยู่ในประเทศแถบนี้ โดยหากประเมินถึงสภาพเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ไทยอยู่ในอันดับ 4 อินโดนีเซียอันดับ 6 และสิงคโปร์อยู่ในอันดับ 9 โดยชาวต่างชาติที่อยู่ในไทยกว่า 80% เปิดเผยว่า ตั้งแต่ย้ายเข้ามาพำนักในประเทศไทย รายรับเข้ามามากกว่าเดิม
นอกจากนี้ ความเป็นเอกลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมก็ส่งผลต่อการตัดสินใจของชาวต่างชาติในการเข้ามาอยู่ที่เมืองไทยด้วย โดยผู้ให้สัมภาษณ์กว่า 60% ระบุว่า วัฒนธรรมไทยเป็นแรงจูงใจหนึ่งที่เลือกเข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยอารยธรรม
อย่างไรก็ตาม ไทยยังไม่ตอบสนองชาวต่างชาติที่คิดจะนำลูกหลานมาปักหลักในระยะยาวได้อย่างเต็มที่ โดยเหตุผลหลักก็คือ มาตรการการศึกษา ซึ่งในส่วนของมาตรฐานด้านนี้ ชาวต่างชาติต่างเทคะแนนให้กับประเทศเยอรมนีมาเป็นเบอร์หนึ่งในการเลี้ยงดูบุตรหลานให้เติบโตในต่างแดน
รองลงมาก็คือ ฝรั่งเศส เบลเยียม และสเปน ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราค่าครองชีพที่สูงพอประมาณ แต่มีคุณภาพทางการศึกษา ซึ่งจะส่งผลดีต่อบุตรหลานในอนาคต

ขอบคุณ posttoday




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2556   
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2556 17:44:48 น.   
Counter : 1236 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  

เหมียวกุ่ย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




ยินดีต้อนรับพี่ๆน้องๆทุกท่านเข้าเยี่ยมชม เว็บบล็อคแห่งนี้ หวังว่าทุกท่านจะมีความสุขในการชมบล็อคของกระผมนะครับ










View My Stats
New Comments
[Add เหมียวกุ่ย's blog to your web]