โฟล์คเหน่อ เล่นดนตรี เขียนกวี วิถีชีวิตริมฝั่งแม่น้ำสุพรรณฯ

Group Blog
 
All blogs
 
สายลมใต้ปีก ::: นกเพนจรกลางสายลมแปรปรวน



สายลมใต้ปีก : นกพเนจรในห้วงสายลมแห่งความแปรปรวน





1.


ท่ามกลางวิถีการพัดพาของสายลมแปรปรวน โดยสองปีกนกอันอ่อนล้านั้น มิอาจกำหนดทิศทางการโบยบินได้ตามความต้องการของหัวใจในวิถีแห่งเจ้านกน้อยตัวนั้น


หากแต่เป็นไปตามวิถีแห่งความแปรปรวนของสายลมแห่งชะตากรรมจะเหนี่ยวดึง


วิถีแห่งลมที่เปลี่ยนทิศทางการโบยบินของนกตัวหนึ่ง ไปสู่อีกวิถีโดยมิทันได้ตั้งลำสองปีกเตรียมรับ ส่งผลให้จุดหมายที่มุ่งมั่นตั้งใจไว้เลือนลับ อาจกลับกลายเป็นอีกหมุดหมายปลายทางของอีกฝั่งเส้นขอบฟ้า ที่รอสายลมแห่งชะตากรรมจะนำพาไป


โดยอาจจะไปถึงหรือไม่ถึง มีหรือไม่มี ไม่อาจหยั่งรู้


สองปีกที่หน่วงหนักด้วยความผิดหวัง เหนื่อยล้า อ่อนแรง ในวันวิถีที่พลิกผัน


หากแต่หัวใจที่ไม่ยอมแพ้เท่านั้น ทำให้การฝืนฝ่าโบยบินไปกลางสายลมแห่งชะตากรรม จึงยังมีต่อไป


ขณะท่ามกลางความแปรปรวนแห่งสายลม ขณะห้วงแห่งความอ่อนล้าของสองปีก ขณะหวั่นไหวแห่งความไม่แน่นอนของวิถีและจุดหมายปลายทาง ขณะที่รอบข้างรกครึ้มไปเมฆหมอกทมึนดำ....





มีความงดงามบางอย่างเกิดขึ้น.......เป็นเสมือนแสงส่องนำทาง และสายลมใต้ปีก




2.


วิกฤตการณ์ความพลิกผันของเศรษฐกิจเมืองไทย เมื่อกลางปี 2540 เป็นเสมือนพายุใหญ่พัดโหม กระพือพาให้ชะตาชีวิตของสามนักดนตรีประจำผับเพื่อชีวิตเมืองสุพรรณ ต้องพลิกผันมายืนอยู่ในมุมหนึ่งของตลาดนัดเปิดท้ายคุณาวรรณ อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม


เสียงเพอร์คัสชั่น แอคคอร์เดี้ยน หยอกล้อกับกีตาร์โปร่ง ทาบทาเป็นพื้นหลังให้กับเสียงเพลงที่กึ่งร้องกึ่งตะโกน ขณะที่รายรอบข้างอึงอลไปด้วยเสียงเพลงจากเครื่องเล่นซีดี เสียงตะโกนเชิญชวนซื้อขายสินค้า เสียงต่อรองราคา เสียงพูดคุย และเสียงเท้าเหยียบเดินพื้นของคนนับพัน


ขณะที่การบรรเลง ร้องของสามศิลปินไม่มีเครื่องขยายเสียงใด ๆ รองรับเลยสักชิ้น ส่งผ่านไปแบบเล่นร้องเท่าใดออกไปได้เท่านั้น


“ร้องเล่นไป ไอ้หนุ่ม เสียงเอ็งดี ข้าชอบ เทปขายไม่ได้ ไม่ดัง ช่างแม่งมัน..ชะอุ๊ย” พูดเสร็จ ชายวัยเกือบเลขหก ก็ทำถ้าเอามืออุดปากตัวเอง แล้วมองเลิกลั่ก ไปรอบข้าง เสมือนกลัวคนอื่นได้ยินคำไม่สุภาพที่ตัวเองหลุดจากปากออกไป


แต่ใครจะได้ยินหรือไม่ได้ยินไม่รู้ ผมกับเสมและนพ รวมทั้งไทยมุงที่ยืนอยู่รายรอบนั้นได้ยินกันทั้งหมด ต่างก็ส่งเสียงหัวเราะและหน้าเปื้อนยิ้มกันทุกคน



3.

หลังคืนวันที่ถูกพักงานจากผับเพื่อชีวิตแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณฯ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำจากปัญหาเงินบาทลอยตัวเมื่อกลางปี 2540


นักเที่ยวผับฟังเพลงเพื่อชีวิต ต่างตกอยู่ในสภาวะเดียวกับคนในทุกสาขาอาชีพ ไม่มีเงินจับจ่ายเพื่อการดื่มกิน หยุดเที่ยวกลางคืน นับจำนวนคนเข้าผับน้อยลงทุกวัน สถานบันเทิงต่างทยอยปิดตัวลง จนที่สุดก็มาถึงผับเพื่อชีวิตที่ผมเล่นประจำอยุ่ ก็ประกาศปิดตัวเองลงด้วยเช่นกัน ปล่อยให้พนักงานในร้าน เด็กเสิร์ฟ พ่อครัว นักดนตรี แตกซ่านกระเซ็นไปตามชะตากรรม


วิถีชีวิตของคนร้องเพลงหาเงินเลี้ยงชีพทางเดียวอย่างผมนั้น ถือเป็นมรสุมลูกใหญ่ของชีวิต ส่งกระทบสู่ความรู้สึกอันอ่อนไหวให้ต้องนอนทำใจอยู่หลายวัน





เสมและนพ เพื่อนผู้ร่วมชะตากรรม นำพาวิถีนักดนตรีเดินทางมาสู่ผมในบ่ายวันหนึ่ง


รถดัตสันสีสัม รุ่นช้างเหยียบ ติดสติ๊กเกอร์คำว่า “โฟล์คเหน่อ” ตัวใหญ่ไว้ที่แผงกระจกหน้า คือพาหนะนำพาสามชีวิต เคลื่อนไปพร้อมวงรอบล้อหมุนและหลักไมล์ถนน มุ่งสู่ใจกลางตลาดนัดเปิดท้ายขายของ ทั่วเมืองสุพรรณ และค่อย ๆ ตีวงกว้าง ออกไปต่างจังหวัดรอบๆ และกลายเป็นทุกจังหวัดในเขตภาคกลาง


วิถีชีวิตของนักดนตรีใต้ดิน ที่มียอดจำหน่ายเทป ซีดีเพลงแต่งเอง ร้องเอง เป็นความหวังดาบหน้าในแต่ละวัน โดยมีตัวแปรสำคัญอยู่ที่ผู้บริโภคแบบเดินผ่านมาเห็น แล้วสะดุดในน้ำเสียง หรือผู้บริโภคที่ต้องการให้กำลังใจ แบบคนเข้าใจวิถีชีวิตแห่งพวกเรา


วิถีของคนแต่งเพลงเอง ร้องเอง และมาขายเอง


ตลอดช่วงเดินทางนับพันกิโล ผมไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ากำลังใจจากสหายเพื่อนร่วมทางทั้งเสมและนพ คือพลังที่มีคุณค่ามหาศาลที่ผมไม่อาจลืม


ลำพังผมคนเดียว วิถีทางเช่นนี้ผมคงขี้ขลาดเกินไปที่จะกล้าออกไปเผชิญหน้า


“นพ” วิศวกรหนุ่มผู้พักวิถีงานในกรงกรอบของกฎเกณฑ์ คือผู้ชี้นำหมุดหมายปลายทางการเดินทางของแต่ละวัน โดยมีส่วนร่วมในการเคาะเพอร์คัสชั่นจังหวะแห่งเพลง


“เสม” หนุ่มชาวสวนที่ยอมละทิ้งสวนมะม่วงช่วงครึ่งวันหลัง เพื่อนำพาหนะคันเก่าคู่ใจตะลุยไต่เส้นทางกว่าร้อยกิโลเมตรในแต่ละวัน โดยมีส่วนร่วมในการเล่น แอคคอร์เดียน ช่วยสร้างสีสันเพลง โดยไม่เคยมีคำว่าถอยให้ได้ยินจากผู้ชายร่างท้วมคนนี้


“เดินหน้าอย่างเดียว” ทุกครั้งที่เสมเห็นอาการของผมจะดูท้อแท้ เสมจะให้กำลังใจด้วยคำ คำนี้เสมอ


ขณะที่สายลมร้ายพัดพาให้ผมเป็นคนตกงานชั่วข้ามคืน แต่ต่อมาสายลมแห่งโชคชะตาอีกสายกลับนำพาให้ผมพบเพื่อนแท้ถึงสองคน


นี่กระมัง ที่เขาเรียกว่า....มิตรแท้ยามยาก


นี่กระมัง สายลมใต้ปีกที่คอยช่วยประคับคองนกน้อยยามเหนื่อยล้า




4.


ทุกวันอาทิตย์ หมุดหมายปักหลัก ร้องเล่นดนตรี พร้อมการขายเทป ซีดีเพลงแต่งเอง ร้องเอง ของเราสามคนมักจะละลายรวมอยู่กลางผู้คนนับพันนับหมื่น ที่กลางตลาดนัดเปิดท้ายคุณาวรรณ


และที่นี่เกือบจะทุกอาทิตย์เช่นกันที่ชายวัยใกล้หกสิบแต่งตัวปอน ๆ เท้าเปลือยเปล่า ไม่ใส่รองเท้า เพียรเฝ้ามาเลียบเคียงเมียงมอง สุดท้ายก็ปูกระดาษหนังสือพิมพ์นั่งกับพื้น แล้วฟังพวกเราร้องเพลงทุกเพลงอย่างตั้งใจ


และทุกครั้งที่สิ้นเสียงเพลงจากพวกเรา เสียงปรบมือตอบรับให้กำลังใจจากแก ก็จะดังทุกครั้งตลอดการแสดง


หรือนี่อาจเป็นอีกเหตุผลกระมังที่ทำให้พวกเราต้อง เดินทางมาตลาดนัดคุณาวรรณทุกอาทิตย์มิได้ขาด


บางอาทิตย์เราขายเทป ซีดี ไม่ได้ซักแผ่น หากแต่เรากลับมีเสียงหัวเราะลั่นรัวอยู่ในรถตลอดทางเดินกลับสู่บ้าน


ผู้ชายวัยใกล้ 60 ผู้อ้างตัวเองว่าเป็นโสดตลอดกาลคนนี้ ลุยทะเลคนเข้ามาหาพวกเราที่ล๊อคขายของกลางตลาด พร้อมด้วยรถมอเตอร์ไซด์คนเก่ามาก ๆ คันหนึ่ง มีดปลายแหลมที่พกมาด้วยคือกุญแจที่ใช้ปิดเปิดรูกุญแจมอเตอร์ไซด์คันเก่า




ช่วงเบรกเหนื่อย พวกเรามักนั่งฟังและหัวเราะกับมุกตลกเรื่องเล่าของแกซึ่งมีอยู่มากมาย







วิถีของคนร้องเพลงเล่นดนตรี แบบมีต้นทุนที่ค่าน้ำมันรถ ค่าที่วางแบสินค้า โดยมีสินค้า ประเภท เทป ซีดี เป็นตัวแลกเปลี่ยนกับเงินเพื่อให้ได้มาใช้จ่ายเป็นค่าต้นทุนดั่งกล่าว


หากแต่บางวันสินค้าของเรานั้นขายไม่ออกเลยสักชิ้นด้วยเงื่อนไขปัจจัยทางการตลาด จากผู้บริโภค และจากตัวสินค้าเอง


แต่น่าแปลก ที่พวกเรากลับหัวเราะเริงรื่นอยุ่ได้ไม่ขาด ขณะ ณ ห้วงเวลานั้น ความท้อแท้ควรจะกดทับพวกเราให้นั่งจ่อมจม





มิตรภาพที่เกิดจากการเดินทางของพวกเราสามคนเพื่อมาบรรจบกับกำลังใจจากผู้ชายคนหนึ่ง ที่มีเพียงคำพูดประโยคสั้น ๆ ยืนยันบ่อยครั้งว่า “ข้าชอบพวกเอ็งว่ะ”


จึงไม่แปลกที่ก่อนจากลากันตอนตลาดนัดวายก่อนดึกดื่น คำมั่นสัญญาว่าอาทิตย์หน้ามาเจอกันใหม่ จึงเป็นคำเอ่ยสุดท้ายก่อนจากกันทุกครั้ง


หรือนี่คืออีกหนึ่งกำลังใจที่เป็นเสมือนสายลมใต้ปีกของนกที่คอยประคับประคองปีกนกยามอ่อนล้าให้มีแรงบินสู้ต่อไป อันนอกเหนือจากแรงซื้อของผู้อุปการคุณทุก ๆ ท่าน ที่ช่วยซื้อเทป และซีดีของพวกเราจนทำให้เราฝ่าฟันผ่านพ้นมรสุม ของวิกฤติเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” เมื่อปี 2540 มาได้จนทุกวันนี้


ผมจึงยังเชื่อว่าในความมืดมัวของเมฆหมอก แรงลมปรวนแปร รบกวนการโบยบินของปีกที่อ่อนแอ อ่อนล้า กลางชะตากรรมแห่งสายลมร้าย บางทีอาจเป็นเพียงแค่บททดสอบความแข็งแกร่งแห่งชีวิตบทหนึ่ง ให้เราต้องสู้ โดยมีมือแห่งความหวังดีแอบหยิบยื่น บางสิ่งบางอย่างให้กับชีวิตเรา เสมือนให้เป็นสายลมใต้ปีกคอยประคับประคองให้เรารอดพ้นบ่วงร้ายแห่งสายลม


และที่สำคัญยิ่งหลังผ่านบททดสอบ สายลมใต้ปีก สายลมแห่งความหวังดีนั้น ยังคงมอบบางสิ่งบางอย่างนั้นให้อยู่กับเรา เสมือนเป็นรางวัลอันล้ำค่าที่ควรได้รับ หลังผ่านคืนวันอันเลวร้าย


นพและเสมยังเป็นเพื่อนและเป็นตัวหลัก ร่วมตระเวณเล่นคอนเสิร์ตอยู่กับผมจนทุกวันนี้ ขณะที่จำนวนสมาชิกในวงมีเพิ่มเติมขึ้นมาอีกหลายคน


แต่ต้นสายเลือดที่ก่อเกิดกลุ่มศิลปินโฟล์คเหน่อจริง ๆ คือเราสามคน




เพลงข้างถนน
คำร้อง ทำนอง ขับร้อง โดยศิลปิน โฟล์คเหน่อ (ลำภา มัคศรีพงษ์)


Create Date : 24 สิงหาคม 2550
Last Update : 3 กันยายน 2550 23:54:08 น. 3 comments
Counter : 1176 Pageviews.

 
สายลมใต้ปีก ช่วยผลักดันให้นกตัวนั้นบินสูงยิ่ง


โดย: คนเลวที่แสนดี วันที่: 24 สิงหาคม 2550 เวลา:10:53:53 น.  

 
วันที่ลมแรง ก็พักการบินให้ปีกไม่เจ็บปวด
วันที่ลมสงบ โบยบินไปให้ไกลตามใจฝัน



โดย: น้าวัชร-จัดให้ วันที่: 24 สิงหาคม 2550 เวลา:12:55:09 น.  

 
กำลังใจและความรักของเพื่อนแท้เป็นแรงผลักดันให้มีแรงบินเพื่อฟันฝ่ามรสุมต่อไป


โดย: โสนบ้านนา วันที่: 24 สิงหาคม 2550 เวลา:15:49:28 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

โฟล์คเหน่อ
Location :
สุพรรณบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ผลงานโฟล์คเหน่อ

สี่สิบสอง นักเขียน คนบ้า กวีหน้าราม กีตาร์โปร่ง
Friends' blogs
[Add โฟล์คเหน่อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.