ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บบอร์ด Thailand Aquatic Pets เว็บบล็อคสำหรับ คนรักสัตว์น้ำ ( และ สัตว์ที่อยู่ในน้ำ ) ประเทศไทยจ้า

การ์ตูน : คนกับสัตว์ต่างกันอย่างไร ?

ดูภาพแล้วน่ารักดี และ ได้ข้อคิดด้วยเด้อครับเด้อ



เครดิต : //p-achblog.exteen.com




 

Create Date : 10 ตุลาคม 2554   
Last Update : 10 ตุลาคม 2554 13:26:52 น.   
Counter : 2678 Pageviews.  

"แมงกะพรุน" บุกอ่าวสัตหีบ นอภ.เตือนนักเที่ยวเล่นน้ำระวังแพ้พิษ



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในอ่าวสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ได้มีแมงกะพรุน ชนิดแมงกะพรุนถ้วย บุกเข้ามาจำนวนมาก ลอยตัวดาษดื่นแพร่กระจายในวงกว้างไปทั่วอ่าว ทำให้ชาวประมงน้ำตื้นจำนวนมากหวาดกลัว และส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำสะอาด หาดสวยในพื้นที่สัตหีบ

โดยเฉพาะหาดกองเรือยุทธการ หาดหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อ่าวเตยงาม และอ่าวดงตาล ไม่กล้าลงเล่นน้ำทะเลกัน แต่ก็มีนักท่องเที่ยวบางส่วนไม่กลัว เพราะรู้ว่าแมงกะพรุนถ้วย มีพิษไม่ร้ายแรง ถ้ามีการแพ้พิษก็สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเองได้ โดยใช้ธรรมชาติบำบัด ก็คือต้นและใบผักบุ้งทะเล ที่กองทัพเรือปลูกอนุรักษ์ไว้ตามชายทะเลทั่วไปในพื้นที่อำเภอสัตหีบ

นายสมชาย จิตประจง หรือมืด อายุ 45 ปี อยู่บ้านเช่าไม่มีเลขที่ ซอยเย็นฤดี หมู่ที่ 6 ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ ชาวประมงน้ำตื้นหากินแนวชายฝั่ง กล่าวว่า วันนี้ได้มีเพื่อน ๆ บอกว่าได้มีปลากระบอก จำนวนมากเข้ามากินอาหารที่บริเวณหาดดงตาล หน้าที่ว่าการอำเภอสัตหีบ จึงได้นำอวนมาล้อมปลา ปรากฎว่าได้พบแมงกะพรุนถ้วย เป็นจำนวนมากมาก นับแสน นับล้านตัวภายในอ่าวสัตหีบ ซึ่งไม่เคยเห็นมีจำนวนมากอย่างนี้มาก่อน น่าจะเป็นลางบอกเหตุ หรือปรากฏการณ์ในทะเล

โดยเฉพาะคลื่นลมทะเล ด้านนอกอาจรุนแรง หรืออาจเกิดภัยพิบัติ ซึ่งขณะที่ลงไปล้อมปลา ก็เกิดอาการคันผิวหนังไปทั้งตัว โชคดีที่ตัวเองไม่แพ้พิษแมงกะพรุนถ้วย แต่ถ้าเป็นแมงกะพรุนไฟ สงสัยต้องเข้าโรงพยาบาลแน่นอน

หลังทราบข่าวว่าได้มีแพงกะพรุนนับล้านตัวบุกอ่าวสัตหีบ ทำให้ นายชายชาญ เอี่ยมเจริญ นายอำเภอสัตหีบ ได้นำหัวหน้าส่วนราชการโดยเฉพาะ ประมงอำเภอสัตหีบ ลงไปตรวจสอบ บริเวณอ่าวดงตาล ด้านหน้าที่ว่าการอำเภอสัตหีบและทั่ว ๆ ไป ปรากฏว่าได้พบแมงกะพรุนชนิดถ้วย ลอยดาษดื่นบนผิวน้ำ ไล่จับสัตว์เล็ก ๆ เป็นอาหาร ทำให้ดูฝักใฝ่ หนาแน่น ถ้าดูอย่างมีศิลปะก็จะดูน่ารัก แต่ถ้าจะมองในเรื่องอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับประมงน้ำตื้น และนักท่องเที่ยว คงต้องให้มีการระมัดระวังอย่างมาก

เพราะปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงช่วงระยะหนึ่งที่อ่าวสัตหีบ เกิดความอุดมสมบูรณ์อย่างมาก มีแพลงค์ตอนตัวเล็กเข้ามาในช่วงฤดูกาล ที่น้ำเปลี่ยน ทำให้เป็นแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ของสัตว์น้ำชายฝั่ง อีกทั้งสัตว์ทะเลที่อาศัยอยู่ตามแนวปะการัง โขดหินแนวเกาะ แก่งต่าง ๆ ในอ่าวสัตหีบ ก็จะเข้ามากินแพลงค์ตอนจำนวนมาก ส่งผลให้ประมงชายฝั่งหาปลาไปเป็นอาหาร และจำหน่ายเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัวได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย ปรากฏการณ์นี้ก็คงใช้เวลาเพียงประมาณ 10 วัน ถ้ามีการถ่ายเทน้ำลงมาก็จะหมดไป แพงกะพรุนก็จะเคลื่อนย้ายตัวเองไปหากินที่อื่นต่อไป

ส่วนทางด้าน พลเรือโท ชุมพล วงศ์เวคิน ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 กองทัพเรือ อำเภอสัตหีบ กล่าวว่า ทัพ เรือภาคที่ 1 ได้ดำเนินโครงการอนุรักษ์หญ้าทะเลตามแนวชายฝั่งทะเล เพื่อไว้เป็นแหล่งอาหารของพะยูน ที่หมุนเวียนเข้ามาตามฤดูกาลในอ่าวสัตหีบ อีกทั้งได้มี กองสนับสนุน กองเรือยุทธการ ที่รับผิดชอบอ่าวกองเรือยุทธการ, ฐานทัพเรือสัตหีบ รับผิดชอบหาดแหลมเทียน ,หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน รับผิดชอบอ่าวเตยงาม ,หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง รับผิดชอบหาดเทียนทะเล ได้ร่วมกันปลูกและอนุรักษ์ผักบุ้งทะเลตามแนวชายหาดไว้จำนวนมาก เพื่อไว้แก้พิษร้ายจากแมงกะพรุนนานาชนิด โดยเฉพาะแมงกะพรุนไฟที่เป็นอันตรายที่สุด

ทั้งนี้ ผักบุ้งทะเล เป็นไม้ล้มลุกเถาเลื้อย ลำต้นทอดไปตามยาวบนพื้นดิน มักขึ้นใกล้ทะเล ผิวเถาเรียบสีเขียวและม่วง ใบเป็นรูปหัวใจปลายเว้าเข้าหากัน ตามเถาและใบมียางสีขาว ดอกจะออกเป็นช่ออยู่ตามง่ามใบ ช่อหนึ่ง จะมีดอกอยู่ประมาณ 2-6 ดอก แต่จะทยอย กันบานทีละดอกเท่านั้น ลักษณะของดอกเป็น รูปปากแตร ยาวประมาณ 2.5 นิ้ว มีสีม่วงอมชมพู ม่วงอมแดง ชมพูหรือม่วง ผักบุ้งทะเลมีพิษ ถ้ารับประทานจะเกิดอาการเมา คลื่นไส้ วิงเวียน เพราะมีสารที่มีฤทธิ์ต้านฮีสตามีน หรือแอนตี้-ฮีสตามีน แต่สามารถยับยั้งพิษแมงกะพรุน และแมลงกัดต่อยได้ โดยใช้ใบและเถาล้างให้สะอาดแล้วเอาไปโขลกให้ละเอียด คั้นเอาน้ำทาในบริเวณที่เกิดอาการบวมแดง เพียงไม่นานก็จะหายเป็นปกติ ถ้าจะให้ดีต้องอาบน้ำจืด ฟอกด้วยสบู่ ด้วยก็จะดีมาก

เครดิต : //www.jobmarket.co.th/news/detail.php?theme=1&dd=5193




 

Create Date : 10 ตุลาคม 2554   
Last Update : 10 ตุลาคม 2554 13:15:19 น.   
Counter : 2531 Pageviews.  

10 อันดับศิลปะการต่อสู้แห่งเอเชีย


ทีมงาน Toptenthailand.com ขอเสนอ "10 อันดับศิลปะการต่อสู้แห่งเอเชีย " เชิญชมกันได้เลยว่ามีศิลปะการต่อสู้อะไรติดกันบ้าง
10 เคนโด้

เคนโด้ (ญี่ปุ่น: 剣道) เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวของประเทศญี่ปุ่น เคนโด้ มีความหมายว่า"วิถีแห่งดาบ" มีพื้นฐานมาจากการใช้ดาบของพวกซามูไรในสมัยก่อน สืบทอดมากันประมาณ พ.ศ. 1332 เป็นวิชาที่ใช้ดาบไม้ไผ่ ในการฝึก ด้วยกระบวนท่าการต่อสู้ที่รวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด ต่อเนื่อง จึงเป็นที่นิยมไปกว่า เกือบ 30 ประเทศทั่วโลก




9 ปันจักสีลัต

ปัน จักสีลัต (Pencak Silat) เป็นคำที่มาจากภาษาอินโดนีเซียมาจากคำว่า ปันจัก (Pencak) หมายถึงการป้องกันตนเอง และคำว่า สีลัต (Silat) หมายถึงศิลปะ รวมความแล้วหมายถึงศิลปะการป้องกันตนเอง กีฬาประเภทนี้เดิมเป็นศิลปะการต่อสู้ของคนเชื้อสาย มลายู ในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน และพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย คือ ปัตตานี ยะลา สตูล นราธิวาส และสงขลา เรียกว่า “สิละ” “ดีกา” หรือ “บือดีกา” เป็นศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าเท้าเปล่า เน้นให้เห็นลีลาการเคลื่อนไหวที่สวยงาม มีบางท่านกล่าวว่า สิละมีรากคำว่า ศิละ ภาษาสันสกฤต




8 มวยจีน(ไทเก๊ก, วูซู, กังฟู))

วู ซู มาจากภาษาจีนกลางว่า "อู่ซู่" หรือที่คนไทยรู้จักกันในนามของ "กังฟู" คือ วิชาว่าด้วยการใช้เทคนิค ในการเข้าปะทะต่อสู้เป็นสาระสำคัญ มีรูปแบบการร่ายกระบวนยุทธ และชั้นเชิงต่อสู้เป็หลักในการฝึก ทั้ง มีหลักศิลปะกายบริหารที่สืบทอดกันมา โดยมุ่งเน้นการประสานพลังภายในและภายนอก อันเป็นจุดเด่นของ วิทยาการวูซู




7 ยูยิตสู

ยู ยิสสู ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่า ศิลปะแห่งความอ่อน เป็นชื่อเรียกของศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่น โดยบางครั้งอาจจะถูกเรียกด้วยชื่ออื่น ๆ เช่น ยาวารา (yawara) , ไทจุสสุ (taijutsu) ประวัติที่มาของยูยิสสูนั้นไม่ชัดแจ้ง โดยมากกล่าวกันว่าถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงยุคของสงครามสมัย ระหว่างศตวรรษที่ 8 ถึง 16 เนื่อง จากเป็นยุคสมัยสงครามทำให้เกิดวิชาใหม่ ๆ ขึ้นมาจำนวนมาก ในอดีตประเทศญี่ปุ่นมีสำนักยูยิสสูอยู่หลายร้อยสำนัก โดยแต่ละสำนักมีแนวทางในการฝึกของตัวเอง โดยมากจะรับอิทธิพลมาจากศิลปะการต่อสู้โบราญของซามูไรที่เรียกกันว่า ไทจุสสุ ซึ่งหมายถึงศิลปะการใช้ร่างกาย โดยยูยิสสูนั้นเป็นชื่อเรียกกลางที่ใช้เรียก ศิลปะการต่อสู้มือเปล่าอีกชนิดหนึ่งนั่นเอง




6 คาราเต้

คาราเต้ เป็นศิลปะป้องกันตัวที่พัฒนามาจากศิลปะการต่อสู้ของชาวญี่ปุ่นใน หมู่เกาะริวกัว และจากทักษะการต่อสู้แบบจีน หรือมวยได้คาราเต้เป็นวิถีเเห่งการดึงพลังจากส่วนต่างๆ ของร่างกายมารวมให้เป็นหนึ่งในการต่อสู้โจมตี เช่น หมัดเข่า ศอก โดยใช้มือ เปล่า ปราศจากอาวุธ แต่เป็นการใช้เทคนิคในการสร้างพลังมือเปล่าแทนอาวุธและโล่ห์ การฝึกหัดคาราเต้บางสำนักอาจมีท่าพื้นฐาน ท่าต่อสู้ หรือท่ารำเเตกต่างกันไป เช่น การหน่วงเหนี่ยว การปล้ำ การผลัก การจับยึด




5 เทควันโด

แต่ เดิมสมาคมเทควันโดแห่งสาธารณรัฐเกาหลีได้ดำเนินการสนับสนุนให้เทควันโด แพร่หลายไปทั่วโลก มีการจัดตั้งสมาคมเทควันโดขึ้นในประเทศต่างๆ มีการพัฒนารูปแบบการฝึกออกไปมากมายทำให้ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกันจนกระทั่ง * พ.ศ. 2515 ก่อตั้งสหพันธ์เทควันโด ( The World Taekwondo Federation : WTF) ที่ทำการใหญ่อยู่ที่สำนักคุกคิวอน กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ประธานสหพันธ์คนแรก คือ ดร. ยุน ยอง คิม * พ.ศ. 2516 การแข่งขันกีฬาเทควันโดโลกครั้งแรก และจัดเป็นประจำทุกๆ 2 ปี พ.ศ. 2529 บรรจุกีฬาเทควันโดในเอเชี่ยนเกมส์ * พ.ศ. 2531 บรรจุกีฬาเทควันโดในกีฬาโอลิมปิก พ.ศ. 2510 เปิดสอนเทควันโดในประเทศไทยที่วายเอ็มซีเอ ราชกรีฑาสโมสรกรุงเทพฯ ในฐานทัพทหารสหรัฐอเมริกาที่ตาคลี นครราชสีมา อุดรธานี อุบลราชธานีและสัตหีบ * พ.ศ. 2516 เปิดสอนเทควันโดที่ราชกรีฑาสโมสร พ.ศ. 2519 เปิดสำนักขึ้นที่โรงเรียนศิลปป้องกันตัวอาภัสสา ถนนเพลินจิต * พ.ศ. 2521 ก่อตั้งสมาคมส่งเสริมศิลปป้องกันตัวเทควันโด ณ โรงเรียนอาภัสสา โดยมีนายสรยุทธ ปัทมินทร์วิโรจน์ เป็นนายกสมาคมฯคนแรก ต่อมาสมาคมฯ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น สมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย




4 ยูโด (Judo)

ยูโด (Judo) เป็นศิลปะการป้องกันตัวประเภทหนึ่งที่ถือกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ปัจจุบันมีผู้นิยมฝึกหัดเล่นกันอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก ยูโดเป็นรูปแบบของการป้องกันตัวเป็นศิลปะส่วนหนึ่งของชาวญี่ปุ่นที่มีการดัด แปลงปรับปรุงแก้ไขให้ทันสมัย นอกจากจะเป็นการฝึกเพื่อป้องกันตัวเองแล้วยังเป็น การบริหารร่างกาย เพื่อให้ เกิดความแข็งแรง ฝึกสมาธิให้มั่นคง ผู้ฝึกจะได้รับประโยชน์ทั้งด้านร่างกาย และสมาธิด้านจิตใจอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการจู่โจมคู่ต่อสู้ หรือการตั้งรับ ยูโดมีชื่อเต็มว่า โคโดกัน ยูโด (Kodokan Judo) เดิมทีเดียวเรียกกันว่า ยูยิตสู (Jiujitsu) ซึ่งเป็นวิชาที่สามารถต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่มีอาวุธด้วยมือเปล่าและเป็นการ ทำลายจุดอ่อนของคู่ต่อสู้




3 คูราช (Kurash)

คูราช (Kurash) เป็น กีฬาพื้นบ้านของอุซเบกิสถาน ที่ได้มีการปรับปรุงรูปแบบการเล่นให้เป็นแบบสากลหลักการพื้นฐานของกีฬาชนิด นี้มีลักษณะผสมผสานระหว่างมวยปล้ำกับยูโด โดยแบ่งผู้แข่งขันเป็น 2 ฝ่าย สู้กันบนเวทีสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาด 15 x 15 เมตร คู่ต่อสู้จะต้องทุ่มอีกฝ่ายหนึ่งให้ล้มลงกับพื้นให้ได้ภายในเวลา 4 นาที สำหรับผู้ชาย และ 3 นาทีสำหรับผู้หญิง การให้คะแนน แบ่งเป็น * คาลาล ทุ่มคู่ต่อสู้ลงให้หลังแนบพื้นโดยสมบูรณ์ ผู้ที่ทำได้จะชนะทันที * ยอนบอส ทุ่มแล้วสีข้างหรือด้านข้างลำตัวของคู่ต่อสู้แนบพื้นอย่างสมบูรณ์ จะได้ 1 คะแนน หากทำคะแนนแบบยอยบอสได้ 2 ครั้งจะเท่ากับ 1 คาลาล ถือว่าชนะทันที * ชาล่า ทุ่มแล้วทำให้ก้นหรือหลังหรือท้องหรือสีข้างกระทบพื้นแต่ไม่สมบูรณ์ คะแนนแบบชาล่าไม่ทำให้การแข่งขันยุติ แต่จะใช้ตัดสินเมื่อหมดเวลา




2 KICK BOXING

คิก บ๊อกซิ่งเป็นกีฬาที่ใช้ศิลปะการป้องกันตัวแบบการชกมวยทั่วไปแต่สามารถ ใช้เท้าเตะได้ด้วย คิกบ๊อกซิ่งเป็นกีฬามวยที่ใช้อวัยวะได้ทุกส่วน โดยนักกีฬาเน้นการใช้อุปกรณ์ป้องกันอวัยวะและใส่อุปกรณ์นั้นเวลาแข่งขัน เช่น นักกีฬาชายใส่กางเกงนักมวย ไม่ใส่เสื้อแต่มีอุปกรณ์ป้องกัน ที่แก พันมือ นวมชกมวย เครื่องสวมศีรษะ เป็นต้นมักมีการสับสนระหว่างคิกบ๊อกซิ่งและมวยไทยกีฬาทั้งสองเป็นการชกมวย เช่น กัน เเต่มีความแตกต่างที่มวยไทยสามารถเตะใต้เข็มขัดได้ สามารถใช้ศอกและเข่าในการเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ แต่คิกบ๊อกซิ่ง ไม่สามารถใช้ได้




1 มวยไทย

มวย ไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในเชิงกีฬาและ การต่อสู้จริง ๆ ศิลปะประเภทนี้มีมาตั้งแต่โบราณกาลบรรพบุรุษของชาติไทยได้ฝึกฝนอบรมสั่ง สอนกุลบุตรไว้เพื่อป้องกันตัวและ ป้องกันชาติ บรรดาชายฉกรรจ์ของไทยได้รับการ ฝึกฝนวิชามวยไทยแทบทุกคน นักรบผู้กระเดื่องนามทุกคนต้องได้รับการฝึกฝนอบรมศิลปะประเภทนี้อย่างชัดเจน ทั้งสิ้น เพราะการใช้อาวุธรบในสมัยโบราณเช่น กระบี่ พลอง ดาบ ง้าว ทวน ฯลฯ ถ้ามีความรู้วิชามวยไทยประกอบด้วยแล้ว จะทำให้เกิด ประโยชน์มากที่ สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เข้าสู้ติดพันประชิดตัวก็จะได้อาศัยใช้อวัยวะ บาง ส่วนเข้าช่วย เช่น เข่า เท้า ศอก เป็นต้น แต่เดิมมาศิลปะมวยไทยที่มีชั้นเชิงสูงมักจะฝึกสอนกันในบรรดาเจ้านายชั้น ผู้ใหญ่หรือเฉพาะพระมหากษัตริย์และขุนนาง ฝ่ายทหารเท่านั้น ต่อมาจึงได้แพร่หลายไปถึงสามัญชน ซึ่งได้รับการถ่ายทอดวิทยาการจากบรรดาอาจารย์ ซึ่งเดิมเป็นยอดขุนพล หรือนักรบมาแล้ว วิทยาการจึงได้แพร่หลายและคงอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้


เครดิต : //www.toptenthailand.com




 

Create Date : 10 ตุลาคม 2554   
Last Update : 10 ตุลาคม 2554 13:11:13 น.   
Counter : 1813 Pageviews.  

ตึกช้างเจ๋ง! ซิวที่ 4 ใน 20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก


29

เว็บไซต์ ซีเอ็นเอ็นโก ได้รวบรวม20 ตึกสูงที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดของโลก ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของนายยูจีน โคฮ์น ผู้ก่อตั้งสมาคมโคฮ์น พีเดอเซน ฟอก และนายไมเคิล กรีน ประธานคนปัจจุบัน ซึ่งได้ร่วมให้คำนิยามของตึกทั้ง 20 อันดับไว้ ดังนี้

20 สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ของโลก

อันดับที่ 1 คือ ตึกเอ็มไพรส์ สเตท ในรัฐนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา
ตึกนี้ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 1 ปี 45 วัน มีความสูง 437 เมตร งบประมาณก่อสร้าง 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1931



อันดับที่ 2 คือ ตึก CCTVสำนักงานใหญ่ ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
ตึกนี้เป็นตึกที่มีความโดดเด่นมากในปักกิ่ง สูง 234 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้าง 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างเสร็จในเดือนมกราคม ปี 2008



อันดับที่ 3ได้แก่ ตึกสำนักงานใหญ่คอมเมิร์ซแบงก์ ในเมืองแฟรงค์เฟิร์ส ประเทศเยอรมนี
เป็นตึกที่สุงที่สุดในเยอรนีและสูงเป็นอับดับสองใน ทวียุโรป ด้วยความสูง 300.1 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้าง 414 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างเสร็จในปี 1997


อันดับที่ 4 ได้แก่ ตึกช้าง กรุงเทพฯ ประเทศไทย
มีความสูง 102 เมตร สร้างเสร็จในปี 1997
ด้วยรูปลักษณ์ของช้าง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของคนไทย และเป็นสัตว์ที่อยู่ในประวัติศาสตร์ไทยด้วย และความสูงโดดเด่นทำให้ตึกช้างกลายเป็นที่สะดุดตาแก่ผู้ที่ผ่านไปมา แม้ว่าตึกช้างจะไม่ได้มีความสวยงามดังเช่นตึกอื่นๆที่ติดอันดับ แต่คงไม่ปฏิเสธว่าคนจะเหลือบมองทุกครั้งที่ผ่านไปแถวตึกช้าง


อันดับที่ 5 คือ ตึกไบเทกซ์โกไฟแนนเชียลทาวเวอร์ เมืองโฮจิมิน ประเทศเวียดนาม
เป็นตึกที่มีความเร็วของลิฟท์เป็นอับดับ 3 ของโลก ด้วยความเร็ว 7 ชั้นใน 1 วินาที มีความสูง 262 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้าง 96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อสร้างเสร็จเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2010



อันดับที่ 6 คือ พีรมิดทรานส์อเมริกา รัฐซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
สูง 260 เมตร งบประมาณก่อสร้าง 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อสร้างเสร็จในปี 1972



อันดับที่ 7 ได้แก่ ตึกธนาคารแห่งประเทศจีน ที่ฮ่องกง
เป็นตึกแรกที่สูงที่สุดในโลก นอกเหนือจากตึกในสหรัฐอเมริกา สูง 305 เมตร ก่อสร้างเสร็จในเดือน พฤษภาคม ปี 1990


อันดับที่ 8 คือ คิงดอม เซ็นเตอร์ กรุงริาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย
เป็นตึกที่สร้างไว้สำหรับผู้หญิง คือ มีธานาคและสุเหร่าสำหรับผู้หญิง มีความสูง 302 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้างทั้งหมด 458 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างเสร็จในปี 2002



อันดับที่ 9 คือ ตึกแฝดปิโตรนาส กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
มีความสูง 452 เมตร ใช้งบก่อสร้างถึง 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน ปี 1996


อันดับที่ 10 คือ ตึกTokyo Mode Gakuen Cocoon Tower ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
เป็นตึกสถาบันการศึกษาที่สูงที่สุดเป็นอับดับ 2 ของโลก ด้วยความสูงถึง 204 เมตร สร้างแล้วเสร็จในเดือน ตุลาคม ปี 2008



อันดับที่ 11 ได้แก่ ตึกตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
เป็นตึกที่มีรูสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่อยู่ตรงจุดสูงสุดของตึกเพื่อลดความกดอากาศ มีความสูงถึง 492 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้าง 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างเสร็จในเดือนสิงหาคม ปี 2008


อันดับที่ 12 ตกเป็นของ โรงแรมแกรนด์ลิสบัว มาเก๊า
เป็นตึกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากขนนกที่ประดับบนศีรษะหญิงสาวชาวบราซิล มีความสูง 261 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้างจำนวน 385 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างแล้วเสร็จในปี 2008



อันดับที่ 13 คือ ตึกบาห์เรน เวิล์ดเทรด เซ็นเตอร์ เมืองมานามา ประเทศบาห์เรน
เป็นตึกที่มีช่องลมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีความสูง 240 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้าง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างแล้วเสร็จในปี 2008


อันดับที่ 14 ได้แก่ Two International Finance Center ฮ่องกง
เป็นตึกที่แสดงศักยภาพด้านการเงินของฮ่องกง มีความสูง 415 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้าง 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อสร้างเสร็จในเดือน สิงหาคม ปี 2008



อันดับที่ 15 คือ โรงแรมบูร์จอัลอาหรับ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เป็นโรงแรมเดียวในโลกที่ได้รับมาตรฐาน 7 ดาว และเป็นโรงแรมที่สูงที่สุดเป็นอับดับที่ 4 ของโลก ด้วยความสูงถึง 321 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้างทั้งหมด 650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม ปี 1999



อันดับที่ 16 คือ ตึกไทเป 101 กรุงไทเป ไต้หวัน
เป็นตึกที่สร้างเลียนแบบการเติบโตของต้นไผ่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญงอกงามอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในวัฒนธรรมจีน มีความสูงถึง 508 เมตร ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างแล้วเสร็จในปี 2004



อันดับที่ 17 ได้แก่ ตึกโตรเล อักบา เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน
เป็นตึกที่สร้างเลียนแบบการพุ่งของน้ำพุร้อน มีความสูง 142 เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้าง 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างแล้วเสร็จในปี 2004



อันดับที่ 18 คือ เบร์จคาลิฟา นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงถึง 828 เมตร และยังเป็นที่ตั้งของสุเหร่าที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย ใช้งบประมาณก่อสร้างทั้งหมด 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างแล้วเสร็จในเดือนมกราคม ปี 2009



อันดับที่ 19 คือ เซนต์แมรี่ แอ็กซ์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เป็นตึกสูงทรงโค้ง มีเลนส์กระจกอยู่ที่บนยอดตึก มีความสูง 180 เมตร ใช้งบประมาณมากถึง 212 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างแล้วเสร็จในปี 2003



และอับดับที่ 20 ได้แก่ ตึกเทิร์นนิ่ง ทอร์โซ เมืองเมลโม ประเทศสวีเดน
เป็นตึกทีได้รับแรงบันดาลใจจากการเคลื่อนไหวของสัตว์และมนุษย์ มีความสูง 190 เมตร ใช้งบประมาณเพียง 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างแล้วเสร็จในปี 2005


เครดิต : //news.mthai.com




 

Create Date : 09 ตุลาคม 2554   
Last Update : 9 ตุลาคม 2554 12:32:56 น.   
Counter : 1607 Pageviews.  

9 เรื่อง ที่มีแต่ประเทศไทยเท่านั้น Thailand Only !



1. ประเทศไทย….ทำไมมีสีประจำวัน ?
ขอบอกว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่รู้มาก่อนเลยจริง ๆ จนวันหนึ่งซึ่งเป็นวันศุกร์ใส่เสื้อสีฟ้า ก็มีเพื่อนต่างชาติคนนึงถามว่าทำไมใส่เสื้อสีฟ้าล่ะ ก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไร จริง ๆ ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ก็แค่ใส่แล้วสวย (กล้าพูด) เลยตอบไปว่า ก็วันนี้เป็นวันศุกร์ไงล่ะ เพื่อนก็งงใหญ่ว่า แล้วทำไมล่ะ วันศุกร์เกี่ยวอะไรกับสีฟ้า สรุปคุยกันยาวววจนสรุปได้ว่า ที่ประเทศอื่น ๆ เค้าไม่ค่อยมีสีประจำวันเหมือนบ้านเรา ที่วันจันทร์สีเหลือง วันอังคารสีชมพู เอ๊ะ แล้วใครเป็นคนคิดริเริ่มให้มีสีประจำวันนะ?

2. ประเทศไทย….ทำไมดื่มน้ำอัดลม/เบียร์ ต้องใส่น้ำแข็ง
อันนี้หลายคนคงอาจจะเคยได้ยินมาจากเดี่ยว 8 แล้ว (ฮามาก) เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมต่างประเทศเค้าถึงดื่ม น้ำอัดลมกันแบบไร้น้ำแข็งได้ ซึ่งในทางกลับกับ คนต่างชาติ เค้าก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมคนไทยถึงต้องดื่มแบบใส่น้ำแข็งด้วยล่ะ ก็แหม…ประเทศเราเมืองร้อนนี่คะ เอะอะอะไรก็ใส่น้ำแข็งไว้ก่อน 555+

3. ประเทศไทย….ทำไมกินข้าวโพดเป็นของหวาน ?
ประเทศแถบตะวันตกพวกยุโรป อเมริกา เค้าไม่ถือว่าข้าวโพดเป็นของหวาน แต่ถือว่าเป็นของคาว น้อยคนมาก ๆ ที่จะเอามานั่งแทะกินเปล่า ๆ หรือหากเอาไปใส่ไอศกรีมนี่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกมาก แต่คนไทยเราเอามานั่งแทะ ๆ กันจนฟันเหยินซะงั้น แทะไป ดูหนังไป เพลินจะตาย

4. ประเทศไทย….ทำไมอะไร ๆ ก็ ต้องใส่ซอส ?
ไม่ว่าจะกินอะไร ตั้งแต่ไข่เจียว แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า ไก่ ทอด คนไทยเราต้องมีซอสหรือมีน้ำจิ้มไว้เคียงคู่เสมอ แต่สำหรับในบางประเทศเค้าถือว่าเป็นเรื่องไม่สุภาพเพราะคนทำอาจจะน้อยใจได้ว่า เอ๊ะ ทำไมต้องใส่น้ำจิ้มอีกล่ะ ที่ฉันทำไปมันไม่อร่อยเหรอ? โดยเฉพาะในร้านอาหารใหญ่ ๆ เช่น ถ้าสั่งพิซซ่ามาแล้วดันไปขอซอสเพิ่ม พ่อครัวอาจจะค้อนใส่ได้นะ

5. ประเทศไทย….ทำไมคนไทยเก่งเลขจัง ?
เพราะคนไทยชอบจั่ว … เอ๊ย ไม่ใช่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้ยิน มาหนาหูมาก ๆ ว่า ถ้าเทียบกับพวกฝรั่งแล้ว คนไทยถือว่าเก่งเลขมาก ๆ โดยเฉพาะน้อง ๆ นักเรียนแลกเปลี่ยนชอบมาเล่าให้พี่เป้ ฟังว่า ‘เลข ม.ปลายที่นั่นง่ายประมาณ ม.1ของที่ ไทยเลยค่ะพี่ หนูชอบเรียนเลขเพราะมันง่ายมาก’ เวลา เพื่อนฝรั่งเห็นเราแก้สมการซับซ้อนได้ ทุกคนก็จะ โอ้โห อู้หู amazing thailand จริง ๆ !

6. ประเทศไทย….ทำไมไม่คิดค่า ถุงหิ้ว ?
เวลาที่เราไปซื้อของในหลาย ๆ ประเทศทั้งในยุโรปและเอเชีย บางประเทศนั้น ตามร้านค้าต่าง ๆ เค้าคิดค่าถุงหิ้วกันด้วยนะคะ เช่น ถ้าในยุโรปก็จะประมาณ 10 เซนต์ ในเกาหลีใต้ก็จะ 10 วอน อะไรทำนองนี้ค่ะ (อะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นไปเพื่อรณรงค์การลดโลกร้อนนั่นเอง

7. ประเทศไทย….ทำไมมีวิธีอาบน้ำสารพัด ?
อย่างที่รู้ ๆ ว่าฝรั่งไฮโซอาบน้ำกันด้วยฝักบัว ไม่ก็รองน้ำใส่ อ่างแล้วลงไปแช่ แต่คนไทยไม่น้อยหน้าใคร นอกจากฝักบัว หรืออ่างแล้ว เรายังมีขันไว้ตักอาบ มีตุ่มไว้ลงไปแช่อีกด้วย 5555+ เย็นสบาย !!…..มีเพื่อนคนนึงอยู่ต่างจังหวัด เคยรับเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนจากอเมริกามาที่บ้าน (สมมติว่าชื่อซูซี่) พอถึงเวลาอาบน้ำ ก็พาซูซี่ไปหลังบ้านซึ่งมีตุ่มใส่น้ำและขันวางไว้ ซูซี่ก็บอก OK I see Don’t worry ไออาบน้ำได้เอง สบายมาก ยูไม่ ต้องห่วง จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ซักพัก 10 นาทีต่อมา เพื่อนก็เดินกลับไปตามซูซี่ ปรากฏว่า !! ภาพที่เห็นคือน้องซูซี่เล่นลงไปในว่ายน้ำอยู่ในตุ่ม ซะงั้น 55555 สรุปว่าตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีในเมืองไทย ตุ่มนั้นก็ตกเป็นสมบัติของน้องซูซี่ไปโดยปริยาย

8. ประเทศไทย….ทำไมคนไทยต่อราคากันเก่งจัง ?
เรื่องต่อราคานี่ต้องยกให้คนไทยเลยจริง ๆ ต่อได้ต่อดี จาก 99 ต้องเป็น 90 …. จาก 49 ต้องเป็น 40 ….จาก 19 ก็ยังจะต่อให้ได้เป็น 2 อัน 35 ได้มั้ยพี่ ? จนฝรั่งหรือชาติอะไรต่ออะไรที่มาเที่ยวเมืองไทยก็เริ่มจะติดนิสัยนี้ไปด้วยแล้วล่ะค่ะ เผลอ ๆ เดี๋ยวนี้ฝรั่งต่อราคาเก่งกว่าคนไทยซะอีกแน่ะ ถือว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามคนไทยละกันนะ

9. ประเทศไทย….ทำไมกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันเปล่า ๆ แบบไม่ต้ม ?
เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่คงฟังกันมาแล้วจากเดี่ยว 8 …. ขอย้ำกันให้ชัด ๆ เลยว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยอร่อยที่สุดในโลก ต้มก็อร่อย กินเปล่า ๆ ใส่พริกใส่น้ำมัน บีบให้แตกแล้วมาจกกินนี่ก็อร่อยสุดๆ เพราะบะหมี่ของเราเส้นเล็ก แต่บะหมี่ของพวกญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกงอะไรอย่างนี้เส้นมันจะใหญ่และหนามาก ๆ เอามากินเปล่า ๆ ไม่ได้แน่นอน แถมยังมีจำกัดแค่ไม่กี่รส เช่น รสไก่ รสต้มยำ รสกิมจิ แต่ของเมืองไทยนี่มีตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ หมูสับ ต้มยำ เป็ดพะโล้ เย็นตาโฟ หมูน้ำตก สุกี้ ต้มโคล้ง พริกเผา โอ๊ยยย…สารพัด สามารถกินได้ไปเป็นเดือน ๆ โดยไม่ซ้ำรส (ถ้าผมไม่ร่วงหมดหัวซะก่อน)


เครดิตบทความ :

พี่เป้ เว็บเด็กดี และ //www.thailandonly.in.th/archives/38/9-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-thailand-only/




 

Create Date : 09 ตุลาคม 2554   
Last Update : 9 ตุลาคม 2554 12:30:32 น.   
Counter : 1264 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  

เหมียวกุ่ย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




ยินดีต้อนรับพี่ๆน้องๆทุกท่านเข้าเยี่ยมชม เว็บบล็อคแห่งนี้ หวังว่าทุกท่านจะมีความสุขในการชมบล็อคของกระผมนะครับ










View My Stats
New Comments
[Add เหมียวกุ่ย's blog to your web]