โฟล์คเหน่อ เล่นดนตรี เขียนกวี วิถีชีวิตริมฝั่งแม่น้ำสุพรรณฯ

Group Blog
 
All blogs
 

:::คลอดจากBLOG ออกมาเป็นBOOK:::เปิดตัวหนังสือทำมือฉบับโฟล์คเหน่อ:::

:::คลอดจากบล๊อค ออกมาเป็นเล่ม:::เปิดตัวหนังสือทำมือฉบับโฟล์คเหน่อ:::

เช้า วันที่ 16 ตุลาคม

แสงอุ่นอ่อนเริ่มเรื่อระบายตีนฟ้าฝั่งตะวันออก ฝนเพิ่งขาดเม็ด ยังคงเหลือไอละอองว่อนวิ่งในสายลม หยดน้ำจากชายคาทิ้งตัวลงบนพุ่มไม้หน้าบ้านเช่า เปาะแปะ

ผมสตาร์ทมอเตอร์ไซด์ดับความเงียบของหมู่บ้านก่อนรุ่งอรุณวันนี้

วันที่ผมผ่านค่ำคืนแห่งการกรำงาน โดยไม่ได้หลับไม่ได้นอน

สี่คืนเต็ม ๆ ที่ผมไม่ได้หลับนอน โดยใช้ภาวะของการบังคับตัวเอง ไปสู่จุดแห่งมุ่งหวังที่ต้องให้ชิ้นงานเสร็จ โดยมีเส้นตายของกำหนดวันเวลาปักเป็นหมุดหมายรอยู่

ชิ้นงานที่ผมกล่าวถึง คือชิ้นงานออกแบบเพื่อไปสู่การรวมเล่ม หนังสือทำมือ ที่ชื่อบันทึกการเดินทาง ของ ศิลปินโฟล์คเหน่อ

กล่าวโดยคร่าว ๆ ก็คืองานเขียนที่เป็นรูปแบบความเรียงบอกเล่าเรื่องราว และวิถีชีวิตของคนเขียนกวี เล่นดนตรี รวมไปถึงการดำเนินวิถีชีวิตริมฝั่งแม่น้ำสุพรรณฯ

ก่อนหน้านี้ 4 วัน คือจุดเริ่มต้นสู่กาละแห่งการทำงานในห้องนอนซึ่งเป็นห้องเดียวกับห้องทำงาน โดยหวังอาศัยความเงียบงันของช่วงเวลากลางคืน เพื่อให้มีสมาธิเพียงพอ เพื่อนำพาผลงานไปสู่คนอ่านในแบบรูปเล่มหนังสือทำมือ

แต่การณ์กลับไม่เป็นดังนั้น ตลอด 4 คืน ที่ผมนั่งทำงาน สายฝนสั่งลาฤดูกลับเทกระหน่ำทับท่วมหลังคาบ้านตลอด ทั้ง 4 คืน แถมบางค่ำคืน มีเสียงหวีดร้องหาคู่ของแมวติดสัด ดังเข้ามาจากหน้าบ้านเป็นระยะ เกือบจะทุกคืน

การเรียกสมาธิที่แตกกระเจิง เพื่อเข้าสู่ภาวะแห่งการงาน จึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หลังการหยุดชะงัก ไปกับเสียงรอบข้าง ที่คาดคิดว่าจะเงียบสนิท แต่ก็มิได้สนิทอย่างที่คิด

ตลอดเกือบสัปดาห์ ผมใช้เวลาเริ่มต้นหลับนอนที่ 6 โมงเช้า เพื่อไปตื่นอีกทีตอนเที่ยง อาบน้ำ กินกาแฟ ก็เข้ามาทบทวนงานช่วงคืนผ่าน ก่อนออกไปกินข้าว แล้วกลับเข้ามาลุยงานต่อจนถึง 6 โมงเย็น แล้วใช้เวลางีบหลับเอาแรง 1 ชั่วโมงตื่นอีกทีตอน 1 ทุ่ม ทบทวนงานก่อนอาบน้ำแต่งตัว แล้วคว้ากีตาร์ใส่รถเก๋งควบรถบึ่งเข้าร้านอาหารพุงกางในตัวเมือง

ขึ้นเวทีตอน 2 ทุ่มขับขานบทเพลงบนเวที กล่อมลูกค้าด้วยเพลงโฟล์ค 1 ชั่วโมง

หลัง3 ทุ่มเก็บกีตาร์โปร่งขึ้นรถแล้วขับบึ่งกลับเข้าบ้านเช่า ลงมือลุยงานต่อจนรุ่งสาง

ช่วงฟ้าสางของทุกวัน ผมต้องสตาร์ทมอเตอร์ไซด์ปลุกความเงียบของหมู่บ้าน ขับมุ่งสู่ร้านกาแฟ ที่ริมฝั่งแม่น้ำ

กินกาแฟ ปาท่องโก๋ ไข่ลวก อ่านหนังสือพิมพ์ หรือถ้าหิวมากก็หาโจ๊กใส่ท้อง ก่อนบึ่งมอเตอร์ไซด์ สู่บ้านเช่า ปิดบานหน้าต่างประตู โทรศัพท์มือถือ แล้วทิ้งตัวลงนอนหลับใหลเป็นตาย ก่อนจะเปิดเปลือกตาอีกทีตอนเที่ยงวัน

คืนวันที่ 13 ตุลาคม ผมเริ่มต้นงานด้วยการดึงงานเขียนจากบล๊อค โอเคเนชั่นและบล๊อกแก๊งค์มาเรียงลำดับ โดยยึดวันเวลาของเหตุการณ์เรื่องราวที่เขียน แล้วแบ่งเป็นหมวดหมู่อีกที

มีนักเขียนท่านหนึ่งเคยบอกว่า การแก้ไข ขัดเกลางานเขียน นั้น มันยากแสนเข็ญ กว่าการเขียนงานซะอีก

เห็นจะจริงอย่างท่านว่า

ตลอดค่ำคืนนั้น หลังการลำดับงาน และจัดหมวดหมู่เสร็จ ผมต้องนั่งแก้ไขงานที่เขียน ทั้งแก้คำผิด เรียบเรียงประโยค วางลำดับโครงเรื่องใหม่ ซึ่งไอ้ที่คิดว่าง่าย ๆ กับงานที่เขียนเสร็จแล้ว แต่สุดท้าย ผมต้องใช้เวลาหนึ่งคืนกับอีกครึ่งวัน เพื่อนั่งแก้ไขงานเขียนของตัวเอง

ค่ำคืนวันที่ 14 ผมเริ่มต้นงานที่โปรแกรมจัดหน้าหนังสือ Pagemaker 7.0 โดยมีหลักในการจัดหน้าคือ ต้องใช้พื้นที่ในหนึ่งหน้ากระดาษ ให้มากที่สุด เพราะหลังปริ้นงานเป็นต้นแบบ ผมต้องนำต้นฉบับไปสู่ร้านถ่ายเอกสาร

ซึ่งพอถึงตรงนั้น จำนวนแผ่นกระดาษแต่ละแผ่นคือต้นทุนหนังสือ ถ้าใช้แผ่นกระดาษมากก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายต่อเล่มมากตามไปด้วย

ผมจึงเลือกที่จะออกแบบเพื่อถ่ายเอกสารใน Page Size Lagal คือ กว้าง 8.5 นิ้ว ยาว 14 นิ้ว แล้วแบ่งเป็นสามคอลัมภ์ แล้วจัดขนาดคอลัมภ์ เพื่อให้เต็มทั้งหน้ากระดาษ เพื่อประหยัดต้นทุนให้มากที่สุด

หลังวางคอลัมภ์หนึ่งด้าน ก็ต้องไปวางคอลัมภ์สำหรับอีกด้านเพื่อให้ตรงกันเวลาถ่ายเอกสาร รายละเอียดปลีกย่อยตรงนี้ก็ยากอีกครับ กว่าจัดวางให้ตรงกันแต่ละคอลัมภ์ ก็ใช้เวลาไปมากโข และเสียแผ่นกระดาษเพื่อทดลองปริ๊นออกมาดู ไปหลายแผ่นทีเดียว

หลังเที่ยงคืนวันที่ 14 หลังเสร็จสิ้นการวางคอลัมภ์ ก็เข้าสู่งานวางตัวอักษร และจัดลำดับหน้า นั่นก็รวมไปถึงการจัดหน้า สารบัญ และประวัติส่วนคัวด้วย และยังมีการจัดวางภาพประกอบอีก ขั้นตอนนี้ ใช้เวลารวมแล้ว 2 วัน 2 คืน

คืนสุดท้าย ท่ามกลางสายฝนเทกระหน่ำ และเสียงหวีดร้องของแมวติดสัด ดังระงม

เที่ยงคืน หลังงานจัดหน้าเสร็จเรียบร้อย ปริ๊นออกมาวางเรียง ผมก็เริ่มสู่งานออกแบบปก ในโปรแกรม Photoshop งานออกแบบปก เป็นงานที่คุ้นชิน จึงไม่รู้สึกยาก โดยเลือกรูป ที่ปรากฏในหน้าบล็อก โอเคเนชั่น นั่นแหละ มาเป็นหน้าปกหนังสือ เพราะไม่มีภาพไหนเท่ห์ เท่าภาพนี้แล้วมั้ง

ก่อนรุ่งสางของวันที่ 16 ผมปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ หลังปริ๊นแผ่นปก สี่สีออกมา 15 ปก เท่าจำนวนเล่มหนังสือที่ต้องการสั่งทำ เพราะด้วยข้อจำกัดของเงินทุน

เบ็ดเสร็จแล้วหนังสือทำมือ บันทึกการเดินทาง เล่มนี้จะมีทั้งหมด 140 หน้า แบ่งภาคเรื่องได้ 4 ภาค คือ ภาคหนึ่ง “ถนนกวี” ภาคสอง “ถนนดนตรี” ภาคสาม “ถนนสู่เวที” และภาคสี่ “ถนนแห่งชีวิต”

ผมขับมอเตอร์ไซด์ ฝ่าละอองน้ำเล็ก ๆ หลังฝนปลายฤดูสั่งลา มุ่งสู่ร้านกาแฟ ริมแม่น้ำสุพรรณ ด้วยความรู้สึกที่ปลอดโปร่ง เมื่อได้เห็นชิ้นงานของตัวเอง เสร็จเรียบร้อย

หากไม่รับปาก กับเพื่อนที่กำลังจะไปเปิดบูธ ขายหนังสือที่ งานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ ว่าจะรวมเล่มหนังสือทำมือไปฝากขายพร้อมซีดีเพลงด้วย ผมคงไม่อดตาหลับขับตานอน ได้ขนาดนี้หรอกครับ

แต่เมื่อรับปากไว้แล้ว ก็ต้องทำให้ได้ แม้หลังวันเสร็จเล่มหนังสือผมแอบส่องกระจกแล้วเห็นเงาตัวเองเหมือนผีตายซากไม่มีผิด

เช้าวันนี้ ผมสั่งกาแฟ ไข่ลวก ปาท่องโก๋ เหมือนเคย นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เห็นข่าวพาดหัว “ แชตลวงข่มขืน เด็ก 14 ยับเยิน” อ่านแล้วก็ให้ถอนหายใจ

เหลี่ยมมุมของโลกออนไลน์ มีหลายด้าน แบ่งแยกชัด ๆ ก็คือ ด้านดีและด้านไม่ดี แล้วแต่ใครจะเลือกเหลี่ยมมุมไหน ผมเลือกที่เหลี่ยมมุมในบล็อกแก๊งค์ ซึ่งผมมั่นใจว่านี่คือเหลี่ยมมุมที่ดี

เสร็จสิ้น กาแฟเช้า ผมขับรถกลับเข้าบ้าน หวังนอนพักเอาแรงสักงีบ สายหน่อย พอร้านถ่ายเอกสารเปิดทำการ ผมคงต้องรีบนำต้นฉบับ ไปให้เขาจัดการถ่ายเอกสารและตัดเข้าเล่ม ซึ่งก็คือขั้นตอนสุดท้าย พอรุ่งอีกวัน ผมก็คงได้หนังสือทำมือ 15 เล่ม พร้อมซีดีเพลง ไปให้เพื่อนวางขายในงานมหกรรมหนังสือได้เสร็จเรียบร้อย

ก่อนเข้าสู่ห้องทำงานและห้องนอน ผมแอบส่องกระจกดูตัวเองอีกครั้ง เห็นสารรูปของคนพักผ่อนไม่เพียงพอแล้ว มันไม่น่าดูจริง ๆ

ครั้นพอเปิดประตูเข้าห้อง ผมก็แทบผงะ

อะไรกันนี่ สภาพห้องของผมทำไมถึงเป็นเช่นนี้

ตลอด คืนวันที่ผมทำงาน ผมไม่เคยได้หยิบจับอะไรในห้องทำงานเพื่อให้เป็นระเบียบเลย เศษกระดาษที่ปริ๊นทดลองงาน หนังสือเล่มที่รื้อเอามาเป็นแบบอย่าง แบบงานของหนังสือทำมือเล่มเก่า แก้วกาแฟที่มีคราบกาแฟติดค้างเขลอะอยุ่ ถ้วยชามที่ใส่ข้าวมากินในห้องแล้วไม่ได้ล้าง เสื้อผ้าที่ถอดทิ้ง ทุกสิ่งทุกอย่าง วางเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้นห้องและบนโต๊ะหน้าจอคอมพิวเตอร์

4 วันมานี้ผมไม่ได้มีเวลาจัดห้อง ไม่มีเวลาเก็บล้างถ้วยชาม ไม่มีเวลาเก็บซักเสือ้ผ้า ไม่แม้แต่จะเก็บสิ่งของที่เกลื่อนกลาดเต็มห้อง ให้เป็นที่เป็นทางสักชิ้น

4 วันมานี้ ผมทุ่มเทให้กับหนังสือทำมือ เล่มนี้ของผมแบบเต็ม ๆ โดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวจริง ๆ หรือนี่

ผมทิ้งตัวลงนอนบนที่นอน ในห้องที่กระจัดกระจายไปด้วยแผ่นกระดาษ ถ้วยชาม และเสื้อผ้า

“ใครมาแอบข่มขืนกูหรือเปล่าวะเนี่ย ห้องกระจุยกระจาย และร่างกายดูโทรมเชียว” ผมแอบคิดอยู่ในใจ ก่อนปิดเปลือกตาหลับสนิทอีกครั้ง ก่อนตะวันจะไต่พ้นฟ้า......

">

:::เพลง ร้าวราน:::

:::คำร้อง ทำนอง ลำภา มัคศรีพงษ์ (ศิลปินโฟล์คเหน่อ):::




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2550    
Last Update : 19 ตุลาคม 2550 7:19:02 น.
Counter : 741 Pageviews.  

:::คนไปกับกีตาร์ หมาไปกับรถ : คุณเคยขับรถชนหมาบ้างหรือเปล่าครับ:::

คนไปกับกีตาร์ หมาไปกับรถ : คุณเคยขับรถชนหมาบ้างหรือเปล่าครับ

1.

ทันที ที่วงล้อหน้ามอเตอรไซด์ ชนปะทะ

คันแฮนด์บังคับก็บิดเปลี่ยนทิศทาง ส่งผลให้มอเตอร์ไซด์เสียการทรงตัวล้มเอียง ขณะล้อหน้าเจอแรงปะทะให้เกือบหยุด ล้อหลังจึงครูดตีวงไปกับพื้นถนนตามแรงส่งของความเร็ว เทเอียงทิ้งร่างของผมหล่นร่วงกองทับอยู่บนกีตาร์ในถุงบุนวมที่สะพายอยู่ไหล่ซ้าย ในลักษณะเกือบนอนหงาย และกลิ้งเกลือกในเวลาต่อมา

เสียงคู่กรณีของผมร้องเสียงหลงได้ยินชัดเจน ขณะที่พวกพ้องของพวกเขาอีก 2-3 ตัวส่งเสียงเห่าประสานดังลั่นอยู่บนฟุตบาธ

ไวเท่าความรู้สึก เมื่อเช็คอาการเบื้องต้นแบบลวก ๆ แล้วร่างกายไม่เป็นไร สติสัมปชัญญะยังครบถ้วน หันมองรอบกายไม่มีคนเห็น รถข้างหลังยังไม่มารถข้างหน้ายังไม่มี จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่คอยร้องทุกข์ใครให้ต้องอับอายขายขี้หน้าว่าศิลปินขับมอเตอร์ไซด์ชนหมา

รีบสะพายกีตาร์ที่ยังไม่รู้ว่าพังหรือไม่พัง แล้วยกมอเตอร์ไซด์สตาร์ทเครื่อง

โชคดีเครื่องฟิตสตาร์ทติดง่าย

ทันทีที่เครื่องติด การพาตัวเองไปให้พ้นจากสถานที่เกิดเหตุ ณ.เวลานี้คือปราถนาสูงสุด

ขณะที่คู่กรณีของผมยังส่งเสียงครวญครางหางจุกตูด เสมือนเรียกร้องหาความเป็นธรรมให้กับชีวิตอยู่บนฟุตบาทพร้อมๆ กับเพื่อนของเขาที่ส่งเสียงเห่าด่าไล่ตูดผมมา

แต่ผมไม่สน

เชิญไปแจ้งความ เรียกร้องกับบริษัทประกันอุบัติเหตุแบบหมา ๆ ของพวกเอง เอาเองเถอะ

ข้ามถนนไม่ดูตาหมา ตาศิลปิน ไอ้หมาฉิบ...

2.

ชีวิตของนักดนตีขายเสียงในร้านเหล้า โอกาสเสี่ยงขณะดำเนินบนวิถีชีวิตปกติมีอยู่พอสมควรเชียวครับ แต่ความเสี่ยงของนักดนตรีบางคน ก็อาจไม่ใช่ความเสี่ยงของนักดนตรีอีกคน นั่นก็คงอยู่ที่คุณลักษณะเฉพาะศิลปินเองครับ

ยกตัวอย่างเช่น โอกาสเสี่ยงที่นักดนตรีจะได้ปะทะคารมและอารมณ์ความรู้สึกกับแขกขี้เมาเกินลิมิตในแต่ละคืน นั้นมีสูงถึงสูงมากเชียวครับ ขณะเดียวกันในคืนค่ำย่ำราตรี สาวแก่ แม่หม้าย ผัวเผลอ ก็อาจจะโคจรมาพบเจอเสน่ห์น้ำเสียง และน้ำคำนักดนตรีมีคารมเข้า อันนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยง ถึงภัยที่จะตามมาในภายหลังได้เช่นกัน

แต่สองกรณีที่กล่าวมานั้น ถือเป็นข้อยกเว้นสำหรับนักดนตรีอย่างตัวผมครับ

ผมมีหน้าตาเป็นอาวุธ

หากมองภาพภายนอกจากหน้าเวทีขึ้นมา คงไม่มีขี้เมาเกินลีมิตคนไหน ที่จะกล้าพอกับนักดนตรีหน้าโหดร้าย (แต่ใจดี) เหมือนโจรอย่างผมหรอกครับ ทั้ง ๆ ที่ถ้าลงลึกในรายละเอียดจริง ๆ ประวัติการมีเรื่องชกต่อย ถ้าไม่นับตอนเป็นวัยรุ่น ก็ไม่เคยจะเห็นเลยสักครั้งหลังพ้นวัย ยี่สิบมาแล้ว

ขณะเดียวกัน สาวแก่ แม่หม้าย ผัวเผลอ ต่อให้เธอเมาขนาดไหน ก็คงไม่อาจผ่านความพร่ามัวของม่านเมา มองเห็นความหล่อหลังแผงเรียวหนวดงามของผมได้หรอกครับ ดังนั้นไอ้เรื่องจะมาหลงเสน่ห์นักร้องโฟล์คเหน่อนั้น คงไม่มีแน่ชาตินี้ (อาภัพเหลือเกิน ฮือ ฮือ)

นั่นคือความเสี่ยงนักดนตรีในผับ ในร้านเหล้ามักพบเจอ

แต่คือข้อยกเว้นสำหรับนักดนตรีหน้าโหดอย่างผม

แต่อัตราความเสี่ยงของผมมักมาตกอยู่ที่ชีวิตความเป็นอยู่นะสิครับ

ซึ่งอัตราความเสี่ยงตัวนี้ ส่วนใหญ่นักดนตรีจะมีเหมือน ๆ กันหมด ยกเว้นใครมีแม่ยกรวยหน่อย ก็อาจมองผ่านความเสี่ยงข้อนี้ไป

ลักษณะอาการชักหน้าไม่ถึงหลัง ดึงหลังไม่ถึงหน้า คือวิถีปกติของนักดนตรีครับ

ทำงานในร้านเหล้า อยู่ในบรรยากาศของการดื่มกิน นักดนตรีบางคน เห็นแขกยกเหล้าขึ้นดื่ม น้ำลายความอยากก็พุ่งปรี๋ดเต็มกระพุ้งแก้มแล้วละครับ นี่ยังไม่รวมบางคนนักดนตรี ที่ต้องสร้างอารมณ์ศิลปินก่อนขึ้นเวทีสักแบนหนึ่งก่อน หลังลงเวทีก็ยังติดลมต่ออีกหลาย ๆ แบน

จึงไม่ต้องแปลกใจที่วันสิ้นเดือน เหล่าศิลปินจะได้พบกับใบบิลของตนเอง ที่มีบันทึกทั้งเหล้า เบียร์ บุหรี่ ยาวเฟื้อยเป็นหางว่าว

อย่าไปนับตัวเลขว่ามีเงินเหลืออยู่เลยครับ ไปนับตัวเลขติดลบเป็นหนี้ร้านนั้นสำคัญกว่า ว่าติดลบเท่าไร เดือนต่อไปเจ้าของร้านจะให้เซนต์ต่อหรือเปล่า

นั่นคือข้อควรระวังและอัตราความเสี่ยงที่ผมเคยได้รับเป็นบทเรียน และแก้ไขตัวเองเรียบร้อยแล้ว

ขณะที่น้องรุ่นใหม่ ๆ ที่ร้านเดียวกันทุกวันนี้ ยังคงครองวิถีเช่นนี้อยู่

แต่นั่นแหละครับ ขณะที่เราเฝ้าระวัง แก้ไขเรื่องความเสี่ยงในความเป็นอยู่ของศิลปินข้อใดข้อหนึ่ง ความเสี่ยงบางอย่างที่อยู่นอกเหนือการคาดหมาย ก็จะโผล่พราดเข้า ให้เป็นบทเรียนต้องระวัง แก้ไขกันอีก ไม่วันใด ก็วันหนึ่ง

3.

วงล้อหมุนมอเตอร์ไซด์ ซูซูกิ อาร์ซี ขับเคลื่อนหมุนที่ความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนเส้นทางกลับสู่ที่พัก ในค่ำคืนที่ฟ้ามืดสนิท หลังการลงจากเวทีดนตรีร้านเปลือกไม้งาม อันเป็นร้านเล่นประจำทุกคืน

อาจเป็นเพราะเส้นทางที่เคยชิน ถนนว่าง หรืออาจเป็นเพราะความเร็วไม่ได้มากมายนัก ทำให้ห้วงความคิดของผมล่องลอยไปแบบสบาย ๆ เป็นปกติ

โดยขาดการเอาใจใส่ และขาดความระมัดระวัง

ไม่ทันที่ผมได้ระวัง และไม่ทันที่จะได้เหยียบเบรควูบเงาวิ่งผ่านตัดหน้า ก็ปะทะกับล้อหน้ามอเตอร์ไซด์ของผมจังเบ้อเร่อเสียแล้ว

มันคือหมาพันธ์ไทย ตัวเขื่อง ที่คงจะวิ่งข้ามมาหาเพื่อนอีกฝั่งถนน หรืออาจจะวิ่งหนีอะไรจากอีกฝั่งก็ได้ แต่ความเร็วที่มันวิ่งฝ่าข้ามมานั้น ผมไม่ทันได้เห็นจริง ๆ

ผมยังไม่ยอมรับว่านี่คือความประมาทของผมจริง ๆ หากแต่มันคืออุบัติเหตุสุดวิสัยที่ผมไม่ได้เป็นฝ่ายผิด

ผมยังแอบคิดเล่น ๆ ว่าถ้าไม่เกรงใจกันว่าจะอับอายขายหน้า ผมจะไปเรียกร้องเอาความผิดจากมัน โทษฐานข้ามถนนประมาท ผิดกฎจราจร ไม่ข้ามทางม้าลาย และใช้ความเร็วเกินกำหนดขณะข้ามถนน จนส่งผลให้ศิลปินโฟล์คเหน่อ มีบาดแผลถลอกปอกเปลือกเคล็ดขัดยอกเล็กน้อย และกีตาร์คู่ชีพแตกร้าวเสียอารมณ์นิดหน่อย ส่วนมอเตอร์ไซดก็ไฟหน้าแตก เบรคและที่วางเท้างอคด และอาจจะเรียกค่าทำขวัญศิลปินอีกสัก 2-3 พัน

แต่ก็ได้แต่คิด เพราะผมไม่แน่ใจว่า ไอ้หมาตัวนั้น ป่านนี้มันจะนอนช้ำในตายอยู่ที่ไหนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ไม่ใช่ย่อย ๆ เหมือนกันนะครับ

หรือหากเกิดไปเรียกร้องเอากับมัน แล้วเกิดมันเสือกเรียกร้องกลับเอากับผมบ้าง อย่างนี้ผมจะไม่กลายเป็นคนเสียหมาหรือครับ คุณว่ามั้ย

นักดนตรีโตงเตง ( ศิลปินโฟล์คเหน่อ)




 

Create Date : 18 ตุลาคม 2550    
Last Update : 18 ตุลาคม 2550 0:42:54 น.
Counter : 671 Pageviews.  

:::ถนนกลับบ้าน...จักรยาน สะพานไม้ และความทรงจำ:::

...ถนนกลับบ้าน...(จักรยาน สะพานไม้ และความทรงจำ)

1.

เกือบทุกเย็นวันอาทิตย์ ผมจะขับรถเก๋งส่วนตัวเพื่อกลับไปนอนที่บ้าน

ตลอดห้วง 6 คืน ในสัปดาห์ ผมโลดแล่นชีวิตขับขานบทเพลงอยู่บนเวทีดนตรี ทีคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นบุหรี่สุรา อาหาร และผู้คนมากมาย

ผมเลือกที่จะหยุดงานวันอาทิตย์ เพื่อปิดบ้านเช่า ขนสัมภาระส่วนตัว บางอย่าง ยัดขึ้นรถแล้วบึ่งกลับบ้าน

ผมชอบขับรถกลับบ้าน ในช่วงเวลาเย็น ๆ แสงแดดอ่อน ๆ ก่อนตะวันตกดิน ที่สาดแสงทาบทาท้องทุ่งสองข้างทาง คือเสน่ห์ที่ทำให้ผมเลือกที่จะขับรถกลับบ้านหลัง ห้าโมงเย็

ระยะทางจากบ้านเช่าในเมืองถึงบ้านเกิดกลางทุ่งนา ของผม ห่างกันไม่เกิน 30 กิโล หากไม่รีบร้อนผมใช้เวลาเดินทางนานเกือบครึ่งชั่วโมง

และหากไม่รีบร้อนอีกเช่นกันภาพความทรงจำเก่า ๆ ก็มักผุดพรายขึ้นมาป็นฉาก ๆ ทุกครั้งที่หักเลี้ยวพวงมาลัยรถพ้นสายทางหลักถนนสี่เลน เพื่อวิ่งไต่ตามถนนยางมะตอยที่ทอดเลื้อยผ่านทุ่งนาข้าว ต่อเข้าไปสู่บ้านอีก 8 กิโล

ระหว่างทาง ผมต้องผ่านสะพานปูนที่ทอดข้ามคลองส่งน้ำเล็ก ๆ สายหนึ่ง ผมเรียกสะพานนี้ ว่า “สะพานตาพุด” เพราะพอพ้นตีนสะพานก็จะมีแยกทางเข้าบ้านข้างถนน คือบ้านของตาพุด คนเลี้ยงวัว

ขณะมุ่งขึ้นสะพาน ผมต้องปลดเกียร์ต่ำรถ เพื่อไต่ความสูงชันไปสู่คอสะพาน

และขณะมุ่งขึ้นสู่สะพานเช่นกัน บ่อยครั้งที่ภาพความทรงจำบางอย่างมักผุดพรายย้อนกลับมาฉายแบบซ้ำ ๆ อย่างมิลบลืม

2.

“จับอานไว้ลูก” เสียงแม่สั่งกำชับผม ขณะกำลังออกแรงเพิ่มเร่งปั่นบันไดหมุนจานโซ่จักรยานคันใหญ่ เพื่อไต่ทางลูกรังสูงชันสีแดงเส้นนั้นขึ้นไปสู่สะพานไม้สีดำ ซึ่งทอดข้ามลำคลองระหว่างทางไปตลาด ผมนั่งตื่นเต้นอยุ่บนตะแกงจักรยาน ขณะที่มีกระบุงสูงท่วมหัวขนาบติดอยู่ข้างหลังอีกที

เสียงแม่ถอนหายใจเฮีอกใหญ่เมื่อพาจักรยานพ้นทางชันขึ้นสู่ตัวสะพาน ก่อนที่จะปล่อยให้จักรยานไหลลงทางลาด โดยไม่ต้องออกแรงปั่น

“ถ่างขาไว้ นะลูก” เสียงแม่กำชับผมอีกครั้ง ขณะจักรยานไหลตัวลงจากตัวสะพาน เพราะกลัวขาของผมจะไปขัดกับกำจักรยานเข้า

เป็นอีกหนึ่งความตื่นเต้นระหว่างทาง นอกเหนือไปจากความตื่นเต้นก่อนหน้านี้ที่รู้ว่าจะได้นั่งรถจักรยานของแม่ไปเที่ยวตลาดเป็นครั้งแรกของชีวิต

ผมเป็นลุกคนที่ห้า ในจำนวนพี่น้องเจ็ดคน ทุกอาทิตย์ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แม่จะต้องปั่นจักรยานคันโตไปตลาด เพื่อซื้อหาจับจ่าย ของกินของใช้ในตลาดหนองขามที่อยู่ห่างจากบ้านของเรา 8 กิโล

ไม่ค่อยบ่อยครั้งนักที่แม่จะพาพวกเราพี่น้องคนใดคนหนึ่งไปตลาดด้วย แต่ทุกครั้งที่แม่ไปตลาดพวกเราก็ล้วนต่างดีใจ และเฝ้าชะเง้อคอยรอเวลาแม่ปั่นจักรยานกลับมา และทันทีที่เห็นแค่เพียงจุดเล็ก ๆ บนถนนจนแน่ใจว่าเป็นแม่ปั่นจักรยานกลับมานั่นแหละ พวกเราก็จะวิ่งกรูแข่งกัน เพื่อไปรับหน้าแม่

ที่กระบุงท้ายตะแกรงรถจักรยานของแม่ตอนขากลับมาจากตลาดนั้น จะเต็มไปด้วยข้าวของ เครื่องใช้ที่จำเป็น และที่ขาดไม่ได้ ก็คือขนม และผลไม้จากตลาด ที่แม่มักจะซื้อกลับมาให้ลูก ๆ ได้ลิ้มลอง ทุกครั้ง

และที่แทบจะขาดไม่ได้เลย ก็คือขนมครกของยายกิมลี้ ที่แม่จะต้องซื้อมาฝากพวกเราเกือบทุกครั้ง

ขนมครกยายกิมลี้ในห่อกระทงใบตองนั้น คือของโปรดของแม่และของพวกเรา

และนั่นก็คือความหวังเดียวของพวกเราพี่น้องที่ต่างนั่งชะเง้อคอคอย ตลอดเวลาที่จักรยานของแม่ลับตาไปไม่กี่นาที

กว่าผมจะได้มีโอกาสนั่งท้ายจักรยานของแม่ไปตลาด พวกพี่ชาย พี่สาวของผม ก็ได้ไปตลาดกับแม่มาแล้วคนละ 4-5 ครั้ง

เมื่อวันหนึ่งโอกาสมาถึงผมบ้าง ความตื่นเต้นอิ่มอกอิ่มใจ จึงถาโถมเข้ามาจนแทบไม่กินข้าวกินปลา

ก่อนไปแม่จับผมถูขี้ไคลในซอกหูซอกคอจนเกลี้ยง โดยไม่มีอาการขัดขืนเหมือนอย่างที่เคย ภาพตลาดในจินตนาการผุดพราย เข้ามาไม่หยุดหย่อน

ช่างเป็นวันที่สดใสอะไรเช่นนี้

แม่พาผมมาถึงตลาดในช่วงบ่ายแก่ ภาพตลาดห้องแถวไม้เก่า ๆ ที่บรรจุสินค้าข้าวของเครื่องใช้เต็มไปหมด คือภาพแรกที่ผมได้สัมผัส ถัดไปจากทางลูกรัง คือถนนยางมะตอยสีดำสูงระดับสายตา มีรถยนต์วิ่ง ผ่านไปผ่านมาด้วยความเร็ว และถี่คัน

นี่หรือคือตลาด ที่บรรจุข้าวของเครื่องใช้และขนมอร่อย ๆ ของพวกเรา

แม่จอดจักรยาน ที่หน้าห้องแถวห้องหนึ่ง

“เอาลูกมาด้วยหรือ วันนี้” เสียงผู้หญิงผิวขาววัยกลางคน ตัวสูงที่อยู่หน้าร้านร้องทักแม่ ขณะที่แม่สั่งให้ผมลงจากตะแกงหลังรถจักรยาน

“อืม..พามันมาเที่ยว” เสียงแม่ตอบไปอย่างนั้น

ร้านที่แม่พาผมมาสัมผัสครั้งแรก คือร้านเจ๊กสูง อาจจะเป็นเพราะตัวแกสูงมั้ง แม่ถึงเรียกเจ๊กสูง

ร้านเจ๊กสูง มีข้าวของบรรจุอยู่ในร้านมากมาย ทั้งข้าวสาร พริก หอม ถังน้ำสังกะสี ปอแก้ว บุหรี่ หยูกยา สารพัด ละลานตาไปหมด

เจ๊กสูงมีลูกสาว ผิวขาวสวย อยู่คนหนึ่ง กำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่ม้านั่งหน้าร้าน แต่ผมไม่ได้สนใจ รถยนต์ที่วิ่งผ่านไปผ่านมาบนถนนใหญ่นั่นต่างหากที่ดึงความสนใจของผม จนแม่ต้องเรียกให้ผมเดินตามเข้าไปในร้าน

ผมรู้สึกแปลกกลิ่นกับข้าวของในร้านเจ๊กสูงที่วางไว้เป็นระเบียบบ้างไม่เป็นระเบียบบ้าง เต็มร้านไปหมด

ผมเห็นแม่เดินเข้าไปคุยซุบซิบ กับเจ๊กสูงสองต่อสอง อยู่สักพัก ส่วนผมยืนดูอยุ่ห่าง ๆ

ผมไม่รู้ว่าแม่คุยเรื่องอะไรกับเจ๊กสูง แต่เห็นลักษณะอาการของแม่แล้ว เหมือนว่าแม่กำลังขอร้อง หรือเชิงขอความช่วยเหลืออะไรสักอย่างจากเจ๊กสูง ซึ่งอาการของเจ๊กสูงที่แสดงให้เห็นก็เหมือนอิดออด และปฏิเสธกับคำขอของแม่ แต่ผมก็มิได้ให้ความสนใจ สายตาผมเปลี่ยนไปจับจ้องบนถนนใหญ่นั่นอีกครั้ง อย่างเนิ่นนาน

“อาหมวยเอ๊ย ไปเอาตังค์ในกระป๋องแขวนมาสองร้อยสิ” เสียงเจ๊กสูงสั่งลูกสาวที่กำลังนั่งเขียนหนังสือ แต่ลูกสาวก็ยังนิ่งเฉยเหมือนไม่รับรู้

“ได้ยินไหม ให้ไปเอาตังค์มา ให้น้าติ่งเขายืมไปใช้สองร้อยบาท” เสียงคำสั่งของเจ๊กสูงดังขึ้นกว่าเดิม

สิ้นคำเจ๊กสูงลูกสาวคนสวยก็ขว้างปากกาใส่สมุดแรง ๆ แล้วผลุนผลันเดินไปกระชากกระป๋องเงินที่แขวนเชือกถ่วง ลงมาอย่างแรง พร้อมทำปากมุบมิบมุบมิบแสดงอาการไม่พอใจอย่างมาก

พลันที่เสียงกระชากกระป่องเงินอย่างแรงนั้น สายตาของแม่ก็ประสานมากับสายตาของผมเข้าพอดี

แววตาบนใบหน้าหยาบกร้านของผู้หญิงผู้เป็นชาวนามาทั้งชีวิต แววตาของผู้หญิงผู้ผ่านกับภาระโอบอุ้มเลี้ยงดูลูกหญิงลูกชายจำนวนกว่าครึ่งโหล แววตาของผู้หญิงที่เคยกร้าวใส่หลังว่ากล่าวตักเตือนและลงไม้เรียวกับลูกคนดื้อรั้นบางคน กำลังสบประสานกับผมพอดี ในภาวะเช่นนี้

ภาวะของคนที่ต้องปั่นจักรยานพร้อมลูกเข้าสู่ตลาด โดยยังไม่มีเงินติดอยู่ในกระเป๋าซักแดงเดียว มีเพียงความคาดหวังเพื่อหยิบยืมเอาจากปลายทางข้างหน้า

ผมไม่อาจอ่านความรู้สึกของแม่เวลานั้นได้ทั้งหมด แต่ผมก็พอจะรับรู้ ณ. วันนี้ได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ยอมในวันนั้น ก็เพียงเพื่อลูก ๆ ที่กำลังสลอนรอความหวังอยู่ที่บ้านเท่านั้น

มีเกลือ น้ำตาล น้ำปลา หยูกยากลับบ้าน และมีขนมครก ผลไม้กลับติดไม้ติดมือไปฝากให้ลูก ๆ ที่วิ่งตัวแดง ตัวดำ ส่งเสียงลั่น ข้ามทุ่ง ข้ามท่าออกมารับหน้าแม่อย่างลิงโลด ยามปั่นจักรยานใกล้ถึงบ้าน

นั่นคือความหวังของแม่และความหวังของพวกเรา

แต่เบื้องหลังความหวังนั้นเล่า ใครจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ต้องยอมอับอายยามเอื้อนเอ่ยอ้อนวอนคำขอยืมเงินจากเจ๊กตลาดที่มีข้าวของอยู่เต็มร้าน ใครจะรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดภายในใจของแม่ผู้หญิงชาวนาจน ๆ คนหนึ่งนั้น ได้เล่า

นอกจากความรู้สึกของเจ้าตัวของหัวใจแห่ง “แม่” ผู้หญิงชาวนาจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องโอบอุ้มเลี้ยงดูลูกหญิงลูกชายกว่าครึ่งโหลให้ได้อยู่ดีกินอิ่มยิ้มหลับสบาย เท่านั้นที่รับรู้

ยามที่มีข้าวของเครื่องใช้เต็มกระบุงท้ายรถจักรยาน และขนม ผลหมากรากไม้ กลับไปให้ลูก ๆ ที่บ้านได้ยิ้มและลิ้มรสเหมือนทุก ๆ ครั้ง

เท่านี้แม่ก็สุขเกินแล้ว

แม้จะต้องเหน็ดเหนื่อยและอับอายสักเท่าใด ....แม่ก็ยอมได้

3.

ช่วงเวลาใกล้ค่ำ

ผมปลดเกียร์ต่ำรถเก๋งก่อนไต่ทางสูงขึ้นสู่สะพานตาพุดซึ่งเปลี่ยนจากสะพานไม้มาเป็นสะพานปูนกว่ายี่สิบปีมาแล้ว

พอพ้นคอขึ้นบนสะพาน แสงแดดอ่อน ลำสุดท้ายสาดเข้ามาในรถ ผมสบสายตากับแสงแดดอีกครั้ง ก่อนแอบชำเลืองมองห่อผ้าถุง เสื้อคอกระเช้าและดอกมะลิสีขาวที่วางอยู่บนเบาะข้างซ้ายมือของผม

อีกสี่กิโลจะถึงบ้านแล้ว.....

คุณลองทายสิ มีใครรอผมอยู่ที่บ้าน......?

เพลงสร้างฝันเพื่อแม่
ขับร้อง เต้ กีตาร์ซ้าย
เนื้อร้อง ทำนอง ลำภา มัคศรีพงษ์




 

Create Date : 17 ตุลาคม 2550    
Last Update : 17 ตุลาคม 2550 17:24:57 น.
Counter : 730 Pageviews.  

:::บทกวี:::ท่วงทำนองของเม็ดฝน:::

ท่วงทำนองของเม็ดฝน

หยดเหยาะ เคาะใจ ใบไม้เขียว

หยดเดียว ได้ยิน เพลงกลิ่นฝน

แสนล้าน แล่นเลาะ เคาะระคน

พืชผล ฝนพร่าง สร้างเพลงรัก

น้ำเสนาะ เคาะบรรเลง เพลงใบไม้

เรียงไล้ ลมลู่ สู่หน่วงหนัก

หลั่งร่วง หน่วงเน้น เย็นยิ่งนัก

เพลงรัก เริงรื่น ให้ตื่นฟัง

เจิ่งนอง ท้องทุ่ง รุ้งทอดโค้ง

ลำประโดง บัวชู ชมพูสะพรั่ง

เปิดฟ้า ให้นก ผกคืนรัง

หลังฟัง เม็ดฝน สร้างดนตรี

หยาดเหยาะ เคาะใจดิน ยินระยะ

อิสระ ซึมผ่าน สถานที่

หน่วงน้ำ หยดดั่งโน้ต แห่งนที

หลั่งรวม เป็นมโหรี ไหลระเริง

ลำภา มัคศรีพงษ์




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2550    
Last Update : 15 ตุลาคม 2550 4:05:30 น.
Counter : 609 Pageviews.  

:::ย้อนรอยคาราวาน:::ย้อนตำนาน:::กองเกวียนคนทุกข์ ยุค ๑๔ ตุลาฯ:::




" คลิก play เพื่อเริ่มดู clipตำนานวงคาราวาน "


:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::




 

Create Date : 14 ตุลาคม 2550    
Last Update : 14 ตุลาคม 2550 2:21:03 น.
Counter : 667 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  

โฟล์คเหน่อ
Location :
สุพรรณบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ผลงานโฟล์คเหน่อ

สี่สิบสอง นักเขียน คนบ้า กวีหน้าราม กีตาร์โปร่ง
Friends' blogs
[Add โฟล์คเหน่อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.