ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บบอร์ด Thailand Aquatic Pets เว็บบล็อคสำหรับ คนรักสัตว์น้ำ ( และ สัตว์ที่อยู่ในน้ำ ) ประเทศไทยจ้า

ข้าวญี่ปุ่น vs ข้าวไทย



เรื่องโดย : Ueki Takako

เรื่องโดย : Ueki Takako
เรียบเรียงโดย :ทีมงานโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น Jat



สวัสดีค่ะ ทุกคนทานอาหารกันทุกวันหรือเปล่าคะ?
ถ้าไม่ทานอาหารในแต่ละวันเราก็จะรู้สึกไม่สดใส ไม่มีแรงทำงาน เห็นแล้วใช่ไหมว่า “ข้าว” เป็นสิ่งที่สำคัญมากจริงๆ สำหรับพวกเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทยหรืออาหารญี่ปุ่น ข้าวก็เปรียบเสมือนสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยใช่ไหมล่ะคะ เพราะว่าข้าวนั้นเป็นอาหารหลักของทั้งชาวไทยและชาวญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ วันนี้ดิฉันเลยอยากจะขอพูดถึงเรื่อง 
“ข้าว” คะ

เคยกินข้าวญี่ปุ่นไหมคะ?
แต่สำหรับชาวญี่ปุ่นที่ได้ลิ้มลองข้าวไทยเป็นครั้งแรก มีคนญี่ปุ่นหลายคนเลยค่ะที่คิดว่า “ข้าวชนิดนี้มันแห้งๆ แข็งๆ ร่วนๆ ยังไงก็ไม่รู้” 

ข้าวไทยกับข้าวญี่ปุ่นนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นข้าวเหมือนกัน แต่เป็นคนละสายพันธุ์ค่ะ ที่ปลูกในประเทศไทยจะเรียกว่า “ข้าวอินดิก้า” ที่ปลูกในประเทศญี่ปุ่นจะเรียกว่า “จาโปนีก้า”


(インディカ米 ข้าวพันธุ์อินดีก้า)
“ข้าวอินดีก้า” จะมีลักษณะยาวเรียว ไม่เหนียวหนืด




(ジャポニカ米 ข้าวพันธุ์จาโปนีก้า)
“ข้าวจาโปนีก้า” จะมีลักษณะที่เด่นๆ คือ เมล็ดสั้น และมีความหนืด



สำหรับคนญี่ปุ่นที่เคยชินกับความนุ่มหนืดของข้าวญี่ปุ่นแล้วนั้น อาจจะรู้สึกว่าข้าวไทยไม่ค่อยอร่อย แล้วเพื่อนๆล่ะค่ะ ในทางกลับกันเวลาทานข้าวญี่ปุ่นรู้สึกบ้างไหมว่า “ข้าวญี่ปุ่นนี่มันแหยะๆ ไม่อร่อยเลย”


(日本のお米 ข้าวญี่ปุ่น)



ส่วนตัวดิฉันเอง เวลาทานข้าวตามร้านริมทาง บางทีคิดเหมือนกันว่า ข้าวไม่อร่อยเลย แต่ว่าเวลาได้ไปทานข้าวหอมมะลิตามร้านอาหารต่างๆ ก็กลับรู้สึกว่าอร่อยมากเลย นี่อาจเป็นเพราะชนิดของข้าวที่ต่างกัน แต่วิธีการหุงก็เป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมให้ข้าวอร่อย ว่าไหมคะ?

เคยคิดกันไหมคะว่า “อยากหุงข้าวออกมาให้อร่อยๆ จังเลย...” 
คนญี่ปุ่นจริงจังกับเรื่องการหุงข้าวให้ออกมาอร่อยน่าทานมากปัจจุบันมีข้าวกว่า 300 สายพันธุ์ให้เลือกรับประทาน นอกจากนี้หม้อหุงข้าวเองก็มีหลายแบบ หลายชนิด หลายรุ่นมาก จนตัวดิฉันเองก็ยังเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว ว่าจะใช้หม้อหุงข้าวแบบไหนดี?

เคาน์เตอร์ขายหม้อหุงข้าวที่ญี่ปุ่น



ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าคนญี่ปุ่นหลงใหลในข้าวก็คือ การที่มีสินค้าอาหารที่นำมาทานร่วมกับข้าวออกมาวางจำหน่ายอย่างมากมายนับไม่ถ้วน อย่างเช่น พวกผงโรยหน้าข้าวหลากรส เพิ่มรสชาติให้กับข้าวสวยร้อนๆ หรือพวกปลาต้มในซอสถั่วเหลือง แต่ที่นิยมทำกินกันก็คือ การนำไข่ดิบมาใส่ในข้าวสวย แล้วเติมซอสปรุงรสนิดหน่อย แล้วผสมให้เข้ากัน จะเรียกเมนูนี้ว่า “ข้าวหน้าไข่” เพื่อนชาวไทยของดิฉันเห็นเมนูนี้ก็บอกว่า “อี๋ แหวะ” แต่ต้องบอกว่าต้องใช้ไข่สดจริงๆ แล้วจะอร่อยมากเลยล่ะค่ะ อยากให้ทุกคนได้ลองชิมดูสักครั้ง


“ผงโรยข้าว”




“ปลาต้มในซอสถั่วเหลือง”




“ข้าวหน้าไข่”



ในประเทศไทยเองก็คงจะมีวิธีการนำข้าวมาทำเป็นอาหารอร่อยหลากหลายวิธีใช่ไหมคะ? อย่างเช่น เมนูข้าวผัด ถ้าใช้ข้าวไทยทำจะอร่อยกว่าข้าวญี่ปุ่นมากๆ เลย แต่ว่า...ถ้าอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ก็จะไม่ค่อยมีโอกาสได้ทานข้าวที่มาจากประเทศอื่นค่ะ ดังนั้นดิฉันอยากให้คนญี่ปุ่นได้รับรู้ถึงข้อดีและความอร่อยของข้าวไทยให้มากยิ่งๆ ขี้นไป


“ข้าวผัด”



อุ๊ย.... พอมานั่งเขียนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารก็แอบหิวขึ้นมาซะอย่างงั้นเลย วันนี้ยังไงก็ต้องเมนูนี้แน่นอนค่ะ ^^

เรื่องโดย : Ueki Takako
เรียบเรียงโดย : ทีมงานโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น Jat
เอื้อเฟื้อโดย :
โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นแจ๊ท Jat (JAT Japanese language school) 
//www.jatschool.com



**************************************************************

ขอเชิญพี่ๆน้องๆ เลือกชม หนังสือ E-book ที่น่าสนใจเกี่ยวกับกุ้งสวยงามชนิดต่างๆ และการเลี้ยงสัตว์น้ำหลายชนิดได้ทีนี่ครับ

//www.ebooks.in.th/thaiaquaclub




 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2557   
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2557 16:58:45 น.   
Counter : 1962 Pageviews.  

10 อาหารสุดอันตรายไม่จำเป็นต้องกิน

   เดี๋ยวนี้คนไทยนิยมบริโภคฟาสต์ฟู๊ดมากยิ่งขึ้น  เพราะอร่อยและทันอกทันใจ  แต่หารู้ไม่ว่าการทานอาหารแบบนั้นบ่อยๆ  จะทำให้เราตายผ่อนส่งไปทีละนิดๆๆ  และนี่คืออาหารที่ เราแนะนำว่าถ้าไม่จำเป็นก้อย่ากินมีนเลย

จากข้อมูลของ “Team Comtent” สำนักงานออกทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสา.)  พบว่ามี “เมนูโปรด” ของใครหลายคนถูกจัดเป็น “อาหารอันตราย”  อย่างน้อยๆ 10 ชนิดได้แก่…

1. แฮมเบอร์เกอร์  จัดเป็นอาหารประเภทที่  “มีความเสี่ยงสูง” เพราะเวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำ “เนื้อ” มาใช้ปรุง  ทำให้มี “แบททีเรีย” เกิดขึ้นได้สูง  ทำให้จำเป็นต้องมีการใช้  “สารเคมีสีแดง”  มาช่วยกำจัดเนื้อที่กำลังจะเน่าเสียทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียว

นอกจากนี้แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่ “สารปรุงรส” (MSG=Monosodium  Glutamate ) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้  โดย “MSG” เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้นด้วย

2. ฮอทด็อก เป็นอีก “เมนูอันตราย” เพราะมีกระบวนการผลิตคล้ายแฮมเบอร์เกอร์  และ  “ฮอทด็อก” ทั้งหมดยังใส่ “สารไนไตรท์” เพื่อช่วยให้เนื้อยึดตัวและช่วยเติมไส้กรอกให้เต็มโดย “สารไนไตรท์”  เป็นสารที่ทำให้เกิด “ดรคมะเร็ง” ในกระเพราะอาหาร  มะเร็งในเม็ดเลือดเนื้องอกในสมอง  และมะเร็งในกระเพราะปัสสาวะนอกจากนี้ “ถุงหลอด” ที่ใช้บรรจุฮอทด็อกก็ทำจาก “คอลลาเจนสังเคราะห์” ที่เป็นสารก่อให้เกิด “โรคมะเร็ง” ได้สูง  มีไขมันที่เป็นสารประกอบไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40% เมื่อนำไปปิ้งย่างมันจะทำให้มี “สารพิษร้ายแรง”  ที่เรียกว่า “อะคริลิไมค์” (Acrylimides) ออกมาซึ่งรู้จักดีว่าเป็นสารก่อมะเร็งและ “ทำลายประสาท”

3. เฟร้นช์ฟราย – มันฝลั่งทอด เป็นอาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง” โดยการทอด “เฟร้นช์ฟราย” ใช้อุณหภูมิสูงทำให้มี “สารอะคริลิไมด์” ออกมา  นอกจากนี้ “น้ำมัน” ที่ใช้ทอดมันฝลั่งแต่ละครั้งจะเกิดการ “ออกซิไดซ์” ในมันฝลั่งยังมี “ดรรชนีกลีซิมิค” (Glycemic) อยู่สูงมาก..นั่นหมายถึงมันเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกายได้เร็วมาก

4. คุกกี้ ที่เด่นชัดมากคือสักส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว  ซึ่งอาหารในประเภทที่มีน้ำตาลปริมาณสูงเช่นนี้  จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเหิกริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น

5. พิซซ่า “พิซซ่า” ประกอบด้วยอาหารที่มาจากการ “ตัดแต่งพันธุกรรม”  5 ชนิดคือ…

-           เนยแท้ (Cheese) เพียง 10 % เท่านั้น  ซึ่งไม่ควรเรียกว่าเนยแท้ได้เลย..

-           ที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี  ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้วแต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่เคยมีอยู่เข้าไปใหม่…

-           ซอสมะเขือเทศ  ทำด้วยสารคล้ายมะเขือเทศที่สร้าง  “ยาฆ่าแมลง” ของมันขึ้นมาได้เองในร่างกายของท่าน…

-           แป้งสาลี  ชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุกรรม

-           มีน้ำมันฝ้าย  ประกอบอยู่  โดยฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร  มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้  ในฝ่ายเมล็ดจะเป็นตัวดูดเอาสารพิษต่างๆ  เอาไว้ได้มากที่สุด

ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ  และกระทรวงสาธาธารณสุขต่างไม่ไห้ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่จะรับรองว่ามันปลอดภัยต่อการบริโภคได้หรือไม่  มันไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น  แต่มันเป็น “นำมันไฮโดรจีเนต” และมีอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ “ผิวหน้าแป้งพิซซ่า”  ที่อบปิ้งในอุณหภูมิ  อาจมี “สารอะคริลิไมค์” เกิดขึ้นด้วยขณะที่การเพิ่มหน้าพิซซ่า “เพ็พเปอโรนิ” หรือ เพิ่มหน้าไส้กรอกทำให้มีความเสี่ยงสูงจาก “ไนไตรท์” สารกันบูดและสารเคมีอื่นๆ  รวมทั้งไขมันอิ่มตัวที่มีการเดิมเข้าไปจากโรงงานอีกด้วย

6. น้ำมันอัดลม  สารตัวสำคัญที่มีอยู่ใน “น้ำอัดลม”  คือ “กรดกำมะถัน” (Phosphoric acid) ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน  กรดที่สะสมอยู่ในร่างกายทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักลดลงได้  และ “น้ำโซดา” ที่เป็นส่วนประกอบอีกตัวหนึ่งของน้ำอัดลมจะเปิดตัวซะล้างแคลเซียมออกจากกระดูก  จนทำให้เกิด “โรคกระดูกพรุน” นอกจากนี้ในน้ำอัดลม 1 กระป่องจะมี “น้ำตาลที่ไม่ให้พลังงาน” อยู่ 12 ช้อนชา  ในน้ำอัดลมที่ช่วยลดน้ำหนักตัว หรือ Dict soda ที่ใช้ “น้ำตาลเทียมสังเคราะห์” (Artificial sweetener) เพิ่มความหวานจะทำให้ร่างกายกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้นเพราะน้ำตาลสงเคราะห์เหล่านี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดามาก  ขนาดที่ “สี” ที่ใช้เติมในน้ำอัดลมยังเป็น “สารก่อมะเร็ง” อีกด้วย

7. ชิ้นไก่ทอด – เนื้อนุ่มไร้กระดูก  เป็นเมนูที่ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ใช้แล้ว  การรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไปจะให้พลังงาน  340 แคลลอรี 50% เป็นไขมัน  มีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก  ซึ่งมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงมีการเติมสารปรุงรส “MSG” ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้นอกจากนี้ “นัคเก็ตชิคเก้น” บางอันจะมี  “สารอลูมิเนียม”  ซึ่งเป็นอันตรายต่อสมองและเป็นอันตรายต่อการเผาพลาญของร่างกายด้วย

8. ไอศกรีม  มีไขมันสูงมากเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำบริโภคต่อวัน  มัคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน  มีน้ำตาลอยู่มากทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น  เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น  เต็มไปด้วยไขมันไฮโดรจีเนตและไขมันที่แปรเปลี่ยน  (Transfat) ไปจากธรรมชาติ  และยังช่วยเพิ่มพูนโคเลสเตอรอล  ทำให้สันเลือดแดงอุดตัน  ทำให้มีสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งทำให้เป็นสาเหตุของมะเร็ง

9. โดนัท  โดนเฉลี่ยแล้วจะให้พลังงาน 300 แคลอรี่  โดยในโดนัท 1 ชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50 % ของที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน  มีเกลือโซเดียมสูงมาก  ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้  นอกจากนี้โดนัทยังทอดในน้ำที่มีอุณหภูมิที่สูง  ซึ่งน้ำมันประเภทนี้จะทำให้มีกลิ่นหืนและมีสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้น  ทำให้เกิดสารพิษ  และทำให้ร่างกายเผาพลาญช้าลง  เป็นการคุกคามต่อสุขภาพได้  และยังเป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น

10. อาหารขบเคี้ยวยามว่าง  ในปัจจุบันมีการบริโภค “โฟเตโต้ซิพ”กันมาก  โดยน้ำมันที่ใช้ในการทอดโปเตโต้ซิพในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดร์ (Acrylimides) ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายระบบประสาทออกมา  นากจากนี้การรับประทานโปเตโต้ชิพ 1 ถุงอาจได้รับสารอะคริลิไมด์สูงมากกว่า 500 เท่า  เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราสูงสุดที่อนุญาตให้มีในน้ำดื่มทั่วไปๆได้  การรับประทานโปเตโต้ชิพ 1 ชิ้น  อาจได้รับสารอะคริไมค์เท่ากับอัตตราที่มีอยู่ในน้ำดื่ม 1 แก้ว


ขอบคุณ  ที่มา : นิตยสาร Spicy

**************************************************************

ขอเชิญพี่ๆน้องๆ เลือกชม หนังสือ E-book ที่น่าสนใจเกี่ยวกับกุ้งสวยงามชนิดต่างๆ และการเลี้ยงสัตว์น้ำหลายชนิดได้ทีนี่ครับ


//www.ebooks.in.th/thaiaquaclub




 

Create Date : 28 มกราคม 2557   
Last Update : 28 มกราคม 2557 21:58:02 น.   
Counter : 2189 Pageviews.  

คาเฟอีนช่วยระบบความจำ


รูปภาพ : ผลวิจัยของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ระบุว่าการบริโภคคาเฟอีนในปริมาณที่เหมาะสมสามารถช่วยปรับปรุงระบบความจำให้ดีขึ้นได้ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมต่อได้ที่  <a href=//shows.voicetv.co.th/world-update/95466.html#กาแฟ #ผลวิจัย #ชา #VoiceTV" width="403" height="403" />

กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นเครื่องดื่มแก้วแรกในช่วงเช้า ก่อนเริ่มต้นกิจวัตรประจำวัน ซึ่งเหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟนั่นเอง ล่าสุดนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์นสฮอปกินส์ได้ศึกษาพบว่า สารคาเฟอีนสามารถช่วยกระตุ้นความจำของคนเราได้ 

คาเฟอีน เป็นสารที่สามารถพบได้ในอาหารหลายชนิด ทั้งชา กาแฟ และโคลา ซึ่งทำให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวและลดความง่วง จึงทำให้คาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นประสาทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกก็ว่าได้
ปัจจุบัน ผู้คนจำนวนมากใช้คาเฟอีนในชา-กาแฟเป็นพลังงานในการเริ่มต้นวันใหม่ เพื่อให้สามารถตื่นไปทำงานได้อย่างสดชื่น ขณะที่บางคนยังมีความกังวลว่าคาเฟอีนอาจเป็นสารที่ให้โทษมากกว่าประโยชน์ จึงพยายามหลีกเลี่ยงหรือบริโภคให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ล่าสุด ผลวิจัยของมหาวิทยาลัยจอห์นสฮอปกินส์ ระบุว่าการบริโภคคาเฟอีนในปริมาณที่เหมาะสมสามารถช่วยปรับปรุงระบบความจำให้ดีขึ้นได้ โดยทางทีมวิจัยให้กลุ่มตัวอย่างดูภาพจำนวนหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นก็ให้ส่วนหนึ่งรับเม็ดยาคาเฟอีน 200 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณเฉลี่ยที่ชาวอเมริกันร้อยละ 80 ได้รับในหนึ่งวัน อีกส่วนหนึ่งรับเม็ดยาหลอก
ผ่านไป 24 ชั่วโมง จึงให้กลุ่มตัวอย่างดูภาพเซ็ตใหม่ ที่ประกอบด้วยภาพซ้ำบ้าง ไม่ซ้ำบ้าง และให้ตอบคำถามว่าจำภาพใดได้บ้าง นอกจากนั้น ระหว่างการเก็บข้อมูลยังมีการเก็บตัวอย่างน้ำลายของกลุ่มตัวอย่างเพื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงอีกด้วย
ผลที่ได้พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ได้รับยาเม็ดคาเฟอีนสามารถระบุภาพได้ดีกว่า และศักยภาพในการแยกแยะภาพนี้เองที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าเป็นกลไกของสมองที่อยู่ในระดับเดียวกับสมองส่วนที่ใช้ในการจดจำ
อย่างไรก็ตาม ทีมนักวิจัยไม่ได้ต้องการให้ทุกคนพยายามตั้งหน้าตั้งตาบริโภคคาเฟอีนเพียงเพื่อจะเพิ่มสมรรถภาพความทรงจำของตนเท่านั้น เพราะจากการทดลองยาเม็ดคาเฟอีนขนาด 300 มิลลิกรัม พบว่าไม่ได้ช่วยระบบความจำมากกว่าขนาด 200 มิลลิกรัมแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น ยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ปวดหัว คลื่นไส้ และกระวนกระวาย ได้อีกด้วย
ท้ายที่สุด ทีมนักวิจัยได้เน้นย้ำว่า การที่ผลการศึกษาออกมาในรูปแบบนี้ ไม่ใช่เพราะคาเฟอีนส่งผลโดยตรงให้ระบบความจำของเราดีขึ้น แต่เป็นเพราะคาเฟอีนทำให้เรารักษาความทรงจำไว้ได้ในช่วงที่สมองมักจะลืมไปต่างหาก ซึ่งช่วงที่สมองคนเรามักลืมรายละเอียดนี้คือช่วง 2-3 ชั่วโมง หรือ 1 วัน หลังจากเกิดเหตุการณ์นั่นเอง
หลังจากนี้ ทีมนักวิจัยคาดหวังว่าจะสามารถอธิบายกลไกของระบบสมอง และอาจต่อยอดไปศึกษาผลของคาเฟอีนในการรักษาโรคทางสมองต่อไปด้วย
ที่มา: //shows.voicetv.co.th/world-update/95466.html




**************************************************************

ขอเชิญพี่ๆน้องๆ เลือกชม หนังสือ E-book ที่น่าสนใจเกี่ยวกับกุ้งสวยงามชนิดต่างๆ และการเลี้ยงสัตว์น้ำหลายชนิดได้ทีนี่ครับ


//www.ebooks.in.th/thaiaquaclub





 

Create Date : 28 มกราคม 2557   
Last Update : 28 มกราคม 2557 21:55:15 น.   
Counter : 1138 Pageviews.  

สิงคโปร์ ประเทศที่ลูกจ้างมีความสุขน้อยที่สุดในโลก



แม้ว่าสิงคโปร์ จะเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการให้ผลตอบแทนจากการทำงาน และเงินเดือนประจำที่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย และทั่วโลก อีกทั้ง ประชากรยังมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศนี้ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เรื่องการเอารัดเอาเปรียบลูกจ้าง และปัญหาแรงงานต่างชาติ ถูกกีดกันออกจากสังคม กลายเป็นคนชายขอบ ที่ไม่ได้รับความคุ้มครองทั้งด้านสวัสดิการสังคม และสิทธิพลเมืองอื่นๆ 

สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าว สะท้อนออกมาผ่านผลสำรวจล่าสุด ที่จัดทำโดย Randstad Group บริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลชื่อดังของเนเธอร์แลนด์ ที่เปิดเผยว่า สิงคโปร์คือประเทศที่ลูกจ้างมีความสุขในการทำงานน้อยที่สุดในเอเชีย ทั้งๆที่ประเทศนี้ เป็นศูนย์กลางทางด้านการเงิน การค้า และการลงทุนของโลก โดยรายงานประจำปีของ Randstad Group ระบุว่า ลูกจ้างชาวสิงคโปร์ร้อยละ 23 รู้สึกขาดแรงบันดาลใจ และแรงจูงใจในการทำงาน และมองว่า ประสิทธิภาพของพวกเขาถูกใช้ไปอย่างไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร ขณะที่ ร้อยละ 64 ตอบว่า พวกเขามีความตั้งใจ ที่จะออกจากงานที่ทำอยู่ภายในระยะเวลา 12 เดือนนี้ 

โดยเหตุผลอันดับต้นๆที่ทำให้พวกเขาไม่มีความสุขในงานที่ทำอยู่ ก็เนื่องมาจากวัฒนธรรมการทำงานของชาวสิงคโปร์ ที่มีทั้งเจ้านายที่เคี่ยวแสนเคี่ยว ชอบขอให้ทำนั่นทำนี่ มากกว่าสิ่งที่ตกลงกันไว้ แต่กลับให้เงินเดือนที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็น 

สิงคโปร์ไม่เพียงแต่เป็นประเทศที่แรงงานมีความสุขนายที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังเคยถูกจัดอันดับจาก Gallup Poll ในปี 2554 ว่าเป็นประเทศที่ประชาชนทั่วไป ไม่มีความสุขในชีวิตมากที่สุดในโลก และยังไร้อารมณ์มากที่สุดในโลกอีกด้วย โดยประชาชนที่ตอบแบบสอบถามของ Gallup ไม่ถึงครึ่ง หรือร้อยละ 46 ระบุว่า ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขารู้สึกว่ามีความสุข ซึ่งถือว่าเป็นความถี่ที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆที่ประชาชนส่วนใหญ่ มักตอบว่า พวกเขามีความสุขในช่วงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา 

ซึ่งผลสำรวจที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เป็นตัวชี้วัดได้เป็นอย่างดีว่า การเป็นประเทศร่ำรวยอย่างสิงคโปร์นั้น ไม่ได้หมายความว่าประชาชนจะมีความสุข และพึงพอใจในทุกๆเรื่องเสมอไป อีกทั้ง การแข่งขันทางเศรษฐกิจที่สูงมาก ยิ่งทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่ง มีความเครียดในการใช้ชีวิตมากขึ้น เพื่อดิ้นรนไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าเดิม

สำหรับประเทศที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ลูกจ้างมีความสุขมากที่สุดในโลกนั้น คือประเทศอินเดีย โดยร้อยละ 70 ของแรงงานทั้งหมดตอบแบบสอบถามว่า พวกเขารู้สึกมีความสุขกับการทำงาน เนื่องจากปริมาณงานในแต่ละวันมีไม่มากนัก อีกทั้ง กฎหมายแรงงานของอินเดีย ยังมีความยืดหยุ่นสูง แรงงานสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี รวมถึงการรวมตัวประท้วงหยุดงาน และการทำความผิด ที่ส่วนใหญ่มักได้รับการอภัยจากนายจ้างเสมอ



ที่มา voicetv


**************************************************************

ขอเชิญพี่ๆน้องๆ เลือกชม หนังสือ E-book ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์น้ำหลายชนิด
ได้ทีนี่ครับ


//www.ebooks.in.th/thaiaquaclub




 

Create Date : 27 มกราคม 2557   
Last Update : 27 มกราคม 2557 20:46:44 น.   
Counter : 1287 Pageviews.  

วิธีการสร้างสาหร่าย มาริโมะ ( Marimo ) ให้ใหญ่เป้ง อลังการ ท่านก็ทำได้จ้า

 ช่วงนี้เจ้ามอสบอล หรือมาริโมะ (ญี่ปุ่นอ่านออกเสียงว่า มาหริ-โหมะ) ฮิตซะเหลือเกิน ได้ข่าวว่าเป็นเพราะนักแสดงคนดังถ่ายรูปขึ้น ig ซะจนเป็นข่าว คนเลยตามมาหามาครอบครองแบบสุดๆ

เจ้ามาริโม มาจากการรวมคำ 2 คำ คือ Mari(แปลว่า ลูกบอลกลมๆ) และ Mo(แปลว่า สาหร่ายหรือตะไคร่น้ำ)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cladophora ball หรือแบบเป็นทางการคือ Aegagropila linnaei
ชื่อบ้านๆ : Marimo มาริโมะ มาริโม่ มอสบอล ไอ้อ้วน ไอ้กลม อะไรก็ว่ากันไป ผมขอเรียกในบทความนี้ว่ามอสบอลละกันนะครับ

ซึ่งเจ้ามอสบอลนี้เดิมทีแล้วมันก็อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำ และแน่นอนว่ามันไม่ได้มีรูปทรงกลมหรือเบี้ยวๆเสมอไป บางครั้งมันก็เป็นแผ่นๆแปะแถวๆซอกหินในแหล่งน้ำเหล่านั้น

อย่างนี้เป็นต้น


และในเมื่อเจ้ามอสบอลมันสามารถแปลงกายได้มากมายขนาดนี้ เพราะฉนั้น วันนี้เราจะมาดูการสร้างโครตมอสบอลยักษ์กัน

นั่นก็คือเจ้าสิ่งนี้




ถ้าดูตู้แล้วยังกะขนาดไม่ถูกว่ามันใหญ่มั้ย งั้นก็เอามาเทียบกับเฮียน๊อตซะหน่อย



เริ่มกันเลย

1. หาโฟมครึ่งวงกลมมา 2 ชิ้น ขนาดประมาณ 30 เซนติเมตร สามารถหาได้แถวๆ B2S สาขาใหญ่ๆหรือศึกษาภัณฑ์พาณิชย์






2. จากนั้นหาหลอดพลาสติกมายัดตรงกลาง ซึ่งมันจะใช้สำหรับแขวนเจ้ามอสบอลยักษ์ภายหลังจากทำเสร็จ (อย่าลืมล่ะ)





3. ตอนนี้เราก็ได้เวลาประกบติดกันเจ้าสองข้างนี้แล้ว มันก็จะกลายเป็นแกนของมอสยักษ์





4. แน่นอนว่าพอประกบแล้วมันก็จะเกิดช่องว่างมหาศาลอยู่ภายใน หากเราจับมันโยนลงน้ำมันก็ต้องลอยตุ๊บป่อง ฉนั้นก็ต้องเอาโฟมมาฉีดอัดให้เต็มรู (ถ้าให้ดีควรใช้โฟมแบบที่ไม่มี ไอโซไซยาเนต)





5. เอาล่ะ คราวนี้ก็ถืงเวลาสนุกแล้วสิ ได้เวลาประกอบร่างกันซะที โดยในครั้งนี้สำหรับการประกอบร่างลูกบอลยักษ์ซัก 1 ลูกนั้น หลายคนคงสงสัยว่าเราจะต้องใช้เจ้ามอสบอลกี่อัน คำตอบคือ "ใช้มอสบอลไซท์ปกติประมาณ 70-80 อัน"  ความจริงมีเพียงหนึ่ง...





6. วิธีการก็ง่ายแสนง่าย เริ่มจากเราเอาเจ้ามอสกลมกิ๊กๆมาบีบๆๆๆๆๆๆ ให้มันแบนๆ โดยการฉีกมันออกมาครับ แล้วก็แผ่เอาไว้ แสรดดด!!! แสรดดด!!!





7. ดูจากรูปคงไม่ต้องบรรยายอะไรมากนะครับ เพราะมันก็คือ การจับเหล่ามอสมาประกบกับโฟมบอลของเราที่เตรียมเอาไว้แล้วให้ทั่วๆ

วะฮ่ะๆๆๆ วะฮ่ะๆๆๆ วะฮ่ะๆๆๆ



8. พอประกบทั่วแล้วก็เอาเอ็นตกปลามาพันรอบๆให้แน่นๆ ย้ำมาว่าต้องแน่นๆๆๆ เลยนะครับ (ในที่นี้ใช้เอ็นขนาด 0.16 มิลลิเมตรครับ)





9. กว่าจะทั่วก็ใช้เอ็นไปทั้งหมด 350 เมตร  เฮ้ย เฮ้ย  สังเกตุดีๆ ว่าพี่น๊อตแกพันละเอียดแค่ไหน จำไว้เลยว่าเจ้ามอสบอลมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดได้และเจ็บเป็น  ง่า... เอ้ย สิ่งมีชีวิตที่โตโครตช้า ฉะนั้นอย่าไปหวังพึ่งกันเกาะตัวของมันมากนัก เราต้องช่วยมันหน่อยครับ





10. คราวนี้ก็ครบกลายเป็นลูกบอลซะที เราก็ได้เวลาตกแต่งเพื่อลงตู้ซะที ครั้นจะเอาลงแบบเดี่ยวๆโดดๆมันก็คงจะดูเป็น Zen มาเกินไป  วะฮ่ะๆๆๆ วะฮ่ะๆๆๆ วะฮ่ะๆๆๆ พี่น๊อตเค้าก็เลยหากิ่งไม้งามๆมามันประกบสักนิสสส ในที่นี้ใช้กิ่ง Red moor มายึดด้วยเข็มสแตนเลส





11. แต๊ม แต่มมม เรียบร้อยแล้ว ดูดีๆจะเห็นว่ากิ่งที่เอามาใช้นั้นมันช่างพอดีกับขนาดของลูกบอลซะจริงๆ แค่นี้เราก็สร้างความแข็งแรงให้กับมอสบอลยักษ์ได้แล้ว





12. แล้วพี่น๊อตแกก็ไปหาใบนู่นนี่นั่นมาแปะเพิ่ม (ที่ใช้คำว่านู่นนี่นั่น เพราะผมไม่รู้ว่ามันคือใบอะไร  วะฮ่ะๆๆๆ วะฮ่ะๆๆๆ)ให้มันดูสมบูรณ์กว่าเดิม





13. เพิ่มความแข็งแรงมั่นคงด้วยเข็มในทุกๆจุดที่ต้องการยึดกิ่งไม้หรือว่าใบไม้





14. พอจับแพะชนแกะ ผสมนู่นนี่นั่น เราก็จะได้ก้อนผักรกๆมาก้อนนึง พร้อมเอาลงไปแช่น้ำเล่นละ  ซวยแล้วกู!





15. จับยัดลงน้ำโลด ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่จะว่ายากที่สุดเลยก็ว่าได้ ซวยแล้วกู! เราต้องใช้เอ็นที่แข็งแรงอย่างน้อย 2 เส้นในการยึดเจ้ามอสบักษ์นี้เอาไว้ ยังจำหลอดพลาสติกที่บอกให้เจาะทะลุเจ้ามอสในตอนแรกได้ไหมครับ มันมีประโยชน์ตอนนี้ล่ะ เพราะว่าเราต้องใช้เอ็นลอดผ่านหลอดนี้จากด้านบนของมอสทะลุมาด้านล่าง แล้วเอามาผูกไว้กับทุ่นด้านล่าง ซึ่งจะใช้อะไรเป็นทุ่นนั้นขอบอกเลยว่า เอาให้หนักๆเข้าไว้ จะก้อนกินยักษ์ๆหรือว่าถ้าชั้นดินหน้าพอ เอาไปผูกกรองใต้กรวดก็ได้ครับ ย้ำว่าต้องแข็งแรงมากๆๆๆๆ เพราะว่าเจ้าบอลนี้ถึงแม้จะโดนฉีดพลาสติก แต่มันก็ยังมีพลังแรงสูงในการพยายามลอย และอย่าลืมว่า "มัน ใหญ่ มาก"









เครดิต : //aqua.c1ub.net/forum/index.php?topic=243812.0




 

Create Date : 13 มกราคม 2557   
Last Update : 13 มกราคม 2557 9:33:42 น.   
Counter : 8671 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  

เหมียวกุ่ย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




ยินดีต้อนรับพี่ๆน้องๆทุกท่านเข้าเยี่ยมชม เว็บบล็อคแห่งนี้ หวังว่าทุกท่านจะมีความสุขในการชมบล็อคของกระผมนะครับ










View My Stats
New Comments
[Add เหมียวกุ่ย's blog to your web]