ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บบอร์ด Thailand Aquatic Pets เว็บบล็อคสำหรับ คนรักสัตว์น้ำ ( และ สัตว์ที่อยู่ในน้ำ ) ประเทศไทยจ้า

กินซูชิยังไง...ไม่อายญี่ปุ่น





Do. คีบซูชิด้วยตะเกียบหรือใช้มือหยิบ



Do. ใช้ส่วนที่เป็นหน้าของซูชิแตะไปที่ซอสโชยุ



Do. กินซูชิทั้งคำโดยให้ส่วนที่เป็นหน้าของซูชิวางไปบนลิ้นเพื่อให้ได้รสสัมผัสวัตถุดิบจากธรรมชาติ



Do. เมื่อจะคีบซูชิจากจานรวมให้ใช้ด้านท้ายของตะเกียบ



Do. วางตะเกียบไว้บนที่วางตะเกียบเมื่อไม่ได้ใช้ และวางไว้บนจานเล็กเพื่อแสดงว่าเราอิ่มแล้ว
Don’t.




Don’t. ถูตะเกียบเพื่อกำจัดเศษเสี้ยนออก



Don’t. กัดซูชิครึ่งนึงแล้วนำกลับไปไว้บนจาน



Don’t. วางขิงดองชิ้นใหญ่ไว้บนซูชิ (ให้กินระหว่างซูชิแต่ละคำแทน)



Don’t. จุ่มส่วนที่เป็นข้าวลงไปในซอสโชยุ



Don’t. ใส่วาซาบิลงไปในโชยุแล้วคนราวกับมันเป็นถ้วยซุป (วาซาบิควรจะใช้แต้มบนหน้าซูชิเท่านั้น)



Don’t. จ่ายเงินให้เชพ เพราะเชพจะไม่สัมผัสเงิน




 

Create Date : 20 เมษายน 2556   
Last Update : 20 เมษายน 2556 9:00:05 น.   
Counter : 2803 Pageviews.  

นักวิทย์คิด“เครื่องทำนายอนาคต“ได้แล้ว

Ali Razeghi นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์กลางนวตกรรมเชิงกลยุทธ์ในกรุงเตหะรานประเทศอิหร่าน อ้างว่า เขาและทีมวิจัยได้พัฒนาอุปกรณ์ที่สามารถทำนายอนาคตให้กับผู้ใช้ได้อย่างถูก ต้องแม่นยำสูงถึง 98% โดยอุปกรณ์ดังกล่าวจะใช้ชุดคำสั่ง และกระบวนการคิดของอัลกอริธึมที่ทำให้สามารถทำนายอนาคตในช่วงเวลา 5 - 8 ปีข้างหน้าของชีวิตคุณได้

Razeghi และทีมนักประดิษฐ์ 179 คน ได้พัฒนาเครื่องทำนายอนาคต หรือ The Aryayek Time Traveling Machine มาตั้งแต่สิบปีที่แล้ว โดยเจ้าเครื่องดังกล่าวนี้จะมีขนาดเล็กจนสามารถใส่เข้าไปในเคสคอมพิวเตอร์ ได้ แน่นอนว่า มันคงจะไม่สามารถพาคุณไปยังอนาคตได้แบบไทม์แมชชีนจริงๆ แต่มันจะดึงอนาคตมาให้คุณได้รับรู้ Raeghi กล่าว ทั้งนี้พวกเขาคาดว่าจะสามารถทำตลาดอุปกรณ์ดังกล่าวให้กับผู้ใช้ทั่วไปที่ สนใจได้ เขายังกล่าวอีกว่า รัฐบาลอิหร่านสามารถทำนายผลลัพธ์การเผชิญหน้าของกองทัพกับข้าศึกของประเทศ ทำนายความผันผวนของเงินตราต่างประเทศ และราคาน้ำมันได้อีกด้วย

เพื่อน และครอบครัววิจารณ์โครงการของ Raeghi อย่างหนัก โดยมองว่า มันเป็นความพยายามเล่นกับพระเจ้าด้วยการทำนายชีวิตของผู้คน และประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเองตั้งข้อสังเกตว่า อุปกรณ์ที่เขาสร้างขึ้นไม่ได้ก้าวก่ายความเชื่อของศาสนา แต่ที่เขาภูมิใจมากกว่าก็คือ นักประดิษฐ์ในสหรัฐฯใช้เงินหลายล้านเหรียญฯในความพยายามทีจะสร้างเจ้า เครื่องนี้ขึ้นมาให้ได้ ในขณะที่เขาได้สร้างมันขึ้นมาสำเร็จแล้วด้วยเศษเสี้ยวของเงินลงทุน แต่ก็คงต้องติดตามกันไปก่อน เพราะเจ้าตัวยังไม่ได้โชว์เครื่องต้นแบบให้เห็น โดยอ้างว่า จีนจะขโมยไอเดีย และผลิตออกมาขายได้ภายในข้ามคืน - -" งานนี้นอกจากจะต้องรอดูเครื่องต้นแบบแล้ว คงต้องรอชมการสาธิตการใช้งานจริงด้วยว่าจะแม่นกว่าเหล่าบรรดาพ่อหมอในเมือง ไทยสักแค่ไหน?

ที่มา: //hitech.sanook.com/




 

Create Date : 16 เมษายน 2556   
Last Update : 16 เมษายน 2556 14:46:30 น.   
Counter : 1338 Pageviews.  

8 ข้อเสียดาย ของมนุษย์เงินเดือน

รอกว่าการได้งานทำนั้นสำคัญแค่ไหน ฯลฯ เรื่องบางเรื่องในชีวิตเราอาจจะมีโอกาสทดลองหรือสัมผัสได้มากกว่าหนึ่งครั้ง เรื่องบางเรื่องมีโอกาสแก้ตัวได้ เช่น เคยลำบากมาก่อนเมื่อผ่านชีวิตมาได้แล้วก็พอจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ไห้ลำบากอีกครั้ง แต่…..เรื่องบางเรื่องในชีวิตนี้จะผ่านมาและเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะเรื่องบางเรื่องต้องอาศัยเวลาเกือบทั้งชีวิตจึงจะรู้ว่าสิ่งที่ผ่านมานั้นถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี และเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งสำหรับคนที่เป็นลูกจ้างหรือมนุษย์เงินเดือนคือประสบการณ์ชีวิตหรือข้อคิดจากการเป็นลูกจ้าง ข้อคิดหรือบทเรียนส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาล่วงเลยไปแล้ว ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ผิดซ้ำเรื่องเดิมกับคนรุ่นก่อนๆ จึงขอเป็นตัวแทนของรุ่นพี่ๆ อดีตมนุษย์เงินเดือนมาบอกเล่าให้ฟังว่าคนที่เคยทำงานกินเงินเดือนในรุ่นพี่ที่ผ่านๆ มาเขาหันกลับมามองอดีตแล้วเกิดความรู้สึก “ เสียดาย “ อะไรบ้างหรือพูดง่ายๆ คือ เรื่องไหนบ้างที่อดีตมนุษย์เงินเดือนคิดว่าถ้าย้อนเวลากลับมาได้จะทำให้ดีกว่าที่ผ่านมา 1. เสียดายไม่ตั้งใจทำงานในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นอดีตมนุษย์เงินเดือนหรือมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆ ในปัจจุบัน มักจะรู้สึกเสียดายกับชีวิตการทำงานที่ผ่านมาเนื่องจากช่วงแรกๆ ของการทำงานไม่ค่อยตั้งใจและทุ่มเทมากนัก เนื่องจากตอนนั้นคิดว่าทำงานแลกกับเงิน ได้เงินน้อยก็ทำน้อย ที่ไหนให้มากก็ขยันขึ้นมาหน่อย คิดอย่างเดียวว่าถ้าขยันทำงาน เจ้านายจะติดใจและใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เราก็เหนื่อยอยู่คนเดียว มารู้ตัวอีกครั้งก็ต่อเมื่อทำงานไปตั้งนานไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเสียที เด็กรุ่นใหม่ๆ ที่พึ่งเข้ามาแซงหน้าไปเสียแล้ว ที่สำคัญชีวิตช่วงแรกที่ทำงานมักจะเป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าทำงานเหนื่อยกว่าตอนเรียน ดังนั้น วัยนี้คนทำงานบางคนก็เริ่มเที่ยว ดื่ม กิน ใช้ชีวิตเปลืองมาก เลิกงานเสร็จเที่ยวต่อจนดึกจนดื่น เผลอๆ บางวันใส่ชุดเดิมมาทำงาน (เพราะยังไม่ได้กลับบ้าน) แล้วจะทำงานดีได้อย่างไร กายและใจมาทำงานเพียงครึ่งเดียว เพื่อนบางคนก็มัวแต่ทำงานเพื่อค้นหาตัวเองว่างานที่กำลังทำอยู่นั้นใช่สิ่งที่ต้องการหรือไม่ บางคนก็ทำงานเพื่อรอโอกาสหางานใหม่ สุดท้ายชีวิตการทำงานในช่วงแรกๆ แทนที่จะมีเส้นการเรียนรู้ที่สูงชันกลับกลายเป็นเส้นการเรียนรู้ที่แบนราบ อายุงานผ่านไป แต่อายุใจที่มีต่องานยังอยู่เท่าเดิม ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะตั้งใจและขยันทำงานตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาทำงาน และจะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่รับผิดชอบ และจะลดหรืองดการเที่ยวและดื่มให้น้อยลง เพราะตอนนี้ผลกรรมเริ่มสนองให้เห็นแล้วว่าการใช้ชีวิตแบบประมาทนั้นส่งผลต่อสุขภาพร่างกายระยะยาว 2. เสียดายที่แต่งงานเร็วไปหน่อย มนุษย์เงินเดือนเงินหลายคนเสียโอกาสในความก้าวหน้าในอาชีพไปเพราะรีบเป็นฝั่งเป็นฝาเร็วเกินไป คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว หาเงินได้เองแล้ว ปกครองและดูแลตัวเองได้แล้ว ก็ริคิดที่จะไปเอาคนอื่นมาดูแลเพิ่มเติม (ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้ดูแลพ่อแม่ที่ส่งเสียให้เรียนมาจนจบ) เมื่อชีวิตแต่งงานเข้ามาเร็วชีวิตครอบครัวเข้ามาเร็ว ปัญหาประจำตำแหน่งชีวิตคู่ก็เข้ามาเร็ว ทั้งๆ ที่อายุงานและประสบการณ์ชีวิตในหน้าที่การงานยังน้อยอยู่ ทำให้ปัญหาครอบครัวเริ่มมาเป็นตัวถ่วงในเรื่องความก้าวหน้าในอาชีพ เพราะไหนจะต้องให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น เวลาที่ทุ่มเทกับงานก็น้อยลง ถ้าใครยังทุ่มเทกับงานมากอยู่อีกก็จะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เงินเก็บที่ยังไม่เต็มที่ก็ต้องควักออกมาใช้ เพราะมีลูกทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน คิดง่ายๆ ว่าในช่วงเวลาเดียวกันเพื่อนเราที่ยังไม่แต่งงานเขามีเวลาทุ่มเทกับการทำงานเพื่อปีนป่ายขึ้นไปสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จ ในขณะที่เราต้องปีนป่ายเหมือนกับเขา แต่เราต้องกระเตงคู่สามีหรือภรรยาและลูกไปด้วย นึกดูเอาเองก็แล้วกันนะครับว่าใครจะปีนไปได้สูงและไกลกว่ากัน ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานก่อนสักระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งมาบ้างแล้วจึงคิดจะแต่งงาน อย่างน้อยก็ต้องมีเงินเก็บมาบ้างแล้ว หรืออาจจะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานที่เพียงพอต่อการหางานใหม่ที่มีตำแหน่งที่สูงกว่าก่อนจึงจะแต่งงาน และการที่เรามีเวลาทำงานผ่านไปสักระยะหนึ่งก็น่าจะมีเวลาในการคบหาหรือดูใจกับที่เราจะเลือกมาเป็นคู่ได้ดีขึ้น 3. เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาต่อ ความเสียดายข้อนี้เชื่อว่าเกินครึ่งของมนุษย์เงินเดือนที่มีความรู้สึกแบบนี้ เพราะตอนเข้ามาทำงานแรกๆ เกือบทุกคนมักจะคิดว่าจะหาเวลาศึกษาต่อ รอเก็บเงินค่าเทอมไปสักพักก่อนและรอให้ทำงานเข้าที่ก่อน แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่พลาดเป้าหมายนี้ไป เช่น งานยุ่งไม่มีเวลาเรียน พอจะเรียนก็เปลี่ยนงาน (เหตุผลเดิม คือ รอให้งานเข้าที่แล้วค่อยเรียน) ไม่มีเงินค่าเทอม ขี้เกียจอ่านหนังสือ สอบไม่ได้ (เพราะไม่ตั้งใจ) ใจอยากเรียนแต่ไม่เคยแม้แต่จะลงมือทำอะไรเลย เลือกที่เรียนมากเกินไป บางคนลองไปเรียนแล้วแต่ไปไม่รอดเพราะแบ่งเวลาไม่เป็น อดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนคิดย้อนกลับไปว่าถ้าตอนนั้นเรียนต่อในระดับนั้นระดับนี้ ป่านนี้คงจะประสบความสำเร็จไปมากกว่านี้แน่นอน เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งมีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต คุณสมบัติครบทุกอย่าง ขาดอย่างเดียวคือวุฒิการศึกษาไม่ถึง เลยเสียโอกาสที่สำคัญในชีวิตการทำงานไป มาถึงตอนนี้ก็แก่เกินเรียนแล้ว ยิ่งออกมาทำธุรกิจส่วนตัวถึงแม้เวลาจะมีมากขึ้น แต่กำลังใจมีน้อยลง แรงใจมีน้อยลง และไม่รู้จะเรียนไปทำไม เพราะงานธุรกิจส่วนตัวที่ทำอยู่ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาสูงๆ ก็ได้ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คิดว่าจะต้องตัดสินใจเรียนตั้งแต่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ สักปีสองปี จะยอมอดทนไปสักระยะหนึ่ง และจะเรียนให้จบก่อนที่จะเปลี่ยนงานใหม่หรือมีครอบครัว 4. เสียดายที่มัวแต่ทะเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน มนุษย์เงินเดือนหลายคนเสียเวลาไปกับปัญหาคนเยอะมาก ทั้งปัญหาหัวหน้า ปัญหาเพื่อนร่วมงาน บางคนก็มีปัญหากับลูกน้องอีก วันๆ เสียเวลาของสมองไปกับการคิดถึงปัญหาคนอื่น ตอนที่เป็นลูกจ้างเรามักจะคิดว่าปัญหาทะเลาะกับคนทำงานเป็นปัญหาใหญ่ เลยใช้เวลากับมันมาก เครียดกับมันบ่อยแทบจะไม่มีเวลาไปพัฒนาหรือปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองเลย ตอนนั้นลืมไปว่าจริงๆ แล้วไม่มีใครทำงานอยู่กับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับคนที่เราไม่ชอบไปตลอดชีวิตเช่นกัน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้ คิดอย่างเดียวว่าวันนี้เรากับเขาจะมีปัญหากันเรื่องอะไรอีก คิดว่าเรื่องเมื่อวานมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนผิด ทำไมเขาจึงเป็นคนแบบนั้น สุดท้ายเราก็จะจมอยู่กับปัญหา คนที่บางครั้งเคยหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้ว ปัญหาคนเก่าหายไป แต่….ปัญหาคนใหม่ก็เกิดขึ้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะคิดเสียว่าปัญหาคนเหมือนกับปัญหารถชนกันบนถนนที่เราไม่ต้องไปสนใจกับมันให้มากนัก แต่เราควรจะสนใจว่าเส้นทางที่เรากำลังจะเดินไปนั้นอยู่ไกลหรือไม่ เรามีเวลาเหลืออีกนานหรือไม่ ต้องคิดว่าไม่มีใครทำงานกับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานกับใครไปตลอดชีวิตเช่นกัน และคิดว่าถ้าเรารับปัญหาคนอื่นไม่ได้ เราคงจะก้าวขึ้นไปในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นไปไม่ได้ เพราะยิ่งสูงปัญหาคนยิ่งมากและซับซ้อนมากขึ้น 5. เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย ถ้าดูประวัติมนุษย์เงินเดือนบางคน จะเห็นว่าเปลี่ยนงานทุกปีๆ ละครั้งสองครั้ง ตอนที่เปลี่ยนงานก็มีเหตุผลมาสนับสนุนมากมาย เช่น เงินเดือนสูงกว่า อยู่ใกล้บ้าน เบื่อที่ทำงานเก่า งานใหม่ท้าทายกว่า อยากทำงานกับบริษัทข้ามชาติ ฯลฯ แต่เมื่อมาถามตอนนี้ว่าผลการเปลี่ยนงานบ่อยในอดีตสรุปว่าดีหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่หลายคนตอบถ้าพิจารณาถึงผลระยะยาวแล้วอาจจะไม่เป็นผลดีมากนัก เพราะประสบการณ์ในแต่ละที่นั้นน้อยเกินไป ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานในแต่ละที่ไม่น้อยกว่า 3 ปี เพราะน่าจะเป็นเวลาที่เราได้ครบทั้งการเรียนรู้ (Learn) การทำงาน (Perform) และการพัฒนาปรับปรุงงาน (Improve) แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับช่วงชีวิต เพราะบางช่วงอาจจะเปลี่ยนบ่อยเพราะตลาดกำลังโต ชีวิตกำลังรุ่ง แต่บางช่วงอาจจะต้องอยู่นาน เพราะต้องหยุดพักหายใจและสั่งสมประสบการณ์ ก่อนที่จะไต่ระดับขึ้นสู่เพดานบินที่สูงขึ้น 6. เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ “ เสียดายภาษาอังกฤษไม่ดี “ เป็นคำพูดที่ได้ยินจากอดีตมนุษย์เงินเดือนที่ไปสัมภาษณ์งานมาใหม่ๆ ที่มักจะรู้สึกเสียดายบริษัทฝรั่งที่เสนอเงินเดือนให้สูงๆ แต่ติดที่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย เพราะไม่ได้จบ (เมือง) นอก และทำงานแต่บริษัทคนไทยจึงไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย บางคนจะหันมาเอาดีในการเรียนภาษาก็ต่อเมื่อบินสูงแล้ว ซึ่งพัฒนาได้ยากแล้วเพราะมีเวลาน้อยและภารกิจทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะเรียนภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มทำงานและจะเลือกทำงานกับบริษัทต่างชาติตั้งแต่ต้น หรือไม่ก็อาจจะหาเงินไปเรียนต่อต่างประเทศ 7. เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย มนุษย์เงินเดือนบางคนทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว ยังหาตัวเองไม่เจอเลยว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเองคืออะไร จะทำงานเป็นลูกจ้างไปเรื่อยๆ จนเกษียณหรือจะออกไปทำอาชีพอิสระ ขนาดถามว่างานที่ชอบหรืออยากทำคืองานอะไรยังตอบไม่ได้เลย อย่างนี้จะก้าวหน้าในอาชีพการงานได้อย่างไรละ พูดง่ายๆ คืออดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนทำงานเหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง วันๆ ก็ตื่นขึ้นมาไปทำงานเสร็จงานกลับบ้าน จันทร์ถึงศุกร์ทำงาน เสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน รูปแบบชีวิตเหมือนเดิมเป็นเดือนเป็นปีบางคนเป็นสิบปี มารู้ตัวอีกทีก็ช้าไปเสียแล้ว เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันไปไหนต่อไหนจนมองไม่เห็นหลังกันแล้ว ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะวางแผนชีวิตตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงานว่าอีกกี่ปีจะเป็นอะไร จะทำอะไร จะต้องได้อะไร และแต่ละวันแต่ละเดือน แต่ละปีควรจะทำอะไรบ้าง อย่างไร 8. เสียดายที่ทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป คนบางคนไม่ได้เปลี่ยนงานบ่อย แต่ไม่เคยเปลี่ยนงานเลย ตอนที่ทำงานอยู่รู้สึกว่าเราเป็นคนดีขององค์กรที่ไม่ยอมเปลี่ยนงานไปไหนเลย แต่พอชีวิตการทำงานผ่านเลยไปก็รู้สึกเสียใจและเสียดายเหมือนกันที่ชีวิตการทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียว สังคมเดียว คนบางคนอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไปช่วงเวลาที่กำลังรุ่งก็ไม่ยอมเปลี่ยนงาน พอจังหวะชีวิตผ่านไปก็คิดจะเปลี่ยนงาน ก็ทำได้ยากแล้ว เพราะเงินเดือนสูง อายุงานเยอะ แต่ตำแหน่งต่ำ ไปสมัครตำแหน่งที่สูงเกินไปเขาก็ไม่รับ สมัครในตำแหน่งที่เท่าเดิมก็แก่กว่าคนอื่นๆ (แถมเงินเดือนสูงอีกต่างหาก) ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะเปลี่ยนงานในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อปรับเพดานบินให้เหมาะสมกับอายุตัวและอายุงาน โดยไม่ต้องยึดติดว่าจะต้องอยู่กับองค์กรใด องค์กรหนึ่งนานจนเกินไป ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนควรจะเชื่อและเอาแบบอย่าง แต่ก็ไม่อยากให้มนุษย์เงินเดือนมองข้ามคำว่า “ เสียดาย “ ของมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆ หรืออดีตมนุษย์เงินเดือนไป อย่างน้อยก็น่าจะนำไปเป็นคำถามตัวเองว่าเราอยากรู้สึกเสียดายในเรื่องนั้นเรื่องนี้เหมือนรุ่นพี่ๆ หรือไม่ ถ้าไม่เราควรจะทำอย่างไรตั้งแต่วันนี้ ที่มา: //www.fwdder.com/topic/24247




 

Create Date : 14 เมษายน 2556   
Last Update : 14 เมษายน 2556 10:25:23 น.   
Counter : 1509 Pageviews.  

อึ้ง! หนุ่มมะกันคลั่งเงือก ตัดชุด-ใช้ชีวิตเป็นเงือกหนุ่ม

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก capitalbay.com

          คงมีสาว ๆ หลายคนที่เคยใฝ่ฝันอยากจะลองเป็นนางเงือกแสนสวยที่ได้แหวกว่ายอยู่ในโลกใต้ บาดาลสักครั้ง แต่คงจะไม่มีใครอีกแล้วที่จะใช้ชีวิตที่เข้าใกล้ความเป็นเงือกได้มากเท่ากับ หนุ่มคนนี้ เพราะเขาถึงกับตัดชุดเงือกใส่ แล้วใช้ชีวิตเหมือนกับเงือกเลยทีเดียว

เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา เว็บไซต์แคพิทอลเบย์ เปิดเผยเรื่องราวชีวิตของ เอริค ดูชาร์ม วัย 22 ปี จากรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ ผู้มีความชื่นชอบและหลงใหลในวิถีชีวิตแบบเงือกอย่างมาก และนั่นทำให้เขาต้องสวมครีบหางที่เย็บขึ้นเองเพื่อไปแหวกว่ายอยู่ในบ่อน้ำพุ ธรรมชาติของฟลอริดาเป็นเวลากว่าชั่วโมงครึ่ง ถึงอาทิตย์ละ 3 ครั้ง เพื่อดื่มด่ำกับความสุขของวิถีชีวิตแบบเงือก

          โดยเอริคเผยว่า เขารู้สึกมีความสุขอย่างมากที่ได้ใช้ชีวิตแบบเงือก ไม่ว่าจะเป็นการกิน นอน และหายใจแบบเงือก มันเป็นวิถีชีวิตที่เขาได้เลือก ซึ่งทำให้เขารู้สึกราวกับสามารถตัดขาดออกจากโลกได้โดยสิ้นเชิง

"ใน ตอนที่ผมสวมครีบหาง ผมจะรู้สึกเปลี่ยนไป และในตอนที่ได้สัมผัสกับน้ำ ผมจะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังค่อย ๆ หลุดเข้าไปสู่อีกโลกที่ต่างออกไป ซึ่งมันทำให้ผมสามารถหลบหนีออกไปจากโลกเบื้องบนได้"

          อย่างไรก็ดี แม้ว่าวิถีชีวิตของเอริคจะเป็นสิ่งที่แปลกอย่างมาก แต่ครอบครัวและแฟนหนุ่มของเอริคก็ยอมรับในวิถีชีวิตสุดแปลกของเขาได้ โดย แมทธิว คิวจาโน แฟนหนุ่มของเอริคเผยว่า เอริคได้แนะนำให้เขารู้จักกับโลกของเงือกตั้งแต่เดทแรกของพวกเขา

สำหรับ ความหลงใหลในเงือกของเอริคนั้นเริ่มมาตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่ในวัยเด็ก จนกระทั่งเขาอายุ 13 ปี เอริคก็ได้รวบรวมวัสดุจากถุงขยะมาเย็บเข้าด้วยกับเพื่อทำหางของเงือก ซึ่งเขาก็ทำมันได้ดีจนสามารถนำหางนั้นไปขายเพื่อนำเงินมาบริจาคให้แก่สวน สาธารณะได้ และต่อมาเมื่อเอริคอายุ 16 ปี เขาก็ได้สวมชุดเงือกของเขาลงไปแหวกว่ายในน้ำเป็นครั้งแรก

          และในตอนนี้ เอริคก็ได้เปลี่ยนงานอดิเรกสุดรักของเขาให้กลายเป็นธุรกิจแล้ว ด้วยการนำซิลิโคน ยูรีเทน และยางน้ำ มาสร้างสรรค์เป็นชุดว่ายน้ำที่มีสีสันราวกับมีชีวิต โดยที่มีพื้นผิวเป็นเกล็ด และมีครีบ ซึ่งเขาได้บรรยายถึงหางเงือกที่เขาทำขึ้นว่า มันมีลักษณะเหมือนปลาจริง ๆ และเขามีหางไว้พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าทั้งชายและหญิงผู้มีความใฝ่ฝันถึง ชีวิตใต้น้ำแบบเหล่าเงือก และแน่นอน ไม่ว่าใครจะมองอย่างไรมันก็เป็นกิจกรรมที่สนุกและตื่นเต้นอย่างมาก

ที่มา:kapook.com




 

Create Date : 08 เมษายน 2556   
Last Update : 8 เมษายน 2556 19:07:36 น.   
Counter : 3067 Pageviews.  

“วิธีล่าอาหารแบบดั้งเดิม” ที่ยังทำกันอยู่ในปัจจุบัน

ทุกวันนี้บางที่ในโลกผู้คนก็ยังคงหาอาหารด้วยวิธีการแบบดั้งเดิมนั่นคือ การออกล่า แต่เรื่องของเราในวันนี้ไม่ใช่แค่การล่าธรรมดาๆ แต่แบบวิธีการล่าแบบสุดขั้วที่เห็นแล้วจะต้องทึ่งว่า เขาลงทุนกันขนาดนี้เลยหรือนี่

ห้อยตัวจากหน้าผาเพื่อเก็บน้ำผึ้ง

Bees-Nepal-Hunters30

ที่มาภาพ the honey gatherers

การเก็บน้ำผึ้งจากรังผึ้งปกติก็เป็นขั้นตอนอันตรายสำหรับมนุษย์อยู่แล้ว แต่สำหรับหมู่บ้านโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งในประเทศเนปาล การห้อยตัวลงมาจากหน้าผาเพื่อเก็บน้ำผึ้งจากรังของผึ้งนับล้านๆ ตัวที่สร้างอยู่ตามขอบหน้าผานั้น กลับเป็นธรรมเนียมที่ทำกันมานานจนเป็นเรื่องปกติ แน่นอนว่านอกจากอันตรายจากผึ้งแล้ว ยังมีคนจำนวนมากที่ต้องจบชีวิตลงจากการตกหน้าผา และนี่คือสาเหตุที่ชื่อของหน้าผาส่วนใหญ่แถบนั้นตั้งตามชื่อของคนที่เสียชีวิตในจุดนั้นจากความพยายามที่จะไปเก็บน้ำผึ้ง

Bees-Nepal-Hunters24

ที่มาภาพ the honey gatherers

วิธีการเก็บน้ำผึ้งแบบชาวบ้านต้องทำกันเป็นทีม 2 ทีม คือ ทีมบนหน้าผาและทีมบนพื้น ซึ่งแต่ละคนจะต้องมีความเชี่ยวชาญในงานของตัวเอง ขั้นแรกของการเก็บน้ำผึ้งคือการเผาไม้บริเวณฐานของหน้าผาเพื่อให้ควันลอยขึ้นไปยังรังผึ้งและให้ผึ้งหนีออกจากรังก่อน หลังจากนั้น คนที่อยู่บนหน้าผาจะหย่อนบันไดที่ยาวเหยียดลงไปพร้อมกับตะกร้าที่จะใช้เก็บน้ำผึ้ง จากนั้นคนที่อยู่ข้างล่างหน้าผาจะปีนบันไดขึ้นมาพร้อมกับถือไม้ไผ่ยาวๆ เพื่อใช้ในการสอยรังผึ้งมาด้วย

bee

ที่มาภาพ the honey gatherers

คนเก็บรังผึ้งจะมัดตัวเองเข้ากับบันได จากนั้นก็จะใช้ไม้ไผ่แทงสุ่มๆ เข้าไปในรังผึ้งเพื่อให้มันตกลงไปในตะกร้าตามคำบอกทิศทางของคนข้างบนและข้างล่าง คนด้านล่างจะมีหน้าที่คอยเลื่อนบันไดไปทางซ้ายหรือขวา ส่วนคนด้านบนก็มีหน้าที่สาวตะกร้าเก็บรังผึ้งขึ้นไปเมื่อเต็มแล้ว ที่ลำบากที่สุดน่าจะเป็นคนแหย่รังผึ้ง เพราะจะต้องโดนเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาตามหน้าผาพร้อมกับโดนฝูงผึ้งที่กำลังโกรธเกรี้ยวต่อยด้วยตลอดเวลา

การเก็บน้ำผึ้งแบบนี้จะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง และน้ำผึ้งที่ได้คงต้องอร่อยมากทีเดียวถึงยอมลงทุนกันขนาดนี้ ลองเข้าไปดูภาพถ่ายขั้นตอนเต็มๆ ได้ ที่นี่

ขโมยเนื้อจากสิงโต

154639

ที่มาภาพ Cracked

ชนเผ่ามาไซเป็นผู้ค้นพบว่า แทนที่จะออกล่าสัตว์เหมือนอย่างที่บรรพบุรุษเคยทำกันมา การขโมยเนื้อจากสิงโตง่ายกว่ากันเยอะ (รึเปล่า?) เลยได้วิธีการใหม่ในการหาอาหารที่เสี่ยงตายน่าดูแบบนี้แทน

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ การแย่งเนื้อจากสิงโตใช้คนแค่ 3 คนเท่านั้น ชายเผ่ามาไซเหล่านี้จะเดินเรียงหน้ากระดานเข้าไปหาสิงโตอย่างมั่นใจและไม่แสดงความหวาดกลัวแม้แต่น้อย โดยไม่มีทั้งอาวุธและไม่ได้ตะโกนข่มขู่ใดๆ ทั้งสิ้น แต่สิงโตกลับตกใจและถอยหนีไป ทิ้งอาหารที่มันหามาอย่างยากลำบากให้เป็นลาภปากแก่เหล่ามนุษย์ธรรมดาๆ เสียอย่างนั้น

กว่าสิงโตเหล่านี้จะหายงงแล้วนึกขึ้นได้ว่า ตัวเองมีพวกมากกว่าและไม่เห็นต้องไปกลัวกับมนุษย์แค่ไม่กี่คนเลยนี่นา อาหารที่ลืมทิ้งไว้เมื่อกี้ก็โดนขโมยไปจนหมดแล้ว

เก็บเพรียงตามหินชายฝั่ง

1231011223

ที่มาภาพ lasuerteestaechada

ณ ชายฝั่งอันสวยงามของประเทศสเปน มีสถานที่หนึ่งซึ่งเหล่าคนที่ไม่เกรงกลัวต่อคลื่นลมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อเก็บ เพรียงคอห่าน สัตว์ทะเลตัวเล็กๆ ที่ดูยังไงก็ไม่เห็นเหมือนห่านหรือคอห่านเลยสักนิด

percebes4เพรียงคอห่าน

ที่มาภาพ vinosel

เพรียงคอห่าน เป็นวัตถุดิบในการทำอาหารที่มีราคาสูงและเป็นที่นิยมมาก ที่คือเหตุผลว่าทำไมจึงมีคนเสี่ยงชีวิตมากมายเพื่อเก็บมันไปขาย คนเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า “Percebeiros” ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเก็บเพรียงในพื้นที่นี้โดยเฉพาะ

เหล่า Percebeiros จะทำงานเป็นทีมอย่างน้อย 2 คน พวกเขาจะไปที่ชายฝั่ง Galicia ที่มีสภาพเป็นหินขรุขระซึ่งมีเพรียงคอห่านอาศัยอยู่มาก โดยจะพลัดกันฝ่าคลื่นแรงเข้าไปเก็บเพรียงเหล่านี้โดยมีเพียงเชือกหนึ่งเส้นมัดตัวติดไว้เท่านั้น

percebeira1

ที่มา flickr , albertoalonso

แต่ที่อันตรายกว่านั้นคือ ถ้าต้องการเพรียงตัวใหญ่ซึ่งอาศัยอยู่ในส่วนลึกของหมู่หิน Percebeiros จะต้องไต่หินลื่นๆ เหล่านี้เข้าไปเองโดยหวังว่าคงจะไม่ล้มหัวฟาดหินหรือโดนคลื่นซัดตกทะเลไปก่อน และแน่นอนว่ามีเพียงไม่กี่คนที่ยอมเสี่ยงขนาดนี้ ทำให้ความต้องการและราคาของเพรียงคอห่านสูงขึ้นเรื่อยๆ

ประมาณการกันว่า ใน 1 ปี จะมี Percebeiros เสียชีวิตจากการเก็บเพรียงแบบนี้ 5 คน

หาหอยแมลงภู่ใต้พื้นน้ำแข็ง

_50923103_musselgather640bbc

ที่มาภาพ bbc

ชาวพื้นเมืองอินูอิตทางตอนเหนือของประเทศแคนาดามีอาหารหลักก็คือ เนื้อแมวน้ำ เพราะแถบนั้นนอกจากของทะเลแบบนี้แล้วแทบจะหาอะไรกินไม่ได้ แม้แต่พืชผักก็แทบจะไม่ขึ้นในพื้นที่หนาวเย็นแบบนั้น และเมื่อเนื้อแมวน้ำมีไม่พอหรือเมื่อเบื่อกินเนื้อแมวน้ำกันแทบตายแล้ว ชาวอินูอิตก็จะลงไปใต้พื้นน้ำแข็งหนาวเหน็บเพื่อหาหอยแมลงภู่มากินเป็นอาหารแทน

LO-RES-FEA-PHOTOS-MUSSEL-HARVEST-10094A0282หอยแมลงภู่

ที่มาภาพ indian country today media network

ในบริเวณแถบขั้วโลกนั้นผิวน้ำจะเป็นน้ำแข็งตลอดเกือบทั้งปี แต่จะมีบางครั้งเมื่อน้ำลงก็จะเหลือแต่เพียงแผ่นน้ำแข็งปกคลุมอยู่และพื้นข้างล่างก็จะกลายเป็นอุโมงค์แห้งๆ และพวกหอยต่างๆ ก็โผล่ขึ้นมาบนพื้นดิน และในช่วงเวลานี้เองที่ชาวอินูอิตจะขุดน้ำแข็งเพื่อลงไปเก็บหอยขึ้นมา

inuit

ที่มาภาพ bbc , karipearls

ชาวอินูอิตจะมีเวลาประมาณชั่วโมงครึ่งเท่านั้นในการเก็บหอยก่อนที่น้ำทะเลจะขึ้นมาอีกและถ้ำใต้น้ำแข็งก็จะกลายสภาพเป็นกับดักน้ำที่ไม่มีทางออก นอกจากจะเสี่ยงเรื่องเวลาน้ำขึ้นแล้ว ยังต้องคอยลุ้นไม่ให้แผ่นน้ำแข็งข้างบนเกิดถล่มลงมาใส่เพราะไม่มีอะไรรองรับน้ำหนักของน้ำแข็งอยู่เลยในขณะนั้น

การล่าวาฬของชาว Lamalera

WhaleBM_800x477

ที่มาภาพ dailymail

ชาว Lamalera บนเกาะทางตะวันออกของประเทศอินโดนีเซียมีประเพณีการล่าวาฬกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ต่างจากการล่าวาฬในปัจจุบันซึ่งถูกต่อต้านจากหลายประเทศทั่วโลก ชาว Lamalera ล่าวาฬโดยมีเพียงเรือพายกับหอกไม้ไผ่ และไม่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยใดๆ ทั้งสิ้น

ชาว Lamalera จะเริ่มต้นการล่าวาฬด้วยการอยู่บนชายหาดและมองหาวาฬที่อาจหลงมาใกล้ๆ เมื่อพบแล้ว เหล่าชาวเกาะก็จะรีบออกเรือและพายไปยังจุดที่เห็นวาฬ ซึ่งแค่ขั้นตอนพายไปนี้ก็อาจจะกินเวลาหลายชั่วโมง เนื่องจากเรือของชาว Lamalera เป็นเรือแจวธรรมดาๆ ที่ต้องใช้แรงช่วยกันพายไป  และถ้าเรือสามารถเข้าไปใกล้กับวาฬได้มากพอ นักแม่นหอกก็จะหยิบหอกไม้ไผ่ขึ้นมาแล้วพุ่งหลาวลงไป (ทั้งตัว) จนหอกปักโดนวาฬ

whalejumpDM0407_800x384วิธีพุ่งหลาวของแบบชาว Lamalera ที่ถูกต้องต้องบินลงไปทั้งตัวแบบนี้

ที่มาภาพ dailymail

มาถึงตอนนี้ บางครั้งวาฬก็จะดำน้ำหนีไปโดยดึงเรือลงไปด้วย หรือไม่ก็โจมตีเรือจนแตกเสียหาย ถ้าวาฬเกิดหลุดหนีไปได้พวกชาวเกาะก็จะไปตามล่าวาฬตัวต่อไปที่อยู่แถวๆ นั้นแทน (ส่วนมาก กว่าจะจับได้ ก็หลังจากพยายามจับมาแล้วหลายตัว) แต่ถ้าเรือยังคงรอดอยู่และคนบนเรือยังอยู่ดี พวกเขาก็จะช่วยกันแทงและฟันวาฬที่กำลังว่ายไปรอบๆ เรือ แต่โดยส่วนมากแล้วไม่มีใครอยู่บนเรือเท่าไหร่ เพราะเมื่อแทงวาฬได้แล้วครั้งหนึ่งคนบนเรือก็จะพากันดำน้ำลงไปเอามีดหรือหอกแทงวาฬใต้น้ำต่อ

whale

ที่มาภาพ dailymail

สุดท้ายเมื่อวาฬหมดแรงสู้แล้ว ชาวเกาะก็จะลากมันกลับมาเข้าฝั่งพร้อมกับร้องเพลงเพื่อขอบคุณและขอโทษวิญญาณของวาฬที่ล่ามาได้ จากนั้นเนื้อของมันก็จะถูกแจกจ่ายให้กับคนในหมู่บ้านกินเป็นอาหารต่อไป

ที่มา Cracked

แปลและเรียบเรียงโดย
ทีมงาน everyday-readers.com




 

Create Date : 08 เมษายน 2556   
Last Update : 8 เมษายน 2556 18:52:24 น.   
Counter : 2695 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  

เหมียวกุ่ย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




ยินดีต้อนรับพี่ๆน้องๆทุกท่านเข้าเยี่ยมชม เว็บบล็อคแห่งนี้ หวังว่าทุกท่านจะมีความสุขในการชมบล็อคของกระผมนะครับ










View My Stats
New Comments
[Add เหมียวกุ่ย's blog to your web]