All Blog
Miracle of Stem Cell
เห็นผลชัดเจน
แค่ทา
แต่ทำให้หน้าคนวัย 50 ปี เปลี่ยนไป
อายุมันเป็นเพียงตัวเลขทันที ผู้หญิงอย่าหยุดสวยนะคะ




Create Date : 21 สิงหาคม 2556
Last Update : 21 สิงหาคม 2556 9:46:53 น.
Counter : 4784 Pageviews.

12 comment
ริ้วรอย สาเหตุ และการดูแลรักษา
ริ้วรอย สาเหตุ และการดูแลรักษา



อัพเดทต่อเลยนะคะ


ริ้วรอย (Wrinkle) สาเหตุ และการดูแลรักษา


ริ้วรอย ตีนกา หรือรอยเหี่ยวย่นเป็นผลมาจากกระบวนการเสื่อมชราของร่างกาย ริ้วรอยเป็นตัวบ่งบอกอายุ และถือเป็นปัญหาความงามที่สำคัญ ริ้วรอยรอบดวงตาและริ้วรอยรอบปากเกิดขึ้นได้เร็วกว่าริ้วรอยอื่นๆ วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับปัญหาริ้วรอยและตีนกาก็คือ การป้องกันหรือเลื่อนเวลาการเกิดริ้วรอยให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ สำหรับคนที่มีริ้วรอยหรือรอยเหี่ยวย่นเกิดขึ้นแล้ว มีหลายวิธีที่สามารถกำจัดหรือลบเลือนริ้วรอยเหล่านี้ได้

สาเหตุของริ้วรอย

- การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เร่งกระบวนการแก่ชราโดยการเพิ่มจำนวนอนุมูลอิสระและลดการไหล เวียนของออกซิเจน อนุมูลอิสระทำลายโครงสร้างผิวหนังและกระบวนการสร้างคอลลาเจน อีกทั้งยังลดความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผิวหนัง

- การเคลื่อนไหวบนใบหน้า: การขมวดคิ้ว การห่อปาก และการหัวเราะเป็นสาเหตุทำให้กล้ามเนื้อหดและขยายตลอดเวลา เมิ่อเวลาผ่านไปผิวหนังส่วนนั้นจะมีริ้วรอยเกิดขึ้น

- อายุมากขึ้น: หลังจากอายุ 20 ปี ร่างกายของคุณจะผลิตคอลลาเจนลดลงปีละ 1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นผลทำให้ผิวบางลงและอ่อนแอมากขึ้น

- แสงแดด: รังสีอัลตร้าไวโอเลตในแสงแดดสามารถเพื่อจำนวนอนุมูลอิสระได้เหมือนกับการสูบบุหรี่ ซึ่งทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น

- กรรมพันธุ์: คนในบางครอบครัวมีริ้วรอยมากกว่าครอบครัวอื่นๆ ทั้งนี้เป็นผลมาจากยีนของคนในแต่ละครอบครัว

- ผิวแห้ง: หากคุณมีผิวแห้ง คุณจะสูญเสียไขมันและน้ำมันใต้ผิวได้ง่าย เป็นผลทำให้ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น เกิดเป็นรอยพับและริ้วรอยได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นริ้วรอยจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในคนผิวแห้งมากกว่าผิวประเภท อื่นๆ

- ความเครียด: ความเครียดทำให้ความสามารถของผิวหนังในการต่อสู้กับมลพิษและแสงแดดลดลง

- นอนดึก: เกณฑ์การนอนดึกคือหลัง 22:00 น. ในช่วงเวลานี้ร่างกายจะหลั่งสารเมลาโทนีนเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงทำให้สูญเสียน้ำในร่างกายอย่างรวดเร็ว จะมีการรู้สึกคอแห้ง แต่เราจะไม่รู้สึกอยากทานน้ำเพราะผิวจะสัมผัสความเย็นจากภายนอกได้มากกว่าปกติ จึงทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย และ เป็นที่มาของการเกิดผิวแห้ง และ เป็นสิวได้ง่าย

การดูแลรักษาริ้วรอย

ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
ส่วนผสมของครีมบำรุงผิวที่ช่วยต่อต้านและลบเลือนริ้วรอยประกอบด้วย

- เรตินเอหรือเรตินอล สารทั้งสองตัวนี้เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ ซึ่งช่วยลดริ้วรอยทั้งตื้นและลึก อีกทั้งยังเพิ่มการสร้างคออลาเจนในผิว
- เอเอชเอ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- แอนตี้ออกซิแดนท์ หรือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันผิวจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ

กระบวนการลบเลือนริ้วรอย



- โบทอกซ์ ช่วยคลายกล้ามเนื้อใต้รอยเหี่ยวย่นจึงสามารถทำให้รอยพับนั้นหายไป อีกทั้งยังช่วยเติมส่วนที่มีริ้วรอยให้เต็มด้วย คอลลาเจน กรดไฮยาลูโรนิค หรือสารอื่นๆ

- เลเซอร์ โดยแสงเลเซอร์ที่ตกกระทบกับผิวหนังจะทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น พร้อมทั้งกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนมากขึ้น

- การกรอหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี การกรอหน้าจะช่วยขจัดผิวส่วนบนและกระตุ้นให้เกิดการสร้างผิวใหม่ ซึ่งเรียบเนียนกว่าเดิม และยังช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจนในผิวหนังชั้นกลาง


การป้องกันริ้วรอย

- หลีกเลี่ยงแสงแดด และ รังสี UV
- ทาครีมกันแดดหรือครีมบำรุงผสมสารกันแดดที่มีเอสพีเอฟอย่างน้อย SPF15 ทุกเช้า เพื่อปกป้องผิวจากรังสีอัลตร้าไวโอเลต
- อย่าเคลื่อนไหวสีหน้ามากเกินไปโดยไม่จำเป็น อย่างเช่นการขมวดคิ้วและห่อปากตลอดเวลา
- ดื่มน้ำมากๆ เพื่อข่วยป้องกันผิวจากความแห้งและอาการขาดน้ำ อีกทั้งน้ำยังช่วยทำให้ผิวเต่งตึง
- รับประทานผักและผลไม้ ผักและผลไม้อุดมด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามินซีที่ช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจน
- ปฏิบัติตามขั้นตอนการดูแลผิวอย่างเหมาะสม เพราะเมื่อผิวของคุณมีสุขภาพดี ริ้วรอยและตีนกาก็จะมองเห็นไม่ค่อยชัดเจน
- ลดความเครียด


การดูแลผิวหน้าอย่างถูกวิธี



คนเราทุกคนอยากที่จะมีผิวสวยและสุขภาพดี การดูแลผิวหน้าอย่างถูกต้องจะช่วยปกป้องและคงความงามของผิวไว้ ทุกขั้นตอนในการดูแลผิวหน้ามีความสำคัญเพราะแต่ละขั้นตอนให้ประโยชน์ต่อผิว ต่างกันและช่วยทำงานเสริมกันในการทำให้ให้ผิวพรรณดูสดใส

การทำความสะอาดผิวหน้า

ขั้นตอนแรกในการดูแลผิวหน้าคือการขจัดฝุ่น น้ำมัน เครื่องสำอางค์และสิ่งสกปรกต่างๆบนผิวหน้า ขั้นตอนนี้จะช่วยเตรียมผิวหน้าสำหรับการบำรุงด้วยครีมหรือโลชั่นบำรุงผิว เพื่อที่จะทำให้ครีมบำรุงซึมลงไปในผิวได้ลึกยิ่งขึ้น

- การล้างเครื่องสำอางค์:

คุณควรล้างเครื่องสำอางค์อย่างถูกต้องเพื่อที่จะไม่เป็นการทำร้ายผิว การล้างอายแชโดว์ มาสคาร่าและอายไลเนอร์นั้นคุณจำเป็นต้องใช้เมคอัพ รีมูพเวอร์ที่ออกแบบมาเพื่อล้างเครื่องสำอางค์บริเวณผิวรอบดวงตาโดยเฉพาะ เพราะเครื่องสำอางค์ดังกล่าวมักจะเป็นประเภทกันน้ำซึ่งล้างออกยาก อีกทั้งผิวบริเวณรอบดวงตาบอบบางมาก

จากนั้นล้างเครื่องสำอางค์บนใบหน้าด้วยน้ำนมหรือครีมล้างเครื่องสำอางค์ โดยน้ำนมหรือครีมล้างเครื่องสำอางค์ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของน้ำมัน เมื่อเครื่องสำอางค์สัมผัสกับน้ำมันจะหลุดออกจากผิวได้ง่าย แต่หากคุณมีผิวมัน คุณควรที่จะใช้ครีมล้างเครื่องสำอางค์สำหรับผิวมันโดยเฉพาะเพื่อลดการอุดตัน ของรูขุมขน

- การล้างหน้า: เลือก ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะสมกับผิวของคุณ หากคุณมีผิวมัน คุณควรเลือกใช้โฟมหรือเจลล้างหน้า หากคุณมีผิวแห้ง คุณควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เป็นน้ำหรือครีม หากคุณมีผิวผสม คุณสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าประเภทใดก็ได้

หากคุณที่ปัญหาสิว คุณควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีส่วรผสมของ ซาลิไซลิก เอซิดที่ช่วยผลัดผิวและลดการอุดตันของรูขุมขน หากคุณมีผิวแพ้ง่าย คุณควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ปราศจากน้ำหอมที่อาจจะทำให้ผิวหนังระคายเคือง ได้

- การใช้โทนเนอร์ปรับสภาพผิว: โทนเนอร์ช่วยขจัดฝุ่น น้ำมัน และเครื่องสำอางค์ที่ยังตกค้างหลังการล้างหน้า แต่ความจริงแล้วผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ดีจะสามารถขจัดสิ่งสกปรกได้อย่างหมดจด อยู่แล้ว ดังนั้นขึ้นอยู่กับตัวคุณเองว่าจะใช้โทนเนอร์หรือไม่

- การ exfoliation: การ exfoliate ผิวเป็นการขจัดผิวหนังที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกอย่างล้ำลึก โดยการ exfoliate ทำได้ทั้งการขัดผิว หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลัดผิวโดยไม่ต้องขัด อย่างเช่น เอเอชเอ ซาลิไซลิก เอซิด หรือเอนไซม์ผลไม้ การ exfoliate ผิวช่วยลดปัญหารูขุมขนกว้าง สิว และสีผิวไม่สม่ำเสมอ อีกทั้งยังช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่ง สดใสเพราะผิวหนังที่ตายแล้วได้หลุดลอกออกไป

การบำรุงผิว

- การทาเซรั่ม: เซรั่มบำรุงผิวสามารถซึมลงไปในผิวหนังได้ลึกกว่าครีมบำรุงผิว เพราะว่าเซรั่มมีขนาดของโมเลกุลเล็กกว่าครีมบำรุงผิว คุณสามารถเลือกเซรั่มให้เหมาะกับความต้องการของคุณ เช่นเซรั่มที่ช่วยป้องกันริ้วรอย หรือเซรั่มเพิ่มความขาวใส

- การทาครีมบำรุงรอบดวงตา: คุณสามารถใช้ครีมบำรุงผิวหน้าทาบริเวณใต้ตา แต่มันจะดีกว่าหากคุณใช้ครีมบำรุงรอบดวงตาโดยเฉพาะ เพราะครีมดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อลดปัญหารอยคล้ำใต้ตาและถุงใต้ตาจึงมีส่วน ผสมบางอย่างที่ครีมบำรุงผิวหน้าไม่มี

- การทาโลชั่น/ครีมบำรุงผิว: โลชั่น/ครีมบำรุงผิวช่วยให้ความชุ่มชื้น พร้อมทั้งป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นออกจากผิว คุณจำเป็นต้องทาครีมบำรุงแม้ว่าคุณจะมีผิวมัน หรือมีผิวเป็นสิวง่าย คุณสามารถเลือกใช้ครีมบำรุงชนิดเดียวสำหรับใช้ทั้งกลางวันและกลางคืน หรือแยกใช้เดย์ครีมสำหรับกลางวัน และไนท์ครีมสำหรับกลางคืน เดย์ครีมมีเนื้อบางเบาและแห้งเร็ว ในขณะที่ไนท์ครีมสามารถซึมสู่ผิวได้ลึกและให้ความชุ่มชื้นมากกว่า

การปกป้องผิว
- การทาครีมกันแดด: การทาครีมกันแดดช่วยปปป้องผิวจากรังสียูวี รังสียูวีเอเป็นสาเหตุของริ้วรอย กระ ฝ้า ในขณะที่รังสียูวีบีเป็นสาเหตุของผิวไหม้แดด คุณควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้งรังสียูวีเอและยูวีบี โดยทาครีมกันแดด 20 – 30 นาทีก่อนออกแดด





Create Date : 04 กรกฎาคม 2556
Last Update : 4 กรกฎาคม 2556 11:42:47 น.
Counter : 2773 Pageviews.

9 comment
เลเซอร์ คำตอบสุดท้าย หรือไม่

เลเซอร์ คำตอบสุดท้าย หรือไม่?



วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับเรื่อง เลเซอร์ เพื่อเสริมความงามมาฝาก

ผู้หญิงไม่ว่าจะยุคสมัยใดอดีตหรือปัจจุบัน ทุกคนอยากสวยด้วยกันทั้งนั้น คนที่เกิดมาสวยอยู่แล้วก็ยังมีความต้องการที่จะสวยทนสวยนานตลอดกาล ในขณะที่คนเกิดมาไม่สวยก็ใช่ว่าชีวิตจะสิ้นหวังไปซะเลย เพราะปัจจุบันเพียงแค่เดินเข้าไปตามสถานเสริมความงามที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดทุกซอกทุกมุมของประเทศ หรือโรงพยาบาลต่างๆ ใช้เวลาไม่นานเกินรอ ชีวิตเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ กลายเป็นคนละคน สวยฉับพลันทันใจทีเดียว

ย้อนกลับไปเมื่อก่อนนี้สาวๆ ถ้าใครอยากสวยต้องพึ่งมีดหมอยอมเจ็บกันทั้งนั้น ขึ้นเขียงให้หมอ ทั้งกรีด ทั้งคว้าน แค่ฟังก็หวาดเสียวแล้ว แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไป เมื่อมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ด้านความงามเกิดขึ้นมากมาย “เลเซอร์” เป็นอีกนวัตกรรมหนึ่งที่เข้ามาสู่แวดวงความงาม เปรียบเสมือนแสงสว่างจากหลอด LED นำทางชีวิตของผู้หญิงที่รักสวยรักงามทุกคนที่หวังว่า “เลเซอร์” จะมาช่วยให้เธอสวยตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

การพัฒนาเทคโนโลยีด้าน “เลเซอร์” เกี่ยวกับความงามก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา จนปัจจุบันแม้แต่สีฟันก็ฟอกให้ขาวได้ ลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ทำหน้าสวยกระจ่างใส ลบรอยแผลเป็น กระชับรูขุมขน ฯลฯ สวยแบบฉับพลันแถมไม่ต้องเจ็บด้วยมีดผ่าตัดหรือเข็มฉีดยาอีกแล้ว

แต่ !!! ใช่ว่า “เลเซอร์” จะเป็นเหมือนไม้กายสิทธิ์ของแฮรี่ที่มีเวทย์มนตร์ดลบันดาลความสวยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด อย่างที่สาวๆ ทุกคนฝากความหวังเอาไว้ เพราะของทุกอย่างมีทั้งคุณและโทษคู่กันไปเสมอ

ขอยกตัวอย่างข้อแนะนำของ นพ. พีระ อุดมจารุมณี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางผิวหนัง ผู้ซึ่งมีประสบการที่รักษาด้านผิวหนังมากว่า 10 ปี นพ. พีระ ได้ให้ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังจะพึ่งพาเลเซอร์เพื่อแก้ปัญหาด้านผิวหนังว่า “เลเซอร์” อาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับการเนรมิตความงามให้ได้ผลอย่างปลอดภัย แต่ทั้งนี้ยังมีหลากหลายปัจจัยที่จะต้องนำมาพิจารณาก่อนที่จะตัดสินใจพึ่งพาเลเซอร์

นพ. พีระ อุดมจารุมณี กล่าวต่อว่า เลเซอร์ในยุคแรก ๆ ที่เข้ามาใช้เพื่อความงามนั้นมี ประสิทธิภาพแบบดุดัน เน้นการทำลายผิว โดยใช้ลำแสงในการ “ผ่าออก” แทนการ “ผ่าตัด” เรียกว่าแบบ Ablative Laser นพ. พีระ กล่าวต่อว่า

“สมัยก่อนนั้นการเปลี่ยนผิวหน้าให้เนียนเรียบที่เราเรียกว่า Re-surface นั้นจะนิยมใช้แสงทำลายทิ้ง คือ ใช้แสงเลเซอร์ร้อนยิงไปทั่วใบหน้าเพื่อให้ผิวหนังชั้นบนสุดลอกออก ซึ่งความจริงวิธีการนี้ได้ผลมากที่สุด แต่ต้องดูแลผิวที่ถูกทำลายค่อนข้างมาก” ผู้ที่ผ่านการยิงเลเซอร์แบบนี้จะห้ามโดนแดดเด็ดขาดประมาณ 1 – 2 อาทิตย์ เพราะผิวหนังชั้นบนถูกทำลาย ใบหน้าจะเป็นรอยแดงไหม้ด้วยแสงเลเซอร์ ซึ่งแพทย์จะต้องนำเทปมาปิดรอยแดงบนใบหน้าเอาไว้ ส่งผลให้หลายคนไม่สามารถออกสังคมหรือไปทำงานได้ตามปกติ และถ้ารักษาไม่ดีอาจจะติดเชื้อลุกลามได้เช่นกัน




“ข้อดีสำหรับเลเซอร์แบบนี้ คือ ได้ผลดีที่สุด แต่ข้อเสียก็มี คือ มีผลข้างเคียงมาก ปัญหาคือคนไข้รับไม่ค่อยได้ เพราะต้องหลบหน้าจากสังคม ขณะที่บางคนอาจลางานไม่ได้ก็ต้องแบกหน้าในสภาพนี้ไปทำงานหรือไปออกงานสังคมได้ระยะหนึ่ง”

อย่างไรก็ตามเลเซอร์ก็มีวิวัฒนาการให้ประโยชน์ได้ง่ายและปลอดภัยขึ้นเรื่อย ๆ จนเข้าสู่ยุคที่ 2 ซึ่ง นพ.พีระ เรียกว่า ยุคว่า Non–Ablative Laser เป็นยุคที่ปรับความรุนแรงของแสงเลเซอร์ให้เบาลง วิธีการคือ เมื่อยิงแสงเลเซอร์ผ่านเข้าไปในผิวหนัง โดยจะทำให้ผิวชั้นบนถูกทำลายน้อยที่สุด ทั้งนี้เพราะแสงเลเซอร์จะผ่านผิวชั้นบนไปในผิวหนังเข้าไปทำปฏิกิริยากับคอลลาเจนโดยตรง

นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงข้อเสียเรื่องความร้อนของแสงเลเซอร์ที่จะเผาไหม้ ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า เนื่องจากแสงเลเซอร์จะร้อน จึงมีการใส่ความเย็นเข้าไปเพื่อช่วยลดความร้อนของแสงเลเซอร์ทำให้ผิวชั้นบนไม่ถูกเผาไหม้

“คนไข้หลังจากยิงเลเซอร์มาแล้ว ผิวหนังเพียงแดงเรื่อๆ นิดหน่อย แพทย์ที่ใช้เลเซอร์ในการรักษาจะต้องเลือกระดับของเลเซอร์ เพื่อให้เข้ากับ อาการที่จะรักษา เพราะเลเซอร์เป็นคลื่นของแสง แพทย์จะรู้ว่าสเปกของแสงระดับไหนรักษาอะไรได้บ้าง และแพทย์จะต้องรู้ว่าถ้าใช้สเปกเท่าใดมีผลข้างเคียงกับคนไข้อย่างไรบ้าง ต้องปะยาชา เพราะจะเวลารักษาอาจจะเจ็บได้”

ข้อดีของการใช้เลเซอร์แบบ Non – Ablative Laser คือ ผลข้างเคียงน้อย ผิวหน้าแดงเล็กน้อย เมื่อคนไข้ยิงเลเซอร์เสร็จก็สามารถกลับบ้านได้เลย ไม่มีแผลรุนแรง


>


“เรามักจะได้ยินโฆษณาประเภทที่ว่ามาทำหน้าสวยเร็วเหมือนเข้ามาชอปปิ้ง ทำเสร็จก็กลับไปทำงานต่อได้เลย แต่ข้อเสียก็คือ ผลจะสู้แบบแรกไม่ได้ ดังนั้นคนไข้จึงต้องทำบ่อย ๆ ซึ่งตามคลินิกมักจะรักษาด้วยการขายเป็นแพคเกจ”

เมื่อเลเซอร์ทั้งยุคแรกและยุคที่ 2 ต่างมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ไป เลเซอร์จึงนำข้อดีของทั้ง 2 แบบมาพัฒนาเข้าสู่ยุคที่ 3 ซึ่ง นพ.พีระ เรียกว่า Semi Ablative Laser ซึ่งปัจจุบันเครื่องเลเซอร์ประเภทนี้เข้ามาสู่เมืองไทยแล้ว ที่รู้จักกันในชื่อ Smooth Sour

“การทำงานของ Semi Ablative Laser นั้นจะปล่อยลำแสงเลเซอร์เล็กๆ ขนาดไมคอนยิงผ่านผิวหนังไปกระตุ้นคอลลาเจน ข้อดีคือ ได้ผลดีกว่าแบบที่ 2 คือหน้าจะแดงนิดหน่อยอยู่ 2 – 3 วัน หลังจากนั้นผิวจะผลัดเซลล์ออก ริ้วรอยบนใบหน้าจะจางหายไป ทำให้ผิวเนียนเรียบ ฟื้นฟูสภาพผิวให้กระชับสดใส ลบลอยแผลเป็น หลุมสิวต่างๆ เป็นต้น”

แม้เลเซอร์ที่ผ่านการพัฒนามาถึงยุคปัจจุบันจะให้ผลดี มากกว่าผลเสียก็ตาม แต่ นพ.พีระ ก็แนะนำการรักษาปัญหาของผิวพรรณนั้นควรเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ จบด้านผิวหนังมาโดยเฉพาะ เพราะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะสามารถวิเคราะห์สาเหตุของอาการได้แม่นยำ รักษาได้ตรงกับอาการได้อย่างตรงจุดตรงประเด็น ด้วยความสามารถในการที่จะผสมผสานความรู้ความเชี่ยวชาญกับวิวัฒนาการทางการ แพทย์หรือนวัตกรรมทางการแพทย์ ต่างๆ โดยใช้ความรู้ความสามารถของแพทย์เฉพาะทางผิวหนัง ส่งผลให้ผลการักษามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นมากกว่า ซึ่งอาจจะไม่ใช่บทสรุปที่การใช้เลเซอร์รักษาก็ได้





Create Date : 18 มิถุนายน 2556
Last Update : 18 มิถุนายน 2556 14:03:25 น.
Counter : 1866 Pageviews.

4 comment
ความเปลี่ยนแปลงและความร่วงโรย

ตอนที่ 3 สำหรับสุขภาพและความงาม

กาลเวลาที่หมุนผ่านทำให้เราต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและความร่วงโรย

 



กาลเวลาที่หมุนผ่านทำให้เราต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและความร่วงโรยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้มลภาวะ ความเครียด สารพิษยังช่วยเร่งให้เกิดความชราของเซลล์อีกด้วย สัญญาณแห่งวัย เช่น ริ้วรอย สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอจุดสี ผิวที่หย่อนคล้อยเหี่ยวย่น ส่งเหล่านี้เกิดจากเซลล์ที่ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ให้ทันกับเซลล์ที่เสื่อม และตายไป เซลล์ใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นก็ยังไม่เหมือนเซลล์ต้นแบบอีกด้วย เหมือนประทับตราจากตรายางที่ไม่คมชัด เมื่อเซลล์เสื่อมสภาพนี้รวมกันมากๆ เข้าจึงเกิดเป็นริ้วรอยและสัญญาณแห่งวัย

ร่างกายคนเราประกอบด้วยเซลล์ต้นกำเนิดมากมายหลาย ล้านเซลล์ เมื่ออายุเพิ่มขึ้นเซลล์ต้นกำเนิดที่เรามีตั้งแต่เกิดจะลดน้อยลง เนื่องจากถูกใช้ไปในการซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ และถูกทำลายมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษและสารเคมีจนถึงจุดๆ หนึ่งที่ร่างกายหมดความสามารถที่จะฟื้นฟูซ่อมแซมร่างกายได้อีกต่อไป ดังนั้น ความผิวทำงานช้าลง ทำให้ผิวหย่อนคล้อยและมีเส้นริ้วรอยในที่สุด

นอกจากนี้สาเหตุใหญ่อีกประการ คือ แสงแดด ซึ่งมีอนุมูลอิสระที่คอยเข้ามาทำลายเซลล์ผิวที่เรียกว่า ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) อันเป็นเซลล์ที่คอยผลิตคอลลาเจน และอิลาสติน สูญเสียไปตามธรรมชาติ อีกทั้งยังไปกระตุ้นการผลิตเมลานินในเซลล์ผิวเมลาโนไซต์ (Melanocyte) ให้ทำงานมากกว่าปกติ จึงทำให้เกิดผิวหมองคล้ำ และเกิด ฝ้า กระ ตามมา ซึ่งรักษาได้ยากยิ่ง






ดังนั้น การใช้เซลล์บำบัดเพื่อความงามนั้น เป็นที่นิยมกันมาก ลักษณะ “เซลล์” ซ่อม “เซลล์” เซลล์ผิวหนัง (Fibroblast) จะได้รับการซ่อมแซม ผลิตโปรตีน คอลลาเจน และอิลาสติน ทำให้ผิวหนังเต่งตึง ลดริ้วรอย ดูหนุ่มสาวขึ้น และเป็นเทคนิคที่ช่วยให้คงความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ในการแก้ไข ปัญหาผิว “แก่” อย่างแท้จริง สามารถฟื้นฟู บำรุงผิวพรรณให้สดใส ทั้งแบบจำเพาะบริเวณใบหน้า ช่วยให้ผิวกระชับ เต่งตึง ด้วยการเติมเซลล์ในตำแหน่งที่มีความเสื่อมสภาพของผิวพรรณได้อย่างตรงจุด




Create Date : 07 มิถุนายน 2556
Last Update : 7 มิถุนายน 2556 16:01:06 น.
Counter : 1283 Pageviews.

1 comment
ค่า PH คืออะไร?

มาต่อกันดีกว่านะคะ
คราวที่แล้วแม่หนูยิมพูดเรื่อง Stem Cell
วันนี้จะมากล่าวถึง ค่า PH ในร่างกายโดยเฉพาะใบหน้าของเราคะ




ค่า pH คืออะไร?








pH (ย่อมาจาก pons hydrogenii) คือ ค่าที่ใช้แสดงความเป็นกรดและด่างของสารเคมีที่ละลายอยู่ในน้ำ คำจำกัดความที่แน่ชัดของ pH คือ เลขยกกำลังติดลบของปริมาณความเข้มข้นของอนุภาคไฮโดรเจนในน้ำ ใช้บอกความเป็นกรดหรือด่างของน้ำ ความสำคัญคือค่า pH จะอยู่ในช่วง 0 ถึง 14 โดยค่าที่ต่ำจะแสดงถึงความเป็นกรด ส่วนค่าที่สูงจะแสดงถึงความเป็นด่าง และค่าในช่วงกลางแสดงภาวะความเป็นกลาง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเลือดและเซลล์ต่างๆ ใกล้เคียงกับภาวะเป็นกลางคืออยู่ที่ 7.4 กรดในกระเพาะอาหารมีค่า pH 1-2 น้ำดีมีค่า pH 8 ถึง 8.5 ส่วนบริเวณผิวหนังนั้นมีค่า pH เฉลี่ยอยู่ที่ 5.5

ผิวหนังบริเวณใดที่มีสภาวะเป็นกรด และเกิดจากสาเหตุใด?
ผิวหนังประกอบด้วยชั้นต่างๆ หลายชั้น ได้แก่ ชั้นในสุดคือชั้นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันใต้ผิวหนัง ชั้นหนังแท้ และชั้นหนังกำพร้าซึ่งล้วนมีค่า pH เป็นกลาง เนื่องจากประกอบด้วยเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่ และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเองก็มีค่า pH 7.4 ส่วนเซลล์ผิวหนัง ชั้นบนสุดของหนังกำพร้าประกอบด้วยเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว และสะสมกันอยู่ในไขมัน โดยมีค่า pH เป็นกรดเช่นเดียวกับฟิล์มคุ้มกันผิว (Hydrolipid film) ซี่งเกิดจากการผสมกันระหว่างเหงื่อกับไขมันที่ปกคลุมผิวทั้งหมด ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เรียกว่า “เกราะคุ้มกันผิวตามธรรมชาติ (The skin’s natural protective acid mantle)”

เมื่อตรวจดูผิวหนังชั้นบนสุดด้วยเครื่องมือถ่ายภาพเทคโนโลยีล่าสุด (Fluorescence Lifetime Imaging Microscopy) พบว่าผิวหนังชั้นบนสุดไม่ได้มีสภาพเป็นกรดทั้งหมด แต่พบเป็นหย่อมๆ เท่านั้น บริเวณที่มีสภาพเป็นกรดนี้มีอยู่ไม่มากนักในส่วนที่ลึกที่สุดของผิวชั้นบนสุด แต่จะพบได้มากบริเวณพื้นผิวด้านนอกของผิวชั้นบนสุดนี้ นี่คือสิ่งที่บ่งชี้หน้าที่ในการทำหน้าที่ปกป้องผิว เนื่องจากกระบวนการต่างๆ ที่รักษาหน้าที่นี้จะเกิดขึ้นในบริเวณที่เป็นกรดอ่อนๆ เท่านั้น นอกจากสารที่ได้จากกระบวนการเผาผลาญของเซลล์ผิวหนัง ไขมัน และต่อมเหงื่อกับจุลินทรีย์บนผิวหนัง (กรดไขมัน เช่น กรดแลคติก และกรดอะมิโน) แล้ว ยังมีกลไกต่างๆ อีกมากมายที่รักษาสภาพความเป็นกรดอ่อนๆ ของผิวหนังชั้นนอกสุด ได้แก่

โปรตีนที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนอนุภาค และนำพาอนุภาคของน้ำออกจากเซลล์ผิวหนัง และนำอนุภาคของโซเดียมเข้าไปในเซลล์ ส่งผลให้สภาพแวดล้อมของเซลล์เป็นกรด
เอ็นไซม์ที่อยู่ในเซลล์ผิวหนังชั้นบนสุดสร้างกรดจากไขมันหรือโปรตีนเมื่อมี การสังเคราะห์สารที่ทำหน้าที่ปกป้องผิว เมื่อทำการทดลองยับยั้งต้นกำเนิดของกรดเหล่านี้ก็จะส่งผลให้ค่า pH ที่ผิวหนังเพิ่มสูงขึ้นและยังทำลายการทำงานของเกราะคุ้มกันผิว ที่ทำหน้าที่ปกป้องผิวอีกด้วย นี่คือบทพิสูจน์ว่าการรักษาค่า pH ที่ผิวหนังไว้ที่ 5.5 เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการทำงานของผิว
ค่า pH 5.5 มีประโยชน์อย่างไรต่อผิวหนัง
ผิวหนังที่มีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ นั้นจะมีหน้าที่ปกป้องผิวจากปัญหาต่างๆหลายประการ โดยเป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่าสภาพความเป็นกรดอ่อนๆ บนผิวจะช่วยควบคุมสมดุลการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ประจำถิ่น (microflora) และคอยป้องกันไม่ให้จุลทรีย์ที่เป็นอันตรายต่อผิวเจริญเติบโตได้

อย่างไรก็ตาม ขบวนการเผาผลาญของจุลินทรีย์จะก่อให้เกิดสารเคมี ซี่งจะทำให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ และเป็นสาเหตุหลักของการเกิดกลิ่นกาย เพื่อลดปัญหาดังกล่าวนี้ และยับยั้งการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วหรือการสะสมของสารซี่งอาจจะก่อให้เกิด ภูมิแพ้หรือแม้กระทั่งสารพิษที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญของเชื้อจุลินทรีย์ ดังนั้นการทำความสะอาด ผิวหนังอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรพยายามหลีกเลี่ยง การใช้สารฆ่าเชื้อโรค เนื่องจากจะทำให้เกิดการดื้อของเชื้อได้แล้ว อาจมีผลต่อการทำลายจุลินทรีย์ประจำถิ่น (Microflora) ไปอีกด้วย

ตราบใดที่ผิวหนังยังปกคลุมด้วยจุลินทรีย์เจ้าถิ่น (Micro flora) ก็แทบไม่มีโอกาสที่เชื้อโรคทั่วไปจะเข้าไปฝังตัวและเติบโตได้ เพราะในสภาวะที่เป็นกรดอ่อนๆ ตามสรีรวิทยาของผิวหนัง จุลินทรีย์ที่ไม่เป็นอันตราย หรือจุลทรีย์เจ้าถิ่นซึ่งมีอยู่บนผิวหนังเป็นปกติเหล่านี้จะสามารถเจริญเติบโตและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่มักชอบอยู่ในสภาวะเป็นกลางอยู่แล้ว ระบบป้องกันตามธรรมชาติของผิวหนังจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อได้รับการ ดูแลและทำความสะอาดด้วย ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีค่า pH 5.5 แต่จะเสื่อม หรือถึงขั้นถูกทำลายเมื่อสัมผัสกับผลิตภัณฑ์ที่มีค่าเป็นกลางหรือเป็นด่าง ค่า pH บนผิวหนังที่สูงขึ้นหลังการชำระล้างหรือใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีค่า pH ที่ 6 หรือสูงกว่าจะเพิ่มอัตราการเจริญเติบโต ของเชื้อโรค อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อของผิวหนังได้อีกด้วย




Create Date : 04 มิถุนายน 2556
Last Update : 4 มิถุนายน 2556 10:46:48 น.
Counter : 1445 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

gymstek
Location :
ภูเก็ต  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



>