โฟล์คเหน่อ เล่นดนตรี เขียนกวี วิถีชีวิตริมฝั่งแม่น้ำสุพรรณฯ

Group Blog
 
All blogs
 
:::ไอ้ขิก:::คนงมงายควรอ่าน

ไอ้ขิก : คนงมงายห้ามอ่าน

“วันนั้นไอ้น้อยมันเมามาก แต่เสือกจะขับมอเตอร์ไซด์กลับบ้าน กูเห็นมันขับแบบส่ายไป ส่ายมาตั้งแต่ตอนออกตัวแล้ว ...” เสมหยุดเล่านิดนึง ตามประสานักเล่าเรื่องมืออาชีพ เพื่อให้เพื่อนสมาชิกนักดนตรีวงโฟล์คเหน่อ ที่นั่งอยู่ในรถ ได้ลุ้นติดตามเรื่องเล่าของมัน

“แล้วไง....” ใครคนหนึ่งเอ่ยถาม เพราะรู้ว่าเรื่องเล่าเรื่องนี้ยังไม่จบ

“สักพัก มีคนตะโกนโหวกเหวก มาจากปากซอย ว่าไอ้น้อยขับรถมอเตอร์ไซด์พุ่งลงถนน”

“แล้วมันเป็นอะไรอีกไหม....” อ้น มือเพอร์คัสชั่น แต่พ่วงตำแหน่งโชเฟอร์ เจ้าของพาหนะนำวง เอ่ยถามแบบลุ้นเกาะติด

“มึงเชื่อไหม? สภาพที่กูไปเห็นเนี่ย มอเตอร์ไซด์ของไอ้น้อยมันพุ่งลงไปชนอยู่กับต้นไม้ชายทาง ในสภาพ ช่วงหน้าและล้อหน้าบิดเบี้ยวเป็นเลขแปดเลย ส่วนไอ้น้อย นั้นถึงเมาหนัก แต่เสือกมีสติไต่ขึ้นมานั่งคอตก อยู่ริมถนน สภาพภายนอกเนื้อตัว มันยังดูปกติ ไม่มีบาดแผล พอพวกเราวิ่งไปถึง มันเห็นมันก็หัวเราะ แบบประมาณว่ากูไม่เป็นไรสักหน่อยพวกมึงไม่ต้องห่วง แล้วทันทีที่มันพยายามจะถกชายเสื้อเพื่ออวดสรรพคุณของดี คู่กายที่ชายเอวของมันเท่านั้นแหละ มันก็ต้องหงายท้องตึง หมดสติทันที พวกเอ็งรู้มั้ยเพราะอะไร.........”

“........?”

2.

สองโมงเช้า

พวกเราอัดแน่นอยู่บรถแลนด์โรเวอร์ เพื่อเดินทางมุ่งสู่จังหวัดชัยนาท เพื่อภารกิจแสดงดนตรี ที่มีหมายกำหนดตอนเที่ยงวัน

ภารกิจการแสดงสดดนตรีโฟล์คซอง ของพวกเรา มักมีหมายกำหนดการเช่นนี้บ่อย ๆ

งานบวช ที่มีหมายกำหนดการบวชพระตอนเช้า แล้วกินเลี้ยงฉลองตอนเที่ยงเพื่อให้งานจบภายในวันเดียวนั้น มีเเหตุผลหลากหลายประการ

ในช่วงที่ฤดูฝนมาก่อนกำหนด เช่นนี้ คือเหตุผลประการหนึ่ง ที่เจ้าภาพเลือกที่จะจัดงานเลี้ยง เพื่อการหลีกเลี่ยงฟ้าฝนที่มักจะตกในช่วงเวลาใกล้ค่ำ

อัตราความเสี่ยงเรื่องฟ้าฝนมีสูงหากจัดงานในช่วงค่ำ อันนำมาซึ่งความยุ่งยากนานัปการ รวมไปถึงความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในเรื่องของจำนวนแขกเหรื่อที่จะมาร่วมงานกินเลี้ยงฉลองด้วย

ปฏิเสธไม่ได้ว่า งานบวช งานแต่ง ในยุคสมัยนี้ คือการลงทุนอย่างหนึ่ง การลงทุนที่ต้องมีผลได้เสียของเม็ดเงินซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หากมีอุปสรรคที่ส่งผลให้แขกผู้มีเกียรติไม่สามารถมาร่วมงานได้ นั่นย่อมส่งผลให้เจ้าภาพผู้จัดงาน ต้องอยู่ในสภาพที่เขาเรียกว่า จัดงานแล้วเจ็บตัว

ทันทีที่วงล้อรถหมุนเคลื่อนที่ ข้าพเจ้าก็หลุบหมวกปิดใบหน้า หมายจะหลับสักงีบ

เช้าเกินไป สำหรับผม กับภารกิจที่ผิดเวลาหลับนอนในวันนี้

3.

“รุ่นรวยไม่มีเหตุผล” เสียงใครคนหนึ่งในรถเอ่ยอ่านขึ้น เข้าใจว่า อาจจะอ่านจากข้อความป้ายโฆษณาที่ปักอยู่ริมข้างทาง ในยุคที่มีการสร้างกระแส สร้างเหรียญจตุคามรามเทพของวัดต่าง ๆ ในจังหวัดสุพรรณฯ

ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่คำว่า “รวย” คำว่า “โคตร” จะปรากฏอยู่กลาดเกลื่อนในป้ายโฆษณาเหล่านั้น

“พระไม่ไหว้กัน ไปไหว้เศษเหล็กไหว้เศษดิน” เสมคงจะหมายถึงเหรียญจตุคามรามเทพอีกนั่นแหละ

“วงเราน่าจะสร้างสักรุ่น นะ เอาชื่อรุ่น “โคตรรวยเละเทะตุ้มเป๊ะเลย จะได้รวยกันสักที” เสียงอ้นว่าต่อ

มีเสียงหัวเราะลั่นรถ

เท่าที่คบพบปะกันฉันท์เพื่อนพี่น้องสมาชิกของวงดนตรี “โฟล์คเหน่อ” ของข้าพเจ้า สังเกตแล้วข้าพเจ้าก็ไม่เห็นสมาชิกคนใดในวง คลั่งไคล้เหรียญจตุคามรามเทพเลยสักคน

ขณะที่กระแสการสร้างเหรียญจตุคามในแต่ละวัดของจังหวัดสุพรรณขณะนี้ มีขึ้นป้ายโฆษณาผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด

ผมคาดว่าถ้าวัดในจังหวัดสุพรรณทุกวัดสร้างเหรียญจตุคามรามเทพ ข้าพเจ้าว่าน่าจะมีรุ่นเหรียญเพิ่มขึ้นอีกนับพันรุ่น

“มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง” แล้วเสม มือแอคคอเดี้ยนและนักเล่าเรื่องประจำวงก็เอ่ยขึ้น ทำให้ข้าพเจ้าเองที่กำลังทำท่าจะหลับ เมื่อรู้ว่าเสมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง ก็มิอาจที่จะยอมพลาดเรื่องเล่าของมันได้ หากแต่วันนี้ข้าพเจ้าขอแอบฟังเงียบ ๆ อยู่ใต้หลุบปีกหมวก สีลายพราง

แสดงอาการเหมือนคนหลับแต่ไม่หลับ

“ไอ้น้อยมันเป็นเพื่อนกับกูนี่แหละ สมัยวัยรุ่นเที่ยวด้วยกัน แต่ตอนมันไปมีเรื่องตี รัน ฟันแทง กูไม่เคยได้ไปกับมันซักที” เสมเกริ่นเริ่มเรื่อง “แต่ทุกครั้งที่มันไปมีเรื่องมาเนี่ย มันจะต้องมาเล่าเป็นฉาก ๆ ให้กูฟังจนเห็นภาพเลยนะมึง มันบอกว่าทุกครั้งที่มันมีเรื่องมีราว มันคือกองหน้าที่กล้าประจัญ กับอาวุธของศัตรูหลากชนิด ทำไมมันถึงกล้า พวกมึงรู้มั้ย....?”

เงียบ ไม่มีเสียงตอบ แต่รู้ว่าทุกคนในรถกำลังรอฟังเรื่องเล่าจากเสมต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ รวมถึงข้าพเจ้าด้วย

"คือมันเป็นอย่างงี้ ...ไอ้น้อยมันมีของดี ที่กูก็เคยเห็นแล้ว ไอ้น้อยมันมี ไอ้ขิกที่ผูกติดกับบั้นเอวอยู่ตัวหนึ่ง มันบอกว่ามันได้มากับมือหลวงพ่อวัดแถว ๆ ลพบุรี จำไม่ได้ว่าวัดอะไร มันก็เคยบอกอยู่ ก็ไอ้ขิกนั่นหละ ที่ทำให้มันกล้าประจันหน้าศัตรูกับศาสตราวุธทุกชนิดแบบไม่หวั่นเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม .........” รถคงกำลังเตรียมหักเลี้ยวออกขึ้นถนนอีกเส้นทำให้เรื่องหยุดชะงักไปนิดหนึ่ง ตามแรงชะลอรถ หมวกลายพรางปิดหน้า ทำท่าจะหล่น ข้าพเจ้าเอื้อมมือจัดให้เข้าที่ดังเดิม รถเพิ่มความเร็วเป็นปกติแล้ว พร้อม ๆ กับการดำเนินเรื่องของเสมต่อไป

“มันเคยบอกว่า มีดดาบยาวเป็นคืบ ที่คู่อริประเคนลงบนแผ่นหลังของมัน ตอนมันพลาดท่าล้มลงนั้น ไม่เคยระคายผิวหนังของมันเลยสักนิด หมัดเท้าที่รุมประเคนทิ่ม ทุบใส่มันตอนโดนรุมแบบ 1 ต่อ 10 ก็ไม่อาจเรียกเลือดมันออกจากร่างได้สักหยด หนักกว่านั้น กระบอกปืนที่จ่อยิงในระยะเผาขน ก็ไม่เคยได้ส่งเม็ดกระสุนออกจากรังเพลิงได้เลย สักนัด มันบอกว่าทั้งหมดทั้งปวง ก็เพราะพลังแห่งอาคมของไอ้ขิกตัวเดียวที่คาดอยู่บั้นเอวนั่นแหละ มันเชื่ออย่างนั้น แต่กูไม่เชื่อ” เสมทิ้งถ้อยคำแบบหนักแน่น

“อ้าวพี่ ไม่เชื่อเพื่อนพี่เหรอ” หน่อยมือพิณถาม

“ตอนแรกก็เกือบเชื่อว่ะ แต่ก็กล้ำกึ่ง เพราะไม่ได้เห็นกับตาซักที แต่มาเห็นกับตาก็วันนั้นแหละ กูถึงไม่เชื่อ”

“วันไหนเหรอพี่.....?

“วันที่ตั้งวงกินเหล้าด้วยกัน”

3.

“วันนั้นไอ้น้อยมันเมามาก แต่เสือกจะขับมอเตอร์ไซด์กลับบ้าน กูเห็นมันขับแบบส่ายไป ส่ายมาตั้งแต่ตอนออกตัวแล้ว ...” เสมหยุดเล่านิดนึง ตามประสานักเล่าเรื่องมืออาชีพ เพื่อให้เพื่อนสมาชิกนักดนตรีวงโฟล์คเหน่อ ที่นั่งอยู่ในรถ ได้ลุ้นติดตามเรื่องเล่าของมัน

“แล้วไง....” ใครคนหนึ่งเอ่ยถาม เพราะรู้ว่าเรื่องเล่าเรื่องนี้ยังไม่จบ

“สักพัก มีคนตะโกนโหวกเหวก มาจากปากซอย ว่าไอ้น้อยขับรถมอเตอร์ไซด์พุ่งลงถนน”

“แล้วมันเป็นอะไรอีกไหม....” อ้น มือเพอร์คัสชั่น แต่พ่วงตำแหน่งโชเฟอร์ เจ้าของพาหนะนำวง เอ่ยถามแบบลุ้นเกาะติด

“มึงเชื่อไหม? สภาพที่กูไปเห็นเนี่ย มอเตอร์ไซด์ของไอ้น้อยมันพุ่งลงไปชนอยู่กับต้นไม้ชายทาง ในสภาพ ช่วงหน้าและล้อหน้าบิดเบี้ยวเป็นเลขแปดเลย ส่วนไอ้น้อย นั้นถึงเมาหนัก แต่เสือกมีสติไต่ขึ้นมานั่งคอตก อยู่ริมถนน สภาพภายนอกเนื้อตัว มันยังดูปกติ ไม่มีบาดแผล พอพวกเราวิ่งไปถึง มันเห็นมันก็หัวเราะ แบบประมาณว่ากูไม่เป็นไรสักหน่อยพวกมึงไม่ต้องห่วง แล้วทันทีที่มันพยายามจะถกชายเสื้อเพื่ออวดสรรพคุณของดี คู่กายที่ชายเอวของมันเท่านั้นแหละ มันก็ต้องหงายท้องตึง หมดสติทันที พวกเอ็งรู้มั้ยเพราะอะไร.........”

“ไม่รู้ซิพี่”

“ก็ที่เอวของมันนะซิ มีแผลเหวอะ เป็นทางยาวเกือบ 3 นิ้วได้มั้ง แต่แปลกเลือดไม่ยอมไหลออก เห็นเนื้อขาวเป็นรอยลึกเข้าไป น่าหวาดเสียว แต่พวกมึงเชื่อไหม แผลนั้นนะ อยู่บริเวณบั้นเอวตรงกับตัวไอ้ขิกที่ผูกไว้พอดี”เสมทิ้งท้าย

มีเสียงหัวเราะฮาลั่นรถ

ข้าพเจ้าเองก็แอบหัวเราะใต้หลุบปีกหมวกลายพรางกับเขาด้วย แต่ไม่มีใครรู้

เพลง สิงห์มอเตอร์ไซด์

คำร้อง ทำนอง ขับร้อง ลำภา มัคศรีพงษ์ (ศิลปินโฟล์คเหน่อ)




Create Date : 12 กันยายน 2550
Last Update : 12 กันยายน 2550 11:06:53 น. 6 comments
Counter : 787 Pageviews.

 
เล่าได้สนุกดีว่ะพี่

ชอบครับ


โดย: ปุถุซน วันที่: 12 กันยายน 2550 เวลา:11:28:13 น.  

 
แวะมาเยี่ยมครับ


โดย: ตาอ้วนชวนคุย วันที่: 12 กันยายน 2550 เวลา:13:12:15 น.  

 
เป็นศิลปินที่เล่นเทคโนโลยี

หายากครับ

เจอแต่ศิลปินโลวเทค.....ไม่ได้ว่านะครับเพียงแต่นิสัยของ
ศิลปินมะค่อยไล่ตามเทคโนโลยีครับผม

แถมเล่าเรื่องสนุกมากครับ


โดย: jantzen วันที่: 12 กันยายน 2550 เวลา:15:31:27 น.  

 
บีจีสวยจังค่ะ เก่งจังออกแบบได้เยี่ยมเลยค่ะ

อิอิ ขออ่านอย่างเดียวไม่ออกความเห็นนะคะ..


โดย: นู๋ญ่า (kayook ) วันที่: 12 กันยายน 2550 เวลา:17:48:25 น.  

 
ผมไม่เคยปราถนาจะได้มาติดตัวสักอันเลยล่ะครับ


โดย: 9A วันที่: 12 กันยายน 2550 เวลา:22:17:09 น.  

 
สวัสดีค่ะ

สุพรรณ...อืมม

เมืองศิลปินนักร้อง,ครูเพลง,แม่เพลง...

ไว้มาคุยอีกค่ะ....

เพลงเพราะค่ะ

(เชิญไปเยี่ยมได้บ้านบ่อย ๆ เปิดรอเสมอ)

เจอวงจริง...วงสมัครเล่นต้องตั้งตัวนิด


โดย: บังอร-บังเอิญ วันที่: 15 กันยายน 2550 เวลา:17:13:41 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

โฟล์คเหน่อ
Location :
สุพรรณบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ผลงานโฟล์คเหน่อ

สี่สิบสอง นักเขียน คนบ้า กวีหน้าราม กีตาร์โปร่ง
Friends' blogs
[Add โฟล์คเหน่อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.