16.4 พระสูตรหลักถัดไป คือจูฬโคสิงคสาลสูตร
การสนทนาธรรมนี้ต่อเนื่องมาจาก
16.3 พระสูตรหลักถัดไป คือจูฬโคสิงคสาลสูตร

ความคิดเห็นที่ 9-42
ฐานาฐานะ, 29 เมษายน เวลา 15:16 น.

GravityOfLove, 7 ชั่วโมงที่แล้ว
             ตอบคำถามในพระสูตรชื่อว่า มหาโคสิงคสาลสูตร
//84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=6877&Z=7105
6:52 AM 4/29/2013

             ๓. ในบรรดาพระเถระทั้ง ๖ ท่านพระอานนท์มีอายุน้อยที่สุด แล้วเรียงไปดังนี้
             นัยของอายุนั้น ผมเองก็ระบุไม่ได้ว่า ผู้ใดมีอายุเท่าใด
             ทราบแต่ว่า ท่านพระอานนท์เป็นสหชาตกับพระผู้มีพระภาค
             นัยของมรรคผลที่บรรลุ สันนิษฐานว่า
             ท่านพระอานนท์เป็นพระโสดาบัน ส่วนพระเถระรูปอื่นๆ เป็นพระอรหันต์.

             คำว่า สหชาต
//84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=สหชาต

             เรียนถามคุณฐานาฐานะด้วยค่ะว่า เลื่อมใสในคำตอบพระเถระรูปใดมากที่สุด
             ตอบว่า ผมเองเลื่อมใสคำของพระเถระทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ท่านพระอานนท์ ท่านพระมหากัสสป ท่านพระสารีบุตร
             การเป็นพหูสูตก็ตาม การสมาทานธุดงควัตรเองด้วย สรรเสริญธุดงควัตรด้วยก็ตาม
เป็นสิ่งที่น่าเลื่อมใส แต่หากผู้ดำรงอยู่ในฐานะนั้น แต่ยังไม่สามารถพึงยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ
คือยังเป็นไปตามอำนาจของจิต ยังเป็นไปตามอำนาจอำนาจของกิเลสที่ครอบงำอยู่
             บุคคลนั้นก็เรียกว่า ยังไม่ถึงผลสูงสุดของการฝึกฝนเลย.
             ดังนั้น ผมเลื่อมใสในคำตอบของพระสารีบุตร มากที่สุด
             เพราะสามารถยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ และไม่เป็นไปตามอำนาจของจิตแล้ว.
             โดยนัยก็คือ
              การฝึกฝนต่างๆ ควรมีเป้าหมายไปยังการขจัดกิเลส
              บุคคลเมื่อขจัดกิเลสได้สิ้นแล้ว ย่อมไม่เป็นไปตามอำนาจของจิตอีก.

ความคิดเห็นที่ 9-43
ฐานาฐานะ, 29 เมษายน เวลา 23:42 น.

             เป็นอันว่า พระสูตรชื่อว่า มหาโคสิงคสาลสูตร จบบริบูรณ์.
//84000.org/tipitaka/read/v.php?B=12&A=6877&Z=7105

             พระสูตรหลักถัดไป คือมหาโคปาลสูตร [พระสูตรที่ 33].
             พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
             มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
             มหาโคปาลสูตร
//84000.org/tipitaka/read/v.php?B=12&A=7106&Z=7246
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=383

             จูฬโคปาลสูตร
//84000.org/tipitaka/read/v.php?B=12&A=7247&Z=7322
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=388

             จูฬสัจจกสูตร
//84000.org/tipitaka/read/v.php?B=12&A=7323&Z=7551
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=392

             มหาสัจจกสูตร
//84000.org/tipitaka/read/v.php?B=12&A=7552&Z=7914
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=405

ความคิดเห็นที่ 9-44
GravityOfLove, 25 เมษายน เวลา 18:08 น.

             มหาโคปาลสูตร
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=383&bgc=seashell

             ๑. กรุณาอธิบายค่ะ
             ชื่อว่าไม่รู้จักโดยสมุฏฐาน คือไม่รู้ว่ารูปประมาณเท่านี้มีสมุฏฐานเดียว
ประมาณเท่านี้มีสองสมุฏฐาน ประมาณเท่านี้มีสามสมุฏฐาน ประมาณเท่านี้มีสี่สมุฏฐาน
ประมาณเท่านี้ย่อมไม่ตั้งขึ้นแต่สมุฏฐานไหนเลย ดังนี้.

             ๒. คำตอบคืออะไรคะ
             ภิกษุย่อมไม่รู้ชัดอริยมรรคมีองค์ ๘ ตามเป็นจริงว่า ทางนี้เป็นโลกิยะ ทางนี้เป็นโลกุตตระดังนี้
เหมือนนายโคบาลนั้นไม่รู้อยู่ซึ่งทางและมิใช่ทางฉะนั้น เมื่อเธอไม่รู้ตั้งมั่นแล้วในทางที่เป็นโลกิยะ
ย่อมไม่สามารถเพื่อจะยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้นได้

             และสติปัฎฐาน ๔ ด้วยค่ะ

             ๓. กรุณาอธิบายค่ะ
             ปวารณามี ๒ คือ ปวารณาด้วยวาจา ๑ ปวารณาด้วยปัจจัย

             ขอบพระคุณค่ะ

ความคิดเห็นที่ 9-45
ฐานาฐานะ, 25 เมษายน เวลา 21:48 น.

GravityOfLove, 22 นาทีที่แล้ว
             มหาโคปาลสูตร
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=383&bgc=seashell

             ๑. กรุณาอธิบายค่ะ
             ชื่อว่าไม่รู้จักโดยสมุฏฐาน คือไม่รู้ว่ารูปประมาณเท่านี้มีสมุฏฐานเดียว
ประมาณเท่านี้มีสองสมุฏฐาน ประมาณเท่านี้มีสามสมุฏฐาน ประมาณเท่านี้มีสี่สมุฏฐาน
ประมาณเท่านี้ย่อมไม่ตั้งขึ้นแต่สมุฏฐานไหนเลย ดังนี้.
             ตอบว่า พออธิบายได้คร่าวๆ ว่า รูปมีสมุฏฐาน 4 ได้แก่ กรรม ฤดู จิต อาหาร
             ส่วนรายละเอียดว่า อย่างใดมีกรรมเป็นสมุฏฐานเป็นต้น ขอติดค้างไว้ก่อน
เพราะต้องทบทวนในพระอภิธรรมปิฎก.

             บทว่า รูเป จ ปชานาติ รู้ชัดรูป ความว่า ย่อมรู้ชัดรูปอันเกิดแต่ ๔ สมุฏฐาน
(กรรม ฤดู จิต อาหาร) ในภายนอกโดยลักษณะ พร้อมด้วยกิจตามความเป็นจริง.
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=273&p=4
             คำที่เกี่ยวข้อง :-
//84000.org/tipitaka/pitaka_item/tipitaka_seek.php?text=อุตุสมุฏฐาน&book=34&bookZ=45
//84000.org/tipitaka/pitaka_item/tipitaka_seek.php?text=อาหารสมุฏฐาน&book=34&bookZ=45
//84000.org/tipitaka/pitaka_item/tipitaka_seek.php?text=จิตตสมุฏฐาน&book=34&bookZ=45
//84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=กรรมชรูป&detail=on

             ๒. คำตอบคืออะไรคะ
             ภิกษุย่อมไม่รู้ชัดอริยมรรคมีองค์ ๘ ตามเป็นจริงว่า ทางนี้เป็นโลกิยะ ทางนี้เป็นโลกุตตระดังนี้
เหมือนนายโคบาลนั้นไม่รู้อยู่ซึ่งทางและมิใช่ทางฉะนั้น เมื่อเธอไม่รู้ตั้งมั่นแล้วในทางที่เป็นโลกิยะ
ย่อมไม่สามารถเพื่อจะยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้นได้
             และสติปัฎฐาน ๔ ด้วยค่ะ
             ตอบว่า การฝึกฝนของปุถุชนในอริยมรรคมีองค์ 8 มรรคเหล่านั้นชื่อว่าเป็นโลกิยะ
ยังไม่สามารถตัดกิเลสได้โดยเด็ดขาด แต่ว่าเป็นปัจจัยที่มีกำลังให้แก่โลกุตตรมรรคในโอกาส
ต่อไปๆ ดังนั้น หากปุถุชนรู้ตัวอยู่ว่า อริยมรรคนั้นตนยังไม่ได้ทำให้มีขึ้นเกิดขึ้น
ปุถุชนนั้นย่อมไม่ละความเพียรในอันที่จะเจริญอบรมปัญญาเป็นต้นให้ยิ่งๆ ขึ้นไป.
             หากปุถุชนนั้นเข้าใจผิดว่า อริยมรรคที่ตนอบรมอยู่นั้น เป็นทางให้หลุดพ้นแล้ว
ก็เป็นอันเข้าใจผิดว่าหลุดพ้นแล้ว อันเป็นมิจฉาญาณ การหลุดพ้นนั้นก็เป็นมิจฉาวิมุตติ
ทำนองปุถุชนสำคัญผิดว่าเป็นพระอริยบุคคลนั่นเอง.
             สรุปคำตอบก็คือ เบื้องต้นเป็นโลกิยะ เบื้องปลายเป็๋นโลกุตตระ.
             โดยนัยของธรรมสากัจฉาของพระมหาเถระและสัมมาสมาธิ
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10.0&i=273&p=1#ธรรมสากัจฉาของพระมหาเถระ
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10.0&i=273&p=6#สัมมาสมาธิ
             คำต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
//84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=มิจฉัตตะ
//84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=สัมมัตต

             สำหรับพระสูตรชื่อว่า มหาโคปาลสูตร
//84000.org/tipitaka/read/v.php?B=12&A=7106&Z=7246
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=383
             ขอให้ศึกษาคำถามคำตอบในนานาปัญหาด้วย.
             ๕๑. อยากทราบเรื่องภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๑ ที่ไม่เจริญในพระธรรมวินัย
//84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=51

             ๓. กรุณาอธิบายค่ะ
             ปวารณามี ๒ คือ ปวารณาด้วยวาจา ๑ ปวารณาด้วยปัจจัย ๑.
             ขอบพระคุณค่ะ
6:07 PM 4/25/2013
             ตอบว่า คำว่า ปวารณา
             1. ยอมให้ขอ, เปิดโอกาสให้ขอ
             2. ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือน, เปิดโอกาสให้ว่ากล่าวตักเตือน,
//84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=ปวารณา&original=1
             ในที่นี้ คือคำถามนี้คือข้อ 1
             ปวารณาด้วยวาจา คือ กล่าวคำยอมให้ขอว่า ท่านต้องการสิ่งใด
จงบอกเรา เราจะนำสิ่งนั้นมาให้แก่ท่าน.
             ปวารณาด้วยปัจจัย คือ นำปัจจัย (ปัจจัย 4) มาวางไว้ กล่าวว่า
ท่านต้องการสิ่งใด จงถือเอาสิ่งนั้น.

ความคิดเห็นที่ 9-46
GravityOfLove, 30 เมษายน เวลา 00:33 น.

             คำถามในมหาโคปาลสูตร
//84000.org/tipitaka/read/v.php?B=12&A=7106&Z=7246
             กรุณาอธิบายค่ะ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุไม่ฉลาดในสถานที่โคจรเป็นอย่างไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ ไม่รู้ชัดในสติปัฏฐานทั้ง ๔ ตามเป็นจริง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ฉลาดในสถาน
ที่โคจรเป็นอย่างนี้แล.
             ขอบพระคุณค่ะ

ความคิดเห็นที่ 9-47
ฐานาฐานะ, 30 เมษายน เวลา 01:00 น.

GravityOfLove, 17 นาทีที่แล้ว
             คำถามในมหาโคปาลสูตร
//84000.org/tipitaka/read/v.php?B=12&A=7106&Z=7246
             กรุณาอธิบายค่ะ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุไม่ฉลาดในสถานที่โคจรเป็นอย่างไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ ไม่รู้ชัดในสติปัฏฐานทั้ง ๔ ตามเป็นจริง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ฉลาดในสถาน
ที่โคจรเป็นอย่างนี้แล.
             ขอบพระคุณค่ะ
12:32 AM 4/30/2013

             สติปัฏฐานทั้ง ๔ ในพระสูตรชื่อว่า มหาสติปัฏฐานสูตร
             หากพิจารณาหมวดธรรมทั้งปวงในมหาสติปัฏฐานสูตร
ย่อมนับรวมลงในกาย เวทนา จิต ธรรมได้ทั้งสิ้น
             ดังนั้น สติปัฏฐานทั้ง ๔ เป็นอารมณ์ของโคจรของภิกษุ
ควรขยายความด้วยพระสูตรชื่อว่า สกุณัคฆีสูตร ว่าด้วยอารมณ์โคจร
             สกุณัคฆีสูตร
//84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=19&A=3987

             ใจความคือ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
ในอารมณ์ต่างๆ ทั้ง 4 หมวดนั้น
             นี้กล่าวโดยอารมณ์ และการพิจารณา
             ส่วนอโคจรอันเป็นสถานที่หรือบุคคลก็มีความสำคัญเช่นกัน
             อโคจร บุคคลและสถานที่อันภิกษุไม่ควรไปมาหาสู่
             มี ๖ คือ หญิงแพศยา หญิงหม้าย สาวเทื้อ ภิกษุณี บัณเฑาะก์ (กะเทย) และร้านสุรา
             เพราะเหตุว่า บุคคลและสถานที่เหล่านั้น อาจนำมาซึ่งอารมณ์อันทำให้
อภิชฌาและโทมนัสฟูขึ้น.
             คำว่า อโคจร
//84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=อโคจร&detail=on

ความคิดเห็นที่ 9-48
ฐานาฐานะ, 30 เมษายน เวลา 01:12 น.

เพิ่มเติมลิงค์ :-
             หากพิจารณาหมวดธรรมทั้งปวงในมหาสติปัฏฐานสูตร
ย่อมนับรวมลงในกาย เวทนา จิต ธรรมได้ทั้งสิ้น
             มหาสติปัฏฐานสูตร
//84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=6257&Z=6764

ความคิดเห็นที่ 9-49
GravityOfLove, 30 เมษายน เวลา 01:31 น.

เข้าใจแล้วค่ะ ขอบพระคุณค่ะ

ความคิดเห็นที่ 9-50
GravityOfLove, 30 เมษายน เวลา 01:33 น.

             พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
             ๔. มหายมกวรรค          
             ๓. มหาโคปาลสูตร ว่าด้วยองค์แห่งนายโคบาลกับของภิกษุ
//84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=7106&Z=7246&bgc=seashell&pagebreak=0

             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
             ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
องค์ไม่เป็นเหตุให้เจริญของนายโคปาล คือ
             นายโคบาลประกอบด้วยองค์ ๑๑ ประการ ไม่ควรจะครอบครองฝูงโค ไม่ควรทำฝูงโคให้เจริญได้
             องค์ ๑๑ ประการนี้ คือ
             ๑. ไม่รู้จักรูปโค คือ ไม่รู้จักนับโคหรือสีของโค
             จึงไม่รู้ว่า โคของตนมีมากน้อยเท่าไร เมื่อฝูงโคหายไปจึงไม่ติดตามหา
เมื่อฝูงโคของผู้อื่นพลัดเข้ามาในฝูงของตนก็ไม่ทราบจึงไม่ไล่ออกไป
             ครั้นเจ้าของเขาตามมาพบเข้า เขาก็หาว่าขโมยโคของเขาไป
เป็นอันว่าโคของเขาก็หายไป ทั้งยังถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมยด้วย
             ไม่รู้สีของโค คือไม่รู้ว่าโคของตนมีสีขาวเท่าไร สีแดงเท่าไร สีน้ำตาลเท่าไร
โคด่างเท่าไร เป็นต้น เมื่อไม่รู้ โคของตนหายไปก็ไม่ทราบ
             นายโคบาลที่ไม่รู้จักรูปโคโดยการนับและโดยสี อย่างนี้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ฉลาด
ไม่อาจรักษาฝูงโคไว้ได้

             ๒. ไม่ฉลาดในลักษณะโค คือไม่รู้เครื่องหมายที่ตนทำไว้ที่โค

             ๓. ไม่คอยเขี่ยไข่ขัง คือ ไม่คอยเขี่ยไข่ของแมลงวันหัวเขียวที่มาไข่ใส่แผลโค
             ถ้านายโคบาลไม่เขี่ยไข่ขังนั้นออก ไข่นั้นก็จะกลายเป็นหนอนชอนไชเข้าไปใน
ร่างกายของโค ทำให้โคถึงแก่ความตายได้

             ๔. ไม่ปิดบังแผล คือ เมื่อโคเกิดเป็นแผลขึ้นก็ไม่รู้จักทำยาปิดแผลโค
โคย่อมไม่เป็นสุข เพราะถูกแมลงวันตอมบ้าง ไข่ไว้บ้าง ในที่สุดก็ถึงแก่ความตาย

             ๕. ไม่สุมควันให้ คือ ไม่สุมควันเพื่อไล่เหลือบและยุงให้
เหลือบและยุงก็จะกัดกินเลือดโคตามสบาย
             เมื่อโคนอนไม่สบายเพราะถูกแมลงรบกวน ก็หลบจากที่ไปนอนในป่าหรือ
ตามโคนต้นไม้ รุ่งเช้าก็เที่ยวไปหาน้ำและหญ้ากินเองตามความต้องการ
แล้วอาจจะหลงฝูงหายไป
             นายโคบาลที่ไม่ฉลาดไม่รู้จักสุมไฟให้โค ก็ย่อมได้รับความเดือดร้อน
เพราะการหายไปของโคของตน

             ๖. ไม่รู้จักท่า คือ ไม่รู้จักท่าน้ำที่โคควรจะลงไปกินน้ำ ต้อนโคไปยังท่าที่ไม่ควร
เช่น เรียบหรือไม่เรียบ มีสัตว์ร้ายหรือไม่มี

             ๗. ไม่รู้จักให้โคดื่ม คือ เมื่อต้อนฝูงโคลงไปกินน้ำที่แม่น้ำแล้ว ฝูงโคก็ชิงกันลงไป
ตัวไหนที่เก่งกล้าก็ลงไปกินน้ำใสในที่ลึกได้ ตัวที่ไม่เก่งก็กินน้ำขุ่นที่อยู่ริมฝั่ง บางตัวก็ไม่ได้กินน้ำ
             ครั้นแล้วนายโคบาลก็ต้อนฝูงโคกลับเข้าป่าอีก โดยที่ไม่ได้พิจารณาว่า
โคตัวใดยังไม่ได้กินน้ำบ้าง
             โคตัวที่ไม่ได้กินน้ำก็หิวกระหายไม่อาจหาหญ้ากินได้ ฝูงโคก็ย่อยยับไป

             ๘. ไม่รู้จักทาง คือ ไม่รู้ว่าทางไหนเรียบหรือไม่เรียบ มีอันตรายหรือไม่มี
ได้ต้อนฝูงโคไปในที่มีภัยจึงถูกเสือ-กัดบ้าง โจรลักพาไปบ้าง
             นายโคบาลที่ไม่รู้จักทางย่อมทำความพินาศให้แก่ฝูงโค

             ๙. ไม่ฉลาดในสถานที่โคเที่ยวหากิน คือ ไม่รู้จักเว้นระยะให้หญ้าขึ้นก่อนพาโค
ไปกินซ้ำที่เดิม หญ้าก็หมดน้ำก็ขุ่น ฝูงโคย่อมถึงความพินาศ
             ควรต้อนไปยังที่อุดมสมบูรณ์แห่งใหม่ ถ้าจะกลับมาที่เก่า
ก็ควรรอเวลาให้หญ้าขึ้นเขียว น้ำใสหายขุ่นเสียก่อน

             ๑๐. รีดน้ำนมไม่ได้เหลือไว้ คือ นายโคบาลรีดนมโคเสียหมด มิได้เหลือไว้
ให้ลูกโคได้กินบ้าง เมื่อลูกโคไม่ได้กินนมก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ ถึงความตายในที่สุด
             เมื่อลูกโคตาย แม่โคก็เศร้าโศก ไม่กินหญ้ากินน้ำ ถึงแก่ความตายในที่สุด
             ฝูงโคก็ร่อยหรอน้อยลง นายโคบาลนั้นก็สูญเสียโคไปเพราะความไม่ฉลาดของตน

             ๑๑. ไม่บูชาโคที่เป็นพ่อฝูง เป็นผู้นำฝูง ด้วยการบูชาเป็นอดิเรก คือ ไม่ดูแลเป็นพิเศษ
เช่น ไม่ได้ให้อาหารที่ประณีต โคผู้นำฝูงจึงไม่ดูแลป้องกันอันตรายแก่ฝูงโค
//84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=อดิเรก

             ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน

             เมื่อประกอบด้วยองค์ ๑๑ ประการ ก็ไม่ควรเพื่อจะถึงความเจริญ งอกงาม
ไพบูลย์ ในธรรมวินัยนี้
             (นายโคบาลนั้นย่อมห่างไกลจากปัญจโครสฉันใด ภิกษุนั้นก็ห่างไกลจากธรรมขันธ์ ๕ คือ
ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์อันเป็นของพระอเสขะฉันนั้น)
//84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=เบญจโครส

             องค์ไม่เป็นเหตุให้เจริญในธรรมวินัยนี้ ๑๑ ประการ คือ
             ๑. ไม่รู้จักรูป คือ ไม่รู้ชัดตามเป็นจริงว่า
             รูปอย่างใดอย่างหนึ่งหรือรูปทั้งปวง เป็นมหาภูตรูป ๔ (รูปใหญ่)
และอุปาทายรูปแห่งมหาภูตรูปทั้ง ๔ (รูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔)
             เมื่อไม่รู้จักรูปมีมหาภูตรูป 4 เป็นต้น ย่อมไม่สามารถจะยกลักษณะของรูป
ขึ้นสู่พระกรรมฐานได้ ... ย่อมไม่ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้ได้

             [อรรถกถา] ไม่รู้จักรูปโดยอาการ ๒ คือ
             - ไม่รู้จักนับ คือ ไม่รู้มหาภูตรูป อุปาทายรูป
             (เช่น ไม่รู้ความเบา ความอ่อนแห่งรูป ความก่อขึ้น ความสืบต่อ ความแก่
ความที่รูปเป็นของไม่เที่ยง)
             - ไม่รู้สมุฏฐาน คือ ไม่รู้ว่ารูปนี้ประกอบด้วยสมุฏฐานอะไรบ้าง
หรือไม่มีสมุฏฐานเลย (รูปมี ๔ สมุฏฐาน คือ กรรม ฤดู จิต อาหาร)
//84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=รูป_2

             ๒. ไม่ฉลาดในลักษณะ คือ ไม่รู้ชัดตามเป็นจริงว่า
             คนพาลมีกรรมเป็นเครื่องหมาย บัณฑิตมีกรรมเป็นเครื่องหมาย
             (คนพาลและบัณฑิตมีกรรมเป็นเครื่องหมายเหมือนกัน แต่ต่างกันที่
คนพาลมีอกุศลกรรมเป็นเครื่องหมาย บัณฑิตมีกุศลกรรมเป็นเครื่องหมาย)
             เมื่อไม่รู้ ไม่ฉลาดในลักษณะของคนพาลและบัณฑิต ย่อมไม่สามารถ
แยกแยะได้ว่า นี้เป็นคนพาล นี้เป็นบัณฑิต ย่อมทำให้ไม่สามารถเลี่ยงเว้นคนพาล
และไม่สามารถเลือกคบค้าสมาคมกับบัณฑิตได้ ดังนี้แล้วย่อมถึงความเสื่อมได้

             ๓. ไม่คอยเขี่ยไข่ขัง คือ ภิกษุมิได้ละ มิได้บรรเทากามวิตก หรือพยาบาทวิตก
หรือวิหิงสาวิตกที่เกิดขึ้น ให้ดับสูญไป ปล่อยให้อกุศลวิตกเหล่านั้นกลุ้มรุมจิตได้
ย่อมไม่อาจสำเร็จคุณวิเศษได้
//84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=อกุศลวิตก_3

             ๔. ไม่ปิดบังแผล คือ ภิกษุที่ไม่สำรวมทวารทั้ง ๖ ย่อมถือเอานิมิตและอนุพยัญชนะ
ในอารมณ์มีรูป เป็นต้น ที่มาปรากฎทางทวารทั้ง ๖ มีตาเป็นต้น
             เหล่าอกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌาและโทมนัส ย่อมครอบงำ
             เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นก็ไม่อาจงอกงามในธรรมวินัยนี้ได้  
             (ถือโดยนิมิต (รวบถือ) คือมองภาพรวมโดยเห็นเป็นหญิงหรือชาย
เห็นว่ารูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสที่อ่อนนุ่ม เป็นอารมณ์ที่น่าปรารถนา
ด้วยอำนาจฉันทราคะ
             ถือโดยอนุพยัญชนะ (แยกถือ) คือมองแยกแยะเป็นส่วนๆ ไปด้วยอำนาจกิเลส
เช่น เห็นมือเท้าว่าสวยหรือไม่สวย เห็นอาการยิ้มแย้ม หัวเราะ การพูด การเหลียวซ้ายแลขวา
ว่าน่ารักหรือไม่น่ารัก
             ถ้าเห็นว่าสวยน่ารัก ก็เกิดอภิชฌา
             ถ้าเห็นว่าไม่สวย ไม่น่ารัก ก็เกิดโทมนัส)
//84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=อินทรีย์_6&detail=on
//84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=อภิชฌา
//84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=โทมนัส

             ๕. ไม่สุมควัน คือ ภิกษุไม่แสดงธรรมตามที่ตนได้เรียนได้ฟังมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร
             เมื่อไม่แสดงธรรมให้คนทั้งหลายฟัง คนทั้งหลายย่อมไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ
จึงไม่สงเคราะห์ภิกษุนั้นด้วยปัจจัย ๔
             ภิกษุนั้นได้รับความลำบากเพราะปัจจัย ๔ ก็ไม่อาจเล่าเรียนและเจริญสมณธรรมได้
             ภิกษุนั้นก็ไม่อาจถึงความงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้ได้

             ๖. ไม่รู้จักท่า คือ ไม่เข้าไปหาแล้วไต่ถามภิกษุทั้งหลายที่เป็นเถระ เป็นพหูสูต
เป็นผู้รู้หลัก ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ตามกาลอันควรว่า
             ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร
             ภิกษุทั้งหลายนั้น จึงไม่เปิดเผยข้อความที่ยังลี้ลับ ไม่ทำข้อความที่ลึกให้ตื้น
ไม่บรรเทาความสงสัยในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายอย่างแก่ภิกษุนั้น
(หรือถามแต่ไม่ถูกคน)
              ภิกษุนั้นก็ไม่อาจถึงความงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้ได้

             ๗. ไม่รู้จักดื่ม คือ ไม่รู้จักธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประกาศแล้ว
เมื่อไปฟังธรรมก็ส่งใจไปอื่นไม่ฟังโดยเคารพ
             จึงไม่เข้าถึงอรรถถึงธรรม ไม่ได้ความปิติปราโมทย์ในธรรม
กรรมฐานของภิกษุนั้นจึงไม่เจริญ
             ภิกษุนั้นก็ไม่อาจถึงความงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้ได้

             ๘. ไม่รู้จักทาง คือ ไม่รู้ชัดอริยมรรคมีองค์ ๘ ตามเป็นจริง
             เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่อาจยังโลกุตตรธรรมให้เกิดได้
             (ไม่รู้ว่าทางใดเป็นโลกิยะ ทางใดเป็นโลกุตตระ
เมื่อไม่รู้แล้วตั้งมั่นในทางที่เป็นโลกิยะ จึงไม่สามารถทำให้โลกุตตรธรรมเกิดขึ้นได้)
//84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=มรรคมีองค์_8

             ๙. ไม่ฉลาดในสถานที่โคจร คือ ไม่รู้ชัดในสติปัฏฐานทั้ง ๔ ตามเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ก็ไม่อาจเข้าถึงธรรมได้ จึงไม่อาจงอกงามในธรรมวินัยนี้ได้
             (อารมณ์โคจรของภิกษุ คือ สติปัฏฐานทั้ง ๔ (กาย เวทนา จิต ธรรม)
             ให้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
ในอารมณ์ต่างๆ ทั้ง ๔ นั้น
              อโคจร คือบุคคลและสถานที่อันภิกษุไม่ควรไปมาหาสู่)
//84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=อโคจร&detail=on
//84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=สติปัฏฐาน_4

             ๑๐. รีดเสียหมดมิได้เหลือไว้ คือ ภิกษุไม่รู้จักประมาณเพื่อจะรับปัจจัย ๔
ที่คหบดีที่มีศรัทธาปวารณาไว้
             เขาปวารณาเท่าใดก็รับจนหมด ไม่เหลือไว้ให้เขาเกิดศรัทธาว่า
             ภิกษุนี้เป็นผู้มักน้อยสันโดษ แม้จะให้มากก็รับแต่พอควรพอใช้สอย ไม่โลภมาก
             ภิกษุที่ไม่รู้จักประมาณย่อมทำลายศรัทธาของทายกผู้ถวาย
ย่อมไม่อาจงอกงามในพระธรรมวินัยนี้ได้
//84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=ปัจจัย_4

             ๑๑. ไม่บูชาภิกษุทั้งหลายที่เป็นเถระ เป็นรัตตัญญู (บวชนาน) เป็นบิดาสงฆ์
(สังฆบิดร) เป็นผู้นำสงฆ์ (สังฆปริณายก) ด้วยการบูชาเป็นอดิเรก
             คือไม่เข้าไปตั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันประกอบด้วยเมตตา
ในภิกษุนั้นทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ
             เมื่อภิกษุไม่บูชาพระเถระทั้งหลายที่มีความสำคัญดังกล่าว
พระเถระทั้งหลายเหล่านั้นเห็นว่าภิกษุนั้นไม่เคารพยำเกรงท่าน ท่านก็ไม่สงเคราะห์
ช่วยเหลือบอกกล่าวสั่งสอน หรือไม่สงเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔
             ภิกษุนั้นก็ไม่อาจอยู่ในพระศาสนาด้วยความผาสุกได้
จึงไม่อาจงอกงามในพระธรรมวินัยนี้ได้

องค์เป็นเหตุให้เจริญ
             (ตรงกันข้ามกับองค์ไม่เป็นเหตุให้เจริญ)

             พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว
             ภิกษุเหล่านั้น ชื่นชม ยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาค

แก้ไขตาม #9-54, #9-55

ความคิดเห็นที่ 9-51
ฐานาฐานะ, 30 เมษายน เวลา 01:42 น.

             ย่อความพระสูตรชื่อว่า มหาโคปาลสูตร รอสักหน่อยก่อน.
//84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=7106&Z=7246

             ขอถามว่า ได้อ่านนานาปัญหา ข้อ 51 โดย คณะสหายธรรม
ประกอบด้วยหรือไม่?
             ๕๑. อยากทราบเรื่องภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๑ ที่ไม่เจริญในพระธรรมวินัย
//84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=51

ย้ายไปที่



Create Date : 25 มิถุนายน 2556
Last Update : 21 มิถุนายน 2557 23:31:14 น.
Counter : 684 Pageviews.

0 comments

แก้วมณีโชติรส
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]



มิถุนายน 2556

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
27
28
29
30
 
 
All Blog