โฟล์คเหน่อ เล่นดนตรี เขียนกวี วิถีชีวิตริมฝั่งแม่น้ำสุพรรณฯ

Group Blog
 
All blogs
 

:::ผี:::

.....ผี......

มีหลายคนเคยบอกกับผมว่า ผีไม่มีในโลก ผมก็เชื่อเช่นนั้น แต่ผมเป็นคนกลัวผี แต่ไม่มาก จนขี้ขึ้นสมอง....

หากแต่บางสถานที่ บางเวลา ขณะอวลกรุ่นของกลิ่นเผาไหม้ผิวเนื้อหนัง ร่างศพไร้วิญญาณ ของคนที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้น ยังไม่ทันจางกรุ่นกลิ่น และผมต้องนอนอยู่คนเดียวในบ้านหลังหนึ่ง ที่กลางหุบเขาไกลโพ้น อันไม่ใช่สถานที่คุ้นชิน และถูกติดตามด้วยจินตนาการต่อเนื่องจากคำบอกเล่าของเด็กเล็กไร้เดียงสาคนหนึ่ง จนยากจะสลัดหลุดภาพนั้นได้ทันก่อนตะวันตกดิน......

*************************************

พลันภาพอันน่าสะพรึงกลัว ก็ย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง

ผมขดขมวดร่างอีกครั้งแทบเป็นวงกลมอยู่ใต้ผ้าห่มซ้อนผืน ที่หนาจนหนักขณะคลุมทับ สองมือตัวเองประกบแนบติดกันสอดผ่านช่องหว่างขา เข้าใจว่าต้องโผล่พ้นออกไปทางตูดแน่นอน แต่โผล่ออกไปมากน้อยเท่าใดไม่สาธยาย

มีเสียงแกรกกรากก่อกวนเข้ามาเป็นระยะอยู่บนหลังคาสังกะสี บ้านพักครูหลังนี้

เมื่อคืนก่อนมีเสียงดังเช่นนี้หรือเปล่าหนอ ผมตั้งคำถามในใจตัวเอง เพื่อเบี่ยงเบน ขณะความรู้สึกเริ่มเตลิดเปิดเปิงไปกับภาพจินตนาการที่น่าสะพรึง ....อย่างยากจะฉุดรั้ง

ความรู้สึกขณะนี้หนาวขนาดไหน ไม่รุ้แล้ว

พลัน วูบภาพอันน่าสะพรึงก็ย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง.......

อนิจจา.......

*************************

ปลายปี 2536 ผมพาตัวเองหลีกหนีวิถีเมือง อ้างเหตุช่วงแห่งการแสวงหาความหมายแห่งชีวิต โดยไปเป็นครูอาสาอยู่กับนักเรียนกลางหุบเขา ที่จังหวัดน่าน

โรงเรียนบ้านยอด โรงเรียนระดับประถมศึกษา มีนักเรียนประมาณแปดสิบคน โรงเรียนที่เสมือนถูกโอบกอดอยู่ในกลางอ้อมภูเขาสูงและป่ารกทึบ รายรอบบริเวณโรงเรียนคือหมู่บ้านเล็ก ๆ ประมาณ 60 หลังคาเรือน กระจัดกระจายตั้งอยู่ตามเชิงเขาสูง

ผมกระโดดขึ้นรถบัสนักศึกษาชมรมวรรณศิลป์มหาวิทยาลัยรามคำแหง มาเพื่อขับขานบทเพลงผ่อนคลาย ในงานกิจกรรมการออกค่ายอาสา สร้างโรงอาหาร ที่โรงเรียนแห่งนี้

ที่นี่มีครู 5 คน แต่ที่สอนจริง ๆ แค่ 2 คน ที่เหลือนอกนั้นไม่รู้ไปติดราชการอยู่หม่องใด๋เป็นเดือนเป็นปี

เสร็จสิ้นกิจกรรมออกค่ายของนักศึกษา ผมไม่ได้ติดรถบัสกลับไปด้วย

ผมตัดสินใจอาสาเป็นครูช่วยสอนนักเรียน ต่อที่นี่ พร้อม ๆ กับใช้วันว่างสร้างสรรค์งานกวี และเขียนเพลง ตามอารมณ์ศิลปิน ท่ามกลางบรรยากาศม่านหมอกกลางฤดูหนาว

บ้านพักครูสองชั้น แยกห้องสองห้องคนละฝั่งบ้าน

ครุนิยม คือครูที่พักอาศัยประจำอยู่ก่อน ส่วนผมคือแขกผู้ผ่านทางมา พร้อม ๆ กับอุดมการณ์ และหวังพักพ้นจากวิถีเมือง ที่อยู่ในสถานะของคนไร้ที่ซุกหัวนอน เพราะเจ้าของบ้านเช่าซอยเทพลีลา หน้าราม เพิ่งอัญเชิญผมออกจากห้องเนื่องจากขาดส่งค่าเช่า รายเดือน

วิถีกวีผู้ปฏิเสธวิถีเมืองชั่วคราว เพราะความจำเป็น และลำเค็ญกับความไม่แน่นอนของรายได้ขายงานกวี

*****************************

ประมาณครึ่งเดือนที่ได้อยู่.......

และแล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับคนในหมู่บ้าน

ค่ำคืนลอยกระทงของหนาวปีนั้น ผู้ใหญ่บ้านพาลูกบ้านจำนวนหนึ่งขึ้นรถปิ๊คอัพไปเที่ยวงานลอยกระทงที่ตัวอำเภอ แล้วเกิดประสบอุบัติเหตุ มีผู้เสียชีวิตถึงสองคน

ศพของผู้เสียชีวิตถูกนำกลับมาตั้งศพสวดบำเพ็ญกุศลก่อนฌาปนกิจที่บ้านหลายคืน ผมเองก็ได้ไปร่วมงานสวดศพเกือบทุกคืน จนกระทั่งวันเผาศพผมไม่มีโอกาสได้ไปร่วมงานเผาศพด้วย เพราะติดงานสอนและคอยดูแลนักเรียนทั้งหมด ของโรงเรียน

และวันนั้นครูนิยมก็ไม่อยู่เพราะแกตัดสินใจลาการสอนกลับไปบ้านของแกที่ตัวจังหวัดน่าน โดยมีหมายกำหนดลาถึง 2 วัน

หากผมเอะใจสักนิด ผมควรจะขอวิงวอนกับครูนิยม แบบขอสักครั้งเถอะ ว่าอย่าเพิ่งลากลับบ้านเลยในช่วงนี้

ต่ผมเป็นคนไม่รอบคอบ ไม่ได้คิดการ์ณไกล

“ครู ครู ผีขาชี้เด่เลย” เพ็ง เด็กชั้นปอสอง เสือกทะลึ่งมาบอกเล่าภาพพิธีการเผาศพ 2 ศพ เมื่อช่วงบ่าย ตามประสาซื่อของเพ็ง ที่ได้ไปร่วมงานศพ และได้อยู่ร่วมในพิธีเผาศพขณะไฟเริ่มลุกท่วมโลงและเชิงตะกอน แต่จะโทษเพ็งฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ถ้าผมไม่เสือกทะลึ่งไปถามเขาก่อน

ผมไม่รู้ว่าพิธีเผาศพที่หมู่บ้านนี้เป็นเช่นไร แต่พอเพ็งบอกว่า “ผีขาชี้เด่” จินตนาการของผมก็บรรเจิดเตลิดไปถึงกองฟืนสูง ๆ กลางลานโล่งของป่าช้า และบนกองฟืนก็ถูกเทินด้วยโลงพร้อมศพคนตาย อาจเป็นไปได้ขณะไฟกำลังลามไหม้ไม้โลงจนทะลุรอบ ภาพศพที่อาจเพิ่งเริ่มสู่ขบวนการเผาไหม้อย่างเต็มรูปแบบย่อมเห็นชัด เป็นเงางึมดำในกองเพลิง พร้อมกลิ่นเผาไหม้เนื้อหนังทีโชยคลุ้งเคล้ากลุ่มควัน จะแปลกอะไรหากเสียงปะทุฟืนและเสียงแตกตัวของเนื้อหนัง และการยืดหดของเส้นเอ็น ข้อกระดูก กะโหลก และปฏิกิริยาเนื้อ น้ำในร่างระหว่างการเผาไหม้จะเร่งปฏิกิริยาให้บางส่วนของร่างกายเกิดการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว คือวาระหนึ่งเพื่อไปกลับสู่การกลายเป็นเถ้าธุลี ในวาระต่อไป

แต่ผมไม่ควรเอื้อนเอ่ยถาม ให้เพ็งเขาต้องเล่าบอกเลย

แต่ก็ช้าไป......

ผมมันคนไม่รอบคอบ คืนนี้ผมต้องนอนคนเดียว....................ในบ้านพักครูหลังนี้

เพ็งบอกว่า “ป่าช้าก็อยู่หลังดงไม้ ห่างจากบ้านพักครูไปนิดเดียวเอง”

“ไอ๊หยา.......”

***********************

ตะวันตกดิน ฟ้าไม่ทันมืดสนิท ผมก็ซุกตัวอยู่ใต้ชั้นผ้าห่มเรียบร้อยแล้ว

แต่สิ่งที่ยังไม่เรียบร้อย ก็คือสภาพจิตใจที่หนักอึ้งด้วยภาระของภาพที่ยากจะสลัดหลุด เพื่อฝ่าฟันในพ้นข้ามผ่านคืนนี้ไปให้ได้

ผมต้องการก้าวสู่วันใหม่อันสดใสกว่า.......บรื๊อออออ....

แต่ในระหว่างการฝ่าข้ามนี่สิ เราจะเจอสิ่งไม่คาดฝันและสิ่งที่ไม่อยากจะเจอไหมหนอ.........

เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงให้หลัง หลังหลบตัวใต้ผ้าห่ม กลยุทธ์เกือบทุกกระบวนท่าเพื่อนำพาตัวเองให้เข้าสู่สมาธิ อันเป็นวิธีนำพาก้าวไปสู่การปิดเปลือกตานอนแบบหลับสนิทที่สุด ก็ถูกนำมาใช้จนหมดทุกกระบวนท่า ไม่ว่าจะเป็นการนับแกะ หายใจเข้า หายใจออก นับหนึ่งถึงสิบ โอ๊ย สารพัดวิธีที่นำออกมาใช้

แต่...มันไม่ได้ผล

เปลือกตาปิดสนิทและไม่อาจหลับสนิท ขณะใจกลับย้อนวนไปที่ภาพจินตนาการ เชิงตะกอน และศพเคลื่อนไหว หงิกมือ งอขา กลอกตา โก่งตัว ขาชี้เด่ อยู่อย่างนั้น

เวลาผ่านไป.......

ภายใต้ความมืดดำและเงียบสงัด

พลันภาพอันน่าสะพรึง ก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงแกรกกรากผิดปกติ ดังมาเป็นระยะ อยู่บนหลังคาสังกะสิ บ้านพักครู...

เกิดอะไรขึ้น....

ผมปิดเปลือกตาจนรู้สึกได้ว่าเป็นการจงใจปิดแบบเกินจริงและรู้สึกปวดตา ถึงจะปิดสนิทเพียงใดภาพอันน่าสะพรึงกลัวก็ยังทยอยเข้ามาอีก ท่ามกลางสภาวะการพยายามอย่างเต็มกำลังที่จะผลักภาพเหล่านั้นออกไปให้พ้นมโนนึก........

“ลูกแกะหนึ่งตัว ลูกแกะสองตัว ครูครับขาชี้เด่เลย ......หนึ่ง...... หนึ่ง..... สอง...... สอง.......สาม...ครูขาชี้เด่เลย ครุขาชี้เด่เลย......พุท....โธ......พุท.....โธ.......พุท.....ครูขาชี้เด่ ขาชี้เด่.........อะระหังสัมมา.....ครูขาชี้.......หนึ่ง สอง ขาชี้เด่ ...โธ....พุทธ.....โธ......ขาชี้ .....ลุกแกะ หนึ่งตัว ลูกแกะ ป่าช้าอยู่หลังบ้านครูนี่เอง อะระหังสัมมา ขาชี้เด่เลย..........สวากขาโต........ ขาชี้เด่เลยครู......อนิจจา

ผมรู้สึกเหนื่อยล้าและหวาดผวาเกินกว่าจะควบคุมสมาธิตัวเองแล้ว.......ค่ำคืนนี้

นานเท่าไรไม่รู้ได้ ผมมารู้สึกตัวอีกที ก็ต่อเมื่อได้ยินแว่วเสียงเด็กนักเรียน จ๊อกแจ๊ก มาจากสนามฟุตบอล แสดงว่าเด็ก ๆ เริ่มมาโรงเรียนแล้ว ผมรู้สึกโล่อก ที่ผ่านพ้นค่ำคืนมาได้ มีเสียงมาจากห้องของครูนิยม แสดงว่าครูนิยมอาจจะกลับมาแล้ว ลาไป 2 วัน แต่อาจเป็นเพราะห่วงเด็ก ๆ ครูนิยมจึงรีบกลับมาให้ทันช่วงเช้านี้ โดยลาแค่วันเดียว ผมค่อย ๆ เปิดเปลือกตา บิดขี้เกียจ ยืดแข้ง ยืนขา อยุ่ใต้ผ้าห่มหลายผืนคลุม ห้องยังมืดสนิท เพราะหน้าต่างปิดหมดทุกบาน และยังไม่มีแสงเล็ดลอดเข้ามา อาจจะยังเช้าเกินไป คิดพลางกดแสงไฟนาฬิกาข้อมือดู...............

พระเจ้า. ให้ตายเถอะ..... ตัวเลขที่นาฬิกา บอกเวลาขณะนี้คือ ช่วงสี่ทุ่ม ....

นาฬิกา อาจเสีย ผมค่อย ๆ ชันตัวลุกขึ้น ปลดกลอนหน้าต่างหัวนอน แง้มออกดูข้างนอก

พลันผมก็รีบดึงบานหน้าต่างกลับลงกลอนอย่างรวดเร็ว แล้วรีบซุกตัวลงใต้ผ้าห่มอีกครั้ง ขดขมวดตัวปิดเปลือกตาจนรุ้สึกปวด นิ่ง นอนฟังเสียง....รอบข้าง

ทุกสิ่งทุกอย่างรอบบริเวณยังเงียบสนิท ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ นอกจากลมหายใจหอบถี่ของตัวเอง

ที่ผ่านมาสักครู่คือฝันไป

เสียงเด็ก ๆ ที่สนามฟุตบอลที่ได้ยิน ... คือฝันไป

เสียงเคลื่อนไหวในห้องพักครูนิยม ..... คือฝันไป

ผมภาวนาให้เป็นเช่นนั้น

ผมภาวนาให้เสียงที่แทรกอยู่ในความฝันทั้งหมดทั้งมวล ไม่ใช่เสียงที่ได้ยินจริง ๆ...........

เสียงนกกลางคืนส่งเสียงแหวกความเงียบมาจากท้ายบ้าน............อย่างน่าสะพรึง.........

......“ป่าช้าก็อยู่หลังดงไม้ ห่างจากบ้านพักครูไปนิดเดียวเอง”.....

ผมเริ่มทำสมาธิอีกครั้ง เพื่อต่อสู้และผลักดันภาพบางอย่างออกไปให้พ้น เพื่อผมจะได้ผ่านค่ำคืนอันเงียบเย็น มืดดำ จินตนาการอันน่ากลัว นี้ไปสู่รุ่งเช้าแห่งความจริง เสียที

........พุทธัง ภะวะวันตัง อภิวาเทมิ สวากขา ....ขา...ขาชี้เด่เลยครู..........จบกัน บรื๊ออออออ......

มีหลายคนเคยบอกกับผมว่า ผีไม่มีในโลก ผมก็เชื่อเช่นนั้น แต่ผมเป็นคนกลัวผี แต่ไม่มาก จนขี้ขึ้นสมอง.... คุณเชื่อผมมั๊ย?

**********************************




 

Create Date : 16 กันยายน 2550    
Last Update : 16 กันยายน 2550 13:48:50 น.
Counter : 702 Pageviews.  

บทกวี:::ม่า ม่า คัพ

ม่า ม่า คัพ ม่า ม่า ครับ

มองหน้ารึ...มองหน้า...ม่าม่าคัพ

ขนมถีบ... หมัดศอกสับ... รับเพิ่มไหม

..เคาน์เตอร์...เซอร์วิส...หงุดหงิดใจ

โอกาสหน้า...เชิญใหม่..บริการ

เซ่เว่นรู้...เศรษฐกิจไม่ดี...บะหมี่คัพ

ไว้รองรับ...เร่งด่วน...ส่วนอาหาร

เปิดฝาคัพ...รับน้ำร้อน..ก่อนไม่นาน

ก็เปิดทาน...ท้องประเทือง...เรื่องไม่มี

เซ่เว่นรู้...ว่าหนู หนู... นั้นใจร้อน

นมเย็นก่อน... ไอศกรีม... สเลอปี้

ขนมจีบ ...ซาะลเปา... เราก็มี

ม่าม่าคัพ...ใจเย็นซี...อันตราย

เซเว่นรู้ ...ว่าหนู หนู... มีปัญหา

กวดวิชา...เรียนหนัก...คนรักหาย

มัวแต่เที่ยว...เกรดไม่ถึง....ถูกรีไทร์

ม่าม่าคัพ...อันตราย...อย่าริลอง

เซ่เว่นรู้ ...ว่าหนู หนู... ลูกคนใหญ่

เมื่อไม่ได้...ดังใจ...มันก็ต้อง

มีอารมณ์...ฟาดงวงงา...ท้าประลอง

อยากลองของ...บิดา...ข้าคือใคร

มองหน้ารึ...มองหน้า...ม่าม่าร้อน

เธอลองก่อน...แล้วกัน...ฉันยกให้

ขนมถีบ...ศอกและเข่า...เอาแถมไป

โอกาสหน้า...เชิญใหม่....สวัสดี

ลำภา มัคศรีพงษ์

....จากเหตุการณ์น.ส.สุมาพร ลายกระ อายุ 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เข้าแจ้งความตำรวจสน. บางยี่เรือ ให้ดำเนินคดีกับน.ส.อัญชิสา ประเวศตระกูลชัย อายุ 19 ปี นักศึกษาสถาบันมีชื่อแห่งหนึ่งย่านถนนรามคำแหง ข้อหาทำร้ายร่างกาย โดยใช้มาม่าคัพร้อนๆ สาดหน้า ก่อนตบตีจนหน้าตาบวม เหตุเกิดในร้ายเซเว่นอีเลฟเว่น ใกล้สี่แยกบ้านแขก เมื่อวันที่ 11 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยน.ส.สุมาพรระบุว่า มีการมองหน้ากันขึ้น ก่อนน.ส.อัญชิสาจะพูดจาหาเรื่องว่า "พ่อกูใหญ่" จากนั้นก็ลงมือลงไม้ทำร้ายจนสะบัก สะบอม ....


...หมายเหตุ ข้อความนี้ Copy มาจาก นสพ. ข่าวสด ฉบับวันที่ 11 กันยายน 2550




 

Create Date : 15 กันยายน 2550    
Last Update : 16 กันยายน 2550 4:33:44 น.
Counter : 534 Pageviews.  

Music Video:::เพลงไทยสามัคคี




" คลิก play เพื่อเริ่มดู clip "
-ขอบคุณภาพข่าวจาก ASTV และ ช่อง 3

ไทยสามัคคี

คำร้อง ทำนอง ลำภา มัคศรีพงษ์

ผืนดินถิ่นนี้ที่เราปักธง สามสีไตรรงค์ธงพัดสะบัดผืน

มีเพลงชาติไทยบอกความยิ่งใหญ่ที่ไทยหยัดยืน

เอกราชชาติไทยใช่อื่น ไทยยังหยัดยืนพื้นพสุธา

ทุกเนื้อดินนี้ล้วนมีตำนาน สถูปสถานที่เห็นมีความเป็นมา

ประวั-ติศาตร์ หน้าไหนเล่า จะเศร้าเกินกว่า

ประวัติที่จารึกว่า คนไทยหันมาเข่นฆ่ากันเอง

บนความขัดแย้ง เหมือนความร้อนแรง ให้ระแหงห่าง

คนไทยแบ่งข้าง เศร้าแค่ไหน ไทยไม่เป็นหนึ่ง

ธงผืนเดียวเหนียวได้แค่ไหน คนไทยต่างดึง

ไตรรงค์ธงไทยผืนหนึ่ง เมื่อฉีกขาดครึ่ง พึงเป็นชาติใด

ผืนดินถิ่นนี้ที่เราปักธง สามสีไตรรงค์ธงพัดสะบัดโบกไหว

จับมือกันแน่น แขนคล้องเถิดพี่น้องไทย

ไตรรงค์ธงชาตินำชัย วันที่คนไทยรักสามัคคี






 

Create Date : 15 กันยายน 2550    
Last Update : 15 กันยายน 2550 3:43:12 น.
Counter : 914 Pageviews.  

กวีหนุ่ม ห้องเช่า ในคืนค่ำอันหนาวเหน็บ

กวีหนุ่ม ห้องเช่า ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ

...1...

บางขณะชีวิตของคนเรานั้น บางครั้งในขณะความหม่นเศร้าอาจถูกคละเคล้าด้วยหม่นแสงแห่งเรื่องตลกร้ายซึมแทรกเข้าไปพร้อม ๆ กันจนไม่อาจแยกแยะขณะห้วงอารมณ์ว่าควรจะหัวเราะหรือร่ำไห้ดี

เฉกเช่นกรณีตัวอย่างของกวีหนุ่มอย่างผมคนหนึ่ง กับบางช่วงขณะชีวิตที่อ้างเอ่ยเอาเองว่าเป็นช่วงแห่งการแสวงหาความหมายของชีวิตแบบสุด ๆ นั้น

ในช่วงคืนวัน มักมีโจทย์ข้อยาก ๆ ให้กวีหนุ่ม ต้องหาวิธีแก้ไขอยู่อย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด โดยเฉพาะโจทย์ที่ว่าด้วยเรื่องปากท้องและที่อยู่อาศัย

โจทย์ข้อหนึ่งในช่วงต้นเดือนพฤศจิกา ปี 35 เป็นโจทย์อีกข้อที่กวีหนุ่มอย่างกระผม ก็ต้องฝ่าผ่านไปให้ได้ แม้ขณะฝ่าผ่าน ผมก็บอกตัวเองไม่ได้ว่าผมควรจะตีหน้าเศร้าหรือหน้าระรื่นยิ้มขณะบอกเล่าเรื่องราวกับท่านดี....

...2...

ในช่วงดึกดื่นคืนฟ้ามืดและเหน็บหนาว....

ทันทีที่บานหน้าต่างถูกแง้มออก เงาของเพื่อนนามโจ สีน้ำก็ผลุบหายเข้าไปในห้องมืดห้องนั้น ขณะเดียวกันกับผมก็ค่อย ๆ เกาะขอบหน้าต่างบานเดียวกัน แล้วปีนขึ้นนั่งค่อมที่ขอบหน้าต่าง ก่อนจะค่อย ๆ วางเท้าของตัวเองลงบนฟื้นอีกฝั่งในห้องมืด .........

ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องมืดอันคุ้นชิน ผมก็ค่อย ๆ วางร่างอันอ่อนล้า เพลีย ลงนอนกับพื้นกระดานห้อง โดยมีเงาร่างของโจนอนตะแคงสงบนิ่งอยู่ก่อนแล้ว

ในความมืดดำและเงียบสนิท ผมได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของใครบางคน....อยู่ใกล้ ๆ

...3...

ต้นเดือนตุลา 2535 ขณะลมหนาวเริ่มโชยพัด......

ชะตากรรมกวีหนุ่มอย่างผม ต้องระหกระเหินแบบทันตั้งตัว ที่เรียกว่าทันตั้งตัวเพราะรู้อยู่แล้วว่าหลังสิ้นเดือนเจ้าของหอเขียวที่ถูกเบี้ยวค่าเช่า ต้องไล่พวกเราออกในฐานะลูกหนี้ไม่มีจ่ายแน่นอน

ที่เรียกว่าพวกเราเพราะมีอยู่ด้วยกัน 3 กวีหนุ่มหน้าราม (ไม่เอ่ยนาม)

แต่ละกวีจึงไปกันคนละทิศ ละทาง.....

ลังกระดาษหลายขนาดหลายยี่ห้อ ถูกบรรจุด้วยหนังสือ และต้นฉบับงานเขียน ขนขึ้นรถตุ๊ก ๆ ไปสู่บ้านพี่ชายกวีใจดีอีกคนหนึ่งที่อนุญาตให้ผมไปร่วมพักอาศัยได้ ด้วยชั่วคราว

หอเช่าไม้ บริเวณท้ายซอยหน้าราม ของพี่ชายกวีและพนักงานจัดอาร์ตเวิร์ค หนังสือมาตุภูมิรายสัปดาห์ มีผมเป็นผู้ร่วมอาศัยอีกคน ในช่วงตลอดเดือนตุลาคม....

แต่แล้ว พอครั้นสิ้นเดือน ชีพจรก็ลงส้นเท้าของชีวิตผมอีกครั้ง....

พี่ชายใจดี เกิดย้ายห้องอย่างกระทันหันเพราะเหตุผลส่วนตัว โดยบอกกล่าวล่วงหน้ากับผมเพียงแค่ช่วงข้ามวัน

โจ สีน้ำ เพื่อนกวีและคนเขียนรูป จากชมรมวรรณศิลป์ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้กับผม โดยให้เก็บของทั้งหมดไปไว้ที่วัดลานนาบุญ แถว ๆ สวนหลวง ร. 9

เมื่อไม่มีทางเลือกให้กับวิถีชีวิตมากนัก การไปเป็นลูกศิษย์วัดตอนแก่ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะตัดสินใจของกวีไร้ที่ซุกหัวนอน......

วัดลานนาบุญ ที่ โจ สีน้ำบอก นั้นมีเพื่อนที่ชื่อ หล้า อาศัยอยุ่ก่อนแล้ว อาศัยว่าหล้ามีบารมีเป็นญาติห่าง ๆ กับเจ้าอาวาส ขั้นตอนการเข้าไปอยู่อาศัยเป็นลูกศิษย์วัดชั่วคราวจึงไม่ใช่เรื่องยากนัก.

หากเป็นสภาวะปกติ การที่จะผกผันชีวิตไปเป็นลูกศิษย์วัด ตอนอายุหลังวัยเบญจเพศก็เป็นเรื่องที่ยากจะทำใจ....

แต่ในสภาวะที่ไม่มีทางไป หากวัดลานนาบุญจะมีลูกศิษย์ เป็นกวีผมยาว หนาวเคราเฟิ้มอีกสักคนก็ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดนัก ในความคิดของผม

อาจเป็นความเคยชินของศิลปินกวีหน้ารามหรือไรไม่ทราบ หลังวันขนข้าวของไปเก็บไว้ที่วัดหมดแล้ว ในช่วงค่ำผมและโจ สีน้ำ กลับเดินเล่นเตร็ดเตร่ อยู่แถว ๆ หน้ารามอย่างสบายใจ โดยลืมไปว่ารถโดยสารที่วิ่งเข้าวัดลานนาบุญอันเป็นพำนักพักอาศัยแห่งใหม่ นั้นหมดลงตั้งแต่ 3 ทุ่ม แล้ว

ขณะที่หมดอารมณ์เตร็ดเตร่ กับการพบปะ เพื่อนฝูง เดินดูหนังสือ ก็เป็นเวลาเกือบห้าทุ่ม

ผมและโจนั่งเหนื่อยล้า และหิว อยู่หน้าร้านหนังสือดอกหญ้าหน้าราม

ขณะภาวะของกวีไร้ที่นอนคืนนี้เป็นปัญหาให้ต้องหาทางแก้ไข

เมื่อไล่เรียงรายชื่อเพื่อนพ้อง จนหมดแล้ว ก็ให้รู้สึกเกรงใจที่จะไปร่วมขอพักอาศัยได้ในคืนนี้

แวบความคิดของผม ก็ผุดพรายขึ้นมาแบบ เสมือนให้ชีวิตต้องลองเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อีกสักครั้ง กับภารกิจการย้อนรอยสู่ห้องหอพักท้ายซอย ที่บอกคืนฐานะผู้เช่าไปแล้วเมื่อช่วงกลางวัน.......

ผมและโจ สีน้ำ ตัดสินใจเดินเข้าซอยที่มีห้องเช่าเดิมซ่อนตัวอยู่ท้ายซอย เพื่อกลับเข้าไปอาศัยแบบชั่วคราวในฐานะของผู้ลักลอบแอบขโมยเข้าไปอาศัยนอน......

โชคดีห้องเช่าเดิมยังไม่มีผู้เข้ามาเช่าต่อ และหน้าต่างยังไม่ถูกลงกลอน..........

...4...

ในความมืดดำและเงียบสนิท ผมได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของใครบางคน....อยู่ใกล้ ๆ

ด้วยความเมื่อยล้า อ่อนเพลีย และหิว ผมกำลังปล่อยตัวเองให้หลับใหลท่ามกลางความหนาวเหน็บ ในขณะเดียวกัน ในห้วงแห่งการหลับนอนคืนนี้ ผมบอกกับตัวเองให้พึงระวังและหวาดระแวงอยู่เสมอ ว่า ผมสองคนควรอย่างยิ่งที่จะต้องตื่นแต่เช้ามืด ....กว่าทุก ๆ วัน

เพื่อเราจะได้มีเวลา สำหรับการปฏิบัติภารกิจ ปืนป่ายหน้าต่างหนีออกจากห้องเช่าห้องเดิม พร้อม ๆ กันในช่วงก่อนตะวันจะโผล่พ้นฟ้าของวันพรุ่ง และควรจะเป็นเวลาก่อนที่เจ้าของหอพักจะตื่นมาพานพบกับ กวีหนุ่มพเนจร สองคนนอนหลับอุตุอยู่ในห้องที่ยังไม่มีบัญชีผู้เช่าอาศัย จนอาจให้เป็นเรื่องเป็นราว อันน่าอับอายแก่วงการกวีได้..........

โบกรถ เดินทาง ขึ้นภาคเหนือไปกับ โจ สีน้ำ

3 กวี พิทักษ์ ใจบุญ/โจ สีน้ำ/ลำภา มัคศรีพงษ์

สู่เชียงใหม่ กับ ศิริวร แก้วกาญจน์




 

Create Date : 14 กันยายน 2550    
Last Update : 14 กันยายน 2550 11:28:49 น.
Counter : 549 Pageviews.  

:::บทกวี ขัณฑสีมา:::

ภาพสีน้ำ::วัดเวียง...เรืองรอง โดย อ.กิตติศักดิ์ บุดดีวงษ์

ขัณฑสีมา

นีออนไฟใบไม้ไหวฝั่งไกลลิบ

หน้าบันโบสถ์ตื่นระยิบกระพริบแสง

ช่อฟ้าไต่แต่งฟ้าฟ้าเรื่อแดง

ชื่นเช้าแห่งฟ้าฉ่ำของน้ำค้าง

ณ. ที่ฝั่งนีออนไฟเริ่มหมองฝ้า

หมอกโรยจากฟากฟ้าแฝงมาขวาง

แสงเรื่อเรืองใกล้รุ่งก็เลือนราง

หมอกหม่นมิดปิดทางไฟทุกดวง

หมอกมืดมิดหมดทั้งขัณฑสีมา

หันมองหาไม่เห็นให้เป็นห่วง

หลงในความมืดมนแห่งกลลวง

ดิ้นเป็นบ้ากลางบ่วงห้วงอบาย

ไม่นานนะตะวันจะเคลื่อนไหว

กลมดวงไฟไต่ฟ้าช้าช้าฉาย

มืดหมอกเจิ่งชื้นจะจางกระจาย

งามสีสันพรรณรายจักเรืองรอง

ลำภา มัคศรีพงษ์




 

Create Date : 13 กันยายน 2550    
Last Update : 13 กันยายน 2550 2:43:45 น.
Counter : 1403 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  

โฟล์คเหน่อ
Location :
สุพรรณบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ผลงานโฟล์คเหน่อ

สี่สิบสอง นักเขียน คนบ้า กวีหน้าราม กีตาร์โปร่ง
Friends' blogs
[Add โฟล์คเหน่อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.