All Blog
มิตรภาพอันเกิดจากวัยเยาว์
มิตรภาพอันเกิดจากวัยเยาว์
 
พระยากลาโหมศรีวรวงศ์ มหาอำมาตย์เอก พระเดชณรงค์เจ้ากรมทหารรักษาพระองค์ พระพิชัยยุทธ์เจ้ากรมพระตำรวจหลวง ทั้งสามเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายมาแต่เยาว์วัย
สืบเนื่องจากบิดาทั้งสามเป็นเกลอเก่าที่รู้จักมักคุ้นกันมาก่อนเข้ารับราชการ และบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงกัน บรรดาลูก ๆ จึงสนิทสนมคุ้นเคยและเล่นหัวกันอย่างสนุกสนาน ถึงแม้จะต่างวัยเล็กน้อยแต่นับถือเป็นเกลอกัน
               เขาว่ากันว่า มิตรภาพที่ก่อตัวมาแต่วัยเด็กมักจะยืนยาวและต่อเนื่องมาจนแก่เฒ่าโดยไม่คิดแทงข้างหลัง
เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เป็นเพียงนายศรี นายเดช นายชัย เด็กหัวจุก หางเปีย วิ่งเล่นตามประสา แต่มีโอกาสเข้านอกออกในเขตพระราชฐานได้ ด้วยมารดาของนายศรีนั้นเป็นญาติพระสนมของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ทีเดียว
เด็กชายสมัยนั้นนอกเหนือจากนายศรี นายเดช นายชัยแล้วยังมีเพื่อนวิ่งเล่นอีกหลายคน แต่ที่สนิทสนมกันจริง ๆ จนเป็นเกลอเก่ากันอย่างแท้จริงจากวัยละอ่อนจนถึงบัดนี้คงมีแค่ 3 คนนี้เท่านั้น
นายศรีนับเป็นพี่ใหญ่ด้วยเกิดก่อนสัก 2 ปี รองลงมาเป็นนายเดช อ่อนสุดต้องเป็นนายชัย เมื่อนายศรี สั่งทำอะไร นายเดช นายชัยมักทำตามโดยไม่เคยเอ่ยปากถามถึงเหตุผลด้วยเชื่อมั่นในตัวเพื่อนที่เหมือนเป็นพี่คนนี้
 
นายศรีไว้ผมจุก ส่วนนายเดช นายชัยไว้ผมเปีย
เพลงล้อเล่นที่ร้องกันบ่อย ๆ จนกว่าจะได้ตัดจุกตัดเปียเมื่ออายุ 13 นั้น ทั้งสามจำแม่นและชอบเอามาร้องเล่นเมื่อยามดื่มน้ำเมาเข้าไปเต็มที่และนึกถึงวัยเด็กของตน พร้อมเสียงหัวเราะ 555 ต่อท้ายเสมอ
ผมจุกคลุกน้ำปลา เหม็นขี้หมา มานั่งจ๊องหง่อง
ผมเปียมาเลียใบตอง พระตีกลองตะลุ่มตุ้มเม้ง
เพื่อนคนอื่นมีทั้งผมโก๊ะ ผมแกละ แล้วแต่
นายศรีพี่คนโต ฉลาดและเก่งกาจสุดจนนายเดช นายชัยนับถือด้วยใจนั้น มักตั้งคำถามที่เด็กวัยเดียวกันไม่เคยนึกมาก่อน
วันหนึ่งนายศรี ถามผู้เฒ่าผู้แก่ในเรือนว่า “ทำไมทรงผมจึงไม่เหมือนกัน และทำไมต้องไว้ผมทรงนี้ด้วย”
ส่วนนายเดช นายชัยตั้งใจฟังแบบอ้าปากหวอแต่อดปากไม่ได้ “เอพี่เราทำไมถามเช่นนี้ล่ะ ใคร ๆ เขาก็ไว้กัน ไม่เห็นจะน่าแปลกตรงไหนเลย” พี่เรานี่ขี้สงสัยเสียจริง
คำตอบจากผู้เฒ่าผู้แก่ทำให้ทั้งนายเดช นายชัยอ้าปากหวอกว้างยิ่งขึ้นจนน้ำลายแทบจะหยดแหมะออกจากปากเป็นที่ขบขันแก่ผู้เล่า
ถ้าเป็นสมัยนี้คงนึกถึงนิยายแม่มดของแฮรี่ พอตเตอร์ตอนที่เลือกหมวกเพื่อไปอยู่ในปราสาทแต่ละหลังแล้ว
ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า “เราชาวกรุงราฐมัณฑ์เชื่อว่าเด็กเล็กทุกคนมีแม่ซื้อที่จะมาคอยดูแลช่วยเหลือ ถ้าเป็นชาวคริสต์จะมีเทวดาประจำตนแต่ละคน มันเป็นประเพณี แปลว่าใคร ๆ เขาทำกันทั้งนั้น ไม่มีใครสงสัยหรือมาตั้งคำถามเช่นนายศรีเลย” คนเล่าคงงงเหมือนกัน ทำไมต้องมาถามเช่นนี้ แต่เล่าให้ฟังอย่างละเอียดลออ
คนในเรือนต่างเรียกว่า “นาย” แล้วต่อท้ายด้วยชื่อ เช่น ศรี เป็นนายศรี แสดงถึงการยกย่องว่าเป็นบุตรของเจ้านาย ไม่ได้เรียก “ศรี” หรือ “ไอ้ศรี” ตามอย่างคนทั่วไป
ถ้าเป็นลูกตาสีตาสา ไม่ใช่ลูกขุนนาง คงโดนเรียกว่า ไอ้ศรี ไอ้เดช ไอ้ชัยไปแล้ว
คำว่าไอ้ อี ไม่ใช่คำหยาบคาย แต่บ่งบอกเพศของเด็กเท่านั้น เด็กชายมักขึ้นต้นด้วยไอ้ ส่วนเด็กหญิงเป็นอี
สมัยต่อมา คำว่าอีใช้กับความเจริญเสียด้วยซ้ำ อะไร ๆ เป็นอีไปหมด
 
เมื่อแม่นายให้กำเนิดเด็กชายคนนี้ ทุกคนพร้อมใจตั้งชื่อว่า “ศรี” เพราะมีความหมายที่ดี คือ สิริมงคล มิ่งขวัญ ความรุ่งเรือง ความสว่างสุกใส ความงาม ความเจริญ มิ่งมงคล และคาดหวังว่า นายศรีคนนี้จะนำแต่ความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ตระกูล
ส่วนนายเดชนั้น พ่อแม่บอกว่า เดชแปลว่าอำนาจ ภายภาคหน้าจะได้เป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่
แล้วชัยล่ะ ชัยแปลว่าการชนะ ความชนะ ด้วยหวังว่า ต่อไปเมื่อเติบใหญ่ คิดทำการสิ่งใดจะได้รับแต่ชัยชนะ
เมื่อทั้งสามเติบใหญ่ นายศรีจะได้เป็นผู้นำความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ตระกูลจริงหรือไม่ นายเดชจะเป็นผู้มีอำนาจ และนายชัยจะมีชัยชนะ จริงตามความคาดหวังของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดหรือไม่ หรือเป็นแต่เพียงแค่ความหวัง เท่านั้น ซึ่งไม่อาจเป็นจริงได้เลย
 
คำพูดที่ว่า เด็กช่างซักช่างถาม เด็กวิ่งเล่นซุกซน จะเป็นเด็กฉลาด แต่ถ้านั่งเฉย ๆ ซึม ๆ เซา ๆ ล่ะแย่เลย ทุกคนในบ้านจำต้องคอยตอบคำถามนายศรีเสมอเพราะท่านแม่นายสั่งเอาไว้ ด้วยหวังว่าจะช่วยเพิ่มความฉลาด
แม่นายเป็นผู้หญิงที่เก่งและมีความรู้ ได้เลือกสรรแต่สิ่งที่ดีให้แก่นายศรีเสมอ ซึ่งทำให้นายเดช นายชัยที่ชอบมาคลุกคลีตีโมงด้วย พลอยฟ้าพลอยฝนได้รับอานิสงส์ผลบุญนี้ตามไปเช่นกัน
เขาถึงว่าคบคนพาล พาไปหาผิด คบบัณฑิต พาไปหาผล การเลือกอยู้ใกล้ใครจะได้เช่นนั้นเสมอแล
 
ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าต่อไปว่า “พออายุครบโกนจุกจะไม่โกนจนเกลี้ยงเลย ต้องเหลือไว้กระหย่อมหนึ่งตรงกลางกระหม่อมเพราะคิดว่าผมเป็นตัวแทนของขวัญที่คอยดูแลเด็ก หลังจากโกนจุกแล้วนี่จะปล่อยให้ผมยาวไปเรื่อยจนเป็นทรงผมของหนุ่มน้อย ส่วนที่ใครจะไว้จุก โก๊ะ แกละหรือเปียต้องแล้วแต่เด็กเลือกตอนเล็ก ๆ พวกเจ้าคงจำไม่ได้แล้วกระมัง” ผู้เฒ่าผู้แก่หันมาย้อนถามเด็ก ๆ ถึงความหลังครั้งเก่าก่อน
ทั้งสามส่ายหน้าพร้อมกัน ตอบว่า “จำได้นิดนึง ว่าถ้าชอบตัวไหน จะได้ไว้ผมทรงนั้น แต่ไม่รู้ว่า ทำไมถึงชอบตัวนั้น ลืมแล้ว” พร้อมเสียงแฮะ ๆ ประกอบว่าลืมจริง ๆ
ตุ๊กตาดินเหนียว 4 ตัวที่มีทรงผมจุก โก๊ะ แกละ เปีย เป็นตัวเสี่ยงทายว่าเด็กเล็กที่ยังไม่รู้ประสีประสาจะหยิบตัวใดขึ้นมาก่อน เมื่อเลือกตัวใด เด็กคนนั้นจะได้ไว้ผมทรงนั้น
               นายศรี ยังตั้งคำถามต่อไปว่า “แล้วขวัญกับกระหม่อมคืออะไร” นายเดช นายชัยงงอีกแล้ว งงตามลูกพี่ 
“ใช่แล้วมันคืออะไร” พลอยเอออออยากรู้ตามลูกพี่ไปด้วย พึมพำเหมือนสงสัยเสียเต็มประดา
               ผู้เฒ่าผู้แก่อธิบายต่อไปว่า “ยายก็ไม่รู้ว่าขวัญอยู่ตรงไหน แต่ใคร ๆ บอกกันว่า ทุกคนมีขวัญติดตัว มองไม่
เห็น ดูไม่รู้ เหมือนเป็นเทวดาคุ้มครองกระมังนายศรี ถ้าขวัญอยู่กับเนื้อกับตัวคนนั้นจะสบายเนื้อสบายตัว ไม่ตกใจ
ง่าย ๆ ไม่ขวัญหนีดีฝ่ออย่างไรเล่า” ยายตอบเท่าที่รู้ ใครจะไปรู้เสียทุกเรื่องราวล่ะ
               ยายอีกคนที่นั่งใกล้ ๆ เถียงขึ้นทันใดว่า “ขวัญอยู่ตรงกลางหัวไงเล่า แต่นายศรีอาจมองไม่เห็น มันจะขด ๆ เวียนเหมือนก้นหอย ต้องลองเปิดดูหนังหัวตรงกลางดูสิว่ามีกี่ขด ถ้ามีก้นหอยขดเดียวเรียกว่ามีขวัญเดียว ถ้ามีก้นหอย 2 ขด มีสองขวัญ  ยายเคยเห็นมีมากสุดสามขวัญเลยนะ” ยายรีบตอบเพราะรู้นิสัยนายศรีที่จะถามต่อว่า แล้วสูงสุดจะมีกี่ขวัญ
               ทุกคนในเรือนรู้ดีว่า นายศรีนั้นช่างซักช่างถาม ใคร่รู้ไปเสียทุกเรื่องราว มีแต่สงสัย แล้วจะเอ่ยปากถามทันที มิมีเสียล่ะ ที่จะเก็บความสงสัยนั้นไว้กับตัว เมื่อคนตอบ ตอบทุกคำถาม เลยยิ่งทำให้นายศรีเป็นเด็กฉลาดมากขึ้น
               ทุกคนรีบเปิดดูขวัญของเพื่อน เพราะมองขวัญของตัวเองไม่เห็น แล้วตอบ “มีคนละขวัญขอรับ”
               นายศรี ถามต่อว่า “แล้วกระหม่อมคืออะไร เคยได้ยินแต่พวกมหาดเล็กแทนตัวว่ากระหม่อม แล้วทำไมต้องเหลือผมไว้กระหย่อมหนึ่งตรงกลางกระหม่อม”
               นายศรี เป็นเช่นนี้เอง ช่างซักช่างถามจนกว่าจะหายสงสัย นิสัยเช่นนี้เองทำให้นายศรี รอบรู้ไปเสียทุกเรื่องราว ยิ่งเมื่อโตขึ้นจะสนใจใฝ่รู้ให้เข้าใจชัดเจน ไม่มีสิ่งใดคั่งค้างในใจเลย
               ผู้เฒ่าผู้แก่อธิบายต่อไปว่า “ตอนเด็กเกิดใหม่  ๆ นั้น ตรงกลางหัวจะมีส่วนที่นุ่ม ๆ นิ่ม ๆ ตรงนั้นเรียกว่ากระหม่อม พอโตขึ้นส่วนนั้นจะแข็งมองไม่เห็นแล้ว อยากรู้ต้องไปขอดูจากเด็กเล็กก่อน 2 ขวบ เมื่อคนใหญ่คนโตจะให้ศีลให้พรลูกหลานหรือบริวารจะเป่าตรงกระหม่อมนั่นแหละ”
               เป็นอันจบเรื่องที่นายศรี อยากรู้อยากเห็นไปอีกเรื่อง สบายใจขึ้นหน่อยที่รู้ตามที่อยากรู้แล้ว
 
พอโตขึ้นมาหน่อยหลังจากโกนจุก ตัดหางเปียแล้ว นายศรี นายเดช นายชัยจะเปลี่ยนสรรพนามกันแล้ว และเรียกพี่หรือน้องแทน เช่น นายชัยเรียก พี่ศรี  พี่เดช หรือเรียกเต็มยศว่าพี่ท่าน ส่วนพี่ศรีจะเรียกน้องเดชกับน้องพล บางทีเรียกรวม ๆ ว่า น้องเรา
ทั้งนี้เพราะพี่ศรี บอกว่า เรียกพี่เรียกน้องดูดีกว่าเรียกนายเหมือนคนไม่สนิทสนมกัน ทำตัวให้สมกับเป็นตระกูลผู้ดีเชื้อสายผู้ดีเป็นพี่เป็นน้องที่คอยดูแลซึ่งกันและกัน เตรียมเข้าไปรับราชการเป็นมหาดเล็กในวัง
เมื่อแรกเริ่มทั้งสามได้เข้ารับราชการในวังหลวงเป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ซึ่งน้อยคนนักจะมีโอกาสเช่นนี้ เพราะสิทธิ์พิเศษนี้จะให้เฉพาะลูกหลานขุนนางชั้นผู้ใหญ่และมาจากตระกูลผู้ดีเท่านั้น
เมื่อบิดาเป็นขุนนางผู้ใหญ่และมีโอกาสใกล้ชิดพระราชวงศ์ มักได้รับข้อยกเว้นและมีสิทธิพิเศษเสมอ เช่นนำลูกหลานมาเข้าเฝ้าถวายตัวเป็นมหาดเล็ก เพื่อคอยรับใช้เจ้าเหนือหัว พระมเหสี พระสนม และบรรดาพระโอรส รวม ๆ คือคอยรับใช้เจ้านายนั่นเอง
พี่ศรี ได้เข้าเป็นมหาดเล็กวิเศษเพราะอายุถึงเกณฑ์คัดเลือกก่อน ส่วนนายเดชและนายชัยได้เป็นมหาดเล็กจงกรม แล้วทั้งสามได้รับคัดเลือกให้เป็นมหาดเล็กยาม เพราะมีฝีมือทางอาวุธกับศิลปะการป้องตัวที่ได้รับฝึกฝนมา
ก่อนกอปรกับการเป็นลูกท่านหลานเธอ ทั้งสามจึงก้าวพรวดพราดนำหน้าใคร ๆ อย่างคาดไม่ถึงทีเดียว และเป็นเช่นนี้ตลอดมา
เมื่อเป็นมหาดเล็กยามจะได้รับเงินเดือนและโอกาสก้าวหน้าตามลำดับจาก มหาดเล็กยาม มหาดเล็กวิเศษ นายรอง หุ้มแพร จ่า นายเวร จางวางหรือหัวหมื่นหรือจมื่น และผู้บัญชาการกรมมหาดเล็ก
บรรดามหาดเล็กเหล่านี้นับว่าอยู่ในกรมทหารรักษาพระองค์ สังกัดในฝ่ายทหารแต่ไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชาของสมุหพระกลาโหม ขึ้นตรงต่อพระเจ้าแผ่นดินเพียงพระองค์เดียว ประกอบด้วย กรมพระตำรวจหลวง กรมสนมทหาร กรมรักษาพระองค์ กรมพลพัน กรมทหารใน กรมทนายเลือก กรมเรือคู่ชัก
ทั้งสามเข้านอกออกในพระราชวังตั้งแต่เป็นเด็กไว้จุก ไว้เปียแล้วก่อนจะเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กด้วยซ้ำ จึงคุ้นเคยและเป็นพระสหายของพระโอรสเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ ทั้งจ้าวทัศน์ จ้าวภาคย์ที่ประสูติแต่พระมเหสีเอก จ้าวอินทร จ้าวอินทา จ้าวทองพระโอรสที่เกิดจากพระสนม
 
ทั้งสามเติบใหญ่ได้เป็นใหญ่เป็นโตเจริญก้าวหน้า ในยศถาบรรดาศักดิ์ มีตำแหน่งหน้าที่มิใช่เบา ไม่เคยเลยที่จะทอดทิ้ง ย่ำยี หรือแอบแทงข้างหลังซึ่งกันและกัน มีแต่คอยดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลและสนับสนุนค้ำจุนกัน ราวกับเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ที่ได้กรีดเลือดร่วมขันในหนังจีนยังไงยังงั้น
นายศรีพี่ใหญ่สุดได้เป็นถึงพระยากลาโหมศรีวรวงศ์ มหาอำมาตย์เอก นายเดชได้เป็นพระเดชณรงค์เจ้ากรมทหารรักษาพระองค์ และนายชัยได้เป็นพระพิชัยยุทธ์เจ้ากรมพระตำรวจหลวง ทั้งสามเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายมาแต่เยาว์วัยและน่าจะเป็นมิตรสนิทไปชั่วชีวิตทีเดียว แต่ใครจะรู้ล่ะว่า จะมีอะไรมาผันแปรมิตรภาพครั้งนี้หรือไม่
เมื่อว่างจากภารกิจหน้าที่ ยามเย็น ทั้งสามมักมานั่งสนทนาปราศรัยถึงหน้าที่การงานที่กำลังปฏิบัติอยู่ อาจช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และนั่งคุยสนุกสนานถึงอดีตที่ผ่านมาร่วมกัน รวมทั้งพูดคุยถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้มาใหม่ ๆ
บางคนแอบสงสัยว่า เมื่อเจริญในอำนาจลาภยศ เป็นไปได้ไหมว่า สามารถสืบทอดความสัมพันธ์อันดีงามนี้ไปตลอดชั่วรุ่นลูกรุ่นหลาน เพราะอำนาจต่างขั้วอาจมาแผ้วพานทำลายมิตรภาพนี้ได้ ยิ่งเมื่อเลือกข้างผิด โอกาสจะเป็นศัตรูย่อมมีมากขึ้น การอยู่ใต้อาณัติผู้มีอำนาจต่างขั้ว มีหรือจะยังคงเป็นมิตรต่อไปได้อย่างสวยงาม
ไม่มีใครรู้อนาคต ไม่มีใครคาดการณ์ได้ แต่ทั้งสามยืนยันว่า มิตรภาพของเราสามจะมั่นคงและยืนยาวไปตลอดกาล แต่จะเป็นเช่นไร คงต้องรอติดตามต่อไป
 
มิตรภาพแท้จริงมักเริ่มจากวัยเยาว์
เพราะไม่มีผลประโยชน์ใด ๆ มาขัดขวาง
ถ้าสานต่อจนถึงวัยหนุ่มสาวเลยจนแก่เฒ่า
นั่นคือมิตรภาพอันแท้จริงยากแก่การสั่นคลอน
 

 
 
 
 



Create Date : 17 พฤศจิกายน 2562
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2562 7:08:13 น.
Counter : 314 Pageviews.

0 comment
ขอเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น ลิขิตฟ้า จอมราชันย์
ขอเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น ลิขิตฟ้า จอมราชันย์
และเปลี่ยนชื่อตัวละครทั้งหมด

 



Create Date : 17 พฤศจิกายน 2562
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2562 7:05:19 น.
Counter : 375 Pageviews.

0 comment
5รักแรกพบจะสมหวังหรือทำให้อกหัก


รักแรกพบจะสมหวังหรือทำให้อกหัก

เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาวธรรมชาติจะเร่งเร้าให้เกิดอารมณ์รัก ๆ ใคร่ ๆมันเป็นปกติวิสัยที่จะสืบสานต่อเผ่าพันธุ์ รักแรกนี้จะเป็นรักแท้ที่ยืนยาวนานชั่วชีวิตหรืออาจพลาดจนล้มไม่เป็นกระบวนท่า

เมื่อตำแหน่งหน้าที่การงานต้องอยู่ในเขตพระราชฐานโอกาสได้พบปะสาวงามลูกผู้ดีมีเงินมีฐานะย่อมมีมากตามไปด้วย สาวงามมากมายที่ผ่านเข้ามาได้พบปะและรู้จักอาจจะต้องตาต้องใจจนต้องรอลุ้นฉากต่อไป แต่จะสมหวังคงมาจากบุพเพสันนิวาสที่เคยทำร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อนหรืออาจอกหักจนแทบคลั่ง ยังน่าสงสัยอยู่

ที่น่าแปลกชายไทยสมัยนั้นคงทำบุญร่วมกับสาวหลายคนจึงมีโอกาสมีเมียมากมายทั้งเมียเอก เมียแต่ง เมียรอง รวมทั้งนางเล็กนางน้อยที่คอยปรนเปรอส่วนสาวเจ้าคงทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันกับชายในดวงใจเพียงคนเดียวเท่านั้นจึงมีสามีได้เพียงหนึ่งและต้องกล้ำกลืนน้ำตาไว้ในอกเมื่อสามีปันใจไปรักหญิงอื่น

ทั้งนี้เขาดูกันว่าใครใหญ่โตมากน้อยเพียงใดให้ดูจากศักดินาที่ได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์และจากจำนวนลูกเมียที่มากมายนั่นเอง แล้วพวกชาวบ้านทั่วไปจะมีลูกเมียกี่คนกันสงสัยไหม เบี้ยน้อยหอยน้อยจะมีปัญญาหาเลี้ยงดูหญิงและลูกเล็กได้สักกี่คนกัน

เจ้าใหญ่นายโตยุคนั้นล้วนมีเมียมากมายและมีบุตรธิดามากมายตามไปด้วย เนื่องจากไม่รู้วิธีคุมกำเนิดและคิดกันว่าจะได้มีคนสืบเชื้อสายวงศ์ตระกูลมากขึ้น

ยิ่งใหญ่โตมากเพียงใดยิ่งมีคนอยากเอาลูกสาวมาให้จะได้เชื่อมสัมพันธไมตรีเกื้อกูลผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน เจ้านายชั้นสูงจึงมีคนมาถวายลูกสาวให้เป็นบาทบริจาริการวมทั้งท้าวต่างบ้านเจ้าต่างเมืองยินดียิ่งนักที่จะให้ลูกสาวมารับใช้ใกล้ชิด

ตำหนักที่มีสาวสวยให้ยลโฉมคงได้แก่ตำหนักของพระมเหสีพระมารดาของเจ้าฟ้าสุทัศน์ เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์และตำหนักพระสนมเอกพระมารดาของพระอินทราชา พระศรีศิลป์ พระองค์ทอง

นายทหารมหาดเล็ก 3 นายเดินวนเวียนป้วนเปี้ยนเผื่อจะเตะตากับสาวสวยที่ถูกใจสักคน

ตำนานรักของหนุ่มสาวสมัยนั้นใช่ว่าจะติดปุ๊บปั๊บดังใจคงต้องใช้เวลานานโขกว่าสาวเจ้าจะยินยอมพร้อมตกลงปลงใจเข้าเรือนหอยิ่งพ่อแม่ของสาวเจ้าใหญ่โตมากเพียงใดคงต้องยิ่งเพิ่มความพยายามมากขึ้นเท่านั้น

ผู้ใหญ่นายโตจะฝากฝังลูกสาวหลานสาวไว้ที่ตำหนักเจ้านายจะได้เรียนรู้วิชาชั้นสูง ฝึกการเป็นแม่บ้านแม่เรือนกุลสตรีเพราะยังไม่มีโรงเรียนสำหรับเรียนรู้นอกจากฝึกงานกับเจ้านายฝ่ายหญิง

ที่สำคัญบรรดาลูกสาวหลานสาวจะมีโอกาสได้พบปะกับผู้ลากมากดีทั้งหลายที่มาเข้าเฝ้ารวมทั้งขุนนางอำมาตย์หนุ่ม ๆ ที่ยังไม่มีเรือน โอกาสที่จะมีคู่ครองย่อมดีกว่าอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน

แทนที่พี่ใหญ่จะพบเจอสาวสวยที่ถูกใจคนแรกกลับกลายเป็นน้องเล็กซะนี่ ทั้งที่ทั้งสามชะเง้อชะแง้กวาดสายตาคอยเมียง ๆ มอง ๆ พอๆ กัน มันเป็นเช่นนี้ได้เช่นไรกัน คงเป็นเพราะพี่ใหญ่จมื่นศรีสรรักษ์มาดเข้มเกินเหตุส่วนหลวงเดชณรงค์นั้นค่อนข้างหาข้อตำหนิเสียมากกว่าจะดูที่ผิวพรรณความสวยงาม

หลวงพลพิชัยพบเห็นแม่หญิงบัวจากตำหนักใหญ่ เรือนพระมเหสีเพียงครั้งแรกถึงกลับไปนอนละเมอเพ้อพกจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ได้แต่หาเหตุไปทำธุระแถวตำหนักใหญ่อยู่ร่ำไป พบเห็นหน้าสาวเจ้าแค่ผ่านๆ แสนจะดีใจมากแล้ว ยังมิกล้าเอ่ยปากทักทายสักที

ส่วนสาวเจ้าแม่หญิงบัวรู้อยู่เต็มอก รวมทั้งเพื่อน ๆมักจะหลิ่วตาหยอกล้อว่า ชายหนุ่มรูปหล่อ หุ่นล่ำบึ้กผิวออกคล้ำสมดังไทยแท้นี้แวะเวียนผ่านมาให้เห็นหน้าบ่อยครั้งเกินความจำเป็นซะแล้ว

หลวงพลพิชัยผ่านมาให้แม่หญิงบัวเห็นนานหลายเดือนโดยไม่เคยเอ่ยปากทักทายได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จนสาว ๆ ขบขันกับท่าที และแอบไปนินทาว่าอะไรกันแค่นี้มิกล้า ส่วนสาว ๆ จะไม่เอ่ยปากทักทายก่อนเป็นแน่แท้มิเช่นนั้นจะโดนนินทาไปทั่วบ้านทั่วเมือง

แม่หญิงบัวได้แต่แอบค่อนขอดในใจและพูดกับเพื่อนสนิทว่า “คุณหลวงพลพิชัยนี้หน้าตาดีหล่อเหลานักแต่ทำไมไม่พูดจาหรือเป็นใบ้พูดไม่ได้ คงไม่ใช่หรอก เป็นใบ้จะมารับราชการได้เช่นไรแต่เช่นนี้ก็น่ารักดีเหมือนกัน นาน ๆ จะเจอผู้ชายขี้อายสักที”

ทั้งสองได้แต่ยินดีที่จะมองหน้าและสบตากันนานหลายเดือนมิได้สอบถามประวัติความเป็นมาของกันและกัน เพราะยังไม่ได้สืบสานสัมพันธ์จากคนต้องตาต้องใจเขยิบไปเป็นคู่หมั้นคู่หมายหรือคนรักกัน

หลวงพลพิชัยรู้แต่ว่า แม่หญิงบัวนี้เป็นหญิงที่สวยที่สุดตั้งแต่โตเป็นหนุ่มมาเพิ่งจะถูกตาถูกใจมากถึงมากที่สุดก็คงจะเป็นคนนี้นี่เองส่วนแม่หญิงบัวรู้สึกสะเทิ้นอายทุกครั้งที่สบตากับหนุ่มน้อยคนนี้

ผ่านไปนานหลายเดือนจนพี่ใหญ่จมื่นศรีสรรักษ์และพี่รองหลวงเดชณรงค์อดรนทนไม่ได้ยุคุณหลวงพลพิชัยให้กล้าทักทายและพูดคุยจะได้รู้แน่ชัดว่าแม่หญิงคนนี้มีใจตอบให้หรือไม่ จะได้เดินเรื่องต่อ

แล้วความรักของหนุ่มสาวคู่นี้ดำเนินต่อมาถึงขั้นได้พูดจากันและแอบมอบความหวังให้แก่กัน รอว่าสักวันเมื่อความรักสุกงอมจะได้ส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอตบแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราว

ระหว่างนี้ทั้งสองหนุ่มสาวยังมิได้คุยในรายละเอียดและสืบเสาะว่าต่างฝ่ายต่างเป็นลูกเต้าเหล่าใครรู้แต่เพียงทั้งสองเริ่มมีใจให้แก่กันแค่นั้นเป็นพอแล้ว

ผู้ใดมีรักผู้นั้นจะมองเห็นโลกสดใสสว่างจ้าไม่มีเมฆหมอกครึ้มฟ้าครึ้มฝนแม้แต่น้อย

แล้วหนุ่มสาวทั้งสองนี้จะสมหวังในรักหรือไม่

ผ่านมาอีกหลายเดือนหลายคนเริ่มรับรู้ว่าทั้งสองมีใจให้แก่กันและกัน และช่วงนี้แหละที่คนใกล้ชิดเริ่มมากระซิบกระซาบถึงเรื่องราวของอีกฝ่ายให้รู้กัน

ข่าวที่รับรู้มาแทบทำให้หลวงพลพิชัยช็อคได้เพราะมองเห็นเมฆฝนก้อนใหญ่ลอยลงมาต่ำเสียเหลือเกินรอแต่วันที่จะก่อพายุและฝนถล่มหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา ทำไมต้องเป็นเช่นนี้นะ

ให้บังเอิญเสียเหลือเกินที่มาสืบรู้ว่า แม่หญิงบัวจากตำหนักใหญ่นี้เป็นหลานสาวคนโปรดของสมุหพระกลาโหมแล้วให้บังเอิญอีกเช่นกันที่บรรยากาศทางการเมืองระหว่างเจ้าฟ้าสุทัศน์กับสมุหพระกลาโหมเกิดอึมครึมขึ้นมาโดยที่ยังมองหาทางลงที่สวยงามระหว่างสองฝ่ายไม่พบ

ส่วนแม่หญิงบัวที่อยู่แต่ในรั้วในวังจะไม่ค่อยได้รู้เรื่องราวทางการเมืองมากสักเท่าใดนักเพราะข้อห้ามที่ฝ่ายในจะไม่สอดรู้สอดเห็นเรื่องราวภายนอกเขตพระราชฐานแต่เรื่องที่เจ้าคุณลุงสมุหพระกลาโหมปีนเกลียวกับเจ้าฟ้าสุทัศน์พระโอรสองค์ใหญ่ของพระมเหสีนั้นเป็นข่าวดังที่ลือกันไปทั่วทั้งตำหนักใหญ่

แม่หญิงบัวอกสั่นขวัญแขวนเมื่อรู้ว่าหนุ่มหน้าเข้มตาคมขำคนที่ชอบแอบเมียงมองและชอบพอเธอเป็นนายทหารคนสนิทของเจ้าฟ้าสุทัศน์คู่อริของเจ้าคุณลุงเสียอีกเช่นนี้แล้ว รักที่เริ่มก่อจะสานต่อได้หรือไม่ สงสัยอยู่

ทั้งหลวงพลพิชัยและแม่หญิงบัวเมื่อได้รู้ความที่ต่างอยู่คนละฟากฝั่งยากนักที่จะมาสมานไมตรีต่อกันได้ยังหาข้อที่จะยุติความสัมพันธ์ไม่ได้ด้วยความชอบพอที่เริ่มจะกลายมาเป็นความรักนี้ช่างสวยสดงดงาม ยากนักที่จะหักหาญน้ำใจให้ขาดสะบั้นลงได้ในทันทีเพราะความอาลัยอาวรณ์ต่อสายใยที่ได้เกิดขึ้น

สมุหพระกลาโหมสืบรู้มาว่ามีนายทหารหนุ่มในสังกัดของเจ้าฟ้าสุทัศน์แอบมาติดพันหลานสาวแม่หญิงบัวยิ่งโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที พาลเกลียดขี้หน้าหลวงพลพิชัยอย่างไม่มีเหตุผลแล้วเช่นนี้ความรักจะสมหวังได้หรือไม่ เมื่อมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง

สมุหพระกลาโหมไม่ได้มองว่านี่อาจเป็นช่องทางที่ดีที่จะสมานไมตรีกับฝ่ายของเจ้าฟ้าสุทัศน์ เช่นเดียวกับเจ้าฟ้าสุทัศน์เมื่อรู้ความว่าหลวงพลพิชัยสหายสนิทไปหลงรักสาวเจ้าที่เป็นหลานสาวของคู่อริรู้สึกไม่ยินดีเช่นกัน

ต่างฝ่ายต่างไม่พอใจเมื่อรู้ว่าทั้งสองแอบรักใคร่ชอบพอกันไม่มีทางเสียล่ะที่จะยอมให้เกิดไม่งามเช่นนี้ในสายตาของพวกเขาเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

หลวงพลพิชัยแทบอยากจะวิ่งหนีเข้าป่าเมื่อสีรุ้งอันสวยงามบนฟากฟ้ากลับกลายเป็นเมฆหมอกมืดครึ้มราวพายุฝนจะถล่มทลายลงมาต่อหน้าต่อตาในบัดดลครั้นจะคิดพาสาวเจ้าหนีเข้าป่าไปด้วยกัน คงเป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้แน่นอนคงได้แต่หน้าชื่นอกตรม รอให้ความขัดแย้งทั้งหลายค่อย ๆ ลดน้อยลงเสียก่อนอาจจะดีขึ้นก็เป็นได้

ผู้ใหญ่อย่างสมุหพระกลาโหมไม่รอให้เหตุการณ์มิงามเกิดขึ้นรีบทูลขอให้แม่หญิงบัวได้กลับเรือนเพื่อไปแต่งงานกับนายทหารที่สังกัดตน และเป็นถึงคุณพระมีฐานะและชาติตระกูลสูงส่ง

รักแรกพบของหลวงพลพิชัยจะจบลงง่าย ๆเช่นนี้เหรอ

รักต่างขั้วของศัตรูคนละฟากฝั่งมิอาจจะลงเอยอย่างสวยงามกระนั้นหรือ

อันความรักครั้งแรกนี้ช่างสวยสดงดงาม

และกระตุ้นความรู้สึกหวั่นไหวให้เกิดขึ้น

ครั้นจะรักสมหวังหรือรักคุดคงไม่อาจรู้ได้

หวังแต่เพียงเมฆหมอกที่มืดครึ้มจะสลายลง




Create Date : 30 พฤศจิกายน 2561
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2561 15:41:31 น.
Counter : 721 Pageviews.

3 comment
2ชาติกำเนิดไม่ชัดเจนว่าใครคือพ่อ


ชาติกำเนิดไม่ชัดเจนว่าใครคือพ่อ

เด็กที่เกิดมาจากความเคลือบแคลงสงสัยว่าตนคือลูกใครกันแน่ย่อมโหยหาความจริงแท้ที่จะขจัดความสงสัยครั้งนี้ให้หมดสิ้นไปความรักในพ่อแม่ที่เลี้ยงดูจะเป็นรักที่หล่อหลอมให้เติบโตมาด้วยดีได้หรือไม่

นายน้อยศรีเติบโตมาในฐานะบุตรชายคนโตของพระศรีธรรมากับแม่นางอินที่เลี้ยงดูด้วยความรักใคร่อย่างเต็มเปี่ยมในฐานะพ่อกับแม่แต่ทว่ายังคงมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า แม่นั้นคือแม่นางอินจริงแต่พ่อล่ะใช่จริงหรือไม่ คงไม่ใช่แม่แต่งกับพ่อแล้วแอบมีชู้แต่เป็นเพราะพ่อที่แท้จริงไม่ยอมรับในฐานะลูกจึงโยนภาระนี้ให้แก่พระศรีธรรมา

เสียงพูดซุบซิบดังไปทั่วจนมาเข้าหูนายน้อยศรีหลายครั้งหลายครา ความเป็นเด็กอาจจะยังไม่รู้สึกน้อยอกน้อยใจมากนักว่าเหตุใดคนเป็นพ่อแท้จริงจึงไม่ยอมรับตนในฐานะลูกมีแต่ความสงสัยว่าทำไมคนจึงพูดกันหนาหู

เมื่อได้ยินเสียงซุบซิบบ่อยครั้งเข้านายน้อยศรีจึงถามแม่อินว่า “แล้วจริง ๆ ลูกเป็นลูกใครกันแน่ลูกของแม่จริง ๆ หรือเปล่า แล้วใครเป็นพ่อที่แท้จริงล่ะ แม่อิน”

แม่นางอินจะยืนยันเสียงแข็งทุกครั้งเช่นกันว่า“แม่เป็นแม่ของลูก และพ่อเป็นพ่อของลูก มิผิดไปจากนี้หรอก ลูกรักคนก็พูดกันมากความให้ลูกข้องใจไปเล่น ๆ อย่างนั้นเอง อาจจะแค่เย้าแหย่ลูกเล่น”

เมื่อนายน้อยศรีได้ฟังคำยืนยันจากแม่เช่นนี้ทุกครั้งจะเถียงคอเป็นเอ็นเมื่อได้ยินใครพูดว่า นายน้อยศรีเป็นลูกของใครกันแน่และจะตอบโต้ทันทีด้วยน้ำเสียงโกรธนิด ๆ ว่า “ตนเป็นลูกของพระศรีธรรมากับแม่นางอิน”

เมื่อนายน้อยศรีเริ่มโตพอรู้ความมากขึ้นนายน้อยศรีจะไม่ถามแม่เช่นเดิม เพราะแม่คงจะยืนยันคำเดิมทุกคราไปแต่ในใจเริ่มปะติดปะต่อในเรื่องราวที่ใคร ๆ ก็พูดกันถึงชาติกำเนิดของตน

บางคนแอบซุบซิบว่า “แท้จริงแล้วนายน้อยศรีเป็นโอรสลับของสมเด็จพระเอกาทศรถสังเกตสิว่าพระองค์โปรดปรานและรักใคร่เอ็นดูในนายน้อยศรีมากกว่าลูกท่านหลานเธอทั้งหลายเพียงแต่ไม่ยกย่องอย่างออกนอกหน้านอกตาเท่านั้น”

ทว่าเสียงซุบซิบที่แอบเล็ดลอดมาเข้าหูนายน้อยศรีนั้นมีหลายกระแสบ้างก็ว่า “ไม่ใช่หรอกที่กล่าวกันว่า นายน้อยศรีเป็นโอรสลับของสมเด็จพระเอกาทศรถน่ะแท้จริงนายน้อยศรีเป็นโอรสลับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ตอนที่ไปออกรบต่างหากแล้วองค์ท่านได้กับหญิงชาวบ้านหรือสาวชาวลาว เลยรับเด็กคนนั้นกลับมาให้พระศรีธรรมากับแม่นางอินเลี้ยงดูไม่ใช่ลูกแม่นางอินเสียด้วยซ้ำ นายน้อยศรีน่ะลูกชาติลูกตระกูลเชียวนะ”

พวกที่ยืนยันว่า “นายน้อยศรีเป็นโอรสลับของสมเด็จพระเอกาทศรถนั้นกล่าวต่อไปอีกว่า “จะให้ยกย่องได้เช่นไร ในเมื่อตอนที่แม่นางอินตั้งท้อง พระสนมที่เป็นญาติองค์ที่เป็นแม่ของพระอินทราชาที่มาจากบางปะอินด้วยกันโกรธลูกพี่ลูกน้องคนนี้ยิ่งนักแทบจะเอาเป็นเอาตายกันทีเดียวถึงจะเป็นญาติแต่เกลียดกันเข้ากระดูกดำตั้งแต่รุ่นพ่อแม่กันแล้ว พอรู้ว่ามาตั้งท้องกับผู้ชายคนเดียวกันยิ่งเป็นเรื่องราวใหญ่โต”

บางพวกที่ไม่เชื่อตามที่พูดจะแย้งว่า“บางทีเป็นเรื่องพูดเล่นเย้าแหย่กันของแม่นางอินลูกพี่ลูกน้องคนนี้ให้พระสนมแค้นเล่น เลยแกล้งยั่วให้หึงคนได้ยินเลยพูดต่อ ๆ กันมาจนดูเป็นเรื่องจริงไป เป็นเรื่องโอละพ่อไปเสียนี่”

“ไม่ใช่พระโอรสของพระองค์หรอกแม่เป็นญาติสนิทของพระสนมที่ได้เข้าวังครั้งที่สมเด็จพระเอกาทศรถติดเกาะและพบรักกัน ณ เกาะบางปะอินสมเด็จพระเอกาทศรถรับหญิงนั้นมาเป็นบาทบริจาริกา เป็นพระสนมที่ทรงรักใคร่เสน่หามากไม่น่าจะนอกใจเป็นอื่นกับญาติของคนที่รัก” เสียงนี้ไม่เชื่ออีกเช่นกัน

บางเสียงแอบนินทาว่าร้ายว่า“สองสาวนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกันแต่แท้ที่จริงพ่อแม่ของนางทั้งสองไม่ใคร่ปีนเกลียวกันสักเท่าใดนักถึงจะเป็นญาติจึงเหมือนไม่ใช่ญาติ และทั้งสองต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันมาตลอดคนพี่ดุมากนัก ไม่ยอมให้น้องสาวได้ดีมาตีเสมอตน และประกาศชัดเจนว่ายังไงเสียจะไม่ยอมให้น้องคนนี้ได้มายืนในตำแหน่งเดียวกับตน” บางคนยังตีขลุมพูดราวกับเป็นคนสนิทไปเสียอย่างนั้นจึงรู้แม้กระทั่งความในใจของพระสนม

“ถ้าเป็นเรื่องจริง ที่ว่ามีสามีคนเดียวกันก็คงยอมกันไม่ได้เมื่อพี่สั่งห้ามยกย่องน้องเด็ดขาด ให้ยกแก่ผู้ใดผู้หนึ่งก็ได้ถึงแม้นมารู้ภายหลังว่าติดท้องมาก็ตามที แล้วให้แล้วกันไป”นี่ก็คนที่ยังเชื่อว่าเป็นจริง

นายน้อยศรีจึงได้ชื่อว่ามีประวัติอันอึมครึมเพราะเชื่อว่า ถ้าไม่มีมูลคนคงไม่เอามาฟื้นฝอยหาตะเข็บ แล้วใครจะให้คำตอบนี้ได้ไม่ใช่แค่ข่าวลือที่พูดกันไปพูดกันมา พอถามว่ารู้จากใครจะโบ้ยไปเสียอย่างนั้นไม่รู้ใครคือต้นตอที่พูดครั้งแรกด้วยซ้ำ อันข่าวลือนี่เชื่อถือไม่ได้จริง ๆกระนั้นหรือ

ครั้งหนึ่งนายน้อยศรีเคยเอ่ยปากถามบิดาพระศรีธรรมาว่า “ข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร ให้ตอบมาตามตรง ตนรับได้ทุกเรื่องราว”ฝ่ายบิดาได้แต่หัวเราะหึหึ บอกว่า “คนก็พูดกันไป ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก เจ้าน่ะลูกแท้ๆ ของพ่อ”

ส่วนนายเดชและนายพลเพื่อนสนิทบอกว่า “พ่อของตนพูดเช่นตามคำซุบซิบว่า นายน้อยศรีนั้นแท้จริงเป็น

โอรสลับของสมเด็จพระเอกาทศรถจริงๆ เพราะช่วงที่สมเด็จพระเอกาทศรถพาสาวสองนางจากเกาะบางปะอินเข้าวังนั้นสองสาวได้อยู่ในพระราชวังด้วยกัน จนมาเกิดเรื่องราวทะเลาะวิวาทเสียงดังของสองสาวทำให้คนน้องต้องออกเรือนไปอยู่กับพ่อของพี่ท่าน”

ในใจส่วนหนึ่งนายน้อยศรีคิดว่าตนเป็นโอรสลับของสมเด็จพระเอกาทศรถตามเสียงซุบซิบที่อื้ออึงไปทั่วแม้เวลาจะผ่านมานานพอควร เสียงเหล่านี้ยังคงมีอยู่ มิได้จางหายไปเลย

เมื่อนายน้อยศรีมีโอกาสได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดสมเด็จพระเอกาทศรถพร้อมบิดายิ่งทำให้มองเห็นชัดว่านายน้อยศรีมีเค้าหน้าละม้ายไปทางสมเด็จพระเอกาทศรถมากกว่าพระศรีธรรมาผู้บิดาทำให้เสียงพูดนี้ยิ่งหนาหู แถมบางคนยังเอ่ยเสียอีกว่า นายน้อยศรีมีเค้าหน้าละม้ายไปทางสมเด็จพระเอกาทศรถมากกว่าพระโอรสองค์ใดๆ ด้วยซ้ำ

แล้วเช่นนี้จะไม่ทำให้นายน้อยศรีแอบคิดในใจได้เช่นไร

ถ้าเป็นจริงตนควรมีสิทธิ์ในบัลลังก์เช่นเดียวกับบรรดาโอรสทั้งหลาย

นายน้อยศรีได้แต่คิดแต่มิกล้าเอ่ยปากออกมาตรง ๆด้วยเป็นเรื่องใหญ่โตเกินกว่าจะมาพูดเล่น ๆ ที่อาจทำให้หัวหลุดจากบ่าได้ง่าย ๆถ้าบังเอิญรู้ถึงพระเนตรพระกรรณแล้วเดาทิศทางแห่งอารมณ์ของสมเด็จพระเอกาทศรถขณะนั้นมิได้อาจระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท หาว่าจาบจ้วงเกินเหตุ เหาจะกินหัว

ถึงนายน้อยศรีจะมิกล้าเอื้อนเอ่ยวาจาออกมาตรงๆ ว่า ตนคือพระโอรสแห่งองค์เจ้าเหนือหัวเช่นกันแต่การละเล่นกับเพื่อนในวัยเด็กนั้น นายน้อยศรีมักกระทำตนราวกับตนคือองค์เจ้าเหนือหัวเสมอ ๆ

นายเดชและนายพลเพื่อนสนิทรู้อยู่แก่ใจเช่นกันว่าในใจของนายน้อยศรีนั้นคิดเห็นเช่นไรด้วยความอ่อนเยาว์กว่าและเคารพรักพี่ท่านเหนือสิ่งอื่นใด โดยปกติจะทำตามโดยมิเคยเอื้อนเอ่ยถามหาเหตุผลอยู่แล้วเมื่อสั่งให้ทำการใดมักทำตามโดยไม่รีรอแม้แต่น้อย

ในการเล่นหลายครั้งนายน้อยศรีชอบนั่งบนจอมปลวกแล้วทำท่าสั่งการราวกับตนเองใหญ่โตเสียนี่กระไร เลียนแบบเจ้านายที่ชอบชี้นิ้วสั่งบ่าวไพร่ เพื่อน ๆที่วิ่งเล่นด้วยกันรวมทั้งนายเดชและนายพลเพื่อนสนิทจะนั่งยอง ๆกับพื้นแล้วยกมือไหว้ประหลก ๆ รอรับคำสั่งให้เล่นเช่นไร

ไม่เคยเลยสักครั้งที่นายน้อยศรีจะทำตัวต่ำต้อยหรือรอรับคำสั่งจากเพื่อนๆ จนทุกคนรู้ว่า นายน้อยศรีคือหัวหน้าแก๊งที่จะคอยสั่งการและดูแลเพื่อนๆ เสมอ อาหาร ข้าวต้ม ขนมขบเคี้ยวนั้นไม่ต้องกังวล นายน้อยศรีจะสั่งให้บ่าวไพร่เอามาเลี้ยงเพื่อนฝูงให้อิ่มหนำสำราญนี่ยิ่งทำให้ความเป็นผู้นำของนายน้อยศรีเด่นชัดขึ้น

นายน้อยศรีรู้ว่าคนจะเป็นหัวหน้าต้องใจกว้างต้องให้ของกินเพื่อนจนพึงพอใจ เพื่อน ๆ จะทำตามคำสั่งโดยมิมีบิดพริ้วแม้แต่น้อยความคิดเช่นนี้ส่งผลต่อมาเมื่อนายน้อยศรีเติบโตขึ้น

ในใจของนายน้อยศรีแอบคิดว่าจอมปลวกนี้แหละคือบัลลังก์ที่ตนเห็นในพระราชวัง มันจะสูงเด่นเป็นสง่าเหนือใคร ๆ แล้วตนคือพระมหากษัตริย์ที่สั่งการบรรดาขุนนางอำมาตย์ทั้งหลายในท้องพระโรง

สักวันหนึ่งเถอะ ตนจะนั่งบัลลังก์จริง ๆ ให้จงได้ นายน้อยศรีคิดสั่งการกับตนเองในวัยเยาว์แล้วจะเป็นจริงหรือไม่ในอนาคต อาจเป็นเพียงความฝันลม ๆ แล้ง ๆของเด็กคนหนึ่งเท่านั้นก็เป็นได้

ความฝันในวัยเด็กของใครบางคน

อาจเป็นจริงเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่

มันคือเป้าหมายชีวิตที่สร้างแรงบันดาลใจ

ให้พยายามทยานไปถึงปลายฝันนั้น




Create Date : 30 พฤศจิกายน 2561
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2561 15:39:42 น.
Counter : 315 Pageviews.

0 comment
3เมื่ออำนาจอยู่ในมืออย่ามั่นใจนัก


เมื่ออำนาจอยู่ในมืออย่ามั่นใจนัก

ผู้ใดครองอำนาจอยู่ผู้นั้นย่อมต้องการสงวนอำนาจให้อยู่ในกำมือตนให้นานที่สุด แม้นจะใกล้สิ้นลมหายใจยังต้องการให้อำนาจนั้นอยู่ตลอดไปแต่ใช่ว่าจะสมดังใจหวังทุกผู้คนเพราะอำนาจอาจบินหนีหายวับไปกับตา

อภิสิทธิ์ชนถือกำเนิดจากชนชั้นสูงหรือตระกูลผู้ดีที่เคยได้โอกาสผงาดขึ้นมาแต่เก่าก่อนและคงจะทยานต่อไป ส่วนคนสามัญธรรมดายากนักที่จะก้าวขึ้นมาเทียมบ่าเทียมไหล่ได้ แต่สิ่งนี้อาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป

ถ้าอ่านประวัติศาสตร์จีนจะรู้ว่า มีชาวบ้านที่เป็นชาวนาได้ปราบดาภิเษกตนเองเป็นฮ่องเต้และสถาปนาราชวงศ์ใหม่ แม้แต่ขุนนางชั้นผู้น้อยมีโอกาสก้าวมาเป็นฮ่องเต้ได้เช่นกัน

นานมาแล้ว พ.ศ. 337 – 348 หลิวปังลูกชาวนาที่ยากไร้เกิดในอำเภอเพ่ยเสี้ยน ได้เป็นฮ่องเต้องค์แรกในราชวงศ์ฮั่น พระนามฮั่นเกาจู่ฮ่องเต้

ต่อมา พ.ศ. 1161 –1169 หลี่หยวนเป็นขุนนางดูแลมณฑลไท่หยวนทางตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อราชวงศ์สุยล่มสลายลงหลี่หยวนได้จัดตั้งกองทัพขึ้นมาด้วยการสนับสนุนทางการเงินจากพ่อค้าไม้แซ่บูซึ่งเป็นพ่อของพระนางบูเช็กเทียนได้เป็นฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ถัง พระนามถังเกาจู่ฮ่องเต้

พ.ศ. 1503 – 1519 เจ้ากวงอิ้นลูกชายของเจ้าหูยิ่น อายุ 21 ปี เดินทางรอนแรมแสวงหาอำนาจใหม่เมื่อพ่อสิ้นอำนาจวันหนึ่งนักพรตเต๋าทำนายว่าจะเจริญก้าวหน้า ถ้าเข้าสู่สงคราม เพราะพลังแห่งศรัทธาและความเชื่อมั่นจึงได้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของแคว้นโจว สุดท้ายเป็นซ่งไท่จู่ฮ่องเต้ฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ซ่ง

พ.ศ. 1911 - 1941 จูหยวนจางชาวนา ปราบดาภิเษกตั้งตนเป็นฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงพระนามหมิงไท่จู่ฮ่องเต้

สมเด็จพระเอกาทศรถทรงชุบเลี้ยงนายน้อยศรีให้เป็นมหาดเล็กหลวงตั้งแต่อายุยังน้อย ได้รับตำแหน่งมหาดเล็กหุ้มแพรเมื่ออายุ14 และได้เป็นหัวหมื่นมหาดเล็กตำแหน่งจมื่นศรีสรรักษ์อายุเพียง17 ปี

นับเป็นการก้าวกระโดดที่รวดเร็วมากสำหรับการเป็นมหาดเล็กหลวงทั้งนี้เพราะเส้นสายที่ใหญ่โตด้วยเป็นหลานชายของพระสนมที่รักยิ่งของสมเด็จพระเอกาทศรถ เป็นเพื่อนวิ่งเล่นกับเจ้าฟ้าสุทัศน์และพระอินทราชาด้วยเกิดในปีเดียวกัน และที่สำคัญที่หลายคนแอบซุบซิบคือเพราะเป็นพระโอรสลับในสมเด็จพระเอกาทศรถนั่นเอง

นอกจากเส้นสายเส้นสนกลในแล้ว ลักษณะเด่นของนายน้อยศรีคือเป็นเด็กฉลาดเฉลียวมีปฏิภาณไหวพริบสูงมากเป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียน ชอบอ่านค้นคว้าเพิ่มเติมในหอบรรณาลัยที่เก็บตำราหลวงจึงรอบรู้เรื่องราวต่าง ๆ เหนือกว่าเด็กในวัยเดียวกันโดยไม่มีใครรู้ว่าเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะแรงทะเยอทยานภายในใจที่สูงกว่าใคร ๆ

อีกสิ่งคือ นายน้อยศรีจะเข้าหาและใกล้ชิดกับสมเด็จพระเอกาทศรถ เจ้าฟ้าสุทัศน์และพระอินทราชามาก ๆ มากถึงมากที่สุด ด้วยเหตุใดคงมีแต่นายน้อยศรีที่รู้ว่าในใจตนคิดเช่นไรอาจคิดว่าเพราะตนคือพระโอรสเหมือนพระโอรสองค์อื่นกระมัง จึงสมควรได้รับสิ่งนี้เช่นเดียวกัน

เมื่อได้เรียนรู้กับพระอาจารย์พร้อมกับเจ้าฟ้าสุทัศน์และพระอินทราชามักเรียนได้รวดเร็วกว่า ยิ่งกว่านั้นยังใส่ใจการฝึกวิทยายุทธเรียกว่าเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ทีเดียว เป็นที่พึงพอใจของพระอาจารย์ทั้งหลายจนกราบทูลต่อสมเด็จพระเอกาทศรถให้ทรงรับทราบเสมอๆ ยิ่งทำให้สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพอพระทัยในนายน้อยศรีมากยิ่งขึ้น

นอกจากนายน้อยศรีจะมีมาดของผู้นำแต่เล็กแต่น้อยแล้วด้วยนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนทำให้สนใจอ่านหนังสือและไปพูดคุยกับผู้รู้ไม่ว่าจะเป็นบิดา เพื่อนบิดา คนต่างชาติที่มารับราชการ รวมทั้งอ่านหนังสือมากมายแทนการไปวิ่งเล่นเหมือนเด็กทั่วไป ทำให้นายน้อยศรีดูโดดเด่นเหนือกว่าเพื่อน ๆ

บางคนอ่านประวัติศาสตร์พงศาวดารแล้วก็อย่างงั้น ๆ คืออ่านไปเรื่อยเปื่อยไม่มีอะไรติดค้างเข้ามาในสมองให้ขบคิดต่อ แต่คงไม่ใช่กับนายน้อยศรี นายพล นายเดช

เมื่อทั้งสามอ่านหนังสือเล่มใดมักหาโอกาสเสวนาเปิดประเด็นต่อกันเสมอ บางครั้งอาจนำไปพูดคุยบอกเล่าต่อเจ้าฟ้าสุทัศน์กับพระอินทราชายกเว้นเสียแต่เรื่องที่ชาวนาหรือขุนนางสถาปนาราชวงศ์ใหม่และปราบดาภิเษกตั้งตนเป็นฮ่องเต้เพราะคิดแล้วเหมือนจะร่วมกันก่อกบฎอย่างไรไม่รู้ หรือมีความคิดเช่นนี้ในสมองได้อย่างไร

คนที่แอบมาขบคิดในใจอย่างจริงจังคงมีแต่นายน้อยศรี จากเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าตนคือลูกขององค์เจ้าเหนือหัวที่ปกปิดไม่เปิดเผยแต่แรกเพราะพระสนมนั้นดุมากถ้าบอกว่าน้องเธอเป็นเมียฉันและมีลูกด้วยกัน คงหาความสงบสุขจากพิษรักแรงหึงไม่ได้

“แค่ชาวนายังขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้ แล้วเราล่ะมีเลือดขององค์เจ้าเหนือหัวอยู่แท้ๆ เหตุไฉนจะขึ้นครองราชย์บ้างไม่ได้” คำรำพึงรำพันอย่างน้อยใจในคนที่คิดว่าเป็นพ่อก่อให้เกิดแรงทยานอยากอย่างแรงกล้าขึ้นมาในก้นบึ้งของหัวใจแล้วไม่กล้าเปิดเผยให้ผู้ใดล่วงรู้ ถึงแม้นเขาผู้นั้นจะเป็นเพื่อนสนิทเพียงใดก็ตามเพราะหัวอาจหลุดจากบ่าไม่รู้ตัว ถ้ามีแม้นเพียงหนึ่งที่ล่วงรู้ความคิดที่อยู่ในใจนี้

เรื่องของคนธรรมดาที่ก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้นี้ ทั้งสามอ่านพบและเกิดความทะเยอทยานหวังก้าวหน้าในอาชีพแต่ไม่กล้าเขยิบสูงไปไกลถึงเป็นเจ้านายยกเว้นเพียงคนเดียว

แท้จริงแล้ว คนจะเป็นฮ่องเต้หรือผู้นำสูงสุดอยู่ที่การฝึกปรือและมีจิตวิญญาณอันแรงกล้าที่จะก้าวไปสู่จุดนั้นถ้ามัวแต่งอมืองอเท้ารอสวรรค์บันดาลหรือโชควิ่งเข้าหาอย่างเดียวคงไม่ได้เรื่องแน่

แม้แต่ชาวนาหรือขุนนางชั้นผู้น้อยมีโอกาสก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งสูงสุดปกครองบ้านเมืองได้ขอแต่ให้มีฝีมือและความสามารถเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วทำไมตัวเขาจะเป็นเช่นนั้นบ้างไม่ได้ล่ะ นายน้อยศรีแอบคิดในใจคนเดียวบ่อยครั้งเพราะถ้าเรื่องซุบซิบเป็นจริง ตนมีเชื้อสายของเจ้านายเหมือนกัน

ด้วยเหตุที่มีความคิดเหล่านี้ฝังอยู่ในใจเมื่อได้อ่านประวัติศาสตร์จีนทำให้นายศรีมหาดเล็กน้อยผู้ที่ได้เริ่มเข้ารับราชการในกรมทหารรักษาพระองค์มีความทะเยอทยานอย่างสูงที่จะก้าวไปสู่ตำแหน่งที่สูงที่สุดเท่าที่สติปัญญาจะพาไป จะไม่ยอมจมปลักอยู่กับตำแหน่งมหาดเล็กวิเศษไปตลอดกาล

เมื่อมีเวลาว่าง นายน้อยศรีจะฝึกปรือฝีมือให้เหนือกว่าใคร ๆ ทุ่มเทเวลาเพื่อการฝึกซ้อมและใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้ ให้รอบรู้ในเรื่องราวต่าง ๆ เรียกว่าทำตัวให้พร้อมเตรียมตัวเพื่อรับตำแหน่งที่แอบวาดหวังไว้ในใจ เผื่อว่าวันนั้นมาถึงตนจะเป็นในสิ่งที่หวังอย่างดีที่สุดอย่างที่ใคร ๆ คาดไม่ถึงทีเดียว

ทั้งนี้ได้นั่งเสวนาถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้มาพูดคุยกับเพื่อนอีก 2คน คือนายเดชและนายพล โดยเรื่องเช่นนี้จะเอ่ยปากพูดสียงดังฟังชัดย่อมทำไม่ได้แน่ จำต้องแอบซุบซิบคุยกันอย่างเบาๆ

การซุบซิบพูดจาตามประสาคนคอเดียวกันย่อมต้องทำในที่ลับ ไม่อาจแพร่งพรายสิ่งที่รู้ขยายไปยังคนอื่น เพราะไม่แน่ว่าผู้ที่รับรู้ไม่ว่าจะเป็นบิดาหรือเพื่อนคนอื่น ๆ จะคิดอ่านเช่นไร อาจโดนข้อกล่าวหาว่าพวกนี้สมคบคิดกันจะก่อการกบฎหรือเช่นไร

ใช่ว่าทั้งสามจะใช้ชีวิตไปวัน ๆ เช่นคนทั่วไปที่กินเที่ยวเล่นอย่างไร้จุดหมายในชีวิตแต่ได้มุมานะฝึกปรือฝีมือทางการรบและศึกษาตำราพิชัยสงครามอย่างขมักเขม้นอย่างคนที่มีจุดหมายปลายทางของชีวิตอย่างชัดเจนพร้อมจะก้าวไปสู่ความฝันอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย แม้จะเป็นก้าวเล็ก ๆ ของเด็กก็ตามแต่เป็นก้าวที่มั่นคงยิ่งนัก

คนเก่งที่มีอุดมการณ์ มีจิตใจอันแน่วแน่มีความเพียรพยายามอันแรงกล้า ย่อมนำพาตนไปถึงจุดสูงสุดของชีวิตที่ต้องการได้เสมอไม่เว้นแม้แต่ผู้ใด

ยุคนี้เป็นช่วงที่กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองมีชาวต่างชาติมาค้าขายและรับราชการจำนวนมากการใช้เวลาพบปะกับคนต่างชาติต่างภาษาเพื่อเรียนรู้วิทยาการในโลกอีกฝั่งหนึ่งที่เจริญรุ่งเรืองกว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายยิ่งนัก

เพราะความมุ่งมั่นที่จะเจริญก้าวหน้าพ.ศ. 2155 ณ กรมทหารมหาดเล็กวังหลวง กรุงศรีอยุธยา จากนายน้อยศรีมหาดเล็กวิเศษได้ก้าวหน้าเป็นถึงจมื่นศรีสรรักษ์หัวหมื่นมหาดเล็ก ก้าวข้ามมาเคียงคู่ตำแหน่งจมื่นสรรเพชญภักดีจมื่นเสมอใจราช จมื่นไวยวรนารถมาโดยไม่ยาก

บัดนี้อำนาจทางทหารในกรมทหารรักษาพระองค์อยู่ในกำมือของจมื่นศรีสรรักษ์หัวหมื่นมหาดเล็กในรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถเช่นเดียวกับนายเดชได้เป็นหลวงเดชณรงค์ รองเจ้ากรมทหารรักษาพระองค์ และนายพลได้เป็นพระพลพิชัย รองเจ้ากรมพระตำรวจหลวง

อำนาจที่เคยฝันใฝ่มาแต่รู้ความและรู้ว่า ไม่ใช่เฉพาะพระโอรสเท่านั้นที่มีสิทธิ์สืบครองราชสมบัติต่อจากพระบิดา ทำให้ทั้งสามครุ่นคิดสงสัยว่ามันเป็นไปได้ในพงศาวดารจีน แต่ที่กรุงศรีย่อมไม่มีทางเป็นไปได้แน่ เพราะอัธยาศัยชาวสยามนั้นมีความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ยิ่งนักคงไม่มีผู้ใดบังอาจหรืออาจหาญมาล้มล้างได้

เมื่อครั้งที่นายน้อยศรีได้เป็นจมื่นศรีสรรักษ์หัวหมื่นมหาดเล็กนั้นนับว่าใหญ่โตมากแล้ว เพราะจมื่นนั้นนับได้ว่าเป็นใหญ่สุดที่คุมกรมทหารรักษาพระองค์หรือเป็นนายทหารใหญ่คุมกองกำลังรักษาพระราชวังคุ้มกันความปลอดภัยให้แก่พระราชวงศ์ทุกพระองค์โดยมีหลวงเดชณรงค์ และหลวงพลพิชัยเป็นกองกำลังสนับสนุน เรียกว่าเป็นพวกเดียวกันเออออห่อหมกตามกันไปในทุกเรื่องราว

อุดมการณ์และจิตใจอันแน่วแน่

ผนวกกับความเพียรพยายามอันแรงกล้า

ย่อมนำพาตนไปถึงจุดสูงสุดของชีวิต

ไม่มีเว้นแม้แต่ผู้ใดจะได้ในสิ่งต้องการเสมอ




Create Date : 30 พฤศจิกายน 2561
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2561 15:38:08 น.
Counter : 446 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  

สมาชิกหมายเลข 4665919
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
New Comments