:::ผี:::
.....ผี...... มีหลายคนเคยบอกกับผมว่า ผีไม่มีในโลก ผมก็เชื่อเช่นนั้น แต่ผมเป็นคนกลัวผี แต่ไม่มาก จนขี้ขึ้นสมอง.... หากแต่บางสถานที่ บางเวลา ขณะอวลกรุ่นของกลิ่นเผาไหม้ผิวเนื้อหนัง ร่างศพไร้วิญญาณ ของคนที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้น ยังไม่ทันจางกรุ่นกลิ่น และผมต้องนอนอยู่คนเดียวในบ้านหลังหนึ่ง ที่กลางหุบเขาไกลโพ้น อันไม่ใช่สถานที่คุ้นชิน และถูกติดตามด้วยจินตนาการต่อเนื่องจากคำบอกเล่าของเด็กเล็กไร้เดียงสาคนหนึ่ง จนยากจะสลัดหลุดภาพนั้นได้ทันก่อนตะวันตกดิน...... ************************************* พลันภาพอันน่าสะพรึงกลัว ก็ย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ผมขดขมวดร่างอีกครั้งแทบเป็นวงกลมอยู่ใต้ผ้าห่มซ้อนผืน ที่หนาจนหนักขณะคลุมทับ สองมือตัวเองประกบแนบติดกันสอดผ่านช่องหว่างขา เข้าใจว่าต้องโผล่พ้นออกไปทางตูดแน่นอน แต่โผล่ออกไปมากน้อยเท่าใดไม่สาธยาย มีเสียงแกรกกรากก่อกวนเข้ามาเป็นระยะอยู่บนหลังคาสังกะสี บ้านพักครูหลังนี้ เมื่อคืนก่อนมีเสียงดังเช่นนี้หรือเปล่าหนอ ผมตั้งคำถามในใจตัวเอง เพื่อเบี่ยงเบน ขณะความรู้สึกเริ่มเตลิดเปิดเปิงไปกับภาพจินตนาการที่น่าสะพรึง ....อย่างยากจะฉุดรั้ง ความรู้สึกขณะนี้หนาวขนาดไหน ไม่รุ้แล้ว พลัน วูบภาพอันน่าสะพรึงก็ย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง....... อนิจจา....... ************************* ปลายปี 2536 ผมพาตัวเองหลีกหนีวิถีเมือง อ้างเหตุช่วงแห่งการแสวงหาความหมายแห่งชีวิต โดยไปเป็นครูอาสาอยู่กับนักเรียนกลางหุบเขา ที่จังหวัดน่าน โรงเรียนบ้านยอด โรงเรียนระดับประถมศึกษา มีนักเรียนประมาณแปดสิบคน โรงเรียนที่เสมือนถูกโอบกอดอยู่ในกลางอ้อมภูเขาสูงและป่ารกทึบ รายรอบบริเวณโรงเรียนคือหมู่บ้านเล็ก ๆ ประมาณ 60 หลังคาเรือน กระจัดกระจายตั้งอยู่ตามเชิงเขาสูง ผมกระโดดขึ้นรถบัสนักศึกษาชมรมวรรณศิลป์มหาวิทยาลัยรามคำแหง มาเพื่อขับขานบทเพลงผ่อนคลาย ในงานกิจกรรมการออกค่ายอาสา สร้างโรงอาหาร ที่โรงเรียนแห่งนี้ ที่นี่มีครู 5 คน แต่ที่สอนจริง ๆ แค่ 2 คน ที่เหลือนอกนั้นไม่รู้ไปติดราชการอยู่หม่องใด๋เป็นเดือนเป็นปี เสร็จสิ้นกิจกรรมออกค่ายของนักศึกษา ผมไม่ได้ติดรถบัสกลับไปด้วย ผมตัดสินใจอาสาเป็นครูช่วยสอนนักเรียน ต่อที่นี่ พร้อม ๆ กับใช้วันว่างสร้างสรรค์งานกวี และเขียนเพลง ตามอารมณ์ศิลปิน ท่ามกลางบรรยากาศม่านหมอกกลางฤดูหนาว บ้านพักครูสองชั้น แยกห้องสองห้องคนละฝั่งบ้าน ครุนิยม คือครูที่พักอาศัยประจำอยู่ก่อน ส่วนผมคือแขกผู้ผ่านทางมา พร้อม ๆ กับอุดมการณ์ และหวังพักพ้นจากวิถีเมือง ที่อยู่ในสถานะของคนไร้ที่ซุกหัวนอน เพราะเจ้าของบ้านเช่าซอยเทพลีลา หน้าราม เพิ่งอัญเชิญผมออกจากห้องเนื่องจากขาดส่งค่าเช่า รายเดือน วิถีกวีผู้ปฏิเสธวิถีเมืองชั่วคราว เพราะความจำเป็น และลำเค็ญกับความไม่แน่นอนของรายได้ขายงานกวี
***************************** ประมาณครึ่งเดือนที่ได้อยู่....... และแล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับคนในหมู่บ้าน ค่ำคืนลอยกระทงของหนาวปีนั้น ผู้ใหญ่บ้านพาลูกบ้านจำนวนหนึ่งขึ้นรถปิ๊คอัพไปเที่ยวงานลอยกระทงที่ตัวอำเภอ แล้วเกิดประสบอุบัติเหตุ มีผู้เสียชีวิตถึงสองคน ศพของผู้เสียชีวิตถูกนำกลับมาตั้งศพสวดบำเพ็ญกุศลก่อนฌาปนกิจที่บ้านหลายคืน ผมเองก็ได้ไปร่วมงานสวดศพเกือบทุกคืน จนกระทั่งวันเผาศพผมไม่มีโอกาสได้ไปร่วมงานเผาศพด้วย เพราะติดงานสอนและคอยดูแลนักเรียนทั้งหมด ของโรงเรียน และวันนั้นครูนิยมก็ไม่อยู่เพราะแกตัดสินใจลาการสอนกลับไปบ้านของแกที่ตัวจังหวัดน่าน โดยมีหมายกำหนดลาถึง 2 วัน หากผมเอะใจสักนิด ผมควรจะขอวิงวอนกับครูนิยม แบบขอสักครั้งเถอะ ว่าอย่าเพิ่งลากลับบ้านเลยในช่วงนี้ แต่ผมเป็นคนไม่รอบคอบ ไม่ได้คิดการ์ณไกล ครู ครู ผีขาชี้เด่เลย เพ็ง เด็กชั้นปอสอง เสือกทะลึ่งมาบอกเล่าภาพพิธีการเผาศพ 2 ศพ เมื่อช่วงบ่าย ตามประสาซื่อของเพ็ง ที่ได้ไปร่วมงานศพ และได้อยู่ร่วมในพิธีเผาศพขณะไฟเริ่มลุกท่วมโลงและเชิงตะกอน แต่จะโทษเพ็งฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ถ้าผมไม่เสือกทะลึ่งไปถามเขาก่อน ผมไม่รู้ว่าพิธีเผาศพที่หมู่บ้านนี้เป็นเช่นไร แต่พอเพ็งบอกว่า ผีขาชี้เด่ จินตนาการของผมก็บรรเจิดเตลิดไปถึงกองฟืนสูง ๆ กลางลานโล่งของป่าช้า และบนกองฟืนก็ถูกเทินด้วยโลงพร้อมศพคนตาย อาจเป็นไปได้ขณะไฟกำลังลามไหม้ไม้โลงจนทะลุรอบ ภาพศพที่อาจเพิ่งเริ่มสู่ขบวนการเผาไหม้อย่างเต็มรูปแบบย่อมเห็นชัด เป็นเงางึมดำในกองเพลิง พร้อมกลิ่นเผาไหม้เนื้อหนังทีโชยคลุ้งเคล้ากลุ่มควัน จะแปลกอะไรหากเสียงปะทุฟืนและเสียงแตกตัวของเนื้อหนัง และการยืดหดของเส้นเอ็น ข้อกระดูก กะโหลก และปฏิกิริยาเนื้อ น้ำในร่างระหว่างการเผาไหม้จะเร่งปฏิกิริยาให้บางส่วนของร่างกายเกิดการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว คือวาระหนึ่งเพื่อไปกลับสู่การกลายเป็นเถ้าธุลี ในวาระต่อไป แต่ผมไม่ควรเอื้อนเอ่ยถาม ให้เพ็งเขาต้องเล่าบอกเลย แต่ก็ช้าไป...... ผมมันคนไม่รอบคอบ คืนนี้ผมต้องนอนคนเดียว....................ในบ้านพักครูหลังนี้ เพ็งบอกว่า ป่าช้าก็อยู่หลังดงไม้ ห่างจากบ้านพักครูไปนิดเดียวเอง ไอ๊หยา.......
***********************
ตะวันตกดิน ฟ้าไม่ทันมืดสนิท ผมก็ซุกตัวอยู่ใต้ชั้นผ้าห่มเรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่ยังไม่เรียบร้อย ก็คือสภาพจิตใจที่หนักอึ้งด้วยภาระของภาพที่ยากจะสลัดหลุด เพื่อฝ่าฟันในพ้นข้ามผ่านคืนนี้ไปให้ได้ ผมต้องการก้าวสู่วันใหม่อันสดใสกว่า.......บรื๊อออออ.... แต่ในระหว่างการฝ่าข้ามนี่สิ เราจะเจอสิ่งไม่คาดฝันและสิ่งที่ไม่อยากจะเจอไหมหนอ......... เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงให้หลัง หลังหลบตัวใต้ผ้าห่ม กลยุทธ์เกือบทุกกระบวนท่าเพื่อนำพาตัวเองให้เข้าสู่สมาธิ อันเป็นวิธีนำพาก้าวไปสู่การปิดเปลือกตานอนแบบหลับสนิทที่สุด ก็ถูกนำมาใช้จนหมดทุกกระบวนท่า ไม่ว่าจะเป็นการนับแกะ หายใจเข้า หายใจออก นับหนึ่งถึงสิบ โอ๊ย สารพัดวิธีที่นำออกมาใช้ แต่...มันไม่ได้ผล เปลือกตาปิดสนิทและไม่อาจหลับสนิท ขณะใจกลับย้อนวนไปที่ภาพจินตนาการ เชิงตะกอน และศพเคลื่อนไหว หงิกมือ งอขา กลอกตา โก่งตัว ขาชี้เด่ อยู่อย่างนั้น เวลาผ่านไป....... ภายใต้ความมืดดำและเงียบสงัด พลันภาพอันน่าสะพรึง ก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงแกรกกรากผิดปกติ ดังมาเป็นระยะ อยู่บนหลังคาสังกะสิ บ้านพักครู... เกิดอะไรขึ้น.... ผมปิดเปลือกตาจนรู้สึกได้ว่าเป็นการจงใจปิดแบบเกินจริงและรู้สึกปวดตา ถึงจะปิดสนิทเพียงใดภาพอันน่าสะพรึงกลัวก็ยังทยอยเข้ามาอีก ท่ามกลางสภาวะการพยายามอย่างเต็มกำลังที่จะผลักภาพเหล่านั้นออกไปให้พ้นมโนนึก........ ลูกแกะหนึ่งตัว ลูกแกะสองตัว ครูครับขาชี้เด่เลย ......หนึ่ง...... หนึ่ง..... สอง...... สอง.......สาม...ครูขาชี้เด่เลย ครุขาชี้เด่เลย......พุท....โธ......พุท.....โธ.......พุท.....ครูขาชี้เด่ ขาชี้เด่.........อะระหังสัมมา.....ครูขาชี้.......หนึ่ง สอง ขาชี้เด่ ...โธ....พุทธ.....โธ......ขาชี้ .....ลุกแกะ หนึ่งตัว ลูกแกะ ป่าช้าอยู่หลังบ้านครูนี่เอง อะระหังสัมมา ขาชี้เด่เลย..........สวากขาโต........ ขาชี้เด่เลยครู......อนิจจา ผมรู้สึกเหนื่อยล้าและหวาดผวาเกินกว่าจะควบคุมสมาธิตัวเองแล้ว.......ค่ำคืนนี้
นานเท่าไรไม่รู้ได้ ผมมารู้สึกตัวอีกที ก็ต่อเมื่อได้ยินแว่วเสียงเด็กนักเรียน จ๊อกแจ๊ก มาจากสนามฟุตบอล แสดงว่าเด็ก ๆ เริ่มมาโรงเรียนแล้ว ผมรู้สึกโล่อก ที่ผ่านพ้นค่ำคืนมาได้ มีเสียงมาจากห้องของครูนิยม แสดงว่าครูนิยมอาจจะกลับมาแล้ว ลาไป 2 วัน แต่อาจเป็นเพราะห่วงเด็ก ๆ ครูนิยมจึงรีบกลับมาให้ทันช่วงเช้านี้ โดยลาแค่วันเดียว ผมค่อย ๆ เปิดเปลือกตา บิดขี้เกียจ ยืดแข้ง ยืนขา อยุ่ใต้ผ้าห่มหลายผืนคลุม ห้องยังมืดสนิท เพราะหน้าต่างปิดหมดทุกบาน และยังไม่มีแสงเล็ดลอดเข้ามา อาจจะยังเช้าเกินไป คิดพลางกดแสงไฟนาฬิกาข้อมือดู............... พระเจ้า. ให้ตายเถอะ..... ตัวเลขที่นาฬิกา บอกเวลาขณะนี้คือ ช่วงสี่ทุ่ม .... นาฬิกา อาจเสีย ผมค่อย ๆ ชันตัวลุกขึ้น ปลดกลอนหน้าต่างหัวนอน แง้มออกดูข้างนอก พลันผมก็รีบดึงบานหน้าต่างกลับลงกลอนอย่างรวดเร็ว แล้วรีบซุกตัวลงใต้ผ้าห่มอีกครั้ง ขดขมวดตัวปิดเปลือกตาจนรุ้สึกปวด นิ่ง นอนฟังเสียง....รอบข้าง ทุกสิ่งทุกอย่างรอบบริเวณยังเงียบสนิท ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ นอกจากลมหายใจหอบถี่ของตัวเอง ที่ผ่านมาสักครู่คือฝันไป เสียงเด็ก ๆ ที่สนามฟุตบอลที่ได้ยิน ... คือฝันไป เสียงเคลื่อนไหวในห้องพักครูนิยม ..... คือฝันไป ผมภาวนาให้เป็นเช่นนั้น ผมภาวนาให้เสียงที่แทรกอยู่ในความฝันทั้งหมดทั้งมวล ไม่ใช่เสียงที่ได้ยินจริง ๆ........... เสียงนกกลางคืนส่งเสียงแหวกความเงียบมาจากท้ายบ้าน............อย่างน่าสะพรึง......... ......ป่าช้าก็อยู่หลังดงไม้ ห่างจากบ้านพักครูไปนิดเดียวเอง..... ผมเริ่มทำสมาธิอีกครั้ง เพื่อต่อสู้และผลักดันภาพบางอย่างออกไปให้พ้น เพื่อผมจะได้ผ่านค่ำคืนอันเงียบเย็น มืดดำ จินตนาการอันน่ากลัว นี้ไปสู่รุ่งเช้าแห่งความจริง เสียที ........พุทธัง ภะวะวันตัง อภิวาเทมิ สวากขา ....ขา...ขาชี้เด่เลยครู..........จบกัน บรื๊ออออออ......
มีหลายคนเคยบอกกับผมว่า ผีไม่มีในโลก ผมก็เชื่อเช่นนั้น แต่ผมเป็นคนกลัวผี แต่ไม่มาก จนขี้ขึ้นสมอง.... คุณเชื่อผมมั๊ย? **********************************
Create Date : 16 กันยายน 2550 | | |
Last Update : 16 กันยายน 2550 13:48:50 น. |
Counter : 702 Pageviews. |
| |
|
|
|