14.9 พระสูตรหลักถัดไป คือกกจูปมสูตรและอลคัททูปมสูตร.
การสนทนาธรรมนี้ต่อเนื่องมาจาก
14.8 พระสูตรหลักถัดไป คือกกจูปมสูตรและอลคัททูปมสูตร.

ความคิดเห็นที่ 4-71
GravityOfLove, 23 มีนาคม เวลา 22:03 น.

ขอบพระคุณค่ะ
นิวาปสูตร ไม่มีคำถามค่ะ

ความคิดเห็นที่ 4-72
GravityOfLove, 23 มีนาคม เวลา 22:05 น.

             พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
             ๓. โอปัมมวรรค          
             ๕. นิวาปสูตร อุปมาพรานปลูกหญ้าล่อเนื้อ
//84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=5109&Z=5383&bgc=floralwhite

             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี
             ณ ที่นั้น พระองค์ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
             พรานเนื้อไม่ได้ปลูกหญ้าไว้สำหรับให้ฝูงเนื้อกิน แต่ที่แท้ไว้ล่อให้ฝูงเนื้อเข้ามาแล้วลืมตัวกิน
แล้วก็มัวเมา แล้วก็ประมาท เมื่อประมาทก็จะถูกพรานจับเอาได้ตามชอบใจ
             มีฝูงเนื้อ ๔ ฝูง ฝูงแรกเข้าไปกินหญ้าที่พรานเนื้อปลูกล่อไว้ เมื่อเข้าไปก็ลืมตัวกิน ฯลฯ
ถูกพรานเนื้อจับได้

             ฝูงเนื้อฝูงที่ ๒ เห็นฝูงแรกเป็นเช่นนั้น จึงคิดว่าพวกเราจะไม่ทำตามฝูงแรก คือจะไม่เข้าไป
กินหญ้าของพรานเนื้อ แต่จะเข้าไปหากินในป่า
             พอถึงท้ายฤดูร้อน หญ้าและน้ำก็ร่อยหรอหมดไป ฝูงเนื้อนั้นก็มีร่างกายซูบผอม จึงพากันกลับ
มาเข้าป่าหญ้าของพรานเนื้อ ฯลฯ ถูกพรานเนื้อจับได้

             ฝูงเนื้อฝูงที่ ๓ เห็นฝูงเนื้อฝูงแรกและฝูงที่ ๒ เป็นเช่นนั้น จึงคิดว่าพวกเราจะไม่ทำตามสอง
ฝูงแรก แต่จะซุ่มอาศัยอยู่ใกล้ๆ ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้น
             พรานเนื้อและบริวารเห็นดังนั้นก็คิดว่า ฝูงเนื้อฝูงที่ ๓ นี้ แกมโกงคล้ายกับมีฤทธิ์ ไม่ใช่สัตว์
ธรรมดา จึงกินหญ้าที่ปลูกไว้นี้ได้ โดยที่ตนไม่ทราบทางมาทางไปของพวกมัน
             ดังนั้นจึงใช้วิธีเอาตาข่ายขัดไม้หลายๆ อัน ล้อมป่าหญ้าที่ปลูกไว้นี้ให้รอบไปทั้งป่า จึงทำให้
พบที่อยู่ของฝูงเนื้อฝูงนี้ พรานเนื้อจึงจับฝูงเนื้อไปได้

             ฝูงเนื้อฝูงที่ ๔ เห็นฝูงเนื้อสามฝูงแรกเป็นเช่นนั้น จึงคิดว่าพวกเราจะไม่ทำตามสามฝูงแรกนั้น
แต่จะเข้าไปอาศัยอยู่ในที่ซึ่งพรานเนื้อกับบริวารไปไม่ถึง
             พรานเนื้อและบริวารเห็นดังนั้นก็คิดว่า ฝูงเนื้อฝูงที่ ๔ นี้ แกมโกงคล้ายกับมีฤทธิ์ ไม่ใช่สัตว์
ธรรมดา จึงกินหญ้าที่ปลูกไว้นี้ได้ โดยที่ตนไม่ทราบทางมาทางไปของพวกมัน
             ดังนั้นจึงใช้วิธีเอาตาข่ายขัดไม้หลายๆ อัน ล้อมป่าหญ้าที่ปลูกไว้นี้ให้รอบไปทั้งป่า แต่ก็ไม่พบ
ที่อยู่ของฝูงเนื้อฝูงนี้ พรานเนื้อจับฝูงเนื้อฝูงนี้ไม่ได้

             ทรงอุปมาดังนี้ว่า
             ป่าหญ้า คือ ปัญจกามคุณ (กามคุณ ๕)
             พรานเนื้อ คือ มารผู้มีบาปธรรม
             บริวารของพรานเนื้อ คือ บริวารของมาร
             ฝูงเนื้อ คือ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย
//84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=กามคุณ_5

             สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่ง เข้าไปสู่ปัญจกามคุณของมารอันเป็นโลกามิสแล้วลืมตัว บริโภค
ปัญจกามคุณ แล้วก็มัวเมา แล้วก็ประมาท เมื่อประมาทก็ถูกมารทำเอาได้ตามใจชอบในปัญจกามคุณนั้น
             เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่หนึ่งนั้น ก็ไม่พ้นอำนาจของมารไปได้
//84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=โลกามิส

             สมณพราหมณ์พวกที่ ๒ งดเว้นจากการบริโภคปัญจกามคุณอันเป็นโลกามิส เข้าไปอาศัยอยู่
ในป่า เยียวยาอัตภาพด้วยอาหารเท่าที่หาได้ในป่า
             พอถึงเดือนท้ายฤดูร้อน อาหารและน้ำก็ร่อยหรอหมดไป ร่างกายก็ซูบผอม เรี่ยวแรงหมด
เจโตวิมุตติ (อัธยาศัยในการละการครองเรือนแล้วออกมาอยู่ป่า) ก็เสื่อม จึงกลับหันเข้าสู่ปัญจกามคุณ
อันเป็นโลกามิสนั้นอีก ฯลฯ ก็ไม่พ้นจากอำนาจของมารไปได้

             สมณพราหมณ์พวกที่ ๓ อาศัยอยู่ใกล้ๆ ปัญจกามคุณของมารอันเป็นโลกามิสนั้น
             แต่ว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้นมีความเห็นว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด
ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง สัตว์ตายแล้วเกิด สัตว์ตายแล้วไม่เกิด
สัตว์ตายแล้วเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี สัตว์ตายแล้วเกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่
             เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่สามนั้น ก็ไม่หลุดพ้นอำนาจของมารไปได้

             สมณพราหมณ์พวกที่ ๔ อาศัยอยู่ในที่ซึ่งมารและบริวารของมารไปไม่ถึง จึงไม่เข้าไปหา
ปัญจกามคุณของมารอันเป็นโลกามิสนั้น จึงไม่ลืมตัวบริโภคปัญจกามคุณ จึงไม่มัวเมา จึงไม่ประมาท
ก็หลุดพ้นอำนาจของมารไปได้
             ที่ซึ่งมารและบริวารของมารไปไม่ถึง คือ
             การที่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุรูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ แต่ละขั้น เท่ากับทำให้มารตาบอดคือ
มารมองไม่เห็นร่องรอย (เพราะจิตของภิกษุผู้เข้าฌานซึ่งเป็นบาทของวิปัสสนา ทำให้จักษุของมารไม่ได้อารมณ์)
             จนภิกษุบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะเห็นด้วยปัญญา มีอาสวะสิ้นไป ภิกษุนี้ได้ทำมารให้
ตาบอด คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมารผู้มีบาปธรรม เป็นผู้ข้ามพ้น
ตัณหาอันข้องอยู่ในอารมณ์ต่างๆ ในโลกเสียได้
//84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=อนุบุพพวิหาร_9

             พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้จบลงแล้ว
             ภิกษุเหล่านั้นมีความยินดีชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค

[แก้ไขตาม #73]

ความคิดเห็นที่ 4-73
ฐานาฐานะ, 26 มีนาคม เวลา 17:12 น.

GravityOfLove, 58 นาทีที่แล้ว
             พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
             ๓. โอปัมมวรรค
             ๕. นิวาปสูตร อุปมาพรานปลูกหญ้าล่อเนื้อ
//84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=5109&Z=5383&bgc=floralwhite
10:05 PM 3/23/2013

             ย่อความได้ดี เก็บรวมรวมประเด็นได้ครบถ้วน.
             ขอติงเล็กน้อย ในประโยคว่า
             การที่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุรูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ แต่ละขั้น เท่ากับทำให้มารตาบอดคือ
มารมองไม่เห็นร่องรอย (เพราะจิตของภิกษุผู้เข้าฌานซึ่งเป็นบาทของวิปัสสนา ปราศจากอารมณ์)
             น่าจะมาจากเนื้อความอรรถกถาว่า
             บทว่า อปทํ วธิตฺวา มารจกฺขุ ํ ความว่า โดยปริยายนี้เอง เธอจึงฆ่าโดยประการที่จักษุของมารไม่มีทาง
หมดหนทาง ไม่มีที่พึ่ง ปราศจากอารมณ์.
             ดังนั้น จะควรแก้ไขว่า
             การที่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุรูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ แต่ละขั้น เท่ากับทำให้มารตาบอดคือ
มารมองไม่เห็นร่องรอย (เพราะจิตของภิกษุผู้เข้าฌานซึ่งเป็นบาทของวิปัสสนา ทำให้จักษุของมารไม่ได้อารมณ์)
-------------
             กล่าวคือ จิตอย่างนั้นของพระภิกษุ มารมองไม่เห็น มารไม่ได้ช่องทาง.

ความคิดเห็นที่ 4-74
ฐานาฐานะ, 26 มีนาคม เวลา 17:44 น.

             คำถามในนิวาปสูตร
//84000.org/tipitaka/v.php?B=12&A=5109&Z=5383

             เมื่อศึกษาพระสูตรนี้แล้ว ได้อะไรบ้าง?

ความคิดเห็นที่ 4-75
GravityOfLove, 26 มีนาคม เวลา 18:14 น.

ดังนั้น จะควรแก้ไขว่า
             การที่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุรูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ แต่ละขั้น เท่ากับทำให้มารตาบอดคือ
มารมองไม่เห็นร่องรอย (เพราะจิตของภิกษุผู้เข้าฌานซึ่งเป็นบาทของวิปัสสนา ทำให้จักษุของมารไม่ได้อารมณ์)

ขอบพระคุณค่ะ
---------------------------------------
             ตอบคำถามในนิวาปสูตร
//84000.org/tipitakav.php?B=12&A=5109&Z=5383

             เมื่อศึกษาพระสูตรนี้แล้ว ได้อะไรบ้าง?

             ๑. สมณพราหมณ์ ๓ กลุ่มแรก ไม่รอดพ้นอำนาจของมารไปได้
เพราะบริโภคกามคุณ ๕ อย่างมัวเมา ประมาท
             สมณพราหมณ์กลุ่มที่ ๒ เช่น การบรรพชาพร้อมด้วยบุตรและภรรยา
             สมณพราหมณ์กลุ่มที่ ๓ เช่น  สมณพราหมณ์ที่อยู่ในบ้านนิคมและราชธานี
สร้างอาศรมอยู่ในอารามและสวนนั้นๆ ให้เด็กในตระกูลทั้งหลายศึกษาศิลปะต่างๆ เช่น
ศิลปะช้าง ม้า และรถเป็นต้น
             สมณพราหมณ์กลุ่มที่ ๔ รอดพ้นอำนาจมารไปได้ มารไม่เห็นอารมณ์ เพราะท่านเข้าสมาบัติ

             ๒. สมาบัติ ๘ แม้เป็นโลกียะอยู่ แต่กิเลสก็เบาบางไปมากจนมารไม่สามารถครอบงำได้
เพราะมารมองไม่เห็นอารมณ์ของท่านผู้เข้าสมาบัติ

             ๓. นิวาปํ แปลว่า พืชที่พึงปลูก
             คำว่า นิวาปะก็ดี คำว่า โลกามิสานิก็ดี เป็นชื่อของกามคุณ ๕ ที่เป็นหยื่อของวัฏฏะ

ความคิดเห็นที่ 4-76
ฐานาฐานะ, 26 มีนาคม เวลา 19:31 น.

GravityOfLove, 1 ชั่วโมงที่แล้ว
6:14 PM 3/26/2013
             ดังนั้น จะควรแก้ไขว่า
แก้ไขของแก้ไขดังนี้ว่า
             ดังนั้น จึงควรแก้ไขว่า
- - - - - - - - - - - - - -
             คำว่า สมณพราหมณ์กลุ่มที่ ๒ เช่น การบรรพชาพร้อมด้วยบุตรและภรรยา
             ผมเข้าใจว่า สมณพราหมณ์กลุ่มที่ ๒ คือ กลุ่มที่บวชแล้ว มีการออกจากกามบ้าง
แต่ภายหลังเวียนกลับมาบริโภคกามอีก กล่าวคือ บวชแล้วฝึกฝนบ้าง แล้วสึกมาครองเรือน.
             อรรถกถากล่าวไว้ว่า
             จริงอยู่ พราหมณ์ทั้งหลายประพฤติโกมารพรหมจรรย์ ๔๘ ปี คิดว่าจักสืบประเพณี
เพราะกลัววัฏฏะขาด แสวงหาทรัพย์ ได้ภรรยา ครองเรือน เมื่อเกิดบุตรคนหนึ่ง คิดว่า
เรามีบุตรแล้ว วัฏฏะไม่ขาดแล้ว สืบประเพณีแล้ว จึงออกบวชอีกหรือมีเมียตามเดิม.
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=301

ความคิดเห็นที่ 4-77
GravityOfLove, 26 มีนาคม เวลา 19:39 น.

Gravity ตอบผิดข้อหรือคะ

ความคิดเห็นที่ 4-78
ฐานาฐานะ, 26 มีนาคม เวลา 19:48 น.

GravityOfLove, 5 นาทีที่แล้ว
Gravity ตอบผิดข้อหรือคะ
7:39 PM 3/26/2013

             ไม่น่าจะผิดข้อ แต่อาจเข้าใจความหมายผิดไป.
             อย่างไรก็ตาม ถามให้แน่นอนเลยว่า
             คำว่า สมณพราหมณ์กลุ่มที่ ๒ เช่น การบรรพชาพร้อมด้วยบุตรและภรรยา
คุณ GravityOfLove นำมาจากเนื้อความส่วนใด?

ความคิดเห็นที่ 4-79
GravityOfLove, 26 มีนาคม เวลา 19:52 น.

นำมาจากส่วนนี้ค่ะ

นี้เป็นการเปรียบเทียบด้วยการบรรพชาพร้อมด้วยบุตรและภรรยา.
               ชื่อว่า เจโตวิมุตติ ในคำว่า เจโตวิมุตติ ปริหายิ นั้นได้แก่ อัธยาศัยที่เกิดขึ้นว่า พวกเราจักอยู่ในป่า. อธิบายว่า อัธยาศัยนั้นเสื่อมแล้ว.
               ข้อว่า ตถูปเม อหํ ภิกฺขเว อิเม ทุติเย นี้เป็นการเปรียบเทียบด้วยการบรรพชาประกอบด้วยธรรมของพราหมณ์.
               จริงอยู่ พราหมณ์ทั้งหลายประพฤติโกมารพรหมจรรย์ ๔๘ ปี คิดว่าจักสืบประเพณี เพราะกลัววัฏฏะขาด แสวงหาทรัพย์ ได้ภรรยา ครองเรือน เมื่อเกิดบุตรคนหนึ่ง คิดว่า เรามีบุตรแล้ว วัฏฏะไม่ขาดแล้ว สืบประเพณีแล้ว จึงออกบวชอีกหรือมีเมียตามเดิม.

ความคิดเห็นที่ 4-80
ฐานาฐานะ, 26 มีนาคม เวลา 20:11 น.

             คำว่า
              นี้เป็นการเปรียบเทียบด้วยการบรรพชาพร้อมด้วยบุตรและภรรยา.
             น่าจะเป็นคำสรุปของข้อแรก กล่าวคือตั้งแต่บรรพชา ก็ไม่ได้ห่างจากกามเลย
             จากนั้น บรรทัดถัดลงมา จึงเป็นการอธิบายข้อถัดไป (คือข้อ 2)
             สรุปว่า นำคำสรุปของข้อ 1 ซึ่งเป็นบรรทัดสุดท้ายของข้อ 1
มาเป็นคำอธิบายสรุปของข้อ 2.

ความคิดเห็นที่ 4-81
GravityOfLove, 26 มีนาคม เวลา 20:30 น.

นั่น ตอบผิดจริงๆ
ขอบพระคุณค่ะ

ความคิดเห็นที่ 4-82
ฐานาฐานะ, 26 มีนาคม เวลา 20:36 น.

             คำว่า นี้เป็นการเปรียบเทียบด้วยการบรรพชาพร้อมด้วยบุตรและภรรยา.
             ๑. เรื่องบรรพชิต ๓ รูป [๑๖๕] น่าจะใกล้เคียงคำนี้มาก
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=26&p=1

ความคิดเห็นที่ 4-83
ฐานาฐานะ, 26 มีนาคม เวลา 20:43 น.

             เป็นอันว่า พระสูตรชื่อว่า นิวาปสูตร จบบริบูรณ์.
//84000.org/tipitaka/v.php?B=12&A=5109&Z=5383

             พระสูตรหลักถัดไป คือปาสราสิสูตรและจูฬหัตถิปโทปมสูตร.
             พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
             มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
             ปาสราสิสูตร
//84000.org/tipitaka/v.php?B=12&A=5384&Z=5762
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=312

             จูฬหัตถิปโทปมสูตร
//84000.org/tipitaka/v.php?B=12&A=5763&Z=6041
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=329

             มหาหัตถิปโทปมสูตร
//84000.org/tipitaka/v.php?B=12&A=6042&Z=6308
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=340

ย้ายไปที่



Create Date : 04 เมษายน 2556
Last Update : 21 มิถุนายน 2557 11:26:33 น.
Counter : 542 Pageviews.

0 comments

แก้วมณีโชติรส
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]



เมษายน 2556

 
1
2
5
6
7
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
27
28
29
30
 
 
All Blog